"ดีพร้อม" โชว์ศักยภาพอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายไทย สู่ตลาดแฟชั่นมุสลิม

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) เร่งพัฒนายกระดับผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งกายมุสลิม สู่ตลาดแฟชั่นเชิงสร้างสรรค์ ปั้นผู้ประกอบการ 20 แบรนด์ไทย เป็นสินค้าพรีเมี่ยมสู่ตลาดสากล ภายใต้แนวคิด "Our Culture Muslims"

วันที่ 11 ส.ค.68 นายวุฒิชัย ประชาพร ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ผู้แทนอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ได้มองเห็นโอกาสในความท้าทายที่จะยกระดับศักยภาพและขีดความสามารถของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแฟชั่นสาขาเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายไทยสู่ตลาดแฟชั่นมุสลิม ภายใต้นโยบาย “ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้” ตามนโยบาย 4 ให้ 1 ปฏิรูป ให้ทักษะใหม่ ให้เครื่องมือที่ทันสมัย ให้โอกาสโตไกล ให้ธุรกิจไทยที่ดีคู่ชุมชน และปฏิรูปดีพร้อมสู่องค์กรที่ทันสมัยของนางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มุ่งส่งเสริม พัฒนา และยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการในทุกด้านอย่างตรงจุดผ่าน “กิจกรรมพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าและ เครื่องแต่งกายมุสลิมให้เป็น Premium สู่สากล (Muslim Fashion to Global)” ภายใต้แนวคิด "Our Culture Muslims"

ทั้งนี้มุ่งเน้นส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการแฟชั่นมุสลิมไทยให้สามารถแข่งขันในระดับสากล ผ่านการพัฒนาสินค้า เชิงวัฒนธรรมให้เป็นผลิตภัณฑ์แฟชั่นระดับพรีเมี่ยม จากการฝึกอบรมถ่ายทอดองค์ความรู้ และการให้คำปรึกษาแนะนำเชิงลึก ทั้งในด้านการออกแบบลวดลายและการวางแพทเทิร์น การตัดเย็บ การยกระดับกระบวนการผลิตสู่มาตรฐานพรีเมี่ยม การวางแผนธุรกิจ การตลาด และการสร้างแบรนด์ การเชื่อมโยงตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ และการเชื่อมโยงเครือข่ายทางธุรกิจอย่างครบวงจร รวมถึงสนับสนุนการใช้ภูมิปัญญาและทุนทางวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อยกระดับสินค้าทั้งด้านมาตรฐานและดีไซน์ให้ทันสมัย โดดเด่น แตกต่าง และตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลก

นายวุฒิชัย กล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าวมีการบรรยายให้ความรู้ในหัวข้อต่างๆอาทิ สไตล์มุสลิมวิถีแห่งความงามและศรัทธา การออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าให้สินค้าน่าสนใจแบบมืออาชีพ ความรู้พื้นฐานด้านการควบคุมมาตรฐานการผลิตสินค้ากลุ่มแฟชั่นมุสลิม เทคนิคการทอและการย้อมสีธรรมชาติจากพืชท้องถิ่น พร้อมทั้งกิจกรรม Workshop ในหัวข้อ กลยุทธ์การตลาดและโอกาสการขยายธุรกิจ แนวโน้มการออกแบบ/ตัดเย็บสินค้าแฟชั่นมุสลิม และ การทำแพทเทิร์น เสื้อผ้าแฟชั่นมุสลิม โดย คุณศิริชัย ทหรานนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำแพทเทิร์น และการตัดเย็บ และผู้ก่อตั้งแบรนด์ THEATRE และ ผศ.ดร.รวิเทพ มุสิกะปาน อาจารย์ และ ดร.กรกลด คำสุข ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบแฟชั่นและการตัดเย็บ และ ดร.นวัทตกร อุมาศิลป์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบแฟชั่นและสิ่งทอ

ตลาดเสื้อผ้ามุสลิมเป็นหนึ่งในตลาดขนาดใหญ่ ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งในปัจจุบันพฤติกรรมการซื้อเสื้อผ้าของผู้บริโภคชาวมุสลิมทั่วโลก สูงเป็นอันดับ 3 รองจากตลาดเสื้อผ้าสหรัฐฯ และจีน ด้วยมูลค่าราว 230,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 7.43 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ มีการคาดการณ์ว่าประชากรมุสลิมโลกจะเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 73 ในช่วงปี 2553 - 2593 ทำให้ประชากรมุสลิมมีจำนวนมากถึง 2,800 ล้านคน คิดเป็นราวร้อยละ 30 ของประชากรโลก ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดีในการเติบโตของสินค้าแฟชั่นมุสลิม และคาดว่าจะมีมากขึ้นในทุกปี สำหรับประเทศไทยนับว่ามีศักยภาพในฐานะผู้ผลิตสินค้าฮาลาลที่มีความหลากหลาย อาทิ ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลฮาลาล อาหารฮาลาล การท่องเที่ยวฮาลาล เวชภัณฑ์ฮาลาล แฟชั่นสำหรับชาวมุสลิม เป็นต้น

สำหรับกิจกรรม “กิจกรรมพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าและเครื่องแต่งกายมุสลิมให้เป็น Premium สู่สากล (Muslim Fashion to Global)” นี้มีผู้ประกอบการที่สนใจสมัครเข้าร่วมกว่า 26 กิจการ และมีผู้ประกอบการผ่านการคัดเลือกจำนวน 20 กิจการ เกิดผลิตภัณฑ์ต้นแบบใหม่จำนวน 20 ผลิตภัณฑ์ ครอบคลุมทั้งแฟชั่นมุสลิมชายและหญิง ที่สะท้อนพลังสร้างสรรค์ของ “แฟชั่นมุสลิมไทย” ให้มีความพร้อมก้าวสู่ระดับสากล โดยคาดว่าจะสามารถขยายผลทางเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดรายได้กว่า 70 ล้านบาท และสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมไทยอย่างยั่งยืน ดีพร้อม เชื่อมั่นว่าการดำเนินกิจกรรมนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาสินค้าเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายแฟชั่นมุสลิม ให้มีคุณภาพสูงเป็นสินค้า Premium ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในตลาดสากล

 

 

ดีพร้อมเร่งช่วยเอสเอ็มอีฝ่าวิกฤตภัยพิบัติ เปิดสินเชื่อ DIPROM Pay ดอกเบี้ยปีแรกแค่ 3%

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) อนุมัติมาตรการบรรเทาและฟื้นฟูเงินทุนหมุนเวียน เพื่อการส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครอบครัวและหัตถกรรมไทย ลูกหนี้ชั้นดีรายเดิมและลูกหนี้รายใหม่ รายละไม่เกิน 5 แสนบาท ลดภาระค่างวดผ่อนชำระรายเดือนและขยายระยะเวลาชำระหนี้ได้ไม่เกิน 2 ปี พร้อมจัดทีมผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่ให้คำปรึกษาธุรกิจ และทีมช่างเทคนิคเพื่อกู้สถานการณ์ให้ภาคการผลิตสามารถกลับมาดำเนินการได้โดยเร็ว
         
วันที่ 31 ก.ค.68 นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ภัยพิบัติและเหตุการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบในหลายพื้นที่ ทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในสถานการณ์ดังกล่าว รวมทั้งผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม ซึ่งกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมหรือ ดีพร้อม (DIPROM) เร่งให้ความช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และวิสาหกิจชุมชน ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครอบครัวและหัตถกรรมไทย จึงกำหนดมาตรการเพิ่มสภาพคล่องผ่านเงินทุนหมุนเวียนฯ วงเงิน 20 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมาตรการสำหรับฟื้นฟู และเยียวยาสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ 

สำหรับคุณสมบัติของผู้ประกอบการที่ประสงค์ขอรับความช่วยเหลือต้องอยู่ในพื้นที่ที่ประกาศเป็นพื้นที่ประสบอุทกภัย หรือเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดน และเป็นลูกหนี้เงินทุนหมุนเวียนฯ ชั้นดีรายเดิม หรือ มีประวัติการค้างชำระไม่เกิน 1 ปี ซึ่งเป็นมาตรการที่ได้รับสิทธิ 3 เด้ง คือ 1. พักชำระหนี้ไม่เกิน 4 เดือน 2. ลดค่างวดผ่อนชำระรายเดือนตามสัญญาเดิม ร้อยละ 50 เป็นระยะเวลา 4 เดือน และ 3. สามารถขอขยายระยะเวลาการผ่อนชำระหนี้ได้ไม่เกิน 2 ปี โดยรวมแล้วต้องไม่เกินระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาเดิม ทั้งนี้ ยังมีสิทธิขอกู้เงินเพิ่มเติมในวงเงินไม่เกิน 500,000 บาท ต่อราย/กิจการ กรณีเป็นลูกหนี้รายเดิมที่มีการชำระหนี้เป็นปกติ หรือเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบและมีความประสงค์ขอรับสินเชื่อ DIPROM Pay พร้อมกันนี้ ดีพร้อมได้จัดทีมผู้เชี่ยวชาญ ลงพื้นที่ช่วยประเมินสภาพปัญหา พร้อมการวางแผนฟื้นฟู ผ่านศูนย์บริการธุรกิจอุตสาหกรรมดีพร้อม (DIPROM Business Service Center : DIPROM BSC) ทั้งนี้ หากเป็นผู้ประกอบการในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และต้องการเสริมสภาพคล่อง สามารถยื่นขอรับบริการเงินทุนหมุนเวียนฯ ในวงเงินไม่เกิน 500,000 บาท ต่อราย/กิจการ ผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 5 ปี ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษแบบขั้นบันได เริ่มต้นปีแรกที่ร้อยละ 3 ต่อปี พร้อมสิทธิการพักชำระหนี้ไม่เกิน 4 เดือน

ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถยื่นคำขอได้ด้วยตนเอง หรือ ส่งคำขอทางไปรษณีย์มาที่ กลุ่มบริหารเงินทุน สำนักงานเลขานุการกรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ชั้น 4 ถนนพระรามที่ 6 เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 0-2430-6865-66 ต่อ 1051 หรือ DIPROM Center 1-11 ที่ประจำอยู่ในแต่ละเขตพื้นที่รับผิดชอบ 

โดยนอกจากมาตรการเพื่อเสริมสร้างสภาพคล่องในภาวการณ์ฉุกเฉินแล้ว ดีพร้อมยังดำเนินการส่งธารน้ำใจไปยังผู้ประสบภัย ด้วยถุงยังชีพ ผ่าน “ศูนย์อุตสาหกรรมรวมใจ ช่วยพี่น้องชาวไทยประสบภัยพิบัติ” พร้อมเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบด้วยการพัฒนาอาชีพเสริม เพื่อช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่คนในชุมชนและประชาชนที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว เพื่อเป็นการพัฒนาต่อยอดทักษะที่จำเป็นในการประกอบธุรกิจ และสร้างโอกาสให้เกิดผู้ประกอบการใหม่ในชุมชนควบคู่กัน นางสาวณัฏฐิญา กล่าวทิ้งท้าย

ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานเลขานุการกรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทรศัพท์ 0 2430 6865-66 ต่อ 1030 หรือ 1033 และติดตามข้อมูลข่าวสารและความเคลื่อนไหวได้ที่ www.facebook.com/dipromindustry หรือ www.diprom.go.th

#ดีพร้อม #DIPROMPay #สินเชื่อSME #ช่วยเหลือภัยพิบัติ #SMEไทย #กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม #ฟื้นฟูธุรกิจ #พักหนี้ #วงเงิน500000 #ดอกเบี้ยต่ำ

“ดีพร้อม” ผนึก “สุขสยาม” เปิดพื้นที่ใจกลางกรุงธนบุรี จัด “DIPROM X SOOKSIAM” อวดโฉมยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนสู่ตลาดจริง

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) ร่วมกับเมืองสุขสยาม ณ ไอคอนสยาม ชั้น G เปิดพื้นที่มาร์เก็ตเพลสใจกลางกรุงธนบุรีแม็กเน็ทระดับประเทศ จัดงาน “DIPROM X SOOKSIAM” เสริมพลังผู้ประกอบการไทย นำอัตลักษณ์ไทยเข้าถึงใจทุกคน พร้อมโชว์ศักยภาพการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนและสร้างแบร์นกว่า 50 ต้นแบบ เพื่อทดสอบตลาดและเชื่อมโยงเข้าสู่ตลาดจริงได้ ภายใต้โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วย Data Analytic & Plug-in Media ระหว่าง    14 – 16 กรกฎาคม นี้ ที่เมืองสุขสยาม ณ ไอคอนสยาม ชั้น G 

นางสาวสุวิมล จินตวัฒน์ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ รักษาการในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาอุตสาหกรรมชุมชมชน กล่าวว่า ปัจจุบันการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนต้องสร้างสรรค์ผสมผสานสิ่งใหม่ ๆ และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและการเพิ่มขึ้นของข้อมูลดิจิทัล การนำผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากสื่อต่าง ๆ มาผสานเทคโนโลยีดิจิทัล โปรแกรมคอมพิวเตอร์ความเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภค แนวโน้มของตลาด หรือคาดการณ์ความต้องการของผู้บริโภคในอนาคตมาช่วยในการออกแบบ จะช่วยให้การพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นไปอย่างรวดเร็ว ยืดหยุ่นสามารถปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ และความต้องการของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้ง ยังช่วยสร้างความน่าสนใจและเพิ่มประสบการณ์การใช้งานที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ได้ตระหนักและมุ่งส่งเสริมผู้ประกอบการชุมชนให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจฐานราก ภายใต้นโยบาย “ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้” ของนางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นระบบด้วยกลยุทธ์ 4 ให้ ได้แก่ ให้ทักษะใหม่ ให้เครื่องมือทันสมัย ให้โอกาสโตไกล และให้ธุรกิจที่ดีคู่ชุมชน ผ่านการดำเนินงานโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วย Data Analytic & Plug-in Media เพื่อผลักดันให้ผู้ประกอบการชุมชนสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และสร้างแบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพพร้อมเชื่อมโยงเข้าสู่ตลาดจริงได้ 

นางสาวสุวิมล กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วย Data Analytic & Plug-in Medi จะเน้นการเพิ่มศักยภาพในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วย Data Analytic ให้มีความโดดเด่น มีคุณภาพมาตรฐาน มีมูลค่าเพิ่มขึ้น และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคปัจจุบันแล้ว ยังเป็นการพัฒนาเชิงลึกที่ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีมาช่วยยกระดับผลิตภัณฑ์ผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันได้จริงในตลาด ด้วยแนวคิด ‘Data-Driven Design & Market-Oriented Branding’ ไม่ใช่เพียงแค่การออกแบบให้สวย แต่คือการวิเคราะห์เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคและพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้ทดสอบตลาดในสถานการณ์จริง ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญของการสร้างธุรกิจอย่างยั่งยืน ในงาน DIPROM X SOOKSIAM “เสริมพลังผู้ประกอบการไทย นำอัตลักษณ์ไทยเข้าถึงใจทุกคน” ระหว่าง 14 – 16 กรกฎาคม นี้ ที่ เมืองสุขสยาม ณ ไอคอนสยาม ชั้น G โดย ดีพร้อม ได้ร่วมมือกับ SOOKSIAM เปิดพื้นที่มาร์เก็ตเพลสใจกลางกรุงธนบุรีแม็กเน็ทระดับประเทศ เพื่อให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการครั้งนี้สามารถทดสอบตลาด พร้อมรับฟังข้อเสนอแนะโดยตรงจากผู้บริโภค เพื่อใช้ปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เป็นการจำลองสถานการณ์ทางธุรกิจที่สามารถนำไปใช้จริงในการขยายตลาดและเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจในระดับชุมชนเพื่อเสริมพลังให้ผู้ประกอบการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น

โดยแบ่งออกเป็น 2 กิจกรรม คือ 1) กิจกรรมการสร้างการรับรู้และสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อผู้บริโภค การสื่อสาร และการประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่างๆภายในโครงการฯ ผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ที่ได้ร่วมมือกันระหว่าง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม(DIPROM), เมือง SOOKSIAM และ KOL และ 2) กิจกรรม Analytic & Plug-in Media Show Case เป็นการจัดแสดงผลงานต้นแบบผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพัฒนากว่า 50 ผลิตภัณฑ์จากผู้ประกอบการในพื้นที่ส่วนกลางและศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1-11 ศูนย์ของดีพร้อมทั่วประเทศและมีการจัดจำหน่ายจริงภายในลานเมือง 2 และประตูสุวรรณศาลา เมืองสุขสยาม ณ ไอคอนสยาม ชั้น G ในรูปแบบ Pop Up Store เพื่อสร้างบรรยากาศที่ทันสมัยและเข้าถึงลูกค้าได้อย่างใกล้ชิด พร้อมกิจกรรมไฮไลต์ THAILAND WE CAN DO ซึ่งจัดร่วมกับโปรโมชันส่งเสริมการขายของเมืองสุขสยาม โดยมอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าที่มาร่วมงานได้เข้าร่วมกิจกรรม DIY (Do It Yourself) ลงมือทำผลิตภัณฑ์ตัวอย่างด้วยตนเอง อาทิ การปั้น การระบายสี หรือการตกแต่งผลิตภัณฑ์ จำนวน วันละ 25 ผลิตภัณฑ์ (จำกัด 1 ผลิตภัณฑ์ต่อลูกค้า 1 ท่าน) เพื่อกระตุ้นการทดลองสินค้าและสร้างประสบการณ์ตรงที่น่าจดจำ พร้อมเชื่อมโยงและสร้างการรับรู้ถึงศาสตร์และวิถีของไทยผ่านผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพัฒนาด้วย Data Analytics ผสานแนวคิด Soft Power ของไทย ขณะเดียวกัน ดีพร้อมยังเปิดโอกาสให้กัผู้ประกอบการชุมชนกว่า 40 รายจากทั่วประเทศ ในกลุ่มของใช้ ของตกแต่ง และของที่ระลึก ที่สะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่น ได้อย่างโดดเด่นมานำเสนอและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โดยตรงแก่ผู้บริโภคเพื่อให้เกิดการรับรู้และร่วมสนับสนุนสินค้าชุมชนอีกด้วย

ทั้งนี้ กิจกรรม DIPROM X SOOKSIAM ในครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นเวทีแสดงผลงาน แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านธุรกิจชุมชนให้ก้าวสู่ยุคใหม่ ภายใต้การสนับสนุนของดีร้อมที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์อย่างเป็นระบบ นางสาวสุวิมล กล่าวทิ้งท้าย

 

 

“ดีพร้อม” จับมือ “Tokyo SME Support Center” พร้อมเสริมแกร่ง เพิ่มศักยภาพ SME ไทยและญี่ปุ่น ให้แข็งแรง โตไกลสู่ตลาดสากล

“ดีพร้อม” จับมือ “Tokyo SME Support Center” พร้อมเสริมแกร่ง เพิ่มศักยภาพ SME ไทยและญี่ปุ่น ให้แข็งแรง โตไกลสู่ตลาดสากล ตามนโยบาย รมว.เอกนัฏ

นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เข้าร่วมการประชุมหารือร่วมกับ Mr. Nakanishi Mitsuru  President & CEO Tokyo SME Support Center ประเทศญี่ปุ่น พร้อมด้วย นายดุสิต อนันตรักษ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายพรธวัช เพ่งศรี อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายอุตสาหกกรรม) และนายกิตติพันธุ์ บางยี่ขัน อดีตอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายอุตสาหกกรรม)

ในการประชุมครั้งนี้ มีการหารือเกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือระหว่าง ดีพร้อม กับ Tokyo SME Support Center เพื่อร่วมกันพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการ SME ไทยอย่างเป็นรูปธรรม โดยมุ่งเน้นต่อยอดการพัฒนาอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยที่มีขีดความสามารถในการแข่งขัน สามารถเข้าถึงตลาดในประเทศญี่ปุ่น และตลาดในระดับสากลมากขึ้น

โดย “ดีพร้อม” มุ่งมั่นในการสนับสนุนและส่งเสริมอุตสาหกรรม ตามนโยบาย “ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้” โดยใช้แนวทาง 4 ให้ 1 ปฏิรูป ในการพัฒนาธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมให้เติบโต สามารถสร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจของประเทศ สอดรับตามนโยบายปฏิรูปอุตสาหกรรม ด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่กับการปรับตัวให้เข้ากับวิถีใหม่ของโลกของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ “อธิบดีณัฏฐิญา” ยังให้ความเชื่อมั่นว่า “ดีพร้อม” จะให้การสนับสนุนผู้ประกอบการจากประเทศญี่ปุ่น ที่มีความสนใจที่จะขยายธุรกิจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เนื่องจาก ไทย-ญี่ปุ่น เป็นพันธมิตรที่มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นร่วมกันมาหลายศตวรรษ และความร่วมมือระหว่าไทย-ญี่ปุ่น ไม่เพียงแค่การจับคู่ทางธุรกิจเพื่อค้าขายเท่านั้น แต่ควรมีความร่วมมือเพื่อเป็นซัพพลายเชนระหว่างกัน รวมทั้งร่วมดูแลชุมชนโดยรอบด้วย ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการผลักดันส่งเสริมและผลักดันผู้ประกอบการไทยให้สามารถขยายตลาดและเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจในระดับสากล

กระทรวงอุตฯ ผนึกพันธมิตร ปั้นเชฟไฟแรง 17,000 คน ต่อยอดสร้างเชฟมืออาชีพสู่ครัวโลก 

กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) ผนึกกำลังหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชน และเครือข่ายกองทุนหมู่บ้านทั่วประเทศ แสดงพลังความร่วมมือสุดยิ่งใหญ่ จัดกิจกรรม “THAI MASTER CHEF POWER : พลังเชฟไทย สร้างชาติ” เดินหน้าปั้นเชฟไทยสร้างอาชีพต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ตั้งเป้าพัฒนาทักษะประชาชน 17,000 คน สู่เชฟชุมชน ผ่าน 2 หลักสูตร ได้แก่ Master Chef Program 50 ตำรับ และ Master Chef Program Plus 70 ตำรับ หวังสร้างรายได้ สร้างอาชีพ และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ พร้อมผลักดันซอฟต์พาวเวอร์อาหารไทยอวดสายตาเวทีโลก โดยคาดว่าสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 3,500 ล้านบาท อันจะเป็นพลังใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า การใช้อาหารเป็น “Soft Power” ไม่ใช่เพียงแนวคิด หากแต่เป็น “ยุทธศาสตร์ชาติ” ที่ต้องขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบ โดยกระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้การนำของ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มุ่งเน้นปฏิรูปอุตสาหกรรมไทย ด้วยการยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการให้มีความเข้มแข็ง พัฒนาระบบนิเวศในการดำเนินธุรกิจ และส่งเสริมการประกอบกิจการให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงสนับสนุนการใช้ภูมิปัญญาและทุนทางวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อยกระดับสินค้าทั้งด้านมาตรฐานและดีไซน์ให้ทันสมัย โดดเด่น แตกต่าง และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งสอดรับกับการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ของรัฐบาล 

โดยกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งการให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) บูรณาการความร่วมมือ 7 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ  สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน)และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เร่งเดินหน้า “โครงการยกระดับหนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งเชฟอาหารไทย (Master Thai Chef)” อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพื่อเป็นกลไกในการกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำ และทักษะที่ได้รับการรับรอง ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการสร้างอาชีพใหม่ให้กับประชาชน แต่จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น และสร้างเครือข่ายเชฟไทยที่มีศักยภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของไทยให้เติบโตยั่งยืนสอดคล้องกับนโยบาย OFOS (One Family One Soft Power) การยกระดับรายได้ให้ประชาชนของรัฐบาลผ่านการฝึกอบรมพัฒนาอาชีพอย่างมีมาตรฐาน รวมถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์และสร้างประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางอาหารของโลก อันจะนำไปสู่การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 3,500 ล้านบาท  

นางสาวณัฎฐิญา  เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า ดีพร้อมได้ตระหนักถึงบทบาทของอุตสาหกรรมอาหารไทย ในฐานะ Soft Power ที่ทรงพลังของประเทศ ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านการส่งออก การท่องเที่ยว การสร้างอาชีพในระดับชุมชน และยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศ  โดยมุ่งพัฒนาเชฟชุมชนให้เป็นผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุตสาหกรรมอาหารเชิงสร้างสรรค์ ไม่เพียงเน้นการฝึกอาชีพ แต่ครอบคลุมถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ การสร้างแบรนด์ บรรจุภัณฑ์ และการตลาด พร้อมเชื่อมโยงเชฟกับ SME ท้องถิ่น เกษตรกรผู้ปลูกวัตถุดิบ ผู้ผลิตเครื่องปรุง และร้านอาหาร ภายใต้นโยบาย “ดีพร้อมคอมมูนิตี้ที่นี่มีแต่ให้” เพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นระบบผ่าน “โครงการยกระดับหนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งเชฟอาหารไทย (Master Thai Chef)” เพื่อสร้างโอกาส สร้างอาชีพ และยกระดับทักษะให้ประชาชนสามารถเป็นเชฟมืออาชีพในระดับชุมชน โดยในปี 2568 ดีพร้อมได้ร่วมกับสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติทั้ง 13 สาขาเขตขยายพื้นที่เป้าหมายเพื่อพัฒนาทักษะและศักยภาพให้ประชาชน จำนวน 17,000 คนทั่วประเทศ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 หลักสูตร ได้แก่ 1. หลักสูตร Master Chef Program 50 ตำรับ จำนวน 12,000 คน และ 2. Master Chef Program Plus 70 ตำรับ จำนวน 5,000 คน โดยจะพัฒนาขึ้นมาใหม่จาก 7 กลุ่มอาหาร ประกอบด้วย อาหารไทยต้นตำรับเพื่อการประกอบอาชีพ อาหารไทยสร้างสรรค์เพื่อสุขภาพ ขนมหวานไทยประยุกต์สำหรับตลาดสากล อาหารไทย Street Food ฟิวชั่นอาหารไทยกับรสชาติสากล อาหารเจ และอาหารชาววัง ซึ่งออกแบบให้สอดคล้องกับศักยภาพของผู้เข้ารับการอบรมทำให้สามารถต่อยอดสู่อาชีพ เกิดการสร้างรายได้ และสร้างแบรนด์ท้องถิ่นอันจะนำไปสู่การยกระดับเชฟชุมชนให้เป็น Soft Power ระดับประเทศและการยอมรับอาหารไทยในเวทีสากลต่อไป 

“ดีพร้อม” เชื่อมั่นว่า พลังของความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคประชาชน และเครือข่ายกองทุนหมู่บ้านทั่วประเทศ จะผลักดันให้ชุมชนสร้างเชฟคุณภาพที่สามารถยกระดับวิถีชีวิตของตนเองและครอบครัวได้อย่างมั่นคง สามารถนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปต่อยอดในชีวิตจริง วันนี้ทักษะอาหารไทยไม่ใช่เพียงแค่ฝีมือในครัวแต่คือพลังในการสร้างเศรษฐกิจของชาติ เป็นพลังใหม่ของเศรษฐกิจไทยในอนาคต ทั้งนี้ ในปี 2567 ดีพร้อม ได้นำร่อง Master Thai Chef โดยมีผู้ผ่านการอบรม จำนวน 1,304 ราย เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 356 ล้านบาท สามารถประกอบอาชีพได้จริงในพื้นที่ของตนเอง อันนำไปสู่การลงทุนต่อเนื่องในระดับชุมชนและเกิดผลสัมฤทธิ์เชิงรูปธรรม”

 โดยล่าสุด ดีพร้อม ได้จัดกิจกรรม “THAI MASTER CHEF POWER : พลังเชฟไทย สร้างชาติ” เพื่อเป็นการคิกออฟ “โครงการยกระดับหนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งเชฟอาหารไทย (Master Thai Chef)” และประชาสัมพันธ์โครงการดังกล่าวในวงกว้าง รวมถึงแสดงผลการดำเนินงานและสื่อสารพลังความร่วมมือกับหน่วยงานร่วม MOU ได้แก่ สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ทั้งมีการจัดแสดงนิทรรศการ “รูป รส กลิ่น สี ครบทุกสัมผัส” แบ่งออกเป็นโซนต่าง ๆ และการสาธิตเมนูอาหารไทยสร้างสรรค์โดยเชฟรุ่นใหม่ เพื่อยืนยันว่า Soft Power ของไทยนั้นสามารถสร้างงาน สร้างอาชีพ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างแท้จริง 

นายเบญจพล นาคประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงานฯ มีภารกิจในการส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมและพึ่งพาตนเองของหมู่บ้านและชุมชนเมืองด้วยการเรียนรู้และพัฒนาความคิดริเริ่ม ตลอดจนเสริมศักยภาพ และส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียงในหมู่บ้านและชุมชนเมือง มุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพตลอดจนเพิ่มขีดความสามารถของคนในหมู่บ้านและชุมชนให้สามารถพัฒนาอาชีพ สร้างงานสร้างรายได้ ซึ่งสำนักงานกองทุนหมู่บ้านฯ มีเครือข่าย ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้ง 13 สาขาเขต เชื่อมโยงกับชุมชนในระดับหมู่บ้านอย่างใกล้ชิด และจะเป็นส่วนที่สำคัญในการขับเคลื่อนการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในระดับพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสำนักงานฯ พร้อมขับเคลื่อนโครงการฯ ผ่านความร่วมมือในหลายมิติ ทั้งในด้านการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ ผ่านกิจกรรมสื่อสารเชิงรุกในพื้นที่ การรับสมัครผู้เข้าร่วมอบรม โดยอาศัยการเชื่อมโยงจากผู้นำชุมชน กรรมการกองทุน และกลุ่มอาชีพ ตลอดจน การหาลูกค้าเป้าหมาย ที่สนใจเข้าร่วมโครงการอย่างตรงจุดผ่านกลไกและฐานข้อมูลสมาชิกของแต่ละเขต โดยจะได้จัดให้มี “กิจกรรมสร้างการรับรู้และทำความเข้าใจโครงการหนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งเชฟอาหารไทย” ณ สถานที่ตั้งของสำนักงานกองทุนหมู่บ้านฯหรือสถานที่ที่เหมาะสมในพื้นที่รับผิดชอบของทั้ง 13 สาขาเขต ทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง เข้าถึงโอกาสในการพัฒนาทักษะ เกิดแรงจูงใจในการเข้าร่วมอบรมและสร้างอาชีพใหม่อย่างจริงจัง รวมทั้งผลักดันให้เกิดการสร้างเชฟอาหารไทยมืออาชีพให้ครอบคลุม 17,000 คน ทั่วประเทศ 

“ความร่วมมือในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงพลังของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและชุมชนที่ผนึกกำลังกันเพื่อสร้างโอกาสที่ดีของการพัฒนาทักษะอาชีพโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาทุนมนุษย์ด้วยการสนับสนุนและเชื่อมโยงการขับเคลื่อนโครงการให้เข้าถึงประชาชนอย่างทั่วถึง”

#ดีพร้อม #เชฟไฟแรง #เชฟมืออาชีพ #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

กสอ.หนุน Soft Power จัด “ดีไซน์ ดีพร้อม/DESIGN DIPROM” ดันผลิตภัณฑ์ชุมชนสู่ตลาด พร้อมเปิดเวทีเจรจาธุรกิจที่เซ็นทรัล เวสต์เกต

กสอ.เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก จัดกิจกรรมทดสอบตลาด “ดีไซน์ ดีพร้อม / DESIGN DIPROM” เสริมศักยภาพผู้ประกอบการรายย่อยทั่วประเทศ พัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนในกลุ่มของใช้ ของตกแต่ง และอาหาร ด้วยแนวคิดสร้างสรรค์ พร้อมเปิดเวทีจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ระหว่างวันที่ 26–28 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวสต์เกต

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) โดยกองพัฒนาอุตสาหกรรมชุมชน เดินหน้าส่งเสริม Soft Power เพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ผ่านกิจกรรมเสริมศักยภาพผู้ประกอบการรายย่อยทั่วประเทศ ภายใต้โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของใช้ ของตกแต่ง และอาหาร โดยผสานองค์ความรู้ด้านการออกแบบ การสร้างอัตลักษณ์ การใช้เทคโนโลยี และการตลาดยุคใหม่ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีมูลค่าเพิ่ม และตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน

โดยในช่วงที่ผ่านมา เศรษฐกิจฐานรากของไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความเปราะบางของโครงสร้างเศรษฐกิจระดับชุมชน ความท้าทายสำคัญคือการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน โดยต้องเน้นการพัฒนาห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เป้าหมาย ผ่านการยกระดับมาตรฐาน สร้างอัตลักษณ์ เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ และเปิดช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลาย โดยเฉพาะผ่านกลไกตลาดยุคใหม่อย่าง Digital Marketing และ e-Commerce ซึ่งจะช่วยขยายโอกาสการเข้าถึงตลาดทั้งในและต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพในยุค New Normal โครงการดังกล่าวดำเนินการครอบคลุมทั่วประเทศ โดยกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ วิสาหกิจรายย่อย วิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการท้องถิ่น และกลุ่มผลิตภัณฑ์ OTOP ที่ต้องการพัฒนาศักยภาพทั้งด้านผลิตภัณฑ์และตลาด ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน

หนึ่งในกิจกรรมสำคัญของโครงการ คือ “ดีไซน์ดีพร้อมแคมป์” ซึ่งเป็นเวิร์กช็อปด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ประกอบการที่ผ่านการคัดเลือกจำนวน 40 รายการ จากพื้นที่ทั่วประเทศ และทำการคัดเลือกผลิตภัณฑ์จำนวน 15 รายการ เพื่อทำการทดสอบตลาด หลังจากนั้นจะมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีผลงานโดดเด่น Success Case จำนวน 5 รายการ เพื่อเป็นต้นแบบในการพัฒนาและต่อยอดเชิงพาณิชย์ โดยเน้นแนวคิดออกแบบเชิงลึก (Conceptual Design) ที่สะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่นและตอบโจทย์ตลาดสมัยใหม่

ดร.พลาวุธ วงศ์วิวัฒน์ ผู้อำนวยการกองพัฒนาอุตสาหกรรมชุมชน ประธานในพิธีเปิดกิจกรรม กล่าวว่า “ดีไซน์ ดีพร้อม / DESIGN DIPROM” เป็นสะพานเชื่อมระหว่างความคิดสร้างสรรค์ของนักออกแบบไทยกับทักษะความสามารถของผู้ผลิตในท้องถิ่น เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายไม่เพียงแต่สวยงามและใช้งานได้ดี แต่ยังแฝงไปด้วยเรื่องราวและเอกลักษณ์ของความเป็นไทยที่น่าภาคภูมิใจ กิจกรรมนี้จึงเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมชุมชนได้นำเสนอผลงานสู่สายตาสาธารณชน ได้รับฟังความคิดเห็นอันมีค่าจากผู้บริโภคและผู้ที่สนใจ เพื่อนำไปต่อยอดและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดจริงอย่างเต็มตัว”

ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมกิจกรรมจะได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างมืออาชีพ พร้อมเปิดโอกาสต่อยอดผลงานผ่านกิจกรรม เจรจาธุรกิจ (Business Matching) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26–28 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า เวสต์เกต จังหวัดนนทบุรี เพื่อเชื่อมโยงสู่ช่องทางการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรม

 

“ดีพร้อม” เปิดแผนปี 69 หนุน SME สู้สงครามการค้า ดันผู้ผลิตไทยรุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าครบวงจร

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม เร่งจัดทำแผนงบฯ ปี 69 รับมือสงครามการค้า หนุนเอสเอ็มอี ปรับตัวใน 7 ด้าน พร้อมเดินหน้าช่วยเหลือในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ตลอดจนการยกระดับผู้ประกอบการ ชิ้นส่วนยานยนต์ไทยให้เข้าสู่ห่วงโซ่การผลิตยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (xEV)

วันที่ 17 มิถุนายน 2569 นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ภายหลังการประกาศนโยบายการค้าและเศรษฐกิจ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ดีพร้อมได้มีการจัดทำแผนรับมือกับสงครามการค้าที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมไทย (เอสเอ็มอี) โดยบรรจุแผนดำเนินการเหล่านี้ในคำขอโครงการปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ซึ่งจะให้ความสำคัญกับกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบ หรือมีความเสี่ยงสูง เพื่อให้ปรับตัวได้ทันต่อสถานการณ์และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน 

สำหรับแนวทางการดำเนินงานในปี 2569 ดีพร้อมจะมุ่งส่งเสริม “Learning & Adaptation เรียนรู้ และปรับตัว” พัฒนาองค์ความรู้ด้านต่างๆ เพื่อพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ ด้านกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ ทรัพย์สินทางปัญญา ข้อกำหนดใหม่ กฎระเบียบการนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ด้านการตลาดดิจิทัล การบริหารจัดการยุคใหม่ การใช้เทคโนโลยี การบริหารความเสี่ยง แผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP) และเรียนรู้แนวทางการปรับกลยุทธ์ธุรกิจ รวมทั้งส่งเสริม “การปรับกลยุทธ์ธุรกิจ” เพื่อให้ผู้ประกอบการปรับตัวใน 7 ด้าน ได้แก่ 1.ส่งเสริมกระจายความเสี่ยงจากตลาดเดียว โดยลดการพึ่งพาตลาดส่งออกตลาดเดียว หาตลาดใหม่ และใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้ากับประเทศต่างๆให้ได้มากที่สุด 2.ยกระดับมาตรฐานสินค้า ซึ่งจะผลักดันให้เอสเอ็มอียกระดับมาตรฐานสากล สร้างมูลค่าเพิ่ม และสร้างความสามารถในการแข่งขัน

3.ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและดิจิทัล ในการปรับโมเดลธุรกิจและเข้าร่วมแพลตฟอร์มระหว่างประเทศ 4.บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการปรับกระบวนการผลิตให้ประหยัดพลังงาน ลดการใช้ทรัพยากร และลดความสูญเสีย 5. ติดตามข่าวสารและวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงนโยบาย โดยการติดตามสถานการณ์ ประเมินผลกระทบต่อสินค้าและธุรกิจ 6. เตรียมความพร้อมด้านกฎระเบียบและกติกาสากล โดยการทำความเข้าใจกฎ และมาตรการทางการค้าของประเทศปลายทาง และ 7.ส่งเสริมการเข้าร่วมโครงการสนับสนุนของภาครัฐ 

นอกจากนี้ ยังได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่มุ่งเน้นในสาขาอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐ เช่น กลุ่มสินค้าเกษตร กลุ่มไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ กลุ่มอุตสาหกรรมที่ประเทศคู่แข่งโดนภาษีต่ำกว่า และกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากตลอดห่วงโซ่การผลิต เป็นต้น 

นางสาวณัฏฐิญากล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบสงครามการค้า ดีพร้อมจะให้ความสำคัญกับผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เป็นอันดับแรก ทั้งในเรื่องของการพัฒนาบุคลากรในด้านต่างๆ และการเข้าให้คำปรึกษาในสถานประกอบการ นอกจากนี้ จะเร่งพัฒนาผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศที่ต้องการเข้าสู่ห่วงโซ่การผลิตของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันจะเน้นการพัฒนาศักยภาพผู้ผลิตชิ้นส่วนให้สามารถรองรับการขยายตัวของการผลิตรถยนต์ไฮบริด (HEV และ mild HEV) ในอนาคต ซึ่งมาพร้อมกับการลงทุนผลิตชิ้นส่วนไฟฟ้าสำคัญ (e-Parts) ใหม่ๆ ในประเทศหลายชิ้น เช่น Battery, Traction Motor และ Inverter เป็นต้น 

#ดีพร้อม #SME #สงครามการค้า #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

“ดีพร้อม” พัฒนาวิสาหกิจไทย ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ชุมชนโตไกลสู่สากล

"ดีพร้อม" พัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนและวิสาหกิจไทย ภายใต้นโยบาย “ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้” นำเทคโนโลยีเอไอ เข้ามาร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนให้ทันสมัย ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ พร้อมพาวิสาหกิจไทยโตไกลสู่สากล ตั้งเป้าปี 2568 พัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนและผู้ประกอบการ 1,000 ราย สร้างมูลค่าเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 700 ล้านบาท

นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า หนึ่งในภารกิจสำคัญของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) คือ ส่งเสริม พัฒนา และสนับสนุนการยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชน เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับสินค้าชุมชน ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงช่วยดึงดูดความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะมีส่วนช่วยสร้างโอกาส สร้างรายได้ และช่วยเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการและวิสาหกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

โดยรูปแบบการพัฒนา และสนับสนุนการยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนของดีพร้อม การดำเนินงานตามนโยบาย “ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้” ผ่านกลยุทธ์ “ให้โอกาสโตไกล” โดยการพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดด้วยนวัตกรรมใหม่ๆอาทิ ระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (AI) สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและพัฒนาให้สินค้ามีมาตรฐานระดับสากล สร้างแบรนด์และสร้างคอนเทนต์ รวมถึงสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์  ผ่านอัตลักษณ์ ลักษณะเด่น เพื่อสร้างสรรค์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เชื่อมโยงกับ Soft Power ตลอดจนผลักดันผลิตภัณฑ์ชุมชนสู่ Premium Product อันจะส่งผลให้เกิดการลงทุน การจ้างงาน และกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาศักยภาพทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการ เช่น สนับสนุนการจับคู่ธุรกิจ เพื่อผลักดันให้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการพัฒนาแล้ว ได้ออกสู่เชิงพาณิชย์ ตลอดจนนำผู้ประกอบการไปร่วมออกบูธเพื่อจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ตามงานต่างๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และยังเป็นการเปิดโลกให้ผู้ประกอบการ ได้ต่อยอดไอเดียเพื่อนำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์

ทั้งนี้ที่ผ่านมา กองพัฒนาอุตสาหกรรมชุมชน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่พัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชน มีผลิตภัณฑ์ที่กองอุตสาหกรรมชุมชนร่วมกับผู้ประกอบการสามารถพัฒนาขึ้นจนเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงสามารถแก้ไข Pain Point ในการใช้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภค โดยผลิตภัณฑ์เด่น ๆ อาทิ กระเป๋ามาร์คาเม่จากวัสดุฝาเปิดกระป๋อง แบรนด์ ARTCREWARMADE ผลิตจากฝาเปิดกระป๋อง เป็นการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยเน้นการออกแบบที่มีสไตล์ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ที่ต้องการสินค้าที่มีเรื่องราวโดดเด่น ใช้งานได้จริง มีความทนทาน วาฟเฟิลซาโยเต้กรอบ แบรนด์ ซาโยเต้ ผลิตจากมะระหวานแม่กำปอง พื้นที่ยังมีความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ ทำเกษตรกรรมแบบไม่ใช้สารเคมี จึงมีความสด กรอบ อร่อย ผลใหญ่ มีคุณภาพดี จึงนำมาพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตและให้ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้น อะโวคาโดผง high phytonutrients แบรนด์ วริบูรณ์ อะโวคาโดจากพื้นที่วังน้ำเขียว จากวิถีเกษตรธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมีป้องกันแมลง สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคว่ามีคุณภาพดีสะอาดและปลอดภัย นำมาแปรรูป เพื่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยสามารถนำผงอะโวคาโด ชงดื่ม ง่าย สะดวก มีคุณค่า ประโยชน์ครบถ้วน เป็นต้น

สำหรับ ดีพร้อม ในฐานะหน่วยงานภาคีของกรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ได้นำผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ได้รับการพัฒนาและยกระดับจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ภายใต้โครงการยกระดับธุรกิจอุตสาหกรรมและวิสาหกิจชุมชน ประจำปี 2567 จำนวน 22 ผลิตภัณฑ์ ไปจัดแสดงและจำหน่ายในงาน OTOP MID YEAR 2568 ระหว่างวันที่ 7 - 15 มิถุนายน 2568 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2 โซน 26 อิมแพ็ค เมืองทองธานี  พร้อมนำผลิตภัณฑ์โอทอปที่ผ่านการพัฒนาจากดีพร้อม และผ่านการคัดสรรสุดยอดหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ไทย ประจำปี 2567 และ 2568 ในระดับ 3 – 5 ดาว จำนวน 36 บูธ ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ผ้าและเครื่องแต่งกาย ผลิตภัณฑ์ของใช้ ของตกแต่ง ของที่ระลึก ผลิตภัณฑ์อัญมณีและเครื่องประดับ  ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ไปออกบูธจำหน่ายสินค้าในงานด้วย

“ดีพร้อมคาดว่าตลอด 9 วันของการจัดกิจกรรมในงาน OTOP MID YEAR 2025 จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ช่วยสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนของดีพร้อม และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ไม่น้อยกว่า 7 ล้านบาท ดังนั้น คาดการณ์ว่าในส่วนโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนที่กองพัฒนาอุตสาหกรรมชุมชน จะดำเนินการในปี 2568 นี้ จำนวน 1,000 ราย จะช่วยสร้างมูลค่าเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่า 700 ล้านบาท ” นางสาวณัฏฐิญากล่าว

 

“ดีพร้อม” ปั้น Hero Brand คราฟต์ไทย ดัน Soft Power แฟชั่นสู่โลก คาดเศรษฐกิจโต 100 ล้านบาท

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) เดินหน้าสร้าง Hero Brand ในอุตสาหกรรมแฟชั่นสาขาหัตถอุตสาหกรรมไทย หนุนพลังผลักดัน Soft Power แฟชั่นไทยผ่าน “กิจกรรมการพัฒนาภาพลักษณ์แบรนด์และผลิตภัณฑ์สู่ Fashion Hero Brand สาขาหัตถอุตสาหกรรมไทย”ด้วยดำเนินการจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และทักษะที่จำเป็นในการสร้างภาพลักษณ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อยกระดับสู่การเป็น Hero Brand โดยวิทยากร ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ในด้านที่เกี่ยวข้อง หรือผู้ประกอบการด้านหัตถอุตสาหกรรม ที่ประสบความสำเร็จหรือแบรนด์หัตถอุตสาหกรรมชั้นนำของไทย เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมแฟชั่น สาขาหัตถอุตสาหกรรมไทย ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตลาดและการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ พร้อมผลักดันให้เกิด Hero Brand ในสาขาหัตถอุตสาหกรรมไทย ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 100 ล้านบาท

นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า การสนับสนุนซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) เป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองในการผลักดันอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ของไทยให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก โดยจากคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 ว่ารัฐบาลจะส่งเสริมการยกระดับภูมิปัญญาไทยไปสู่วัฒนธรรมสร้างสรรค์ (Creative Culture) เพื่อส่งเสริม Soft Power ของประเทศ สนับสนุนและส่งเสริมการปรับใช้ภูมิปัญญาพื้นบ้าน (Local Wisdom) ซึ่งเป็นศักยภาพของคนไทยและทุนทางวัฒนธรรมของประเทศไทย ทั้งอาหารท้องถิ่นไทย ผ้าไทย มวยไทย ศิลปะการแสดงไทย ดนตรีไทย ผสมผสานกับศิลปะร่วมสมัย และสุราชุมชน เพื่อยกระดับสินค้าทั้งด้านมาตรฐาน และดีไซน์ให้ทันสมัย โดดเด่น แตกต่าง และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก

ทั้งนี้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้รับมอบหมายให้เป็นกรรมการและเลขานุการร่วมภายใต้คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และเป็น Focal Point ในสาขาแฟชั่น ซึ่งต้องบูรณาการกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อน Soft Power สาขาดังกล่าวให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม อุตสาหกรรมแฟชั่นถือเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ทั้งในด้านมูลค่าและการจ้างงาน โดยธุรกิจในอุตสาหกรรมสร้างรายได้ราว 3.9 แสนล้านบาท การส่งออกสินค้าแฟชั่นมีมูลค่ากว่า 2.0 แสนล้านบาท และการจ้างงานราว 7.5 แสนคนในปี 2564

นอกจากนี้ อุตสาหกรรมแฟชั่นยังมีความสำคัญในฐานะที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องหนัง อัญมณีและเครื่องประดับ ค้าปลีก บริการออกแบบ และโฆษณา ซึ่งจุดแข็งที่สำคัญของอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย ได้แก่ ผู้ประกอบการไทยมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งในด้านการควบคุมการผลิตสินค้า และการบริหารจัดการในกระบวนการผลิต ไทยเป็นแหล่งผลิตอัญมณีที่สำคัญ วัตถุดิบไทยมีคุณภาพไม่แพ้ชาติใดในโลก ทำให้ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าแฟชั่นให้กับแบรนด์ระดับโลก อีกทั้ง คนรุ่นใหม่ที่มีองค์ความรู้ด้านการออกแบบและสร้างแบรนด์มีความสนใจเข้าสู่อุตสาหกรรมแฟชั่นมากขึ้น นอกจากนี้ แฟชั่นไทยมีเอกลักษณ์และโดดเด่นไม่เหมือนใคร สามารถผสมผสานวัฒนธรรมและเสน่ห์ของความเป็นไทยเข้ากับเทรนด์แฟชั่นสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะผ้าไหม และผ้าฝ้ายของไทยเป็นผ้าที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามและคุณภาพ มีหลากหลายชนิด สามารถผสมผสาน ต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆได้

ทั้งนี้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมร่วมกับภาคเอกชนภายใต้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านแฟชั่น จึงได้จัดทำ “กิจกรรมการพัฒนาภาพลักษณ์แบรนด์และผลิตภัณฑ์สู่ Fashion Hero Brand สาขาหัตถอุตสาหกรรมไทย” ภายใต้โครงการส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าแฟชั่นจากทุนทางวัฒนธรรมไทยสู่สากล (Fashion Identity) โดยมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการและนักออกแบบในอุตสาหกรรมแฟชั่น สาขาหัตถอุตสาหกรรมไทยให้มีองค์ความรู้ และทักษะที่จำเป็นในการสร้างภาพลักษณ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อยกระดับสู่การเป็นแบรนด์ระดับสากล การเสริมสร้าง ภาพลักษณ์สินค้าแฟชั่นที่มีรากฐานมาจากทุนทางวัฒนธรรมของไทยให้มีความเป็นสากล ทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแฟชั่นในปัจจุบัน และขยายโอกาสทางการตลาดให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแฟชั่น

นางสาวณัฏฐิญา กล่าวต่อว่า โดยกิจกรรมดังกล่าว มีจุดมุ่งหมายในการเพิ่มศักยภาพของบุคลากรในสาขาหัตถอุตสาหกรรมไทย ครอบคลุมสาขางานผ้าพื้นเมือง งานปัก เครื่องหนัง เซรามิก เครื่องจักสาน และอื่น ๆ มุ่งเน้นการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับการออกแบบร่วมสมัย จำนวน 25 กิจการ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ทั้งในประเทศ และระดับสากล พร้อมทั้งสร้างเรื่องราวแบรนด์ (Storytelling) และอัตลักษณ์ที่โดดเด่นให้กับผลิตภัณฑ์ไทย ผ่านการฝึกอบรมเชิงลึกทั้งด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การนำนวัตกรรมเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต การศึกษาดูงาน และการใช้กลยุทธ์การตลาด การสื่อสารนำไปสู่การเพิ่มยอดขายสินค้าไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ต่อยอดงาน หัตถอุตสาหกรรมร่วมเป็นหนึ่งในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย สร้างให้โอกาสโตไกล และเชื่อมโยงสู่ตลาดโลก THAI Craft to the WORLD อย่างยั่งยืน

สำหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมนี้จะได้ลงมือปฏิบัติจริงทั้งกิจกรรมให้คำปรึกษาแนะนำเชิงลึก โดยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในสาขาหัตถอุตสาหกรรมไทย จำนวนไม่น้อยกว่า 5 Man-day/กิจการ (ระยะเวลาไม่น้อยกว่า 30 ชั่วโมง) อาทิ Exploration and Local Craft Workshop สร้างแรงบันดาลใจ สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่าง Hero Brands และ Local Artisans เรียนรู้เทคนิคในการออกแบบสินค้าสาขาหัตถอุตสาหกรรมไทยด้วยทุนทางวัฒนธรรม พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นยกระดับสินค้าสาขาหัตถอุตสาหกรรมไทยให้มีมูลค่าในระดับสากล กับช่างฝีมือท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงระดับประเทศในแต่ละภูมิภาคของไทย และนับว่าเป็นโอกาสที่ดีและเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับศักยภาพแบรนด์คราฟต์ ให้ไปสู่ระดับสากลอย่างยั่งยืน และคาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 100 ล้านบาท นางสาวณัฏฐิญา กล่าวทิ้งท้าย

โดยผู้ประกอบที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการเพื่อสนับสนุนการจัดตั้งธุรกิจ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทร. 0-2430-6883 กด 2 หรือติดตามความเคลื่อนไหวและข่าวสารต่างๆได้ที่ www.diprom.go.th หรือ www.facebook.com/dipromindustry

ดีพร้อม เดินหน้าปั้น Hero Brand อุตสาหกรรมเครื่องสำอางฯ หนุนพลัง Soft Power แฟชั่นไทย

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) เดินหน้าสร้าง Hero Brand สาขาอุตสาหกรรมเครื่องสำอางฯ หนุนผลักดัน Soft Power แฟชั่นไทย ผ่าน “กิจกรรมการพัฒนาภาพลักษณ์แบรนด์และผลิตภัณฑ์สู่ Fashion Hero Brand สาขาอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและความงามไทย” ด้วยการพัฒนาทักษะในการสร้างภาพลักษณ์ ให้คำปรึกษาเชิงลึก ยกระดับภูมิปัญญาสู่วัฒนธรรมสร้างสรรค์ตอบโจทย์ความต้องการตลาด พร้อมปั้น Hero Brand สู่แบรนด์ระดับสากล ที่ทันสมัย แตกต่าง และมีคุณค่า ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 62 ล้านบาท

นางดวงดาว ขาวเจริญ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า อุตสาหกรรมแฟชั่นมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ  ทั้งในด้านมูลค่าการส่งออก การจ้างงาน และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับสาขาอุตสาหกรรมอื่น ๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและความงาม ที่มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย โดยในปี 2567 ธุรกิจเครื่องสำอาง มีมูลค่าตลาดรวมถึง 2.81 แสนล้านบาท เนื่องจากกระแสความนิยมในการใส่ใจสุขภาพและความงาม และตลาดอีคอมเมิร์ซได้เข้ามา มีบทบาทในการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมเครื่องสำอางฯ ยังคงประสบกับปัญหาในการสร้างภาพลักษณ์ให้โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ไม่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเท่าที่ควร การพัฒนาผลิตภัณฑ์และควบคุมคุณภาพตามมาตรฐานสากล รวมถึงสร้างสรรค์บรรจุภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายในปัจจุบัน ดังนั้นผู้ประกอบการจำเป็นต้องพัฒนาและยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางฯ ในมิติต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการบ่มเพาะและพัฒนาผู้ประกอบการเชิงรุกให้มีศักยภาพในการแข่งขันบนฐานเศรษฐกิจยุคดิจิทัล รวมถึงให้เท่าทันกับบริบทความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคและทิศทางของเศรษฐกิจโลก

โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการยกระดับศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและความงามไทย ภายใต้นโยบาย “ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้”ด้วยกลยุทธ์ 4 ให้ 1 ปฏิรูป ของนางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ที่มุ่งส่งเสริม พัฒนา และยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการในทุก ๆ ด้าน อย่างตรงจุดผ่าน “กิจกรรมการพัฒนาภาพลักษณ์แบรนด์และผลิตภัณฑ์สู่ Fashion Hero Brand สาขาอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและความงามไทย” โดยการพัฒนาผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเครื่องสำอางฯให้มีองค์ความรู้ในการสร้างภาพลักษณ์ ยกระดับภูมิปัญญาสู่วัฒนธรรมสร้างสรรค์ผ่านการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่มีรากฐานมาจากทุนทางวัฒนธรรมของไทยให้มีความเป็นสากล ทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแฟชั่นในปัจจุบัน พร้อมสร้างต้นแบบ Hero Brand เพื่อยกระดับแบรนด์เครื่องสำอางไทยให้เป็นที่รู้จักในตลาดโลกมากขึ้น รวมถึงขยายโอกาสทางการตลาดและสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเครื่องสำอางฯ ในมิติต่าง ๆ ให้สามารถเติบโตก้าวสู่ตลาดสากลได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ซึ่งสอดรับกับนโยบายปฏิรูปอุตสาหกรรมให้มีความทันสมัย สะอาด สะดวก โปร่งใส ด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่กับการปรับตัวให้เข้ากับวิถีใหม่ของโลก ของ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

นางดวงดาว กล่าวต่อว่า กิจกรรมดังกล่าว จะมุ่งเน้นการพัฒนาภาพลักษณ์แบรนด์และผลิตภัณฑ์ สาขาอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและความงามไทยสู่ Fashion Hero Brand ในระดับสากล โดยผู้ประกอบการเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอางฯ จำนวน 25 กิจการ ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมกิจกรรมจะได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้และทักษะที่จำเป็นในการสร้างภาพลักษณ์ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ซึ่งจะเริ่มจากการให้ผู้ประกอบการมองเห็น ‘คุณค่าในตัวเอง’ การให้คำปรึกษาแนะนำเชิงลึก อาทิ ด้านการพัฒนาภาพลักษณ์แบรนด์ การจัดทำแผนการตลาดและแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การบริหารจัดการสื่อการตลาดออนไลน์ การส่งเสริมและสร้างภาพลักษณ์ รวมถึงการออกแบบและผลิตคลิปวิดีโอโปรโมตเพื่อเผยแพร่ผ่านสื่อ Social Media การศึกษาดูงานโรงงานต้นแบบในสาขาอุตสาหกรรมเครื่องสำอางฯ แบรนด์ไทยที่ประสบความสำเร็จ เพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการยกระดับศักยภาพธุรกิจของตนเอง ตลอดจนการทดสอบตลาดเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ เพื่อสร้างความโดดเด่น ความเป็นอัตลักษณ์ให้กับแบรนด์ของตนเอง และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน พร้อมเติบโตและก้าวสู่การเป็นแบรนด์สินค้าที่เป็นที่รู้จักในระดับสากล

“กิจกรรมนี้ ไม่ได้เป็นเพียงเวทีสำหรับการพัฒนาแบรนด์เท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่ปลุกพลังความเชื่อมั่นให้ผู้ประกอบการไทย กล้าถ่ายทอดอัตลักษณ์ของตนเองอย่างเต็มที่ และความงามของไทยไม่ใช่เพียงภายนอกหากแต่เป็นพลังภายในที่หยั่งรากจากวัฒนธรรม ภูมิปัญญา และศรัทธาในความเป็นไทย นี่คือจุดแข็งที่ไม่มีใครเลียนแบบได้และเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาแบรนด์ในยุค Soft Power สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญการขับเคลื่อนตามยุทธศาสตร์การพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ไทย (Soft Power) โดย ดีพร้อม เชื่อมั่นว่าผู้ประกอบการจะมีสมรรถนะและพัฒนาขีดความสามารถด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตลาด และเกิดการสร้าง Hero Brand ในสาขาอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและความงามไทย อันจะนำไปสู่การสร้างแบรนด์ไทยไปไกลในเวทีโลกด้วยภาพลักษณ์ที่ทันสมัย แตกต่าง มีคุณค่า และตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในปัจจุบัน ซึ่งคาดว่าจะก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 62 ล้านบาท” นางดวงดาว กล่าวทิ้งท้าย