โคราชโมเดล รวมพลังทุกภาคส่วน ขับเคลื่อนสู่เมืองเป็นกลางทางคาร์บอน

 

เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราช อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายสมเกียรติ  วิริยะกุลนันท์ รอง ผวจ.นครราชสีมาพร้อมนายไพสิทธิ์  ปิติทรงสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 (นครชัยบุรินทร์) ผู้แทนสถาบันการศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ภาคีเครือข่ายภาครัฐ-เอกชนร่วมทำพิธีเปิดงาน “โคราชเมืองเป็นกลางทางคาร์บอน ประจำปี 2568” (Korat Carbon Neutrality Expo 2025) ครั้งที่ 3 และร่วมพิธีแสดงเจตนารมณ์ “ขับเคลื่อนโคราช สู่เมืองความเป็นกลางทางคาร์บอน” เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเมืองให้ก้าวสู่เป็นเมือง “ปลอดคาร์บอน” หรือ Carbon Neutral City อย่างยั่งยืน ผ่านการสร้างความตระหนักรู้ การถ่ายทอดองค์ความรู้และการส่งเสริมนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยทุกภาคส่วนได้ร่วมมือทั้งในด้านวิชาการ การวิจัยและการลงมือปฏิบัติจริง ผลักดันโคราชให้เป็นเมืองต้นแบบด้านสิ่งแวดล้อมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและของประเทศในอนาคต

พบผู้แทนหน่วยงานและประชาชนที่สนใจร่วมกิจกรรมอย่างเนืองแน่น โดยมีการจัดแสดงนิทรรศการเทคโนโลยีสีเขียว (Green Technology) การเสวนาทางวิชาการจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่าง ๆ การแสดงนวัตกรรมจากภาคอุตสาหกรรม การเกษตร การคมนาคมและภาคประชาชน นอกจากนี้ ยังมีโซนกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้สำหรับเยาวชน กิจกรรมเวิร์กชอปและการนำเสนอผลงานด้าน Carbon Neutral City จากหน่วยงานราชการ

นายสมเกียรติ รอง ผวจ.นครราชสีมา กล่าวว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายระดับโลกที่ทุกคนต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังและการขับเคลื่อนสู่เมืองเป็นกลางทางคาร์บอนจึงเป็นทั้งเป้าหมายและพันธกิจร่วมของทุกภาคส่วน”

ด้านนายพฤฒิ  เกิดชูชื่น ผู้ก่อตั้ง บริษัท แดรี่โฮม วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด เปิดเผยว่าประกอบกิจการโรงงานผลิตนมพาสเจอร์ไรส์แบบออแกนิค มุ่งเน้นลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและพลังงานทางเลือก เช่น ติดตั้งโซลาร์เซลล์ช่วยประหยัดค่าไฟได้ 40 % และการจัดการน้ำเสียจนสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ทั้งหมด นอกจากนี้ยังร่วมโครงการกับสภาอุตสาหกรรมและกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อสนับสนุนการลดต้นทุนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จึงเป็นนมที่ปล่อยคาร์บอนน้อยและมีเป้าหมายบรรลุคาร์บอนนิวทัล “Carbon Neutral” ความเป็นกลางทางคาร์บอนลดการทำร้ายโลกภายในปี 2040

ก.ล.ต.เปิดเฮียริ่งปรับเกณฑ์โทเคนดิจิทัล Carbon Credit,REC,Carbon Allowance หนุนการซื้อขายคาร์บอนเครดิต

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อการปรับปรุงหลักเกณฑ์เพื่อเปิดให้ผู้ประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล (ผู้ประกอบธุรกิจ) สามารถให้บริการ Tokenized Carbon Credit และ Tokenized Renewable Energy Certificate (REC) และ Tokenized Carbon Allowance เพื่อเพิ่มช่องทางในการเลือกรับบริการของผู้ลงทุน รวมทั้งส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการซื้อขาย Carbon Credit

วันที่ 29 เมษายน 2568 ตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต.ในการประชุมเมื่อวันที่ 6 มี.ค.68 มีมติเห็นชอบหลักการปรับปรุงหลักเกณฑ์เพื่อเปิดให้ผู้ประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถนำ Tokenized Carbon Credit และผลิตภัณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero ได้แก่ Tokenized REC และ Tokenized Carbon Allowance มาให้บริการได้ เพื่อเป็นการช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) และสนับสนุนการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ของประเทศไทย รวมถึงสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการซื้อขาย Carbon Credit

ก.ล.ต.จึงเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อหลักการและร่างประกาศที่เกี่ยวข้อง โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

1.กำหนดประเภทผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero ที่ผู้ประกอบธุรกิจสามารถมาให้บริการได้ ได้แก่ (1) Tokenized Carbon Credit (2) Tokenized REC และ (3) Tokenized Carbon Allowance

2.กำหนดเงื่อนไขการประกอบธุรกิจอื่นเพิ่มเติม ดังนี้ (1) ต้องมีระบบหรือมาตรฐานการคัดเลือกและเพิกถอนโทเคนดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ และ (2) ต้องมีระบบหรือมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโทเคนดิจิทัลอย่างเพียงพอ

3.กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจอื่น ตลอดระยะเวลาที่ให้บริการ

ก.ล.ต.ได้เผยแพร่เอกสารรับฟังความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวบนเว็บไซต์ ก.ล.ต. https://www.sec.or.th/TH/Pages/PB_Detail.aspx?SECID=1070 และระบบกลางทางกฎหมาย https://www.law.go.th/listeningDetail?survey_id=NTI2N0RHQV9MQVdfRlJPTlRF...

ทั้งนี้ ผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้สนใจสามารถแสดงความคิดเห็นได้ที่เว็บไซต์ หรือทางอีเมล chananchida@sec.or.th หรือ thanapatk@sec.or.th จนถึงวันที่ 12 พ.ค. 68

#กลต #โทเคนดิจิทัล #ข่าววันนี้ #คาร์บอนเครดิต #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

"อลงกรณ์" ชี้คาร์บอนเครดิต-ไบโอเครดิต คือภารกิจที่ท้าทายอนาคตของไทย

วันที่ 7 มี.ค.68 นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ

“คาร์บอนเครดิตและไบโอเครดิต :ภารกิจที่ท้าทายอนาคตของประเทศไทยภายใต้กรมป่าไม้และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม“เมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมาซึ่งเป็นประเด็นที่น่าสนใจจึงเห็นควรนำมาถ่ายทอดผ่านสื่อเพื่อประโยชน์ในการรับรู้ของสาธารณชน

โดยอดีตรัฐมนตรีอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ปัจจุบันเป็นประธานที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า “…ปัญหาโลกร้อนจากก๊าซเรือนกระจกและปัญหาการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพเป็นปัญหาความยั่งยืนของโลกแต่ขณะเดียวกันก็เป็นปัญหาทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ…“

ประเทศไทยประกาศเป้าหมายจะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ร้อยละ 30-40 ภายในปี 2030 และเป็นกลางทางคาร์บอน(Carbon Neutrality) ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เข้าร่วมให้ข้อเสนอการมีส่วนร่วมในการลด ก๊าซเรือนกระจก และการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านข้อเสนอการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC)

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มอบแนวคิดว่า

“เราชนะธรรมชาติได้บางอย่าง แต่เราไม่สามารถกำหนดธรรมชาติได้ทุกอย่าง เป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับความเป็นจริง ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้คือการเปลี่ยนแปลงและต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการกระทำของมนุษย์ด้วย” 

“เราต้องเปลี่ยนมุมมองของโลก หลายคนมองว่าการบริหารต้องมีมือดีทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน แต่ตนมองว่าสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ประชาชนอาศัยอยู่ เพราะอย่างไรเราก็ต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม”

จากวิสัยทัศน์ดังกล่าวจึงนำมาสู่กรอบภารกิจ 6 ด้าน 1.ด้านทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้และสัตว์ป่า ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง 2.ด้านทรัพยากรน้ำทั้งระบบ 3.ด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ขยะ และมลพิษ 4. ด้านยุทธศาสตร์ แผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 5.ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ 6.ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โดยเฉพาะภารกิจสำคัญและเร่งด่วนคือการเพิ่มพื้นที่สีเขียวจะช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนซึ่งยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี กำหนดให้มีพื้นที่สีเขียวทุกประเภท 55% ของพื้นที่ประเทศ ในจำนวนนี้เป็นพื้นที่ป่า 40% ของพื้นที่ประเทศซึ่งเป็นแหล่งดูดกลับก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ แบ่งเป็น 1.พื้นที่ป่าอนุรักษ์ 25% และ 2.พื้นที่ป่าเศรษฐกิจ 15%

ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ป่าไม้ราว 102,353,484 ไร่ หรือ 31.64% ของพื้นที่ประเทศจะต้องเพิ่มพื้นที่ป่าอีก 8.36 %หรือ 26.75 ล้านไร่

ป่าชุมชนเป็นอีกเป้าหมายหนึ่งในการเพิ่มแหล่งกักเก็บคาร์บอนโดยมีป่าชุมชนที่ได้รับอนุมัติจัดตั้งเป็นป่าชุมชนตามพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 จำนวนรวม 11,327 โครงการ 13,028 หมู่บ้าน มีเนื้อที่รวม 6,295,718 ไร่

ซึ่งแต่เดิมมีการใช้ประโยชน์พื้นที่ทรัพยากรของป่าชุมชน 5 ประการคือ

1. ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์โดยชุมชน/พักผ่อนหย่อนใจ

2. เก็บหาของป่า

3. ใช้ประโยชน์จากไม้ เพื่อการยังชีพและสาธารณะประโยชน์

4. ใช้บริการทางนิเวศ เช่น น้ำ

5. ส่งเสริมการศึกษาและการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

ส่วนแนวทางการพัฒนาใหม่ในการพัฒนาป่าชุมชน (Community Forest) สู่ป่าคาร์บอน (Carbon Forest)เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวลดโลกร้อนอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนกว่า1.1หมื่นแห่งทุกภาคทั่วประเทศให้เป็น

1.แหล่งอาหารชุมชน (Community Food Bank)

2.แหล่งความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Bank)

3.แหล่งคาร์บอน(Carbon Bank)

4.แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ(Ecological Tourism)

5.แหล่งผลิตอาหารแบบสมาร์ทฟาร์ม(3F’s: Food Farm Forest)

โดยใช้รูปแบบการบริหารจัดการใหม่เน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคีในพื้นที่ด้วยโมเดล3หุ้นส่วน( 3‘P : Public-Private-People Partnership model)ซึ่งถอดบทเรียนจากโครงการสระบุรี แซนด์บ็อกซ์และโค้งตาบางโมเดล

จะเห็นได้ว่าการพัฒนาป่าชุมชนแนวใหม่นอกจากจะช่วยตอบโจทย์การลดโลกร้อนยังได้ให้ความสำคัญทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพและไบโอ เครดิต

ประเทศไทยได้เริ่มจัดทำนโยบายและมาตรการระดับชาติด้านความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อเป็นกรอบและทิศทางการดำเนินงานเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพในภาพรวมของประเทศ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 เพื่อการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ สอดคล้องกับมาตรา 6 ของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ที่กำหนดให้ภาคีจัดทำนโยบายและกลยุทธ์ระดับชาติ เพื่ออนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ได้ประเมินว่า GDP ของโลก กว่าครึ่งหนึ่งต้องพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ

ขณะที่รายงานความยั่งยืน(Sustainability Trends 2024 )ระบุว่า Bio-Credits เป็นส่วนหนึ่งของเทรนด์ การเพิ่มจำนวนความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Net Gain) เพื่อก่อให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพที่ยั่งยืน โดยไบโอเครดิตเป็นเครื่องมือทางการเงินที่สามารถตรวจสอบปริมาณ คุณภาพ ชนิดพันธุ์ ระบบนิเวศ และที่อยู่อาศัยผ่านการซื้อขายหน่วยความหลากหลายทางชีวภาพได้ ทำให้ทราบถึงการเพิ่มจำนวนของความหลากหลายทางชีวภาพในปัจจุบัน

ทั้งนี้ หลายหน่วยงานได้เริ่มมีความสนใจใน Bio-Credits เช่น สภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum: WEF) เมื่อปี 2565 ได้ริเริ่มโครงการสำรวจศักยภาพของสินเชื่อความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Finance) เพื่อปลดล็อกการจัดหาเงินทุนใหม่สำหรับผลลัพธ์เชิงบวกที่วัดได้สำหรับธรรมชาติและผู้ดูแลธรรมชาติ และสนับสนุนการพัฒนาตลาดสินเชื่อความหลากหลายทางชีวภาพโดยสมัครใจ แต่ก็ยังไม่สามารถทำ Biodiversity Finance ได้เต็มที่ เนื่องจากยังขาดมาตรฐานการออกไบโอเครดิต ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันในระดับโลก

ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีการก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรเพื่อไบโอเครดิต (Biodiversity Credit Alliance) ขึ้นในปี 2565 โดยมีสมาชิกเป็นองค์กรจากภาคเอกชน องค์กรไม่แสวงหากำไร หน่วยงาน ภาครัฐ องค์กรระหว่างประเทศ และภาคส่วนอื่นๆ และได้รับการสนับสนุนจากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) และสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสวีเดน (Sida)

ในส่วนประเทศไทย สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) อธิบายถึง Bio-Credits (Biodiversity Credits) หรือ เครดิตความหลากหลายทางชีวภาพ ว่า เป็นหนึ่งนวัตกรรมที่มีการนำกลไกตลาดมาใช้ในการระดมทุนเพื่อดูแลธรรมชาติและรักษาความหลากหลายทางชีวภาพให้คงอยู่โดยมีลักษณะการทำงานที่คล้ายกับคาร์บอนเครดิตในตลาดภาคสมัครใจ (Voluntary Carbon Credits) ซึ่งเป็นการซื้อ - ขาย ระหว่างผู้ซื้อที่มีความยินดีในการจ่ายเพื่อปกป้องและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ และผู้ขายที่เป็นผู้ลงทุนดำเนินโครงการที่สามารถปกป้องและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพได้

ซึ่งหลังจากนวัตกรรมของตลาดไบโอเครดิตเกิดขึ้น จะส่งผลให้เกิดการปกป้องหรือฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ โดยสามารถนำผลลัพธ์ที่เป็นข้อมูลเชิงปริมาณมาแสดงเพื่อขอใบรับรอง ว่ามีการดำเนินงานที่เกิดขึ้นได้จริง และผู้ผลิตสามารถนำไบโอเครดิตที่อยู่ในใบรับรองไปขายให้ผู้ซื้อที่ยินดีจ่ายเงินได้

สถานการณ์ภัยคุกคามความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย แบ่งได้ดังนี้

1) พรรณไม้ จำนวนทั้งสิ้น 12,050 ชนิด มีชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามจำนวน 999 ชนิด

2) สัตว์มีกระดูกสันหลัง จำนวนทั้งสิ้น 5,005 ชนิด มีชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคาม ประกอบด้วย ชนิดพันธุ์ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง ใกล้สูญพันธุ์ และมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ จำนวน 676 ชนิด

3) จุลินทรีย์ก็อยู่ในภาวะถูกคุกคามเช่นกัน

ความหลากหลายทางชีวภาพกำลังถูกคุกคามและไบโอ เครดิตจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวในพื้นที่ทรัพยากรป่าและป่าชุมชนเช่นกรณีตัวอย่าง“ทีมปรับป่าโดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ได้ริเริ่ม โครงการศึกษาความหลากหลาย ขึ้นเพื่อติดตามความสมบูรณ์ของป่าอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2547 – ปัจจุบัน โดยการเก็บข้อมูลและสำรวจพื้นที่ป่าดอยตุงอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะ อยู่ระหว่างดำเนินการโดยมีทีมทำงานเก็บข้อมูลที่เรียกว่า “ทีมปรับป่า” ที่ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ และชุมชนร่วมกันทำงานได้ช่วยต่อยอดภูมิปัญญาของคนบนดอยตุงในการอยู่ร่วมกับผืนป่าอย่างยั่งยืนซึ่งเป็นหนึ่งในโมเดลตัวอย่าง

ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงของโลก แต่ก็ยังมีภัยคุกคามต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ที่เกิดจากมนุษย์และภัยธรรมชาติในหลายพื้นที่ ไบโอเครดิตจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพื่อประโยชน์ในการปกป้องและฟื้นฟูทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทยให้คงอยู่เป็นมรดกของลูกหลาน

กล่าวโดยสรุป คือ ปัญหาโลกร้อนจากก๊าซเรือนกระจกและปัญหาการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพเป็นปัญหาความยั่งยืนของโลกแต่ขณะเดียวกันก็เป็นปัญหาทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศโดยมีการกำหนดภาษีคาร์บอนเช่นภาษีระบบCBAMของสหภาพยุโรปที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของประเทศไทยและอีกไม่นานก็จะมีมาตรการทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพเช่นเดียวกับภาษีคาร์บอน 

ดังนั้นคาร์บอน เครดิตและไบโอเครดิต จึงเป็นภารกิจที่ท้าทายต่ออนาคตความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจของประเทศไทยภายใต้บทบาทและความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งขอชื่นชมกรมป่าไม้ที่ได้พัฒนาบุคคลากรให้เกิดความรู้และทักษะในเรื่องคาร์บอน เครดิตและไบโอ เครดิต เป็นประโยชน์ต่อการลดคาร์บอนและเพิ่มความสมบูรณ์ของความหลากหลายทางชีวภาพมาอย่างต่อเนื่อง

SOLAR ปั้นโครงการคาร์บอนเครดิตป่าสัก 6 พันไร่ ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก-ได้คาร์บอนเครดิต 180,000 TCO2eq 

SOLAR ปั้นโครงการคาร์บอนเครดิตป่าสัก 6 พันไร่ ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก-ได้คาร์บอนเครดิต 180,000 TCO2eq 

ปัจจุบันทุกภาคส่วนทั่วโลก ได้หันมาให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมมากขึ้น เนื่องจากมีเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ สำหรับในภาคธุรกิจ รวมถึงอุตสาหกรรมของประเทศไทย ได้มีความตระหนักรู้ถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเสมอ อีกทั้งภาครัฐได้มีการออกมาตรการเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ทั้งการลดก๊าซเรือนกระจก ลดขยะพลาสติก เพิ่มพื้นที่สีเขียว จนนำไปสู่นโยบาย Carbon Neutrality หรือความเป็นกลางทางคาร์บอน และต่อยอดไปสู่ธุรกิจคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) เครื่องมือการเงินเพื่อสิ่งแวดล้อม 

บริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) หรือ SOLAR โดยตัวแทน บริษัท ซิมเมอร์มานน์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับ บริษัท ไทยออร์คิดส์แล็บ เอสเตท จำกัด และบริษัท ไทยออร์คิดส์แล็บ เทคโนโลยี จำกัด เพื่อร่วมพัฒนาคาร์บอนเครดิต โดยมีเป้าหมายสร้างมูลค่าเพิ่ม สนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน
โดยได้ริเริ่มโครงการคาร์บอนเครดิตจากป่าสัก “Carbon Credit Development: TCo2eq” และทำการรับรองคาร์บอนเครดิตดังกล่าวด้วยมาตรฐาน Verra องค์กรจดทะเบียนคาร์บอนเครดิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อให้สามารถทำการซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้ในหลากหลายประเทศทั่วโลก สำหรับโครงการคาร์บอนเครดิตจากป่าสัก เริ่มดำเนินการแล้วเมื่อเดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา มีการประมาณคาร์บอนเครดิต 180,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ (TCO2eq) ในระยะเวลา 10 ปี ครอบคลุมพื้นที่ป่าสักกว่า 6 พันไร่ 

“คาร์บอนเครดิต” กลายเป็นเมกะเทรนด์สำคัญที่ทั่วโลกต่างหันมาให้ความสนใจ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ รวมถึงการมีส่วนร่วมชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset) เพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่แต่ละองค์กรปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศ โดยคาร์บอนเครดิต ถือเป็นกลไกที่จะกระตุ้นให้ชุมชนดูแลป่าและดูแลตัวเองได้ดีขึ้น ส่งผลให้ลดการสูญเสียพื้นที่ป่า ลดอัตราการเกิดไฟป่าและลดปัญหาฝุ่นควัน pm 2.5 Co-benefit ของการทำโครงการภาคป่าไม้แก่ชุมชนและสังคม และผลจากการดูดกลับคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศได้โดยตรง

โซลาร์ตรอน ได้เล็งเห็นถึงมูลค่าของตลาดคาร์บอนเครดิต ที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างมากในอนาคต จากการอ้างอิงข้อมูลของ The Business Research Company ที่ระบุว่า มูลค่าตลาดคาร์บอนเครดิตทั่วโลกในปี 2572 จะสูงถึง 1,891.27 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งการเติบโตนี้คาดเป็นผลมาจาก การชดเชยคาร์บอนเครดิต กระแสลงทุนในโครงการคาร์บอนเครดิต การปรับกลยุทธ์ขององค์กรโซลูชั่นที่อิงจากธรรมชาติ เป็นต้น 

การที่ โซลาร์ตรอน ร่วมมือกับทั้ง 2 พันธมิตร ในการพัฒนาคาร์บอนเครดิต ถือเป็นอีกโมเดลธุรกิจหนึ่งที่จะช่วยผลักดันในเรื่องของรายได้ รวมถึงเพิ่มความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมต่างๆ กับธนาคารที่ถือเป็นแหล่งทุน เช่น การเงินสีเขียว (Green Finance) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ นับเป็นความก้าวหน้ากับการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตสู่การผลักดันการจัดการผืนป่าอย่างยั่งยืน


 

 

 


 

ทรูมันนี่-แอสเซนด์ บิท เผยมีผู้ใช้ซื้อคาร์บอนเครดิตผ่านแอปทรูมันนี่ เทียบเท่าปลูกต้นไม้แล้ว 100,000 ต้น หลังเปิดให้บริการแค่ 1 เดือน

ทรูมันนี่ หนึ่งในผู้นำด้านแพลตฟอร์มการชำระเงินดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยความสำเร็จหลังเปิดให้บริการซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอนร่วมกับ บริษัท แอสเซนด์ บิท จำกัด ผู้ให้บริการเทคโนโลยีบล็อกเชน ว่าในช่วงเวลาเพียง 1 เดือนหลังเปิดให้บริการ มีผู้ใช้งานแอปทรูมันนี่ซื้อคอร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นจำนวนแล้วกว่า 1,500 ตันคาร์บอน หรือเทียบเท่ากับใช้ต้นไม้กว่า 100,000 ต้นในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี ซึ่งการตอบรับที่ดีดังกล่าวสะท้อนเทรนด์คนรุ่นใหม่ที่มีความใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และอยากมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาโลกร้อนอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ การซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยคาร์บอนผ่านแอปทรูมันนี่ ได้ถูกออกแบบให้เข้าถึงง่ายและมีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชนสาธารณะ (Polygon) โดยการซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอนในแต่ละครั้งจะถูกแปลงเป็นโทเคนดิจิทัลและบันทึกการรีไทร์คาร์บอน หรือ Carbon Offset ซึ่งหมายถึงการลดผลกระทบจากการปล่อยคาร์บอนฯไว้ในรูปแบบ NFT บนบล็อกเชน ผู้ใช้งานสามารถเลือกแพ็กเกจชดเชยคาร์บอนได้ตามระยะเวลาที่ต้องการ (7, 30 หรือ 90 วัน) โดยระบบจะตัดเงินจากบัญชีทรูมันนี่ เพื่อซื้อและเบิร์นโทเคนคาร์บอนเครดิตที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล การทำธุรกรรมทั้งหมดจึงรวดเร็ว โปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีต้นทุนที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าบริการชดเชยคาร์บอนรูปแบบเดิมที่เห็นในประเทศไทยหลายเท่าตัว

นางสาวมนสินี นาคปนันท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด กล่าวว่า “ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้คนในปัจจุบันโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก การได้เห็นคนไทยหลายหมื่นคนร่วมกันซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอนผ่านแอปทรูมันนี่ เป็นสัญญาณที่ดีของการตื่นตัวต่อการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยการให้บริการนี้ไม่เพียงแค่อำนวยความสะดวกให้ทุกคนมีส่วนร่วมลดผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศได้อย่างง่ายๆ แต่ยังแสดงถึงศักยภาพของเทคโนโลยีในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกแบบยั่งยืนใหักับชุมชน”

นายอภินันท์ ดาบเพ็ชร กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซนด์ บิท จำกัด และผู้อำนวยการฝ่ายการเติบโตของวอลเล็ทแพลตฟอร์ม บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด กล่าวว่า “แอสเซนด์ บิท มุ่งมั่นที่จะเชื่อมโยงคนไทยเข้าสู่โลกบล็อกเชนสาธารณะ และมอบโอกาสในการเข้าถึงและให้การสนับสนุนทรัพยากรของโลกผ่านการแปลงสินทรัพย์เป็นโทเคน โดยคาร์บอนเครดิตเป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญที่ทำให้ผู้คนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการลดโลกร้อน ลดคาร์บอนฟุตพรินต์ และทำให้สังคมเห็นภาพชัดเจนถึงประโยชน์ที่แท้จริงจากการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆทางด้านการเงินในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน”

ทั้งนี้ ความสำเร็จในช่วงแรกของบริการดังกล่าวถือเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายบทบาทของเทคโนโลยี และการผนึกกำลังของพาร์ทเนอร์ในระบบนิเวศด้านความยั่งยืน โดย ทรูมันนี่ และ แอสเซนด์ บิท มุ่งหวังที่จะส่งเสริมการรับรู้และการมีส่วนร่วมของคนไทยในทุกระดับ เพื่อร่วมกันสร้างสังคมที่เป็นกลางทางคาร์บอนอย่างแท้จริง และก้าวสู่อนาคตที่สดใสกว่าร่วมกัน

SOLAR ประเมินผลงาน Q4/67 เติบโตต่อเนื่อง รุกประมูลงานใหม่ เดินหน้าแตกไลน์ธุรกิจ ลุยคาร์บอนเครดิต

SOLAR เปิดแผนและกลยุทธ์โค้งสุดท้ายปี 67 ประเมินผลงานเติบโตได้ต่อเนื่อง เดินหน้าเข้าลุยประมูลงานใหม่-แตกไลน์ธุรกิจ พร้อมรุกตลาดคาร์บอนเครดิตที่กำลังได้รับความนิยมไปทั่วโลกผ่านบริษัทย่อย “ซิมเมอร์มานน์” ฟากซีอีโอ “สิทธิชัย กฤชวิวรรธน์” มั่นใจรายได้ปีนี้เติบโต 20% ตามนัด ขณะที่ Q3/67 โชว์กำไรพุ่งแตะ 81.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 1,272.88% จากงวดเดียวกันปีก่อน

เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.67 นายสิทธิชัย กฤชวิวรรธน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) (SOLAR) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2567 คาดว่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน จากที่บริษัทฯ มีการวางแผนและกลยุทธ์ ขยายธุรกิจเดิม และแตกไลน์ธุรกิจใหม่ พร้อมกับเข้าร่วมประมูลงานภาครัฐ และเอกชนมากขึ้น ล่าสุดโซลาร์ตรอนได้งานวางระบบและติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์โรงพยาบาล จำนวน 14 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 88 ล้านบาท จากทั้งหมด 39 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 272 ล้านบาท ซึ่งอีก 25 โครงการอยู่ระหว่างรอยื่น E-Bidding โดยจากความเชี่ยวชาญทางด้านพลังงานในการติดตั้งและวางระบบทำให้มั่นใจว่าจะสามารถคว้าโครงการที่เหลืออื่นๆ ได้สำเร็จ ขณะเดียวกันโครงการแม่เมาะโซลาร์ฟาร์ม No. EGAT 3/2565-MM-PV1 ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ก็มีเปอร์เซ็นของการสำเร็จของงานเพิ่มขึ้น (Percentage of completion)

นอกจากนี้ บริษัทฯ  ยังได้รับผลประโยชน์จากการลงทุนใน บริษัท ซิมเมอร์มานน์ จํากัด ภายหลังจับมือกับ บริษัท กรีนคาร์บอน อิงค์ ประเทศญี่ปุ่น โดยจะเป็นการใช้คาร์บอนเครดิต อีกทั้งจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เรียกว่า ถ่านชีวภาพ (Biochar) สามารถช่วยลดขยะอินทรีย์ ช่วยบำรุงดินเพิ่มออกซิเจน และช่วยลดปริมาณน้ำในการปลูก โดยจะเป็นประโยชน์กับชาวเกษตรกร และสนับสนุนรายได้บริษัทเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีแผนขึ้นทะเบียนกับองค์กรจดทะเบียนคาร์บอนเครดิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก (Verra) เพื่อให้สามารถทำการซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้ในหลากหลายประเทศทั่วโลก

“แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2567 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง จากธุรกิจที่ได้ลงทุนไปก่อนหน้าที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี จึงยังคงตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ขณะที่แนวโน้มในปีหน้าคาดจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด” นายสิทธิชัย กล่าวในที่สุด

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 327.71 ล้านบาท เติบโต 23.58% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 265.17 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 81.03 ล้านบาท เติบโต 1,272.88% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไร 5.90 ล้านบาท

อย่าพลาด!! สัมมนาวิชาการระดับชาติ “พลิกโฉมธุรกิจอุตสาหกรรมด้วยปัญญาประดิษฐ์และการจัดการคาร์บอนเครดิตสู่อนาคตที่ยั่งยืน” 17 ต.ค.นี้

ขอเชิญชวนผู้สนใจเข้าร่วมงานสัมมนาวิชาการระดับชาติในหัวข้อ “พลิกโฉมธุรกิจอุตสาหกรรมด้วยปัญญาประดิษฐ์และการจัดการคาร์บอนเครดิตสู่อนาคตที่ยั่งยืน” จัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม 2567 เวลา 08.00 - 12.30 น. ณ หอประชุมเบญจรัตน์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และรับชมผ่าน Facebook Live

มาร่วมเปิดมุมมองใหม่ ๆ ในการนำเทคโนโลยี AI มาพัฒนาธุรกิจ พร้อมเรียนรู้การจัดการคาร์บอนเครดิตจากผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรม เพื่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมธุรกิจสู่อนาคตที่ยั่งยืน

ผู้สนใจ ลงทะเบียนด่วน เพื่อโอกาสในการนำความรู้ไปต่อยอดธุรกิจสู่ความยั่งยืน! คลิก : https://forms.gle/vx7fTErCkfbWk6eC8 หรือ Scan QR Code ได้ที่ด้านล่าง 

#สัมมนาวิชาการ #AI #การจัดการคาร์บอนเครดิต #ธุรกิจยั่งยืน #พระจอมเกล้าพระนครเหนือ #งานสัมมนา

กลุ่มนาแปลงใหญ่ฯ จ.สุพรรณบุรี ปลูกข้าวคาร์บอนต่ำ ลดโลกร้อน เพื่อสุขภาพ

กลุ่มนาแปลงใหญ่เกษตรสมัยใหม่ (ข้าว) จ.สุพรรณบุรี ปลูกข้าวคาร์บอนต่ำ ลดโลกร้อน เพื่อสุขภาพ เล็งต่อยอดขายคาร์บอนเครดิตในนาข้าว สร้างเกษตรมูลค่าสูง

นางเสาวนีย์  โพธิ์รัง ประธานแปลงใหญ่ หมู่ 11 ตำบลเดิมบาง อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี (นาแปลงใหญ่เกษตรสมัยใหม่ (ข้าว) ) เล่าถึงที่มาของการรวมกลุ่มเป็นแปลงใหญ่ข้าวว่า ปี 2552 มีการรวมกลุ่มเป็นศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน ผลิตสารชีวภัณฑ์ต่าง ๆ ใช้ในเรื่องการลดต้นทุนการผลิตข้าว พอปี 2558 กรมส่งเสริมการเกษตร กรมการข้าว ให้เกษตรกรรวมกันเป็นแปลงใหญ่ 5,00ห0 ไร่ พอดีพื้นที่ของเราและพื้นที่ใกล้เคียงสามารถรวมกันได้ จึงจัดตั้งเป็นแปลงใหญ่ข้าว แรกเริ่มมีสมาชิก 173 ราย แต่พอเราทำไป สมาชิกเกษตรกรเป็นผู้สูงอายุ ทำให้ปัจจุบันมีสมาชิก 129 ราย ในพื้นที่ 5,217 ไร่  


สิ่งที่ทำให้กลุ่มเข้มแข็ง คือ เรามีกฎกติกาที่ชัดเจน เช่นทุกคนต้องมาประชุมร่วมกัน ถ้าไม่มาประชุมจะถูกหักเงิน 50 บาท ต่อครั้ง ถ้าขาดประชุมเกิน 3 ครั้ง หมดสิทธิ์การเป็นสมาชิก ซึ่งเป็นกฎกติกาที่ยึดถืออย่างเคร่งครัด ทำให้กลุ่มมีความเข้มแข็ง รวมถึงมีการรวมกลุ่มเพื่อลดต้นทุนในการผลิตและรับองค์ความรู้ ซื้อปัจจัยการผลิตร่วมกัน สามารถต่อรองตลาดได้ดีและทำนาลดสภาวะโลกร้อน มีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน สร้างความสามัคคีในชุมชน โดยใช้เรื่องของกลุ่มมาเป็นตัวขับเคลื่อน คณะกรรมการมีความชัดเจนโปร่งใส และต้องรับฟังเสียงของสมาชิก โดยถือคติว่ากลุ่มเป็นของทุกคนไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งเราจะมีสโลแกนว่า “เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ใครเป็นสมาชิกกับเรา เราจะนำพาทุกคนไปกับเราด้วยกันทั้งหมด”  


ประธานแปลงใหญ่ หมู่ 11 กล่าวถึงโครงการสินค้าเกษตรและบริการมูลค่าสูง  "1 ท้องถิ่น 1 สินค้าเกษตรมูลค่าสูง"ว่า กลุ่มฯ ได้พัฒนามาในระดับหนึ่ง ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง เหลือแค่ปลายทาง ก็จะนำพากลุ่มไปในทิศทางที่ดี เกษตรมูลค่าสูง เป็นอีกหนึ่งโครงการที่อยากเข้าร่วม และสามารถขายคาร์บอนเครดิตในนาข้าวได้ สามารถแปรรูปในการจำหน่ายข้าวลดโลกร้อน ผ่านขบวนการผลิตคาร์บอนต่ำเป็นของกลุ่มเอง รวมถึงข้าวปลอดภัย ซึ่งข้าวที่ปลูกในพื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นข้าวน้ำตาลต่ำ กข. 43 ข้าวขาวดอกมะลิ 105 และข้าวปทุมธานี 1 


ที่ผ่านมาส่วนตัวได้มีการขายเครดิตคาร์บอนไปแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งเป็นการนำร่อง โดยได้รับองค์ความรู้มาจากกรมการข้าว โดยโครงการไทยไรซ์ นามา ร่วมกับสถาบันวิทยาศาสตร์ข้าวแห่งชาติสุพรรณบุรี ทำให้เราสามารถไปเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่าง ๆ และ สามารถขายคาร์บอนเครดิตให้กับบริษัทเอกชนที่สนใจ และมีหน่วยงาน ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มาให้ความรู้เพิ่มเติมการทำนาลดโลกร้อน ช่วยลดการเกิดมีเทน เกิดก๊าซต่าง ๆ และกลุ่มจะต่อยอดผลิตภัณฑ์ข้าวเป็นข้าวลดโลกร้อน ข้าวคาร์บอนต่ำ ส่งออกไปยังประเทศฮ่องกง ผ่าน บริษัท โตมี ฟู้ดส์ แอนด์ โปรดักส์ จำกัด 

ข้าวลดโลกร้อน ช่วยในเรื่องการประหยัดน้ำ ลดการเกิดก๊าซมีเทน 30% ในการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง สามารถทำให้เพิ่มผลผลิตข้าวได้ 20% ลดการใช้น้ำ 50%  ทำให้เราขยายตลาดได้มากยิ่งขึ้น และต่อยอดไปในส่วนของการท่องเที่ยวเชิงเกษตรโดยทำเป็นศูนย์เรียนรู้ลดโลกร้อน เป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย จัดตั้งโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และทำ MOU กับ บริษัท นิปปอน ทราเวล ทัวร์ ของประเทศญี่ปุ่น โดยจะนำนักท่องเที่ยวและนักศึกษาของญี่ปุ่นมาศึกษาดูงานในเรื่องของการทำนาลดโลกร้อน 

“ต้องขอบคุณกรมการข้าว ให้คำแนะนำทุกเรื่อง ตั้งแต่เริ่มต้น ก่อนที่จะเป็นแปลงใหญ่ ทั้งให้ความรู้เรื่องมาตรฐาน GAP เมล็ดพันธุ์  การใช้ปุ๋ย การปลูก การผลิต การดูแลจัดการผลผลิตทุกอย่าง และเรื่องการตลาด เรียกได้ว่า กรมการข้าวเป็นพี่เลี้ยงที่ดีที่สุด ช่วยสนับสนุนผลักดันให้กลุ่มมาถึงทุกวันนี้ ส่งเกษตรกรไปอบรมความรู้อย่างต่อเนื่อง  เป็นหน่วยงานที่ดูแลเกษตรในทุกเรื่อง และเราก็โชคดี ที่ได้กรมการข้าวมาสนับสนุนให้ผลิตหรือทำเป็นเกษตรมูลค่าสูงได้” นางเสาวนีย์ กล่าว


 

"คาร์บอนเครดิต" เพิ่มโอกาส เพิ่มมูลค่า สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร 

พื้นที่การเกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือกว่า 22 ล้านไร่ ส่วนใหญ่มีการทำนาข้าว พบว่าเป็นแหล่งปล่อยก๊าซมีเทนที่มีผลกระทบต่อก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ จากการจัดทำโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ ชื่อว่า Thailand Voluntary Emission Reduction Program หรือ T-VER ซึ่งมีองค์การบริหารจัดการจัดการการเรือน (อบก.) เป็นหน่วยงานขึ้นทะเบียนและให้การรับรองคาร์บอนเครดิตการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในไทย ซึ่งเป็นองค์การมหาชน ภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม

“คาร์บอนเครดิต” หมายถึง สิทธิที่เกิดจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ คาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่สิ่งแวดล้อม รวมถึง การเก็บกักการดูดกลับด้วยกิจกรรมหรือโครงการในพื้นที่

โดยพื้นที่การเกษตรของหมอดินอาสาประจำตำบลแก้งเหนือ  “นายสนิท ดำบรรณ์” เป็นศูนย์ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่เกษตรกร และประชาชนผู้สนใจในการทำการเกษตร นอกจากจะมีผลงานดีเด่นในด้านเกษตรผสมผสานแล้ว ยังเป็นผู้มีความเสียสละต่อส่วนรวมและเป็นผู้นำชุมชนที่ช่วยขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ ของกรมพัฒนาที่ดินอย่างต่อเนื่อง และได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติหมอดินอาสาดีเด่นผู้ทำคุณประโยชน์ด้านการพัฒนาที่ดินอีกด้วย

นอกจากนี้ ยังเป็นประธานวิสาหกิจศูนย์เพาะชำกล้าไม้เศรษฐกิจเขมราฐธานี ดำเนินการเพิ่มปริมาณการกักเก็บคาร์บอน ในรูปคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) นอกจากจะเป็นต้นน้ำในการผลิตกล้าไม้ป่า และขยายผลสู่เครือข่ายแล้ว ยังเป็นเกษตรกรที่เข้าสู่โครงการขายคาร์บอนเครดิตให้กับบริษัท เป็นการเพิ่มโอกาสและสร้างรายได้อีกทางหนึ่งให้กับเกษตรกรเครือข่ายซึ่งจะนำไปสู่การเป็นต้นแบบทำการเกษตรสู่ชุมชนคาร์บอนต่ำได้ในอนาคตต่อไป

ขุนคลังหนุนแพลตฟอร์มซื้อขายคาร์บอนเครดิต เล็งเก็บ Carbon tax ตามโมเดล ตปท.

ขุนคลังหนุนแพลตฟอร์มซื้อขายคาร์บอนเครดิต เล็งเก็บ Carbon tax ตามโมเดล ตปท.

g,njv;yomuj 22 l"8"67 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา Prachachat ESG Forum 2024 หัวข้อ "Time for Action : พลิกวิกฤต โลกเดือด" โดยระบุว่า ปัญหาโลกร้อน ถือเป็นปัญหาที่ต้องให้ความสำคัญ และสร้างการตระหนักรู้ถึงความรุนแรงของปัญหาโลกร้อน เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนแนวทางการแก้ไข ปัญหาโลกเดือด ไม่ใช่แค่โลกเดือดอย่างเดียว แต่เราจะเดือดร้อนด้วย ถ้าเราไม่สามารถแก้ปัญหาให้ลุล่วงได้ ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้อง take action ในระดับนานาชาติมีการทำสัญญาประชาคมเพื่อร่วมมือกันแก้ปัญหาโลกผ่านเวที COP26 ซึ่งประเทศไทยก็ต้องดำเนินตามแนวทางนี้ โดยต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 30% ในอีก 6 ปีข้างหน้า หรือภายในปี ค.ศ.2030 จากนั้นต้องก้าวเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ.2050 และไปสู่เป้าหมาย Net zero ในปี ค.ศ.2065 ซึ่งช่วงเวลาที่เหลืออีก 6 ปีนั้น หากประเทศไทยไม่สามารถทำได้ เชื่อว่าจะมีผลกระทบแน่นอน ตอนนี้เราปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ 370 ล้านตัน ถ้าต้องลด 30% ให้ได้ตามเป้า ก็คือต้องลดให้ได้ 120 ล้านตัน ซึ่งเหลือเวลาแค่ 6 ปี

ทั้งนี้การจะดำเนินการให้สำเร็จได้นั้นจำเป็นต้องมี 3 สิ่งสำคัญคือ 1.ต้องมี Carbon Credit จัดเก็บไว้อย่างเพียงพอ 2.ต้องมีนโยบาย และการกำกับที่สร้างความเชื่อมั่นว่าวิธีจัดเก็บ Carbon มีความเป็นสากล และเป็นที่ยอมรับของทั่วโลก 3.ต้องซื้อ-ขายได้ผ่านแพลตฟอร์มเหมือนเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันมีศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (TDX) อยู่แล้ว แต่ยังไม่ active

โดยปัจจุบันยังมีความท้าทายอยู่ ถ้าประเทศไทยสามารถจัดเก็บ Carbon Credit ได้มากกว่าที่ควรเป็น ประเทศไทยก็จะเป็นผู้ส่งออก Carbon Credit ได้ด้วย แทนที่จะเป็นแค่ผู้ซื้อ และมองว่าการผลักดันให้มีแพลตฟอร์มซื้อขาย Carbon Credit ในประเทศไทย คาดว่าจะใช้เวลาไม่นานเพราะมีรูปแบบอยู่แล้ว จะยากแค่เพียงการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการเท่านั้น สำหรับเรื่องภาษียังไม่ได้กำหนดว่า Capital gain tax ต้องมีหรือไม่ แต่การซื้อขายในตลาดทุนปกติทั่วไป ก็ไม่ได้เก็บอยู่แล้ว แต่ในส่วนของ Carbon tax นั้น สิงคโปร์เริ่มแล้ว ประเทศไทยคงต้องเริ่ม

นายกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ (ตลท.) กล่าวว่า ปัจจุบัน ESG ได้กลายเป็นกติกาของโลกใหม่ ยอมรับว่า ประเทศไทยยังห่างไกลเป้าหมายโดยรวมอย่างมาก การลงทุนด้าน ESG มีเพียง 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลท. จึงมุ่งผลักดัน ESG ซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ สนับสนุนการลงทุนอย่างยั่งยืน เชื่อมโยงผู้ออมเงินในธุรกิจ ESG โดย ตลท.ได้เน้นการจัดทำแพลตฟอร์ม ESG Data เพื่อยกระดับบริษัทจดทะเบียน เชื่อมต่อกับนักลงทุน

ทั้งนี้ ตลท.หวังจะสร้าง Ecosystem ในการพัฒนาความยั่งยืนของตลาดทุนไทย โดย ตลท. ได้จัดตั้ง Thailand ESG Fund หลังประชาชนยังมีการลงทุนใน Thai ESG ในระดับที่ต่ำ จึงได้ตั้งเป้าหมายให้บริษัทจดทะเบียน เปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนเพิ่มมากขึ้น เช่น การเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก, การประเมิน SET ESG Rating

#คาร์บอนเครดิต #ข่าววันนี้ #Carbontax #ภาษี