SME D Bank หนุน SME กระตุ้นศก. ดันเข้าถึงแหล่งทุนดบ.ต่ำ 3% ต่อปี งาน ‘พาแบงก์รัฐ มาช่วยราษฎร์’ จ.ภูเก็ต

SME D Bank ปลื้มความสำเร็จงาน “พาแบงก์รัฐ มาช่วยราษฎร์” ครั้งที่ 5 ณ จ.ภูเก็ต ช่วยขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล ปลุกพลังการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจไทย ผ่านการสนับสนุนเอสเอ็มอีเข้าถึงบริการ “พัฒนาคู่เติมทุน” ดันถึงแหล่งทุนอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3% ต่อปี คงที่ตลอด 3% ปีแรก ควบคู่เสริมแกร่งธุรกิจครบวงจร ด้วยแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank 

วันที่ 30 สิงหาคม 2568 นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า จากนโยบายของรัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง ที่มอบหมายให้สถาบันการเงินรัฐ เป็นกลไกสำคัญ ในการขับเคลื่อน กระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วประเทศที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยท้าทายต่างๆ ดังนั้น SME D Bank จับมือกับ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จัดงาน “พาแบงก์รัฐ มาช่วยราษฎร์” ณ จังหวัดภูเก็ต นำบริการจากทั้ง 3 หน่วยงาน มาสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีถึงพื้นที่แบบครบวงจร One Stop Service เช่น แหล่งเงินทุน การพัฒนาธุรกิจ สนับสนุนการส่งออก และการค้ำประกันสินเชื่อ เป็นต้น ช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็ง และผลักดันให้เอสเอ็มอีเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

สำหรับโครงการ “พาแบงก์รัฐ มาช่วยราษฎร์” ก่อนหน้านี้ จัดมาแล้ว 4 ครั้ง ได้แก่ จ.หนองคาย จ.ขอนแก่น จ.อุบลราชธานี และ จ.เชียงใหม่ ซึ่งประสบความสำเร็จ ได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในพื้นที่เข้าร่วมจำนวนมาก สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ ณ จ.ภูเก็ต นับเป็นครั้งที่ 5 ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านส่งเสริมการท่องเที่ยวของ จ.ภูเก็ต และในพื้นที่ภาคใต้ โดย SME D Bank พร้อมมอบบริการ “พัฒนาคู่เติมทุน” ด้านการเงิน จัดเตรียมสินเชื่อพิเศษไว้คอยให้บริการ ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจและทุกความต้องการของเอสเอ็มอี โดยเฉพาะผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง เช่น โรงแรม ร้านอาหาร ภัตตาคาร ขนส่ง สปา ฯลฯ ให้มีเงินทุนนำไปหมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง หรือสำรองเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ ยกระดับธุรกิจท่องเที่ยวและบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถแจ้งความประสงค์ยื่นขอสินเชื่อภายในงานได้ทันที 

จุดเด่นอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3% ต่อปี คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือน ได้แก่ 1.สินเชื่อ “SME Green Productivity” วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท สนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีลงทุนติดตั้งเครื่องจักร ระบบ อุปกรณ์ เพื่อใช้พลังงานสะอาด ดีต่อธุรกิจและดีต่อโลก 2.สินเชื่อ “ปลุกพลัง SME” วงเงินกู้สูงสุด 1.5 ล้านบาท สนับสนุนผู้ประกอบการรายเล็กรายได้ไม่เกิน 2 ล้านบาทต่อปี ให้เข้าถึงแหล่งทุน เพื่อลงทุน เสริมสภาพคล่อง หรือเป็นเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ และ 3.สินเชื่อ “Beyond ติดปีก SME” วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท สนับสนุนเอสเอ็มอีที่มีรายได้มากกว่า 2 ล้านบาทต่อปี ช่วยต่อยอดเพิ่มศักยภาพ ลงทุนหรือเสริมสภาพคล่องในธุรกิจ

นอกจากนี้ ยังนำบริการด้านพัฒนาครบวงจร ผ่านแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank (dx.smebank.co.th) มาให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ใช้บริการได้สะดวกสบาย ทุกที่ ทุกเวลา ตลอด 24 ชม. มีฟีเจอร์สำคัญ ๆ เช่น ระบบ “Business Health Check” ตรวจสุขภาพทางธุรกิจ ระบบ “E-Learning” รวบรวมหลักสูตรความรู้สำคัญ ช่วยเพิ่มศักยภาพการประกอบธุรกิจ เรียนรู้ได้ด้วยตัวเองตลอด 24 ชั่วโมง ระบบ “SME D Activity” สามารถจองเข้าร่วมกิจกรรมเติมความรู้ได้ต่อเนื่องตลอดทั้งปี ระบบ “SME D Coach” มีโค้ชมืออาชีพคอยเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำธุรกิจ ระบบ “SME D Market” ช่วยขยายตลาดด้วย E-marketplace หนุนจับคู่ธุรกิจ และระบบ “SME D Privilege” มอบสิทธิประโยชน์พิเศษมากมาย เป็นต้น

ภายในงาน มีการมอบป้ายสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในพื้นที่ ซึ่งได้รับการสนับสนุนสินเชื่อจาก SME D Bank รวมถึง การออกบูธให้คำปรึกษา และแนะนำเข้าถึงแหล่งทุน โดยมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในพื้นที่ จ.ภูเก็ต และใกล้เคียง เข้าร่วมจำนวนมาก

สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีนอกจากในงานนี้แล้ว ยังสามารถแจ้งความประสงค์เข้ารับบริการด้านพัฒนาและการเงินจาก SME D Bank ได้ผ่านสาขา SME D Bank ทั่วประเทศ หรือช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เช่น LINE Official Account : SME Development Bank และ www.smebank.co.th เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

ครม. ไฟเขียว NaCGA 132 มาตรา พลิกโฉมค้ำประกัน ดัน SME ไทยเข้าถึงสินเชื่อ

ครม. ไฟเขียว พ.ร.บ.สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (NaCGA) 132 มาตรา พลิกโฉมกลไกค้ำประกัน ดัน SME ไทยเข้าถึงสินเชื่อ

วันที่ 19 สิงหาคม 2568  ดร. เผ่าภูมิ  โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ พ.ศ. .... เพื่อก่อตั้งสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (NaCGA) ให้เป็นกลไกสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs ทั้งนี้ร่าง พ.ร.บ. มี 8 หมวด 132 มาตรา โดยจะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่างต่อไป

NaCGA ในฐานะหน่วยงานของรัฐ แต่ไม่ใช่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ จะทำหน้าที่ในการ “ประเมินความเสี่ยงและค้ำประกันเครดิต” ให้พี่น้องประชาชนที่ขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ และ Non-Bank โดยมีรายละเอียด ดังนี้

กลไกการทำงานของ NaCGA

1. ผู้ที่ต้องการขอสินเชื่อติดต่อ NaCGA เพื่อให้พิจารณาค้ำประกันเครดิตให้กับตนเอง ก่อนไปยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน

2. NaCGA จะเป็นผู้ประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ประกอบการ ตั้งแต่การประเมินความเสี่ยงรายบุคคล การค้ำประกันตามระดับความเสี่ยง (Risk-Based Pricing) โดยใช้ฐานข้อมูลและแบบจำลองความเสี่ยงด้านเครดิตที่ NaCGA จัดทำขึ้นจากข้อมูลทางการเงินและข้อมูลทางเลือก

3. NaCGA จะออก “ใบค้ำประกันเครดิต” ให้กับผู้ขอสินเชื่อ โดยผู้ขอสินเชื่อจ่ายค่าธรรมเนียมเพียงเล็กน้อยตามความเสี่ยง เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และสถาบันการเงินที่ร่วมจ่าย

4. ผู้ขอสินเชื่อนำใบค้ำประกันเครดิตที่ได้ไปยื่นขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน

5. สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ขอสินเชื่อ เนื่องจากผู้ขอสินเชื่อมี NaCGA เป็นผู้รับประกันความเสี่ยงด้านเครดิตแทนบางส่วนหรือทั้งหมดแล้ว

6. หากผู้ขอสินเชื่อไม่สามารถชำระหนี้ได้ NaCGA จะเป็นผู้รับความเสี่ยงกับสถาบันการเงินตามเงื่อนไข

ดร.เผ่าภูมิ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนั้นฐานข้อมูลของ NaCGA จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่สำคัญของประเทศ โดยร่างกฎหมายได้กำหนดให้ หน่วยงานต่างๆ ของรัฐและเอกชน นำส่งข้อมูลต่างเพื่อจัดทำแบบจำลองเครดิตให้ NaCGA เพื่อให้เกิดเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่รวบรวมข้อมูลของภาคธุรกิจในประเทศ โดยแหล่งทุนของ NaCGA ประกอบด้วย (1) เงินอุดหนุนจากรัฐบาล (2) ค่าธรรมเนียมการค้ำประกันจากผู้ประกอบการ (3) เงินสมทบจากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ คิดเป็นสัดส่วนตามเงื่อนไข ทำให้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพางบประมาณภาครัฐเพียงอย่างเดียว

ทั้งนี้กระทรวงการคลังให้ความสำคัญกับการเข้าถึงแหล่งทุนและสร้างขีดความสามารถของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs การจัดตั้ง NaCGA ไม่เพียงยกระดับกลไกการค้ำประกันสินเชื่อของภาครัฐในปัจจุบันให้มี แต่ยังจะเป็นการสร้างระบบนิเวศใหม่สำหรับการระดมทุนของภาคธุรกิจไทย เพื่อส่งเสริมและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชน

กรุงไทย หนุนภาครัฐ โครงการ “คุณสู้ เราช่วย เฟส 2” ปรับเงื่อนไข-เพิ่มมาตรการช่วยลูกค้ารายย่อย-SME ปิดหนี้ได้ไว ไปต่อได้เร็ว

​ธนาคารกรุงไทย  ตอบรับนโยบายภาครัฐ  เร่งแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย เฟส 2”ปรับเงื่อนไขโครงการและเพิ่มมาตรการ ช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยและ SME ได้มากขึ้น ขยายขอบเขต ช่วยเหลือกลุ่มอ่อนแอ แต่ยังไม่เป็น NPL ป้องกันไม่ให้ลูกหนี้ดีเป็นลูกหนี้เสีย  ปิดจบหนี้ได้ไว และเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้เร็ว  

วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ​นายสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ประธานผู้บริหาร Retail Banking ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทยตระหนักถึงความเดือดร้อนของลูกค้าและประชาชน จากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่องยาวนาน  โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่รายได้ที่ฟื้นตัวไม่เต็มที่ จึงพร้อมสนับสนุนนโยบายภาครัฐอย่างเต็มกำลัง ในการเร่งปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ  ผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย เฟส 2”  ซึ่งปรับเงื่อนไขมาตรการ ให้สามารถช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SME กลุ่มเปราะบางได้มากขึ้น  ขยายความช่วยเหลือทั้งกลุ่มที่เป็น NPL แล้วและกลุ่มที่ยังไม่เป็น NPL แต่มีสัญญาณอ่อนแอ ให้สามารถประคองตัว รักษาสินทรัพย์สำคัญกับความมั่นคงของชีวิต ป้องกันไม่ให้ปัญหาสังคมและความเหลื่อมล้ำทวีความรุนแรงขึ้น  

มาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” ช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อบ้าน และ SME ที่มีวงเงินไม่สูง ปรับโครงสร้างหนี้แบบ “ลดค่างวด” และ “พักภาระดอกเบี้ย” เป็นระยะเวลา 3 ปี โดยค่างวดที่จ่ายนำไปตัดชำระเงินต้นทั้งหมด ขณะที่ดอกเบี้ยที่พักไว้ตลอดระยะเวลา 3 ปี จะได้รับการยกเว้น หากลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ตลอดระยะเวลาของมาตรการ (ชำระเงินตรงเวลาและไม่กู้เพิ่มในช่วง 12 เดือนแรกของการเข้าโครงการฯ) โดยขยายคุณสมบัติลูกหนี้ที่เข้ามาตรการให้ครอบคลุมถึง 1) ลูกหนี้ที่มีวันค้างชำระเกิน 365 วัน และ 2) ลูกหนี้ที่เคยมีประวัติค้างชำระน้อยกว่าที่กำหนดในระยะที่ 1 คือ เคยค้างชำระ 1 - 30 วัน และเคยปรับโครงสร้างหนี้ ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565 เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่วงเงินไม่สูงมาก ให้สามารถรักษาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันทั้งบ้าน  และสถานประกอบการไว้ได้

มาตรการ “จ่าย ปิด จบ”  ขยายเพดานภาระหนี้ของลูกหนี้บุคคลธรรมดาที่เป็นหนี้เสีย (สถานะ NPL) เพื่อให้ความช่วยเหลือเพิ่มขึ้น โดย 1) สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน (unsecured loan)  เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล ขยายเพดานภาระหนี้คงค้างเป็นไม่เกิน 10,000 บาทต่อบัญชี และ 2) สินเชื่อที่มีหลักประกัน (secured loan) ซึ่งได้มีการบังคับหลักประกันแล้ว และมีวงเงินสินเชื่อไม่เกินกว่าที่กำหนด (วงเงินสินเชื่อบ้าน หรือ สินเชื่อ SMEs ไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อบัญชี) ขยายเพดานภาระหนี้คงค้างเป็นไม่เกิน 30,000 บาทต่อบัญชี เพื่อให้ลูกหนี้เหล่านี้สามารถเปลี่ยนสถานะการเป็นหนี้ จาก "หนี้เสีย" เป็น "ปิดจบหนี้" และเริ่มต้นใหม่ได้เร็วขึ้น

มาตรการ “จ่าย ตัด ต้น”  ซึ่งเป็นมาตรการใหม่สำหรับหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน (unsecured loan) ที่มียอดหนี้คงค้างไม่เกิน 50,000 บาทต่อบัญชี และเป็นหนี้เสีย (สถานะ NPL) โดยการปรับโครงสร้างหนี้ให้มีเงื่อนไขการผ่อนชำระคืนเป็นงวด (term loan) และผ่อนชำระร้อยละ 2 ของเงินต้นคงค้าง เป็นระยะเวลา 3 ปี ซึ่งค่างวดที่ชำระจะนำไปตัดเงินต้นทั้งจำนวน สำหรับดอกเบี้ยจะพักแขวนไว้ และจะได้รับยกเว้นดอกเบี้ยในระหว่างมาตรการหากลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดได้ ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระหนี้ให้กับลูกหนี้ทั้งในปัจจุบันและระยะต่อไปได้

นอกจากนี้ ธนาคารให้ความสำคัญกับการดูแลช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มให้สามารถปรับตัว และสร้างโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ โดยออกมาตรการความช่วยเหลือลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง  ทั้ง มาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม อีกทั้ง ยังร่วมขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน  ผ่านสินเชื่อรวมหนี้ข้าราชการยั่งยืน สินเชื่อกรุงไทยรวมหนี้(ภาคประชาชน)  เพื่อช่วยเหลือลูกค้า ด้วยการมัดรวมหนี้ทุกประเภทมาไว้ที่กรุงไทย และ สินเชื่อกรุงไทยบ้านแลกเงิน ที่ช่วยให้ลูกค้า เสริมสภาพคล่องการทำธุรกิจและเพิ่มความคล่องตัวในการดำรงชีพ 

ธนาคารยึดมั่นในแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว โดยลูกค้าที่มีความประสงค์เข้าร่วมโครงการ “คุณสู้ เราช่วย เฟส 2”   สามารลงทะเบียนได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา หรือลงทะเบียนผ่านช่องทางเว็บไซต์ธนาคารกรุงไทย https://krungthai.com/link/khunsoo หรือเว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย www.bot.or.th/Khunsoo โดยลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 – 30 กันยายน 2568

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Krungthai Contact Center 02 111 1111 กด 99 หรือ สายด่วนแบงก์ชาติ โทร. 1213 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก https://krungthai.com/link/khunsoo

“ดีพร้อม” เปิดแผนปี 69 หนุน SME สู้สงครามการค้า ดันผู้ผลิตไทยรุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าครบวงจร

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม เร่งจัดทำแผนงบฯ ปี 69 รับมือสงครามการค้า หนุนเอสเอ็มอี ปรับตัวใน 7 ด้าน พร้อมเดินหน้าช่วยเหลือในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ตลอดจนการยกระดับผู้ประกอบการ ชิ้นส่วนยานยนต์ไทยให้เข้าสู่ห่วงโซ่การผลิตยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (xEV)

วันที่ 17 มิถุนายน 2569 นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ภายหลังการประกาศนโยบายการค้าและเศรษฐกิจ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ดีพร้อมได้มีการจัดทำแผนรับมือกับสงครามการค้าที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมไทย (เอสเอ็มอี) โดยบรรจุแผนดำเนินการเหล่านี้ในคำขอโครงการปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ซึ่งจะให้ความสำคัญกับกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบ หรือมีความเสี่ยงสูง เพื่อให้ปรับตัวได้ทันต่อสถานการณ์และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน 

สำหรับแนวทางการดำเนินงานในปี 2569 ดีพร้อมจะมุ่งส่งเสริม “Learning & Adaptation เรียนรู้ และปรับตัว” พัฒนาองค์ความรู้ด้านต่างๆ เพื่อพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ ด้านกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ ทรัพย์สินทางปัญญา ข้อกำหนดใหม่ กฎระเบียบการนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ด้านการตลาดดิจิทัล การบริหารจัดการยุคใหม่ การใช้เทคโนโลยี การบริหารความเสี่ยง แผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP) และเรียนรู้แนวทางการปรับกลยุทธ์ธุรกิจ รวมทั้งส่งเสริม “การปรับกลยุทธ์ธุรกิจ” เพื่อให้ผู้ประกอบการปรับตัวใน 7 ด้าน ได้แก่ 1.ส่งเสริมกระจายความเสี่ยงจากตลาดเดียว โดยลดการพึ่งพาตลาดส่งออกตลาดเดียว หาตลาดใหม่ และใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้ากับประเทศต่างๆให้ได้มากที่สุด 2.ยกระดับมาตรฐานสินค้า ซึ่งจะผลักดันให้เอสเอ็มอียกระดับมาตรฐานสากล สร้างมูลค่าเพิ่ม และสร้างความสามารถในการแข่งขัน

3.ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและดิจิทัล ในการปรับโมเดลธุรกิจและเข้าร่วมแพลตฟอร์มระหว่างประเทศ 4.บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการปรับกระบวนการผลิตให้ประหยัดพลังงาน ลดการใช้ทรัพยากร และลดความสูญเสีย 5. ติดตามข่าวสารและวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงนโยบาย โดยการติดตามสถานการณ์ ประเมินผลกระทบต่อสินค้าและธุรกิจ 6. เตรียมความพร้อมด้านกฎระเบียบและกติกาสากล โดยการทำความเข้าใจกฎ และมาตรการทางการค้าของประเทศปลายทาง และ 7.ส่งเสริมการเข้าร่วมโครงการสนับสนุนของภาครัฐ 

นอกจากนี้ ยังได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่มุ่งเน้นในสาขาอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐ เช่น กลุ่มสินค้าเกษตร กลุ่มไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ กลุ่มอุตสาหกรรมที่ประเทศคู่แข่งโดนภาษีต่ำกว่า และกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากตลอดห่วงโซ่การผลิต เป็นต้น 

นางสาวณัฏฐิญากล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบสงครามการค้า ดีพร้อมจะให้ความสำคัญกับผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เป็นอันดับแรก ทั้งในเรื่องของการพัฒนาบุคลากรในด้านต่างๆ และการเข้าให้คำปรึกษาในสถานประกอบการ นอกจากนี้ จะเร่งพัฒนาผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศที่ต้องการเข้าสู่ห่วงโซ่การผลิตของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันจะเน้นการพัฒนาศักยภาพผู้ผลิตชิ้นส่วนให้สามารถรองรับการขยายตัวของการผลิตรถยนต์ไฮบริด (HEV และ mild HEV) ในอนาคต ซึ่งมาพร้อมกับการลงทุนผลิตชิ้นส่วนไฟฟ้าสำคัญ (e-Parts) ใหม่ๆ ในประเทศหลายชิ้น เช่น Battery, Traction Motor และ Inverter เป็นต้น 

#ดีพร้อม #SME #สงครามการค้า #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

กาง 5 เทรนด์ธุรกิจสำคัญรับมือปี 2025 “ซีเค เจิง” ซีอีโอ Fastwork แนะ SME พลิกวิธีคิด-สร้างความต่าง-เจาะ Niche Market

กาง 5 เทรนด์ธุรกิจสำคัญ รับมือปี 2025 “ซีเค เจิง” ซีอีโอ Fastwork แนะ SME พลิกวิธีคิด-สร้างความต่าง-เจาะ Niche Market

“สมมติเราเปรียบเทียบประเทศต่างๆ กับเรื่องดินสอ อเมริกาก็คือประเทศที่คิดค้นดินสอ ญี่ปุ่นคือประเทศที่คิดค้นดินสอกด เพื่อแก้ Pain Point ของดินสอที่ต้องคอยเหลา จีนผลิตดินสอได้ถูกที่สุด อิตาลีทำดินสอให้สวยที่สุด สบายที่สุด แพงที่สุด ขณะที่ไทยเราเป็นเพียง…ผู้บริโภค”

ประโยคข้างต้น คือช่วงเปิดการบรรยายพิเศษ (Special Talk) ของ ซีเค เจิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟาสต์เวิร์ค เทคโนโลยีส์ จำกัด (Fastwork) ในงานมอบรางวัล “เซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน 2025” จัดโดย บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และ 3 พันธมิตร กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อให้ความรู้แก่เอสเอ็มอีที่เข้าร่วมฟังทั้งหน้างานและช่องทางออนไลน์

โดยไทยเรามีความสามารถในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เช่น สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ChatGPT แต่เราไม่ค่อยมีวัฒนธรรมว่าเราต้องคิดค้นหรือสร้างเอง เราคุ้นชินกับการเป็นศูนย์กลางการค้า (Trading Hub) ตั้งแต่ในประวัติศาสตร์ และเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงวิธีคิดนี้ ไม่ใช่มุ่งแข่งขันการผลิตและขายสินค้าราคาถูก สิ่งที่ไทยทำได้ คือ “คิดให้แตกต่าง” พร้อมทั้งยกตัวอย่าง 5 เทรนด์ธุรกิจสำคัญ (Key Business Trends) สำหรับปี 2025

1.Niche products are winning สินค้าที่เจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม คือสินค้าที่กำลังได้รับชัยชนะ ขณะที่สินค้าที่ขายทุกคน คือสินค้าที่ขายไม่ออก เช่น แบรนด์ใหม่ๆ อย่าง Hoka ที่เลือกทำตลาดเฉพาะ เช่น การขายรองเท้าปีนเขาที่ดีที่สุด และแบรนด์ On ที่ลงมาทำตลาดแบบ Customization เป็นรองเท้าเฉพาะสำหรับแต่ละบุคคล ผ่านเทคโนโลยีการผลิตแบบล้ำๆ ก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์ดาวรุ่ง มัดใจผู้บริโภคในยุคที่พฤติกรรมเปลี่ยน และชิงส่วนแบ่งตลาดจากแบรนด์ใหญ่ๆได้

อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ แก้วเก็บอุณหภูมิแบรนด์ Stanley ที่ตอนแรกชูฟังก์ชันเก็บความเย็น เก็บความร้อนได้ พร้อมลวดลายที่ดูหนักแน่น เพื่อเจาะตลาดผู้ชายตกปลา ปีนเขา แคมปิ้ง ผจญภัย แต่พอพบว่าผู้ชายไม่ค่อยซื้อแก้ว แบรนด์ Stanley จึงปรับมาทำแก้วแบบสีพาสเทล พร้อมทั้งเปลี่ยนมุมมองจากการขายแก้ว มาเป็นการ “ขายแรงบันดาลใจให้แก่ผู้หญิงที่ต้องการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพผิวที่ดี” ด้วยการมีแก้วสวยๆ ทำให้บริษัทมีรายได้ถึง 750 ล้านเหรียญสหรัฐ พลิกวิธีการเจาะตลาดสินค้าที่ทุกคนต่างเคยมองว่าเป็น “Red Ocean” ขายยังไงก็ไม่รวย

2.Small luxury หากเทียบวันนี้กับ 50 ปีที่แล้ว คนยุคใหม่ทำงานมากขึ้น แต่มีความสามารถในการซื้อสินทรัพย์ขนาดใหญ่ เช่น บ้าน ลดน้อยลง เพราะหากจะซื้อบ้านหนึ่งหลัง ต้องเป็นหนี้ถึง 30 ปี พร้อมมีดอกเบี้ยต่อเนื่อง แต่ผู้คนยังคงต้องการแสวงหา “ของขวัญ” ที่สามารถให้เป็นรางวัลตอบแทนการทำงานหนักของตัวเองแบบเป็นชิ้นเป็นอัน เราจึงเริ่มเห็นเทรนด์ Small Luxury หรือความหรูหราที่ยังพอเข้าถึงได้ เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เช่น กระเป๋าเดินทางใบละ 60,000 บาท มื้ออาหารแบบ Fine Dining ครีมกระปุกละ 25,000 บาท ไปจนถึงน้ำยาล้างมือขวดละ 1,200 บาทในช่วง COVID-19

3.Out of the box product variation strategy เป็นการตลาดที่นอกกรอบจากสินค้าของตัวเอง เช่น กรณี AirBNB แพลตฟอร์มจองที่พัก ที่ว้าวมากในปี 2012 แต่ผู้บริโภคเริ่มไม่ว้าวเหมือนเดิม บริษัทจึงตัดสินใจนำกำไรตัวเองไปสร้างบ้านแบบว้าวๆ ปล่อยเช่าผ่าน AirBNB เช่น บ้านบาร์บี้ บ้าน Shrek ห้องเฟอร์รารี บ้านที่ลอยได้จริงๆ แบบในเรื่อง Up หรือกรณีของ Burger King ที่ทำ The Real Cheese Burger ที่มีแต่ชีสล้วนๆ ออกมาให้ลูกค้าลอง ก็สามารถสร้างกระแสการตลาดให้คนจดจำ

4.Making boring products interesting ทำให้สินค้าที่คนมองข้ามน่าสนใจมากขึ้น เช่น น้ำยาซักผ้า ที่ทุกแบรนด์มักสื่อสารแบบตะโกนด้วยสีสดๆ ฝาใหญ่ๆ เหมือนกันหมด แต่มีแบรนด์ในสหรัฐอเมริกา ชื่อ Mozi Wash ที่เลือกสร้างความแตกต่างด้วยการ “กระซิบ” บอกแค่ว่าเป็นน้ำยาซักผ้า ใช้แพ็กเกจจิ้งที่เรียบง่าย แต่พอวางอยู่บนชั้นวางสินค้าเทียบกับแบรนด์อื่นที่แข่งกันตะโกน ก็ดูกลายเป็นสินค้าที่แตกต่างและโดดเด่นขึ้นมา หรือแบรนด์น้ำดื่มในสหรัฐอเมริกา Liquid Death ขึ้นแท่นเป็นแบรนด์ยอดขายอันดับต้นๆ ด้วยการทำแพ็กเกจจิ้งเหมือนกระป๋องเบียร์สีดำ ขายความเท่ตอนดื่มน้ำให้แก่เหล่าเด็กๆ

5.Personal brand actually makes a huge difference เช่น Salt Bae ที่ขายความแตกต่างด้วยท่าโรยเกลืออันเป็นเอกลักษณ์ หรือแม้กระทั่งตัวเขาเอง ที่ปัจจุบันมียอดการเข้าถึงใน Tiktok กว่า 47 ล้าน Instagram กว่า 40 ล้าน Youtube 32 ล้าน และ Facebook กว่า 30 ล้าน โดยที่ไม่ได้ซื้อโฆษณา

“แบรนดิ้ง คือสิ่งที่สร้างความลำเอียง และคือสิ่งที่คนดูหรือลูกค้ามอบให้กับเรา ตอนขายสินค้า ต้องไม่ขายแค่ฟังก์ชันอย่างเดียว แต่ต้องขายความลำเอียงนี้ให้ได้ด้วย ความลำเอียงจะทำให้เราโดดเด่น และที่สำคัญต้องอย่าทำ  แบรนดิ้งเพื่อหวังความดัง คุณต้องมีคอนเทนท์หรือสิ่งที่อยากแก้ปัญหาบางอย่างให้คนดู ถึงจะมีโอกาสสร้างแบรนดิ้งให้ตัวเอง” ซีเค ย้ำทิ้งท้าย

การบรรยายพิเศษในงานดังกล่าว อัดแน่นด้วยการให้ความรู้สำหรับเอสเอ็มอีในการปรับตัว สร้างความต่าง รวมถึงวิธีคิดในการเจาะ Niche Market และจบลงด้วยการให้กำลังใจส่งท้ายของ ยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะเจ้าของงานว่า รางวัลเซเว่น เลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน ก็ไม่ใช่เพียงการมอบรางวัล แต่เป็นการ “มอบแรงบันดาลใจ” ให้แก่เอสเอ็มอีที่มุ่งมั่นพัฒนาตัวเอง รวมถึงเอสเอ็มอีรายอื่นๆ ในการพัฒนาศักยภาพตัวเองต่อไป

“Asia DigiCommerce Services Expo 2025” ปักหมุด ดันไทยสู่ศูนย์กลางอีคอมเมิร์ซเอเชีย  หนุน SME สู่การค้าไร้พรมแดน

บ.ยูนิเอ็กซ์ เอ็กซโป เตรียมจัดงาน “Asia DigiCommerce Services Expo 2025” รวมระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซครบวงจรทั่วเอเชีย ตั้งเป้าหมายเป็นศูนย์กลางเชื่อมผู้ซื้อและผู้ขาย สร้างเครือข่ายและพันธมิตรธุรกิจระดับภูมิภาค พร้อมเปิดเวทีให้ SME ไทยต่อยอดสู่ตลาดโลก ระหว่างวันที่ 11–13 มิถุนายน 2568 ณ ฮอลล์ 8 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 

วันที่ 2 มิถุนายน 2568 นางสาวอาบี ลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิเอ็กซ์ เอ็กซโป จำกัด เผยความพร้อมการจัดงาน Asia DigiCommerce Services Expo 2025 เมีเป้าหมายสำคัญคือการเปิดประตูเชื่อมโยงตลาดเอเชียสู่ตลาดโลก ด้วยแนวคิดให้เวทีนี้เป็นพื้นที่ของการเปลี่ยนผ่านไปสู่การค้าไร้พรมแดน (Borderless Digital Trade) ที่แท้จริง รวมผู้เล่นสำคัญในระบบนิเวศดิจิทัลไว้ครบครัน ทั้งแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ผู้ให้บริการเทคโนโลยี  โลจิสติกส์ ฟินเทค และผู้ประกอบการ SME ที่มองเห็นศักยภาพของการเติบโตในเศรษฐกิจดิจิทัล

ทั้งนี้ ภาพรวมตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซรวม ในปี 2024 ประมาณ 2.3 ล้านล้านบาท เติบโตขึ้น 13.7% จากปี 2023 โดยสัดส่วนของอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน คิดเป็น 30% ของตลาดอีคอมเมิร์ซทั้งหมดในประเทศไทย/ มูลค่าการค้าชายแดนและข้ามพรมแดน ในปี 2024 อยู่ที่ 1.8 ล้านล้านบาท เติบโตขึ้น 6.1% จากปีก่อนหน้า โดยการค้ากับจีนมีมูลค่าสูงสุดที่ 479.87 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.7% จากปีก่อนหน้า สูงสุดเป็นประวัติการณ์

นายดุสิต อนันตรักษ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “เสริมศักยภาพ SME ไทย สู่การเติบโตทางดิจิทัลระดับโลก” โดยเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของ SME ไทยกว่า 3 ล้านราย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 99.5% ของธุรกิจในประเทศ ที่ต้องเร่งปรับตัวให้ทันกับโลกดิจิทัล “เราไม่ได้พูดถึงแค่การปรับตัว แต่พูดถึงการ ‘เติบโต’ ด้วยแนวคิดใหม่ กลยุทธ์ใหม่ และการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ทั้งด้านเทคโนโลยี บุคลากร และการสร้างความเชื่อมโยงกับตลาดโลก โดยเฉพาะผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลและระบบอีคอมเมิร์ซ

ทั้งนี้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมมุ่งส่งเสริม SME อย่างเป็นระบบ ผ่าน 3 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ 1) การยกระดับเทคโนโลยีดิจิทัลในธุรกิจ เช่น AI, Automation, E-Commerce 2) การพัฒนาทักษะบุคลากร ทั้ง Upskill และ Reskill  3) การเชื่อมโยงเครือข่ายการค้าระหว่างประเทศ ผ่านกิจกรรม Business Matching และแพลตฟอร์มดิจิทัล

สำหรับในช่วงท้ายงานกับเสวนาในหัวข้อ “การค้าดิจิทัลของเอเชีย: พรมแดนใหม่” โดยกูรูจากองค์กรชั้นนำ ร่วมแชร์วิสัยทัศน์ อาทิ คุณเจริญ หิรัญตระกูล Senior Manager Business Development & Partnership, SEA PINGPONG PAYMENT, คุณณัฐคม รุ่งรัศมี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โรเจอร์ กรุงเทพ จำกัด, คุณณัฐภพ มะลิ ผู้อำนวยการ ฝ่ายปฏิบัติการขนส่ง บริษัท นิ่มเอ็กซ์เพรส จำกัด, กลุ่มบริษัทนิ่มซี่เส็ง และ คุณธีรพล อำไพ ผู้เชี่ยวชาญด้าน MarTech และ AI, สมาคมเทคโนโลยีเพื่อการตลาด และ อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย   

งาน Asia DigiCommerce Services Expo 2025 ถือเป็นเวทีแรกในไทยที่รวมระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซแบบครบวงจรจากทั่วเอเชีย  โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นศูนย์กลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ในระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซ อาทิ แพลตฟอร์มการขายออนไลน์ เจ้าของร้านค้า ผู้สนับสนุนด้านเทคโนโลยี โซลูชันการชำระเงินข้ามพรมแดน ผู้ให้บริการด้านห่วงโซ่อุปทานและโลจิสติกส์ ผู้จำหน่ายด้านคลังสินค้าและการจัดจำหน่าย ได้มีโอกาสมาพบปะ เพื่อเป็นการสร้างฐานเครือข่ายและพันธมิตรทางการค้าและธุรกิจระหว่างประเทศ และเปิดโอกาสให้ SME ไทย และผู้ประกอบการจากทั่วภูมิภาค ได้ต่อยอดการค้าไร้พรมแดน

ไฮไลท์ภายในงาน ประกอบด้วย 
• กิจกรรม Business Matching กับผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์และแพลตฟอร์มจากจีนและทั่วเอเชีย
• สัมมนาเชิงลึกกว่า 10 หัวข้อ ใน 3 วัน ร่วมถกทิศทางเทคโนโลยี โลจิสติกส์ และกลยุทธ์อีคอมเมิร์ซ
• นวัตกรรมจากพันธมิตรชั้นนำ อาทิ AirMate: โซลูชันอากาศระดับโลกจากเยอรมนี, Asia Global: ระบบ Cold Chain ข้ามพรมแดนแบบดิจิทัล, Easttop: เครือข่ายโลจิสติกส์แบบลดต้นทุนได้ถึง 30% และ Shenzhen Port: ท่าเรือยุทธศาสตร์ของโลกจากจีน เป็นต้น  

"กรุงศรี" พร้อมเคียงข้างผู้ประกอบการ SME ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว สนับสนุนสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูกิจการ

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เดินหน้าให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประกอบการ SME ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ด้วยการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อใช้ในการฟื้นฟูกิจการที่ได้รับความเสียหายให้สามารถประกอบอาชีพหรือดำเนินธุรกิจต่อได้ โดยสามารถยื่นขอสินเชื่อดังกล่าวได้ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ทุกสาขา ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2568 – 30 ธันวาคม 2568 หรือจนกว่าวงเงินโครงการจะหมด

วันที่ 11 เมษายน 2568 นางสาวดวงกมล ลิมป์พวงทิพย์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจ SME ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ธนาคารกรุงศรี ตระหนักถึงความเดือดร้อนและความเสียหายของผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เราขอส่งกำลังใจไปยังทุกท่าน และพร้อมยืนหยัดเคียงข้างผู้ประกอบการ SME ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ โดยนอกเหนือจากมาตรการช่วยเหลือที่ทางธนาคารกรุงศรีได้นำเสนอให้กับลูกค้าสินเชื่อ SME ของธนาคารไปแล้วก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการลดค่างวดหรือพักเงินต้นสูงสุด 6 เดือน กรุงศรียังพร้อมสนับสนุนสินเชื่อ SME เพื่อผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแนวทางการช่วยเหลือเพิ่มเติมสำหรับ SME ทุกกลุ่ม ทุกขนาด ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติแผ่นดินไหว เพื่อใช้ในการปรับปรุงซ่อมแซมร้านค้าหรือสถานประกอบการ หรือในกรณีที่มีทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบกิจการเสียหาย และต้องการซื้อทรัพย์สินทดแทน รวมทั้งเป็นเงินทุนเพื่อสนับสนุนให้กิจการสามารถกลับมาดำเนินงานต่อได้โดยเร็วที่สุด”

โดยสินเชื่อ SME เพื่อผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว เป็นการสนับสนุนเงินทุนให้กับทั้งลูกค้าสินเชื่อ SME ของธนาคารกรุงศรี และลูกค้าใหม่ ในรูปแบบของวงเงินกู้ระยะยาว (Term Loan) ผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 10 ปี วงเงินสูงสุดไม่เกิน 40 ล้านบาท ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ เริ่มต้น 3.5% ต่อปี นาน 24 เดือน โดยมีหลักทรัพย์เป็นประกันสินเชื่อ

“กรุงศรีพร้อมเป็นแรงสนับสนุนให้ทุกธุรกิจสามารถฟื้นตัวและเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง เราเชื่อมั่นในพลังของผู้ประกอบการไทย และพร้อมอยู่เคียงข้างในทุกย่างก้าว เพื่อช่วยให้ทุกธุรกิจสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ไปได้” นางสาวดวงกมล กล่าวปิดท้าย

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจ สินเชื่อ SME เพื่อผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว (ลูกค้าสินเชื่อของธนาคารกรุงศรีและลูกค้าใหม่) สามารถติดต่อสอบถามข้อมูล หรือแจ้งความประสงค์ได้ที่ผู้ดูแลความสัมพันธ์ลูกค้าของธนาคาร หรือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา หรือศูนย์บริการลูกค้าธุรกิจกรุงศรี โทร.02-626-2626 และสำหรับลูกค้าของธนาคารกรุงศรีและบริษัในเครือ ที่ต้องการขอรับความช่วยเหลือผ่านมาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungsri.com/th/about-krungsri/about-us/overview/announce/ea...

#กรุงศรี #SME #ข่าววันนี้ #แผ่นดินไหว #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

สสว.เสริมแกร่ง SME ผนึกกำลัง 30 หน่วยงานจัดงาน “ปลดล็อกความสำเร็จ SME สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน” มุ่งยกระดับศักยภาพแบบพลวัต

สสว.ตอกย้ำความเชื่อมั่นการส่งเสริมเอสเอ็มอีไทยภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ปี 2568 จับมือพันธมิตรภาครัฐ-เอกชน จัดงานใหญ่ “Unlock SME Success : Leading the Way to Sustainable Growth : ปลดล็อกความสำเร็จเอสเอ็มอี สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน” งานที่รวมทั้งสัมมนาจากตัวแทนภาครัฐซึ่งเป็นหัวขบวนหลักในการส่งเสริม SME ของประเทศ และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์/เคล็ดลับธุรกิจจาก เอสเอ็มอีต้นแบบ พร้อมนำเสนอโครงการส่งเสริมเอสเอ็มอีจาก 32 หน่วยงาน รวมกว่า 90 โครงการ งบประมาณ 4,758 ล้านบาท ที่เดินหน้าเพิ่มขีดความสามารถและขยายโอกาสเอสเอ็มอี ทั่วประเทศในรอบปี 68 
 
นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า จากบทบาทภารกิจของ สสว. ที่เป็นหน่วยงานหลักในการกำหนดนโยบาย และแผนการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ของประเทศ โดยบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนและทำหน้าที่เป็น System Integrator ในการขับเคลื่อนและสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมเอสเอ็มอี ผ่านแผนปฏิบัติการส่งเสริมเอสเอ็มอี ประจำปี เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อน และบรรลุเป้าหมายในการส่งเสริมเอสเอ็มอี โดยในปี 2568 นี้ ภายใต้แผนปฏิบัติการส่งเสริมเอสเอ็มอี ซึ่งมีหน่วยงานภาครัฐเข้ามาร่วมขับเคลื่อนจาก 10 กระทรวง รวม 32 หน่วยงาน จำนวนรวม กว่า 90 โครงการ งบประมาณทั้งสิ้น 4,758 ล้านบาท ที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วประเทศ และเพื่อเผยแพร่ข้อมูลโครงการต่างๆ ไปสู่ผู้รับประโยชน์ในวงกว้าง สสว. จึงจัดงานสัมมนาในหัวข้อ “Unlock SME Success : Leading the Way to Sustainable Growth : ปลดล็อกความสำเร็จ SME สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน” ขึ้นในวันนี้

รักษาการ ผอ.สสว. เผยอีกว่า การจัดงานครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่แผนปฏิบัติการส่งเสริมเอสเอ็มอี ประจำปี 2568 และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี รวมทั้งผู้สนใจ ได้รับทราบแนวทางการส่งเสริมและเข้าถึงข้อมูลโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีทั้งโครงการใหม่ที่จะช่วยให้เอสเอ็มอีปรับตัวได้ทันสถานการณ์ และโครงการต่อเนื่องที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน และองค์ความรู้ที่จำเป็นในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งภายในงานมีบูทประชาสัมพันธ์โครงการและบริการต่าง ๆ จากหน่วยงานภายใต้แผนปฏิบัติการฯอาทิ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กิจกรรมไฮไลท์เป็นการบรรยายในหัวข้อ “Unlock Gov Power เปิดเกมหนุน SME ไปให้สุด” โดยผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ อาทิ สสว. กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และเวทีเสวนา “Unlock Winning Moves เคล็ดลับ SME โตไวแบบตัวจริง” โดยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ต้นแบบ ได้แก่ นายธีระพงศ์ ระบือธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด นางสาวภาวิณี แว่วเสียงสังข์ กรรมการบริหาร บริษัท ไบโอฟอร์ม (ประเทศไทย) จำกัด นายกรวุฒิ ลาภปรารถนา CEO & Founder บริษัท เทคอัพ เทรนนิ่ง จำกัด มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และปิดท้ายในหัวข้อ “Unlock Growth Together ปลดล็อกอุปสรรค SME สู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน” โดยกูรูผู้เชี่ยวชาญ นางสาวกุลธิรัตน์ ภควัชร์ไกรเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เทค อี-บิสสิเนส เซ็นเตอร์ จำกัด และนายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย

“เชื่อว่าจัดงานครั้งนี้ จะช่วยชี้แนะแนวทางและช่วยให้ผู้ประกอบการสามารเข้าถึงการพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน เพราะท่ามกลางอุปสรรคที่เข้ามากระทบอย่างหลากหลาย เอสเอ็มอีจำเป็นจะต้องเร่งปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงในทุกมิติอย่างรวดเร็ว สร้างความยืดหยุ่นในการประกอบธุรกิจ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เร่งยกระดับสินค้าและบริการ ตลอดจนสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางธุรกิจที่สามารถเชื่อมโยงและนำไปต่อยอดเพื่อสร้างโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืน” รักษาการ ผอ.สสว. กล่าว

อย่างไรก็ดี สำหรับแนวทางการส่งเสริมเอสเอ็มอี ภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ประจำปี 2568 นอกเหนือจากการมุ่งสร้างการเติบโตที่ครอบคลุมเอสเอ็มอีทุกกลุ่ม การสร้างการเติบโตแบบมุ่งเป้าด้วยการใช้ตลาดเป็นตัวนำทั้งตลาดในประเทศและตลาดสากล และการพัฒนาสภาพแวดล้อมด้านต่าง ๆ ให้สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจแล้ว ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมใน 3 ประเด็นท้าทายหลัก ได้แก่ 1.การส่งเสริมเอสเอ็มอีให้ปรับเปลี่ยนธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation) 2.การผลักดันให้เอสเอ็มอีเปลี่ยนผ่านไปสู่ธุรกิจสีเขียว (Green Transition ) และ 3.การสนับสนุนเอสเอ็มอีเพิ่มมูลค่าและโอกาสให้ธุรกิจด้วย Soft Power เป็นต้น โดยผลลัพธ์ของแผนตั้งเป้าหมายว่าจะเพิ่มสัดส่วน GDP ของเอสเอ็มอีให้เป็น 37.3% ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาครัฐ และการส่งออกที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง

กรุงศรี SME สานต่อขับเคลื่อนความยั่งยืนและดิจิทัล ควบคู่ดูแลคุณภาพสินทรัพย์ มุ่งเน้นใกล้ชิดลูกค้า ผ่านการให้คำปรึกษาเชิงรุก

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) เผยกลยุทธ์กลุ่มงานลูกค้าธุรกิจ SME ในปี 2568 ยังคงสานต่อกลยุทธ์ 3GO อันประกอบด้วย ‘GO Green, GO Digital และ GO Beyond’ พร้อมเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตของสินเชื่อและคุณภาพสินทรัพย์ โดยนำเสนอโซลูชันที่ตอบโจทย์ครอบคลุมทั้งการดำเนินธุรกิจตามกรอบ ESG การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม รวมถึงแพลตฟอร์มที่ช่วยสร้างโอกาสธุรกิจ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพและความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจไทย รวมถึงให้ความสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ผ่านการเยี่ยมเยือนและให้คำปรึกษาเชิงรุกเพื่อตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละราย

เมื่อวันที่ 19 มี.ค.68 นางสาวดวงกมล ลิมป์พวงทิพย์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจ SME ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับความท้าทายสำคัญ โดยเฉพาะปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันในแต่ละภาคส่วน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินธุรกิจและการเติบโตของผู้ประกอบการ SME โดยเรามองว่ายังคงมีความเปราะบาง ทั้งนี้ กรุงศรียังคงสนับสนุนลูกค้าอย่างต่อเนื่องผ่านมาตรการช่วยเหลือ ส่งมอบโซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการ และการสร้างโอกาสทางธุรกิจที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถฟื้นตัวจากผลกระทบต่างๆ พร้อมทั้งพัฒนาแนวทางในการเสริมสร้างความยั่งยืนทั้งในด้านการเงินและสิ่งแวดล้อม โดยยึดหลักการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม เพื่อให้ลูกค้าก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง โดยในปี 2567 ยอดสินเชื่อคงค้างของกลุ่มลูกค้าธุรกิจ SME อยู่ที่กว่า 337,264 ล้านบาท” 

สำหรับทิศทางการดำเนินงานและกลยุทธ์ในปี 2568 นี้ ธนาคารยังคงสานต่อความสำเร็จจากกลยุทธ์ 3GO จากปีที่ผ่านมา      

•GO Green: การสนับสนุนการดำเนินธุรกิจตามกรอบของ ESG ซึ่งในปีที่ผ่านมา กรุงศรี ได้นำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์สินเชื่อ SME เพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) ประกอบด้วย 4 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ สินเชื่อสำหรับธุรกิจที่เป็นผู้ผลิต ผู้ติดตั้ง ผู้ค้าผลิตภัณฑ์ หรือผู้ให้บริการโซลูชันเพื่อสร้างความยั่งยืน สินเชื่อสำหรับธุรกิจที่ทำการลงทุนผลิตและขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ สินเชื่อสำหรับธุรกิจทั่วไปที่ต้องการลงทุนเพื่อบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม และสินเชื่อสำหรับการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเพื่อธุรกิจ อย่างไรก็ตาม พบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังมีความรู้ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องในเรื่อง ESG โดยแนวทางในปี 2568 จะยังคงสานต่อการให้คำปรึกษาร่วมกับการสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของ ESG ผ่านกิจกรรมต่างๆ ต่อเนื่อง ได้แก่ Krungsri ESG Academy รุ่นที่ 2 Krungsri ESG Awards 2568 ที่จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และงานสัมมนา Krungsri-MUFG Sustainability Forum

•GO Digital:  ในปีที่ผ่านมา กรุงศรีมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลให้ครอบคลุมและครบวงจรสำหรับลูกค้า  SME ทุกขนาด ส่งผลให้ปริมาณการใช้บริการดิจิทัลแบงก์กิ้งเพื่อธุรกิจ Krungsri Biz Online เติบโตสูงถึง 70% และยังได้พัฒนา Krungsri Supply Chain and Banking Solution ที่ช่วยบริหารจัดการธุรกรรมทางการเงินสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สำหรับปี 2568 กรุงศรีต่อยอดการพัฒนา "Krungsri The Living Room...One Place for Business" แพลตฟอร์มพอร์ทัลที่รวมผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของธนาคารและข้อมูลสำคัญ เช่น อัตราแลกเปลี่ยน ข้อมูลความรู้ด้าน ESG และอื่นๆ ภายในแหล่งเดียว ช่วยอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์และข้อมูลต่างๆ 

•GO Beyond:  การสนับสนุนลูกค้าในการขยายธุรกิจสู่ตลาดใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศผ่านการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระดับภูมิภาคและผลิตภัณฑ์บริการด้านการค้าต่างประเทศ โดยในปีที่ผ่านมา ได้มีการขยายฐานสมาชิก Krungsri Business Link แพลตฟอร์มจับคู่ธุรกิจทั้งในและต่างประเทศของธนาคาร โดยมีจำนวนรวมทั้งสิ้นกว่า 9,000 บริษัท และส่งผลให้เกิดการจับคู่เจรจาธุรกิจกว่า 254 คู่ ทั้งนี้ ในปี 2568 นอกเหนือจากการช่วยขยายตลาดให้กับลูกค้า กรุงศรีจะขยายการให้สินเชื่อเพื่อการค้าต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าใหม่ในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต ได้แก่ เกษตร อาหารและเครื่องดื่ม อิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ รวมถึงพัฒนาบริการด้านธุรกรรมระหว่างประเทศผ่านช่องทางดิจิทัล Krungsri TradeLink และ Krungsri CashLink ให้สะดวกและครอบคลุมบริการที่หลากหลายยิ่งขึ้น 

“ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจโลกปี 2568 ที่ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัย แม้เศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ผู้ประกอบการ SME ไทย ยังคงต้องเผชิญกับปัญหาด้านโครงสร้างภายในประเทศและการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างต่อเนื่อง ภายใต้สถานการณ์ความไม่แน่นอนดังกล่าว เราจึงมุ่งมั่นรักษาเสถียรภาพของสินเชื่อ SME สร้างสมดุลระหว่างการเติบโตและคุณภาพสินทรัพย์ เน้นการทำงานใกล้ชิดกับลูกค้าผ่านการเยี่ยมเยือนและให้คำปรึกษาเชิงรุกโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อร่วมกันวางแผนการบริหารความเสี่ยง พร้อมนำเสนอโซลูชันทางการเงินที่เหมาะสมและตอบโจทย์ โดยเน้นที่การสนับสนุนด้านสินเชื่อหมุนเวียน เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องและต่อยอดการทำธุรกิจ ทั้งนี้ กรุงศรี จะยังคงมุ่งมั่นสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนในฐานะพันธมิตรที่พร้อมเดินเคียงข้างผู้ประกอบการสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป” นางสาวดวงกมลกล่าว

 

"เผ่าภูมิ" ขันน็อต 7 ข้อ ผนึกกำลัง "บสย.-EXIM" อุ้ม SME ไทย

“เผ่าภูมิ” รวมพล SME D Bank ทั้งองค์กรทั่วประเทศ 2,000 คน ขันน็อต 7 ข้อ ผนึกกำลัง บสย. EXIM เข้าอุ้ม SME ไทย 

วันที่ 16 ก.พ.68 ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานนโยบายการสนับสนุน SME ไทยในปี 2568 ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) ให้แก่ผู้บริหารและพนักงานทั้งองค์กรกว่า 2,000 คน ทั่วประเทศ โดยได้กำหนดแนวทาง 7 ข้อ ดังนี้

1.“รักษาพันธกิจที่เป็นแก่นหลักของธนาคาร” นั่นคือการเข้าเติมเต็มภูมิทัศน์ทางการเงินของประเทศ เข้าทำภารกิจที่ธนาคารพาณิชย์ไม่อยากทำ นั่นคือการโอบอุ้ม SME ที่มีความเสี่ยงสูงให้เข้าถึงสินเชื่อ

2.“ประยุกต์ใช้ศาสตร์แห่งสมดุล” ระหว่างเสถียรภาพกับการเข้าช่วยเหลือ SME โดยการเข้าช่วย SME ธนาคารต้องบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม อย่าให้เกิดสภาวะเตี้ยอุ่มค่อม ต้องแบ่งสัดส่วนพอร์ตที่เหมาะสมระหว่างพอร์ตที่เอาไว้ดำรงเสถียรภาพ และพอร์ตที่ต้องเสี่ยงเพื่อเข้าอุ้ม SME

3.“ปล่อยสินเชื่อให้ครบทั้งห่วงโซ่การผลิต” โดยต้องวิเคราะห์ Supply Chain ของธุรกิจนั้นๆ และใช้สินเชื่อเข้าส่งเสริมให้ครบทั้งสายการผลิต ไม่ให้เกิดขอขวดของสินเชื่อในส่วนใดส่วนหนึ่งของธุรกิจ

4.“พุ่งเข้าหา SME” พึงระลึกว่าลูกค้าที่เข้ามาหาธนาคารเป็นลูกค้าที่แข็งแรง แต่ยังมี SME อีกจำนวนมากที่แทบไม่รู้จักธนาคารเรา ไม่รู้การทำบัญชีเพื่อขอสินเชื่อ ไม่รู้เรื่องหลักประกัน ไม่รู้กระบวนการ ในฐานะของสถาบันการเงินรัฐ ต้องพุ่งเข้าหาประชาชน พุ่งเข้าหา SME เข้าช่วยเหลือ เข้าให้ความรู้ เอาสินเชื่อให้ถึงมือประชาชน

5.“ผนึกกำลัง บสย. EXIM” โดยให้ทำงานร่วมกันระหว่างธนาคารกับกลไกค้ำประกันสินเชื่อ พึงระลึกว่า SME ปกติจะเสี่ยงสูง ธนาคารโดยลำพังไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ ให้จูงมือ บสย. ไปหา SME รวมถึง EXIM Bank ต้องไม่เกิดช่องว่าง การทำงานร่วมกันจะสามารถเชื่อมรอยต่อส่งเสริม SME ให้โตขึ้นและกระจายตลาดไปยังต่างประเทศได้

6.“ใช้ข้อมูลทางเลือก” เราไม่สามารถวัดความเสี่ยงด้านเครดิตของ SME จากข้อมูลหลักได้หมด เพราะคนเหล่านี้บางทีเขาไม่มี statement ไม่มีระบบบัญชีที่ดี ไม่มีหลักประกัน การใช้ข้อมูลทางเลือก เช่น ประวัติการชำระหนี้สาธารณูปโภค การจ่ายภาษี ข้อมูลการใช้จ่าย-การขายออนไลน์ เป็นต้น เป็นอีกหนึ่งแหล่งข้อมูลที่บ่งชี้ระดับความเสี่ยง SME ได้

7.“มุ่งแก้หนี้ Special Mention” ลูกหนี้กลุ่มนี้หากไม่เข้าช่วย จะไหลเป็นหนี้เสีย หากเข้าช่วยทัน ปรับโครงสร้างหนี้ทัน ดูแลทัน เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพกลายเป็นหนี้ดีได้ กลุ่มนี้จึงสำคัญมาก พนักงาน SME D Bank ต้องทุ่มแรงกาย แรงใจ ใส่ใจหนี้ก้อนนี้เป็นพิเศษ