ทีทีบี ร่วมกับ ศุภาลัย เปิดระบบ D.E.A.L. แพลตฟอร์มสินเชื่อดิจิทัลครบวงจร จัดโปร ดบ.คงที่ 3 ปีแรก 2.75% ต่อปี

นายอธิศ วงศ์ศศิธร (ขวา) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าผลิตภัณฑ์สินเชื่อมีหลักประกัน ทีเอ็มบีธนชาต และ นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม (ซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ร่วมเปิดตัว ระบบ D.E.A.L. (Digital Easy Application for Loan) ที่ศุภาลัยพัฒนาขึ้น เพี่อยกระดับกระบวนการขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร ซึ่งถือว่าเป็นแพลตฟอร์มสินเชื่อดิจิทัลที่ครบ จบในที่เดียว ตั้งแต่การประเมินความพร้อม เปรียบเทียบข้อเสนอ และเงื่อนไขสินเชื่อที่ตอบโจทย์ความสามารถในการผ่อนชำระ พร้อมติดตามผลอนุมัติ ช่วยให้กระบวนการยื่นกู้ขอสินเชื่อบ้านและคอนโดมิเนียมของลูกค้าศุภาลัยเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และมั่นใจได้ในทุกขั้นตอน พร้อมโปรโมชันสุดพิเศษ สำหรับลูกค้าศุภาลัยที่กู้สินเชื่อบ้านกับทีทีบี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปีแรก 2.75% ต่อปี สามารถเลือกผ่อนชำระได้นานสูงสุด 35 ปี พร้อมช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายกับ สิทธิ์ฟรี! ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์ และค่าเบี้ยประกันอัคคีภัยตลอดอายุสัญญา

ทีทีบี ยังคงเดินหน้ามอบบริการและประสบการณ์ที่ดีที่ช่วยให้คนไทยเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัย เพื่อมีบ้านเป็นของตัวเอง พร้อมหนุนให้กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว และยังคงเดินหน้าพัฒนาโซลูชันการเงินด้านที่อยู่อาศัยอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้คนไทยมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นรอบด้าน ทั้งวันนี้และอนาคต

สนใจดูรายละเอียดโครงการของศุภาลัยได้ที่ www.supalai.com หรือติดต่อเจ้าหน้าที่สินเชื่อบ้านทีทีบีประจำโครงการ หรือกรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ธนาคารติดต่อกลับได้ที่ https://www.ttbbank.com/th/personal/loans/home-loan/home-loan

กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว : อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.75% - 4.95% ต่อปี • สมมติฐานการคำนวณมาจากอัตราดอกเบี้ย MRR-1.680% ต่อปี • อัตราดอกเบี้ย MRR ณ วันที่ 15 ส.ค. 2568 = 7.305% ต่อปี • อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ • เงื่อนไขการสมัครและอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกําหนด • รายละเอียดการคำนวณเพิ่มเติมดูได้ที่เว็บไซต์ www.ttbbank.com

ซีเนียร์ คอม เปิดตัว “H-Meter Capital” ปฏิวัติวงการเช่าซื้อไทย ผู้นำด้านแพลตฟอร์มสินเชื่อดิจิทัล

“ซีเนียร์ คอม” เปิดตัว “H-Meter Capital” ชูเทคโนโลยีปฏิวัติวงการเช่าซื้อไทย ขับเคลื่อนสู่การเป็นผู้นำด้านแพลตฟอร์มสินเชื่อดิจิทัล โดย เป็นระบบปฏิบัติการธุรกิจเช่าซื้อ-ลีสซิ่งแบบครบวงจร รับมือ พ.ร.ฎ. ใหม่ ส่งรายงาน ธปท. ได้อย่างรวดเร็ว-แม่นยำ ย้ำ “ซีเนียร์ คอม“ มุ่งพัฒนาเพื่อคนไทย มั่นใจช่วยลดหนี้เสียครัวเรือน ยกระดับความโปร่งใสธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ

วันที่ 28 สิงหาคม 2568 บริษัท ซีเนียร์ คอม จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์และที่ปรึกษาด้านระบบสินเชื่อเช่าซื้อและบริหารจัดการดีลเลอร์ยานยนต์มายาวนานกว่า 33 ปี ประกาศเปิดตัวแพลตฟอร์มสินเชื่อดิจิทัลครบวงจร “H-Meter Capital Experience Version BOT Comply” อย่างเป็นทางการ ชูจุดเด่นเป็นเครื่องมือสำคัญช่วยให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบการ สามารถปรับตัวและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ใหม่ของพระราชบัญญัติการกำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อที่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2568 ได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ในฐานะบริษัทซอฟต์แวร์ไทยหวังใช้เทคโนโลยียกระดับมาตรฐานและความโปร่งใสของธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ สร้างความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภค และช่วยลดภาระหนี้ครัวเรือนในภาพรวมได้

นางสาวสุพนิต อึ่งอารี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (COO) บริษัท ซีเนียร์ คอม จำกัด กล่าวถึงวิกฤติหนี้ครัวเรือนไทยว่า ปัจจุบันหนี้ครัวเรือนไทยอยู่ในระดับ 87.4% ของ GDP ซึ่งถือเป็นหนึ่งในความเสี่ยงสำคัญต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจเช่าซื้อ-ลีสซิ่ง ที่มีสัดส่วนของหนี้ครัวเรือนกว่า 10% หรือมูลค่าถึง 1.6 ล้านล้านบาท

"ปัญหาหลักที่เราพบคือ ความรู้ความเข้าใจด้านการเงิน (Financial Literacy) ของผู้บริโภคในไทยโดยเฉพาะเรื่องเช่าซื้อยังไม่เพียงพอ เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ มักเข้าใจเพียงรายละเอียดพื้นฐาน เช่น ค่างวดที่ต้องชำระ อัตราดอกเบี้ย แต่จะละเลยข้อกำหนดแฝงในสัญญา สิทธิ์ และขั้นตอนเมื่อถูกยึดทรัพย์ รายละเอียดประกันภัยและค่าบริการเสริม รวมถึงเงื่อนไขปิดสัญญาก่อนกำหนด ดังนั้นการเข้ามาควบคุมดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างเสถียรภาพและปกป้องสิทธิของลูกหนี้“นางสาวสุพนิต กล่าว
 
ดังนั้น บริษัท จึงเปิดตัว H-Meter Capital: การปฏิวัติระบบเช่าซื้อ-ลีสซิ่ง ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้สถาบันการเงินสามารถปรับตัวได้ไวที่สุด และเริ่มต้นใช้งานได้ทันกับกำหนดการประกาศใช้ พ.ร.ฎ. เช่าซื้อ-ลีสซิ่ง ด้วยการทำงานแบบครบวงจร ใช้ได้ทั้งกลุ่มรายย่อยและรายใหญ่ สามารถบริหารจัดการสินเชื่อได้อย่างโปร่งใสและเป็นธรรม ซึ่งตอบโจทย์มาตรฐานของ ธปท. ได้อย่างสมบูรณ์
 
“สำหรับ แพลตฟอร์ม H-Meter Capital ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยทีมงานคนไทยเพื่อธุรกิจไทยโดยเฉพาะ ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานานกว่า 33 ปี ทำให้เข้าใจถึงความต้องการและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจอย่างลึกซึ้ง เพราะ H-Meter Capital ถูกออกแบบมาเป็น Turnkey Solution ที่ครอบคลุมการทำงานตั้งแต่การยืนยันตัวตน การตรวจสอบเครดิต การประเมินความเสี่ยง การสร้างใบคำขอสินเชื่อ การทำสัญญา การบริหารจัดการรายการชำระเงิน ไปจนถึงการติดตามหนี้" นางสาวสุพนิต กล่าว

ทั้งนี้ ไฮไลท์เทคโนโลยี H-Meter Capital ได้แก่ ระบบยืนยันตัวตนดิจิทัล (E-KYC) และ NDID เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ รวมทั้งเป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการช่วยประมวลผลและจัดทำเอกสารได้อย่างแม่นยำ รวมถึงการปรับเงื่อนไขสินเชื่อให้เหมาะสมกับลูกหนี้แต่ละราย

นอกจากนี้ ยังมีการคำนวณที่โปร่งใส โดยคำนวณยอดปิดบัญชีพร้อมอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรมตามสัญญา ทำให้ผู้ประกอบการสามารถปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของ พ.ร.ฎ. ได้อย่างไม่ยุ่งยากทั้งยังมี Dashboard สำหรับผู้บริหาร แสดงภาพรวมธุรกิจแบบ Real-Time วิเคราะห์ข้อมูล พยากรณ์กระแสเงินสดจากการรับชำระ อย่างไรก็ตาม อีกทั้งยังมีประโยชน์สำหรับทุกภาคส่วน เพราะระบบ Turnkey ที่เหนือกว่า

ขณะที่มุมมองของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่นั้น จะมีระบบที่ครบวงจรและมีประสิทธิภาพสูง พร้อมทีมงานมากประสบการณ์ช่วยบริหารจัดการการย้ายข้อมูลเก่าขึ้นระบบใหม่ได้ครบถ้วน พร้อมดำเนินงานต่อด้วยการออกแบบการ cut-over ที่มี downtime น้อยที่สุด เพื่อช่วยบริหารจัดการพอร์ตสินเชื่อขนาดใหญ่ได้อย่างราบรื่น ลดขั้นตอนร่างเอกสาร ส่งมอบรายงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

ส่วนด้านผู้ประกอบการรายย่อย จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการทำงาน เข้าถึงระบบมาตรฐานสูงในราคาที่เข้าถึงได้ ช่วยให้แข่งขันในตลาดได้อย่างเท่าเทียม และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร

ขณะที่ด้านมุมมองผู้บริโภค ต้องมุ่งเน้นเรื่องความโปร่งใสและเป็นธรรม โดยระบบที่ใช้ AI จะช่วยในการปรับเงื่อนไข โปรโมชั่นและคำนวณอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม ทำให้ผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรมและเข้าใจในรายละเอียดสัญญาอย่างชัดเจน

อีกทั้งยังช่วยลดภาระหนี้ ด้วยการคำนวณที่แม่นยำและเป็นธรรม ผู้บริโภคสามารถบริหารจัดการหนี้สินได้ดีขึ้น ลดโอกาสในการเกิดปัญหาหนี้เสียในระยะยาว
 
นางสาวสุพนิต กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน H-Meter Capital เริ่มให้บริการแก่บริษัทชั้นนำในวงการสินเชื่อเช่าซื้อและลีสซิ่งหลายแห่งมาระยะหนึ่งแล้ว โดยมีบัญชีผู้ใช้งานระบบ (concurrent user) กว่า 10,000 คน ปริมาณธุรกรรมเฉลี่ยกว่า 5 ล้าน รายการต่อเดือน และมีมูลค่าพอร์ตสินเชื่อที่บริหารจัดการผ่านระบบสูงกว่า 10,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานได้อย่างชัดเจน

ด้านแผนการต่อยอดเทคโนโลยีการเงินเพื่อขยายธุรกิจในอนาคต นางสุพิชชา อึงอารี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) กล่าวว่า แผนการขยายบริการของ H-Meter Capital ไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ ว่า “ระบบของ H-Meter Capital เป็นโซลูชันจัดการผลิตภัณฑ์การเงินที่เราออกแบบและพัฒนามาเพื่อลดความซับซ้อน และเร่งกระบวนการให้ผู้ประกอบการทุกขนาด ไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่หรือรายย่อย มีความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจและมีความโปร่งใส เป็นธรรมต่อผู้บริโภค ซึ่งการขยายการใช้งานจะเพิ่มมูลค่าทางการเงินในประเทศได้มาก 

“จากความสำเร็จในปัจจุบันซีเนียร์ คอม ยังคงเดินหน้าขยายศักยภาพของแพลตฟอร์ม H-Meter Capital สู่กลุ่มธุรกิจสินเชื่ออื่นๆ ได้แก่ Locked-Phone Financing, Agricultural Machinery Financing และ Home Loans สำหรับผู้ให้สินเชื่อที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Bank Lender) เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระดับครัวเรือนและสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน”นางสุพิชชา กล่าว 

ดีเดย์ 15 ก.ค. บสย.ค้ำประกันสินเชื่อดิจิทัล ผ่านแอปฯ ‘เงินดีดี’ ช่วย SMEs รายย่อยและอาชีพอิสระเข้าถึงสินเชื่อง่ายขึ้น

เริ่มแล้ว! 15 ก.ค. บสย. ค้ำประกันสินเชื่อดิจิทัลผ่านแอป ‘เงินดีดี’ เปิดโอกาสให้ SMEs รายย่อยและอาชีพอิสระเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น

วันที่ 15 กรกฎาคม 2568 บรรยากาศการเข้าถึงสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ SMEs รายย่อยและอาชีพอิสระเปิดกว้างขึ้นกับบริการ Digital Lending และ Digital Credit Guarantee ผ่านแอปพลิเคชัน “Good Money” โดยความร่วมมือระหว่าง บสย. และบริษัทลูกธนาคารออมสิน ผู้ให้บริการสินเชื่อดิจิทัลในไทย ซึ่งครั้งแรกในประเทศไทยที่จะมีบริการค้ำประกันสินเชื่อดิจิทัลอย่างครบวงจร

บริการค้ำประกันสินเชื่อดิจิทัล นี้มีเป้าหมายหลักในการช่วยให้ กลุ่มเปราะบาง หรือ Micro SMEs รายย่อย สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น โดยสามารถยื่นขอสินเชื่อได้ตั้งแต่ วันนี้ และจะได้รับสิทธิ์การค้ำประกันสินเชื่อโดยไม่มีค่าธรรมเนียมใน 3 ปีแรก ปีต่อไปจะมีค่าธรรมเนียม 1.5% ต่อปีจากยอดวงเงินค้ำประกันคงเหลือ และสามารถขอค้ำประกันได้ยาวถึง 7 ปี เริ่มต้นวงเงินค้ำประกันที่ 10,000 บาท

ผู้ประกอบการ SMEs ที่สนใจสามารถสมัครได้ง่ายๆผ่านแอปพลิเคชัน Good Money โดยการสมัครสินเชื่อและขอค้ำประกันสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชัน สามารถคลิกที่ลิงก์ https://goodmoneybygsb.go.link/4c69w หรือเข้าที่ LINE OA: @tcgfirst และยังมีเครื่องมือในการตรวจสุขภาพทางการเงินให้คำปรึกษาฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจาก บสย.

ข้อแนะนำ: ผู้ประกอบการควรกู้สินเชื่อที่จำเป็นและสามารถชำระคืนได้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาทางการเงินในอนาคต

#สินเชื่อดิจิทัล #บสย #GoodMoney #SMEs #ธุรกิจรายย่อย #ค้ำประกันสินเชื่อ #MicroSMEs #สินเชื่อเพื่อธุรกิจ #นาโนกู๊ดมันนี่ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

SME ไทยในคลื่นเศรษฐกิจโลกและแรงกดดันทางการค้า Funding Societies ชี้โอกาสของ SME ในยุคแห่งความผันผวน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกธุรกิจต้องเผชิญกับความผันผวนที่ทวีความรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์โรคระบาดใหญ่ทั่วโลก ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงแนวโน้มการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มขึ้น ล่าสุดมาตรการภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐอเมริกาได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปยังประเทศคู่ค้าหลายแห่ง โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯอย่างใกล้ชิด ความเชื่อมโยงทางการค้าระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกายังคงมีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ โดยในปี 2567 มูลค่าการค้ารวมระหว่างสองประเทศอยู่ที่ประมาณ 8.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นการส่งออกจากไทยไปยังสหรัฐฯ ราว 6.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่การนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เข้ามายังประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ และอาจเป็นแรงผลักดันให้รัฐบาลสหรัฐฯ เร่งดำเนินมาตรการเพื่อลดช่องว่างทางการค้า

นายวิกาส เจน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Funding Societies ประเทศไทย แพลตฟอร์มการเงินดิจิทัลแบบครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ให้มุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SME ที่เน้นการส่งออก มาตรการภาษีใหม่ที่ประกาศโดยสหรัฐฯ ในอัตราสูงสุดถึง 36% นั้น สูงกว่าที่ภาคธุรกิจเคยคาดการณ์ไว้มาก นายวิกาส กล่าวว่า "ถึงแม้ว่าจะมีการประกาศชะลอการบังคับใช้เป็นเวลา 90 วัน แต่ SME ไทยจำนวนมากมีเวลาเตรียมตัวน้อย หากคำสั่งซื้อถูกชะลอหรือยกเลิกเพื่อรอดูสถานการณ์ ธุรกิจ SME ที่ไม่มีแผนสำรองอาจเผชิญภาวะเงินฝืดเคืองทันที โดยเฉพาะสินค้าที่เน้นการส่งออก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร อาหารแปรรูป เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์เกษตร โลหะ ยางพารา และชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลให้ตัวเลขการส่งออกเกิดการหดตัวลงอย่างมีนัยยะ

นอกจากผลกระทบโดยตรงจากมาตรการภาษีนำเข้าแล้ว สิ่งที่น่าจับตามองไม่แพ้กันคือแนวโน้มที่สถาบันการเงินจะปรับเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อให้เข้มงวดขึ้นในภาวะเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ส่งผลให้แม้แต่ผู้ประกอบการ SME ที่มีศักยภาพก็อาจเผชิญความยากลำบากในการเข้าถึงแหล่งทุนได้อย่างทันท่วงที เพิ่มแรงกดดันต่อการดำเนินธุรกิจในช่วงเวลาที่ความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็วกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการอยู่รอด โดยภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้ สถานการณ์กลับเปิดทางให้ผู้ประกอบการรายใหญ่จากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน เข้าสู่ตลาดไทยด้วยการระบายสินค้าคงคลังจำนวนมากในราคาต่ำลงผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ซึ่งอาจส่งผลให้การแข่งขันทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น และยังอาจกระทบต่อข้อได้เปรียบด้านราคาและต้นทุนของผู้ประกอบการไทย ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางการตลาดที่ยังค่อนข้างเปิดและเอื้อต่อการเข้าถึง

ขณะเดียวกัน จีนยังเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเร่งขยายการค้าสู่ตลาดระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่างแข็งขัน ยิ่งซ้ำเติมแรงกดดันต่อผู้ประกอบการรายย่อยในประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นที่ผู้กำหนดนโยบายจะต้องเตรียมมาตรการสนับสนุนด้านการค้าและการเงินอย่างรอบด้าน เพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความท้าทายก็ยังมีโอกาสปรากฏให้เห็น โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการ SME ที่มีความคล่องตัวและสามารถปรับทิศทางสู่ตลาดภายในประเทศ หรือใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเพื่อขยายช่องทางการขายและเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

"ธุรกิจที่ตอบสนองความต้องการภายในประเทศ เช่น ธุรกิจสุขภาพและwellness อุปกรณ์การแพทย์ สินค้าอุปโภคบริโภคที่มีการหมุนเวียนเร็ว(FMCG) การท่องเที่ยวและการบริการที่พัก การก่อสร้างและบริการซ่อมแซม รวมถึงธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ต่างมีศักยภาพในการเติบโตที่ได้รับการสนับสนุนจากกำลังซื้อภายในประเทศ ขณะเดียวกัน SME ที่เคยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ควรพิจารณาขยายการตลาดไปยังตลาดใหม่ๆ เช่น ยุโรป อินเดีย ตะวันออกกลาง หรือประเทศในเอเชียอื่นๆ"

โดย SME ไทยต้องสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ประสบปัญหาสภาพคล่อง ขณะเดียวกัน ต้องเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และปรับปรุงสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว" วิกาส กล่าวเสริมการเปลี่ยนแปลงในการแข่งขันสร้างโอกาสใหม่ให้กับผู้ปล่อยสินเชื่อดิจิทัลและกลุ่มนอนแบงค์ ที่มีความพร้อมในด้านเทคโนโลยี AI และโมเดลวิเคราะห์ความเสี่ยงทางเครดิตที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้สามารถตัดสินใจปล่อยสินเชื่อได้อย่างรวดเร็วและตรงกับศักยภาพของแต่ละธุรกิจ ในขณะที่ SME ต้องเผชิญกับความท้าทายในการดำเนินธุรกิจในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

นายวิกาส แสดงความมั่นใจว่า  ผู้ปล่อยสินเชื่อดิจิทัลและกลุ่ม Non-Bank เช่น Funding Societies จะมีบทบาทสำคัญในการปิดช่องว่างการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับ SME ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งแต่ไม่สามารถเข้าถึงเงินทุนในช่วงเวลาที่ความเสี่ยงสูง และสถาบันการเงิน มักลดการปล่อยสินเชื่อเพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์ Funding Societies ใช้เทคโนโลยี AI และโมเดลการประเมินเครดิตสมัยใหม่ที่ประเมินธุรกิจตามผลการดำเนินงานจริงและศักยภาพการเติบโต ซึ่งทำให้สามารถปล่อยสินเชื่อได้อย่างรวดเร็วและยืดหยุ่น และเปิดโอกาสให้ SME ที่อาจถูกมองข้ามได้รับการสนับสนุนทางการเงิน นอกจากนี้ บริษัทยังมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินหลากหลายที่ออกแบบเฉพาะสำหรับลูกค้า B2B เพื่อสนับสนุนสภาพคล่องและการดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง

"เรามองว่า SME คือรากฐานของเศรษฐกิจ หากพวกเขารอด พวกเขาจะเติบโต และเมื่อพวกเขาเติบโต เศรษฐกิจก็จะมั่นคงในระยะยาว" นายวิกาสกล่าวทิ้งท้าย

สำหรับ Funding Societies มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการเติบโตของ SME ไทยไม่เพียงแต่ผ่านการสนับสนุนสินเชื่อ แต่ยังช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงโอกาสสำคัญในเวลาที่เหมาะสม โดยเฉพาะในช่วงเวลาท้าทาย บริษัทยังคงมุ่งเน้นในการให้บริการผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในระยะยาวในหลากหลายภาคธุรกิจ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชม https://fundingsocieties.co.th

โดยในประเทศไทย Funding Societies ดำเนินธุรกิจ 2 ส่วนที่ต่างกันคือ FS Siam Co., Ltd. ได้รับความเห็นชอบการระดมทุนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ FS Capital Co., Ltd. เชี่ยวชาญในการให้กู้ยืมโดยตรงแก่ธุรกิจขนาดเล็ก โครงสร้างนี้ช่วยให้ Funding Societies สามารถตอบสนองความต้องการทางการเงินที่หลากหลายภายในภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

#เศรษฐกิจโลก #ข่าววันนี้ #FundingSocieties #สินเชื่อดิจิทัล #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

 

 

 

"กรุงศรี ออโต้" เผยผลงานปี 67 สินเชื่อดิจิทัลโต 7% ขยายฐานผู้ใช้รถบนแอป โก บาย กรุงศรี ออโต้ ทะลุ 4.4 ล้านคน

กรุงศรี ออโต้ ผู้นำธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ครบวงจร เครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานปี 67 ดันยอดสินเชื่อใหม่ผ่านช่องทางดิจิทัลโต 7% หรือประมาณ 40,442 ล้านบาท พร้อมขยายฐานผู้ใช้รถบน แอป โก บาย กรุงศรี ออโต้ ทะลุ 4.4 ล้านคน และผลักดันอีโคซิสเต็มเพื่อผู้ใช้รถให้สมบูรณ์แบบ รวมถึงต่อยอดโอกาสทางธุรกิจ ด้วยการพัฒนาบริการ GO Auto Station ตลาดรถยนต์มือสองคุณภาพดี PromptBuy ศูนย์รวมสินค้ารักษ์โลกเพื่อไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืน และฟีเจอร์ GO Travel บัดดี้ท่องเที่ยวคู่ใจผู้ใช้รถ เพื่อมุ่งสู่การเป็นที่ 1 ในใจผู้ใช้รถ ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 20 ก.พ.68 นายคงสิน คงคา ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปี 2567 อุตสาหกรรมสินเชื่อยานยนต์ยังคงเผชิญแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยตลาดสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์รวมลดลงมาอยู่ที่ 402,000 ล้านบาท หรือหดตัว 20.2% จากยอดขายรถยนต์ที่ลดลง ขณะที่หนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูงถึง 89.6% ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อของผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ในด้านผลการดำเนินงาน กรุงศรี ออโต้ ยังคงบริหารจัดการพอร์ตสินเชื่อได้อย่างรอบคอบและรัดกุม เพื่อรักษาเสถียรภาพและคุณภาพของพอร์ตอย่างต่อเนื่อง พร้อมการเดินหน้ากลยุทธ์ SEE Beyond สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Krungsri Auto Responsible Lending) ควบคู่กับการขยายโอกาสทางธุรกิจผ่านการแลกเปลี่ยนคุณค่ากับพันธมิตรและผู้ใช้รถในอีโคซิสเต็ม เพื่อเสริมศักยภาพด้านการแข่งขันและรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป”

โฟกัสนวัตกรรม ผลักดันสินเชื่อยานยนต์ดิจิทัล
กรุงศรี ออโต้ ตอกย้ำความเป็นผู้กำหนดทิศทางตลาดด้านดิจิทัล ด้วยยอดสินเชื่อใหม่ของทุกผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางดิจิทัลเติบโต 7% จากปีก่อนหน้า คิดเป็นมูลค่า 40,442 ล้านบาท หรือเทียบเท่า 28% ของยอดสินเชื่อใหม่ทั้งหมดในปี 2567 โดยตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการพัฒนานวัตกรรมดิจิทัล รวมถึงศักยภาพของกรุงศรี ออโต้ ในการตอบสนองความต้องการทางการเงินของผู้ใช้รถได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ก้าวข้ามขีดจำกัดของสินเชื่อ สู่บริการครบวงจรเพื่อผู้ใช้รถ
ด้วยเป้าหมายในการเป็นที่ 1 ในใจผู้ใช้รถ กรุงศรี ออโต้ จึงเดินหน้าต่อยอดอีโคซิสเต็มเพื่อสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจผ่านแอป โก บาย กรุงศรี ออโต้ ซึ่งในปี 2567 มีฐานผู้ใช้รถเพิ่มขึ้น 33% แตะ 4.4 ล้านราย โดยปัจจัยสำคัญมาจากการพัฒนาบริการใหม่ GO Auto Station ตลาดรถยนต์มือสองคุณภาพดีกว่า 130,000 คันที่เชื่อมต่อผู้ซื้อและผู้ขายโดยตรง พร้อมข้อเสนอสินเชื่อแบบครบวงจรจาก “กรุงศรี ยูสด์ คาร์” ที่ให้ลูกค้าสามารถรู้ผลอนุมัติได้ไวภายใน 30 นาที รวมถึงการร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดตัวฟีเจอร์ GO Travel บัดดี้ท่องเที่ยวคู่ใจผู้ใช้รถ มอบประสบการณ์ใหม่ในการใช้รถท่องเที่ยวในประเทศ ที่ส่งผลให้มียอดผู้เข้าใช้งานประจำ (MAU) บนแอป โก บาย กรุงศรี ออโต้ อยู่ที่ 1.27 ล้านราย เพิ่มขึ้น 27% นอกจากนี้ กรุงศรี ออโต้ ยังประสบความสำเร็จในการสร้างธุรกิจใหม่ ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์ม ‘PromptBuy ศูนย์รวมสินค้ารักษ์โลกเพื่อไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืน’ จากผู้จัดจำหน่ายที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้รถยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาด

ผลการดำเนินงานกรุงศรี ออโต้ ปี 2567
ในปีที่ผ่านมา กรุงศรี ออโต้ มียอดสินเชื่อใหม่รวมกว่า 143,905 ล้านบาท และยอดสินเชื่อคงค้างรวม 403,063 ล้านบาท พร้อมยังได้รับรางวัลจากทั้งในประเทศและระดับสากลถึง 19 รางวัล อาทิ 
•รางวัลแบรนด์อันดับหนึ่งที่มีผู้บริโภคเชื่อถือมากที่สุด หรือ 2024 Thailand’s Most Admired Brand ในหมวดธนาคารและบริการทางการเงิน กลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 จากนิตยสาร BrandAge 
•รางวัล Superbrands Thailand 2024 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 
•รางวัล No.1 Brand ในกลุ่ม Auto Leasing จากงานประกาศรางวัล Marketeer No.1 Brand Thailand 2024 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 
•รางวัลธนาคารยอดเยี่ยมด้านสินเชื่อรถและสินเชื่อทะเบียนรถ ปี 2567 จากวารสารการเงินธนาคาร 
•รางวัล Asian Experience Awards 2024 ในสาขา Thailand Digital Automotive Experience of the Year – Banking ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3
•รางวัลด้านการสื่อสารการตลาดและแคมเปญโฆษณาใน 5 สาขา จาก THE WORK 2024 โดย Campaign Brief Asia 

มุ่งสู่อนาคตด้วยกลยุทธ์ SEE Beyond
กรุงศรี ออโต้ พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์ SEE Beyond ภายใต้แผนธุรกิจระยะกลางปี 2567-2569 เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืน และสานต่อพันธกิจในการสร้างสรรค์ชีวิตผู้ใช้รถให้ดีขึ้น โดยกรุงศรี ออโต้ จะยังคงพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการของผู้ใช้รถในประเทศไทย เพื่อคงความเป็นผู้นำตลาดอย่างมั่นคงและแข็งแกร่งต่อไป

  

กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ สินเชื่อดิจิทัล ‘เฟิร์สช้อยส์ เพย์พลัส’ ผ่อนชำระ กดเงินสดไม่ใช้บัตร เพิ่มโอกาสเข้าถึงบริการทางการเงิน

กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ รุกตลาดสินเชื่อดิจิทัลต่อเนื่อง เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “สินเชื่อดิจิทัล เฟิร์สช้อยส์ เพย์พลัส” มอบความสะดวกยิ่งขึ้นในการบริหารการใช้จ่ายด้วย 2 บริการเด่น บริการผ่อนไม่ใช้บัตรกับเครือข่ายพันธมิตรชั้นนำกว่า 2,600 สาขาทั่วประเทศ และบริการสินเชื่อเงินสดออนไลน์ สะดวก รวดเร็ว สมัครง่ายผ่าน UCHOOSE ไม่ต้องใช้เอกสารแสดงรายได้ ทราบผลอนุมัติไว รับวงเงินสินเชื่อสูงสุด 20,000 บาท เจาะกลุ่มพนักงานบริษัท กลุ่มอาชีพอิสระ ที่ต้องการเข้าถึงสินเชื่อแต่ไม่มีเอกสารแสดงรายได้ เพิ่มโอกาสเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างเท่าเทียม ตั้งเป้าปล่อยยอดสินเชื่อ 250 ล้านบาท ภายในสิ้นปี 2567 

นายอธิป ศิลป์พจีการ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด ผู้ให้บริการบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลแบรนด์กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำในธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย เพื่อเติมเต็มความฝันและตอบไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มโอกาสให้คนไทยเข้าถึงแหล่งเงินสินเชื่อในระบบได้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีเอกสารแสดงรายได้ กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์จึงได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ‘สินเชื่อดิจิทัล เฟิร์สช้อยส์ เพย์พลัส (First Choice PayPlus) ที่ใช้วิธีพิจารณาให้สินเชื่อด้วยข้อมูลทางเลือกผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล สมัครง่ายผ่าน UCHOOSE ไม่ต้องใช้เอกสารแสดงรายได้ ไม่ต้องใช้คนค้ำประกัน ทราบผลอนุมัติไว รับวงเงินสินเชื่อสูงสุด 20,000 บาท ผ่อนได้นานสูงสุด 5 เดือน โดดเด่นด้วย 2 บริการในหนึ่งเดียว คือ บริการผ่อนไม่ใช้บัตร และบริการสินเชื่อเงินสดออนไลน์ผ่านฟีเจอร์ U CASH ในแอปพลิเคชัน UCHOOSE เพิ่มความสะดวกยิ่งขึ้นในการบริหารค่าใช้จ่ายเพื่อตอบไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างได้อย่างตรงใจ พร้อมบริการที่สะดวก รวดเร็ว สามารถตรวจสอบยอด เช็คยอดชำระวงเงินคงเหลือผ่านแอป UCHOOSE ทั้งนี้ ด้วยจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว คาดว่าเฟิร์สช้อยส์ เพย์พลัส จะได้รับการตอบรับที่ดี โดยตั้งเป้าปล่อยยอดสินเชื่อ 250 ล้านบาท ภายในสิ้นปี 2567” 

นายเกลนริชาร์ด แนกกลิส ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายงานเครือข่ายการขายและฝ่ายการตลาดธุรกิจผ่อนชำระ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด กล่าวเสริมว่า “จุดเด่นของเฟิร์สช้อยส์ เพย์พลัส คือการนำเอาประสบการณ์อันยาวนานและความเชี่ยวชาญในธุรกิจของกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ ซึ่งมีเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่งจากหลากหลายธุรกิจ มาพัฒนาเป็นสิทธิประโยชน์หลักของผลิตภัณฑ์ ที่ให้บริการทั้งสินเชื่อเงินสดและสินเชื่อผ่อนชำระผ่านช่องทางดิจิทัล  โดยลูกค้าที่ต้องการใช้บริการสินเชื่อผ่อนชำระ สามารถเลือกทำรายการผ่อนชำระสินค้าได้ง่าย ๆ เพียงสแกน QR Code จากร้านค้าผ่านแอป UCHOOSE เพื่อทำรายการผ่อนไม่ใช้บัตร ณ ร้านค้าพันธมิตรชั้นนำกว่า 2,600 สาขาที่ร่วมรายการ เช่น Power Buy, Telewiz by AIS, Banana Mobile, Banana IT, Kingkongphone by Com7, iStudio by SPVi, iStudio by Copperwired, .Life, TG Fone, Advice IT Infinite, J.I.B Computer, Mine By J.I.B , Big Camera ฯลฯ โดยมีหลากหลายหมวดสินค้าให้เลือก ทั้งโทรศัพท์มือถือ, สินค้าไอที, กล้อง, เครื่องใช้ไฟฟ้า, เฟอร์นิเจอร์, ยางรถยนต์, อุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ ฯลฯ โดยสามารถผ่อนเริ่มต้นเพียง 300 บาท และเลือกผ่อนชำระได้สูงสุด 5 เดือน ขึ้นอยู่กับราคาสินค้าที่ผ่อนชำระ นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการบริหารการใช้จ่ายที่สะดวก รวดเร็ว และน่าจะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของลูกค้าได้เป็นอย่างดี”

‘สินเชื่อดิจิทัล เฟิร์สช้อยส์ เพย์พลัส’ สมัครง่ายได้ทุกที่ผ่าน UCHOOSE ไม่ต้องใช้เอกสารแสดงรายได้ ทราบผลอนุมัติไว รับวงเงินสินเชื่อสูงสุด 20,000 บาท พร้อมให้บริการสำหรับบุคคลสัญชาติไทยอายุ 20-55 ปี ที่มีรายได้ประจำ 10,000 บาท หรือมีเงินหมุนเวียนในธนาคาร 25,000 บาทขึ้นไปต่อเดือน ไม่มีประวัติผิดนัดชำระหนี้หรือมีหนี้สินคงค้าง และไม่เคยมีผลิตภัณฑ์ของกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์มาก่อน และยินยอมให้เข้าถึงข้อมูลตามระบบการพิจารณาสินเชื่อ

ผู้ที่สนใจสามารถสมัครได้ง่าย ๆ เพียงดาวน์โหลดแอป UCHOOSE เลือกเมนู “สมัครบัตร”>> กดเลือก “สินเชื่อส่วนบุคคล” >> กด “สินเชื่อ เฟิร์สช้อยส์ เพย์พลัส” >> กด “สมัคร” >> จากนั้นสแกนบัตรประชาชนและกรอกข้อมูล >> แล้วกดยินยอมเปิดเผยข้อมูลเครดิต และยืนยันตัวตนผ่าน Krungsri i-CONFIRM ที่สาขากรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ หรือที่ตู้เอทีเอ็มหรือสาขาของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ทราบผลอนุมัติไว รับเงินโอนเข้าบัญชีหรือพร้อมเพย์ได้ทันทีหลังการอนุมัติ พร้อมทำรายการเบิกถอนเงินสดได้ด้วยตัวเองในแอป UCHOOSE หรือทำรายการผ่อนชำระ โดยสแกน QR Code จากร้านค้าผ่านแอป UCHOOSE เพื่อทำรายการผ่อนไม่ใช้บัตร ณ ร้านค้าที่ร่วมรายการ เลือกผ่อนชำระได้นานสูงสุด 5 เดือน (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด) ข้อมูลเพิ่มเติม https://bit.ly/firstchoice-payplus 

มันนิกซ์นำทัพทีมงานรุ่นใหม่โชว์ศักยภาพด้านฟินเทคในงาน Techsauce Global Summit 2023 ต่อยอดพัฒนาแอปสินเชื่อดิจิทัลฟินนิกซ์

บริษัท มันนิกซ์ จำกัด (MONIX) ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันสินเชื่อดิจิทัลฟินนิกซ์ (FINNIX) นำทัพทีมงานรุ่นใหม่ร่วมโชว์ศักยภาพด้านฟินเทคในงาน Techsauce Global Summit 2023 งานประชุมสุดยอดเทคโนโลยีนานาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อวันที่ 16-17 สิงหาคม 2566 ตอกย้ำการนำเอไอและแมชชีนเลิร์นนิง (AI & ML) มาใช้ในการพัฒนาแอปฟินนิกซ์ เพื่อขยายโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการเงินและช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตทางการเงินให้แก่กลุ่มคนทำมาหากิน โดยปัจจุบันมียอดดาวน์โหลดแอปฟินนิกซ์แล้วกว่า 10 ล้านครั้ง

โดยภายในงาน Techsauce Global Summit 2023 มันนิกซ์ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการการเปลี่ยนผ่านด้านเทคโนโลยี (Digital Transformation) ร่วมกับยานแม่ SCBX และกลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) ชูภาพความแข็งแกร่งของกลุ่มฯ และความโดดเด่นด้านเทคโนโลยีดิจิทัล นอกจากนี้ยังนำทีมงานรุ่นใหม่ร่วมจัดเวิร์กชอปแบ่งปันความรู้ด้านฟินเทค ภายใต้หัวข้อ ‘When Empathy Marries AI to Fight for Financial Inclusion’ ที่แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญด้านการนำความสามารถในการเข้าใจความรู้สึกของลูกค้ามาประยุกต์ใช้ร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างทั่วถึง

นายณัฐพล สุรรัตน์รังษี ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายและกำกับดูแลการปฏิบัติงานตามกฎหมาย บริษัท มันนิกซ์ จำกัด กล่าวภายในงานว่า “มันนิกซ์ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอย่างมาก โดยเราเดินหน้าสานต่อกลยุทธ์อีโคซิสเต็ม F.I.R.E. ในการพัฒนาคุณภาพและการบริการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการสินเชื่อบนแพลตฟอร์มดิจิทัลให้ลูกค้าได้อย่างเต็มที่ ส่วนประกอบของ F.I.R.E. ประกอบไปด้วย Finance (มีเงินใช้) เรามีทีมงานสายเทคที่มีคุณภาพและมีความพร้อมในการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ บนแอปฟินนิกซ์ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและเพิ่มโอกาสให้คนไทยเข้าถึงสินเชื่อถูกกฎหมายได้อย่างปลอดภัยและรวดเร็ว

ส่วนถัดมาคือ Intel (เข้าใจตัวเอง) เราคิดค้นและพัฒนา ‘รายงานฟินนิกซ์เครดิต’ (FINNIX Credit Report) ซึ่งเป็นรายงานที่วิเคราะห์สุขภาพทางการเงินเชิงลึก ทำให้ลูกค้าเข้าใจพฤติกรรมทางการเงินของตนเองและได้รับคำแนะนำทางการเงินที่เหมาะสม ส่วนของ Reward (เร่งสร้างวินัย) เราได้เปิดตัว ‘ฟินนิกซ์ คอยน์’ (FINNIX Coin) ซึ่งเป็นระบบเกมที่มอบสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้าที่มีวินัยและรักษาเครดิตดีอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถแลกคอยน์เป็นส่วนลดดอกเบี้ยหรือวงเงินเพิ่มชั่วคราวได้ ส่วนสุดท้ายคือ Empowerment (เสริมรายได้และความรู้) มันนิกซ์มีพันธมิตรที่แข็งแกร่งในหลายอุตสาหกรรม ซึ่งส่งผลให้เราสามารถขยายความร่วมมือทางธุรกิจและส่งมอบสิทธิพิเศษต่างๆ ให้กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง โดยเราตั้งเป้าสร้างโอกาสลดรายจ่ายในชีวิตประจำวัน เสริมทักษะและรายได้ให้ลูกค้าเพิ่มเป็น 30,000 ราย จากปัจจุบัน 25,000 ราย”

นายวรรธนัย ทางศรีโรจน์กุล Senior Product Owner บริษัท มันนิกซ์ จำกัด กล่าวว่า นอกจากการให้ความสำคัญกับลูกค้าแล้ว มันนิกซ์ยังให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Culture) เพื่อใช้ในการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า ความสำเร็จของมันนิกซ์ส่วนหนึ่งมาจากการร่วมมือและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งรวมถึงลูกค้า ผู้บริหาร ทีมงาน และผู้ถือหุ้น ทำให้เราสามารถสร้างโซลูชันที่ตรงกับความต้องการและส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลได้อย่างราบรื่น

"เรามีบุคลากรที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยีซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างและพัฒนาแอปฟินนิกซ์ ด้วยการใช้ข้อมูลมาสร้างแบบจำลอง จัดทำเหมืองข้อมูลและวิเคราะห์ พร้อมกับการใช้ประโยชน์จากเอไอ(AI) และแมชชีนเลิร์นนิง(Machine Learning) ในการพัฒนาโซลูชันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานและสร้างสรรค์ฟีเจอร์ใหม่ๆ โดยกระบวนการของเราครอบคลุมการวิจัย การออกแบบ การสร้างต้นแบบ การทดสอบ A/B การปรับใช้ การดำเนินธุรกิจและการนำข้อเสนอแนะมาปรับใช้ ด้วยการปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้ มันนิกซ์จึงสามารถพัฒนาแอปฟินนิกซ์ที่เป็นแอปสินเชื่อดิจิทัล 100% ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถตอบโจทย์ความคาดหวังของลูกค้าได้เป็นอย่างดี"

ทั้งนี้การนำเทคโนโลยีเอไอและแมชชีนเลิร์นนิงเข้ามาประยุกต์ใช้ช่วยเพิ่มความสะดวกและรวดเร็วในการใช้งานยิ่งขึ้น ทำให้แอปฟินนิกซ์มีขั้นตอนการสมัครและขอสินเชื่อที่สามารถรู้ผลอนุมัติและรับเงินไวสุดใน 5 นาที ทุกพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้แอปฟินนิกซ์มียอดดาวน์โหลดแล้วกว่า 10 ล้านครั้ง ความสำเร็จนี้แสดงให้เห็นว่ามันนิกซ์สามารถนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาพัฒนาแพลตฟอร์มและบริการทางการเงินให้กับคนไทยได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังใช้ในการต่อยอดกลยุทธ์อีโคซิสเต็ม F.I.R.E. ในการเดินหน้าสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างเข้มแข็ง โดยมันนิกซ์มุ่งหวังที่จะสร้างโอกาสให้คนไทยมีการเงินที่ดีและมีสุข พร้อมร่วมสร้างสังคมที่มีพฤติกรรมการเงินที่ดีอย่างยั่งยืน ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นผู้นำธุรกิจสินเชื่อดิจิทัลที่มีความโดดเด่นและเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด

 

 

 

"กรุงไทย" รุกสินเชื่อดิจิทัลเพิ่มช่องทาง “กรุงไทยใจป้ำ” ผ่านแอปฯเป๋าตัง วงเงินสูงสุด 5 เท่าของรายได้ต่อเดือน ผ่อนเฉลี่ยหมื่นละ 10 บาทต่อวัน

ธนาคารกรุงไทย เปิดเกมรุกตลาดสินเชื่อดิจิทัล เพิ่มช่องทางเข้าถึงสินเชื่อ “กรุงไทยใจป้ำ” ผ่านแอปฯ เป๋าตัง ช่วยคนไทยเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้สะดวก รวดเร็ว วงเงินสูงสุด 5 เท่าของรายได้ต่อเดือน และผ่อนสบาย เฉลี่ยหมื่นละ 10 บาทต่อวัน

ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของประเทศ ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ โดยมุ่งมั่นขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงิน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกมิติ ช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจ และสร้างโอกาสให้กับคนไทยทุกกลุ่มให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง

ธนาคารกรุงไทย มีนโยบายรุกตลาดสินเชื่อดิจิทัล (Digital Lending) อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับชีวิตยุคใหม่ที่ต้องการความเร็ว สะดวก และไม่ต้องเดินทางได้เป็นอย่างดี ซึ่งในปี 2565 ธนาคารให้บริการสินเชื่อกรุงไทยใจป้ำ ผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT โมบายแบงกิ้งที่ให้บริการแบบครบวงจร และสามารถขยายบริการของธนาคารในรูปแบบดิจิทัลได้อย่างก้าวกระโดด โดยได้รับการตอบรับดีจากกลุ่มผู้มีรายได้ประจำ และผู้ประกอบการรายย่อย โดยปี 2566 ตั้งเป้าสินเชื่อดิจิทัล ประมาณ 10,000 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อให้คนไทยได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้สะดวกยิ่งขึ้น ธนาคารจึงเพิ่มช่องทางการสมัครสินเชื่อกรุงไทยใจป้ำ ผ่านแอปฯ เป๋าตัง ซึ่งเป็น Thailand Open Digital Platform ที่คนไทยคุ้นเคย เข้าถึงได้ง่าย ตอบโจทย์ผู้ใช้งานกว่า 40 ล้านคน ด้วยการออกแบบขั้นตอนในแอปฯให้ใช้งานง่าย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล และช่วยลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงบริการทางการเงิน ได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม เป็นการตอบสนองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Goals) ขององค์การสหประชาชาติ (UN) ได้แก่ เป้าหมายส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง ครอบคลุม และยั่งยืน การจ้างงานเต็มที่ มีผลิตภาพ และการมีงานที่เหมาะสมสำหรับทุกคน (Decent Work and Economic Growth) และเป้าหมายลดความไม่เสมอภาคภายในประเทศและระหว่างประเทศ (Reduced Inequalities)

สำหรับจุดเด่นของสินเชื่อกรุงไทยใจป้ำคือ กู้ง่าย ไม่มีบัญชีเงินเดือนกับกรุงไทยก็กู้ได้ เพียงเปิดบัญชีออมทรัพย์ “เป๋ามีตัง” ผ่านแอปฯ เป๋าตัง โดยไม่มีกำหนดเงินฝากขั้นต่ำ อนุมัติไว ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน กรณีได้รับอนุมัติสินเชื่อ และกดยอมรับสินเชื่อในเวลาทำการของธนาคาร จะได้รับเงินโอนเข้าบัญชีทันที ได้เงินก้อน วงเงินสูงสุด 5 เท่าของรายได้ต่อเดือน และผ่อนสบาย เฉลี่ยหมื่นละ 10 บาทต่อวัน นานสูงสุด 60 เดือน สำหรับอัตราดอกเบี้ย บุคคลทั่วไปที่มีรายได้ประจำ อัตราดอกเบี้ย 20% ต่อปี  ผู้ประกอบการรายย่อยทั่วไป อัตราดอกเบี้ย 22% ต่อปี

 

 

NTT DATA ชี้สินเชื่อดิจิทัลโตสูง หนุนเข้าถึงเงินกู้ ชูบริการ Lending Platform ช่วยผปก.สินเชื่อรุกตลาด

นายปรภต นันทวิทยา รองประธานกรรมการบริหาร และผู้อำนวยการฝ่ายขายผลิตภัณฑ์และบริการกลุ่มการเงินและธนาคาร บริษัท เอ็นทีที เดต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันความต้องการเข้าถึงสินเชื่อในประเทศไทยมีโอกาสเติบโตอย่างมาก แต่เนื่องจากอุปสรรคสำคัญคือ ข้อจำกัดของการเข้าถึงสินเชื่อของภาคครัวเรือน อ้างอิงจากข้อมูลผลสำรวจการบริการทางการเงินภาคครัวเรือนของธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งแต่ปี 2563 พบว่าครัวเรือนไทยเข้าถึงบริการสินเชื่อของสถาบันการเงินในระบบแค่ 30.5% หรือ 6.7 ล้านครัวเรือน และล่าสุดศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้เปิดเผยคาดการณ์หนี้ครัวเรือนไทย ว่ายังมีกว่า 84% ของ GDP สะท้อนให้เห็นว่าภาคครัวเรือนในประเทศขาดสภาพคล่องทางการเงิน และมีความต้องการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ เพื่อฟื้นฟูสภาพคล่องทางการเงินอีกมาก สอดคล้องกับข้อมูลสำรวจความต้องการสินเชื่อผู้บริโภค (Consumer Loan) ของธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อไตรมาสแรก ของปีพ.ศ. 2565 พบว่าความต้องการสินเชื่อบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นจากครัวเรือนที่มีเงินออมไม่เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคและการบริหารสภาพคล่อง และความต้องการสินเชื่อของผู้บริโภคยังคงขยายตัวต่อเนื่องทุกหมวดในไตรมาสที่ 2 ของปีเดียวกัน

ทั้งนี้ สินเชื่อดิจิทัล (Digital Loan) จึงกลายเป็นหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสินเชื่อมีโอกาสเข้าถึงภาคครัวเรือนไทยได้มากขึ้น แต่ก็มีโจทย์สำคัญที่ผู้ประกอบการให้บริการสินเชื่อจะต้องให้ความสำคัญ 5 ด้าน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดได้แก่ 1) พัฒนาทั้ง Ecosystem ให้มีความพร้อมเพื่อให้ได้ข้อมูลลูกค้าที่สมบูรณ์มากที่สุด สามารถนำไปประเมินความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงจูงใจให้ชำระหนี้ 2) การทำความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าไปพร้อมกับการเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบคุณสมบัติผู้กู้ และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตรวจสอบตัวตน 3) การติดตามหนี้ (Debt Collection) ที่มีประสิทธิภาพบนต้นทุนที่สมเหตุสมผล 4) เตรียมพร้อมการรับมือที่เข้มข้นในตลาด และ 5) ความปลอดภัยและโปร่งใสบนกฎระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องเช่น พ.ร.บข้อมูลส่วนบุคคล

เอ็นทีที เดต้า (ประเทศไทย) พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการสินเชื่อ ด้วยบริการ Lending Platform ระบบEcosystem สำหรับธุรกิจสินเชื่อ ที่ครอบคลุมการทำ Digital Onboarding, Loan Original และการทำ Loan Management ได้แบบ end-to-end ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การวางกลยุทธ์เพื่อวางแผนเลือกใช้โครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม และการติดตั้งหรือการวางระบบ ตลอดจนบริการดูแลตลอดการใช้งานสำหรับบริการด้าน Application (On-going support) จากการถอดประสบการณ์ให้บริการด้าน Payment & Loyalty Mechanism มากกว่า 10 ปี เพื่อช่วยพัฒนาระบบนิเวศครอบคลุมการทำงานระหว่างธุรกิจบนความปลอดภัยและแม่นยำสูงสำหรับกลุ่มลูกค้าการเงินและการธนาคาร

นายปรภต กล่าวต่อว่า บริการ Lending Platform  จะช่วยปรับปรุงกระบวนการทำงาน โดยจะช่วยลดความซับซ้อนในขั้นตอนการทำงานลง และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารหนี้ได้ ครอบคลุมขั้นตอนการให้บริการสินเชื่อแบบครบวงจรตั้งแต่

Digital Onboarding ขั้นตอนการลงทะเบียนหรือสมัครสมาชิกใหม่ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยไม่ต้องกรอกใบสมัครหลายขั้นตอน เน้นการลดใช้กระดาษ โดยใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกท์ และการตรวจสอบข้อมูลออนไลน์กับหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น การใช้ e-Statement การเชื่อมระบบ e-KYC ที่ครอบคลุมถึงการตรวจสอบข้อมูลกับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย (Department Of Provincial Administration) และ ใช้ AI ในการตรวจสอบเปรียบเทียบใบหน้า เพื่อช่วยในการระบุตัวตนและตรวจสอบผู้ขอสินเชื่อ เพื่อป้องกันการฉ้อโกงตั้งแต่ขั้นตอนการลงทะเบียน รวมถึงระบบ e-Sign ที่จะช่วยให้ขั้นตอนการทำงานรวดเร็วขึ้น

Loan Origination System ขั้นตอนการวิเคราะห์และประเมินคุณสมบัติผู้ขออนุมัติสินเชื่อ ข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลประวัติเครดิต ที่เชื่อมต่อกับระบบของข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (National Credit Bureau) ช่วยตรวจสอบและลดความเสี่ยงในการเกิดหนี้เสียในอนาคต โดยระบบสามารถรองรับการกำหนดเงื่อนไขและข้อกำหนดในการพิจาณาสินเชื่อได้

Loan Management System ระบบจัดการสินเชื่อที่ครอบคลุมตั้งแต่การคำนวณวงเงินต้น ดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และค่าบริการต่างๆ ไปถึงการโอนเงินสินเชื่อให้แก่ลูกค้า และการออกเอกสารใบแจ้งหนี้ การรับชำระหนี้ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น การเชื่อมระบบของธนาคารผ่าน API เพื่อรองรับการชำระเงินผ่านแอพพลิเคชั่น

Loan Collection ระบบติดตามหนี้เพื่อสนับสนุนการทำงานของฝ่ายติดตามทวงหนี้ โดยระบบจะแสดงรายงานแดชบอร์ด แจ้งเตือนในกรณีที่ลูกค้าเกิดการชำระเงินล่าช้า หรือลูกค้าเกิดการค้างชำระ เพื่อให้ฝ่ายติดตามทวงหนี้สามารถติดตามและทวงถามได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ระบบ Lending Platform เป็นระบบ Ecosystem สำหรับสินเชื่อ ที่สามารถเลือกติดตั้งได้หลายรูปแบบ ทั้งบนคลาวด์ส่วนตัว หรือผู้ให้บริการคลาวด์ ทั้งยังสมารถติดตั้งบนอุปกรณ์เซิฟเวอร์ขององค์กร (On-Premise) ช่วยให้การทำงานของธุรกิจสินเชื่อง่ายขึ้น แม่นยำและปลอดภัยยิ่งขึ้น ทั้งด้านการประเมินอนุมัติสินเชื่อ การคำนวณ และติดตามแผนการชำระหนี้ ทั้งยังสามารถผสานการทำงานกับแพลตฟอร์มอื่นๆ ผ่านระบบ API รองรับการปรับเปลี่ยนได้ในระยะยาว สนับสนุนให้ธุรกิจหมดห่วงในกระบวนการทำงาน สามารถต่อยอดธุกิจสอดคล้องกับการแข่งขันในตลาดที่เข้มข้น

NTT DATA ชี้สินเชื่อดิจิทัลเติบโตสูง หนุนครัวเรือนไทยเข้าถึงเงินกู้ ชูบริการ Lending Platform ช่วยผู้ประกอบการรุกตลาด

เอ็นทีที เดต้า (ประเทศไทย) ภายใต้เครือบริษัท เอ็นทีที เดต้า คอร์ปอเรชัน จำกัด ผู้นำด้านธุรกิจดิจิทัลและบริการไอทีชั้นนำระดับโลก ชี้ระบบสินเชื่อมีโอกาสเติบโตสูง โดยเฉพาะสินเชื่อดิจิทัล (Digital Loan) ที่นับเป็นดาวรุ่งแห่งธุรกิจ ช่วยปลดล็อคภาคครัวเรือนไทยเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ง่ายขึ้น หลังหนี้ครัวเรือนในประเทศพุ่งภายหลังวิกฤตโควิด แนะผู้ประกอบการแก้โจทย์ใหญ่ 5 ด้าน ชิงส่วนแบ่งตลาดสินเชื่อเพิ่มอำนาจการแข่งขัน พร้อมชูบริการ Lending Platform ปรับปรุงกระบวนการทำงานในการให้บริการสินเชื่อทั้งระบบนิเวศอย่างครบวงจร ผสานการทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มอื่นแบบไร้รอยต่อ ช่วยลดความซับซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารหนี้ 

นายปรภต นันทวิทยา รองประธานกรรมการบริหาร และผู้อำนวยการฝ่ายขายผลิตภัณฑ์และบริการกลุ่มการเงินและธนาคาร บริษัท เอ็นทีที เดต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันความต้องการเข้าถึงสินเชื่อในประเทศไทยมีโอกาสเติบโตอย่างมาก แต่เนื่องจากอุปสรรคสำคัญคือ ข้อจำกัดของการเข้าถึงสินเชื่อของภาคครัวเรือน อ้างอิงจากข้อมูลผลสำรวจการบริการทางการเงินภาคครัวเรือนของธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งแต่ปี 2563 พบว่าครัวเรือนไทยเข้าถึงบริการสินเชื่อของสถาบันการเงินในระบบแค่ 30.5% หรือ 6.7 ล้านครัวเรือน และล่าสุดศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้เปิดเผยคาดการณ์หนี้ครัวเรือนไทย ว่ายังมีกว่า 84% ของ GDP สะท้อนให้เห็นว่าภาคครัวเรือนในประเทศขาดสภาพคล่องทางการเงิน และมีความต้องการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ เพื่อฟื้นฟูสภาพคล่องทางการเงินอีกมาก สอดคล้องกับข้อมูลสำรวจความต้องการสินเชื่อผู้บริโภค (Consumer Loan) ของธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อไตรมาสแรก ของปีพ.ศ. 2565 พบว่าความต้องการสินเชื่อบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นจากครัวเรือนที่มีเงินออมไม่เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคและการบริหารสภาพคล่อง และความต้องการสินเชื่อของผู้บริโภคยังคงขยายตัวต่อเนื่องทุกหมวดในไตรมาสที่ 2 ของปีเดียวกัน

ทั้งนี้ สินเชื่อดิจิทัล (Digital Loan) จึงกลายเป็นหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสินเชื่อมีโอกาสเข้าถึงภาคครัวเรือนไทยได้มากขึ้น แต่ก็มีโจทย์สำคัญที่ผู้ประกอบการให้บริการสินเชื่อจะต้องให้ความสำคัญ 5  ด้าน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดได้แก่  1) พัฒนาทั้ง Ecosystem ให้มีความพร้อมเพื่อให้ได้ข้อมูลลูกค้าที่สมบูรณ์มากที่สุด สามารถนำไปประเมินความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงจูงใจให้ชำระหนี้ 2) การทำความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าไปพร้อมกับการเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบคุณสมบัติผู้กู้ และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตรวจสอบตัวตน  3) การติดตามหนี้ (Debt Collection) ที่มีประสิทธิภาพบนต้นทุนที่สมเหตุสมผล 4) เตรียมพร้อมการรับมือที่เข้มข้นในตลาด และ 5) ความปลอดภัยและโปร่งใสบนกฎระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องเช่น พ.ร.บข้อมูลส่วนบุคคล  

เอ็นทีที เดต้า (ประเทศไทย) พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการสินเชื่อ ด้วยบริการ Lending Platform ระบบEcosystem สำหรับธุรกิจสินเชื่อ ที่ครอบคลุมการทำ Digital Onboarding, Loan Original และการทำ Loan Management ได้แบบ end-to-end ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การวางกลยุทธ์เพื่อวางแผนเลือกใช้โครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม และการติดตั้งหรือการวางระบบ ตลอดจนบริการดูแลตลอดการใช้งานสำหรับบริการด้าน Application (On-going support) จากการถอดประสบการณ์ให้บริการด้าน Payment & Loyalty Mechanism มากกว่า 10 ปี เพื่อช่วยพัฒนาระบบนิเวศครอบคลุมการทำงานระหว่างธุรกิจบนความปลอดภัยและแม่นยำสูงสำหรับกลุ่มลูกค้าการเงินและการธนาคาร

นายปรภต กล่าวต่อว่า บริการ Lending Platform  จะช่วยปรับปรุงกระบวนการทำงาน โดยจะช่วยลดความซับซ้อนในขั้นตอนการทำงานลง และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารหนี้ได้ ครอบคลุมขั้นตอนการให้บริการสินเชื่อแบบครบวงจรตั้งแต่ 
-Digital Onboarding ขั้นตอนการลงทะเบียนหรือสมัครสมาชิกใหม่ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยไม่ต้องกรอกใบสมัครหลายขั้นตอน เน้นการลดใช้กระดาษ โดยใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกท์ และการตรวจสอบข้อมูลออนไลน์กับหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น การใช้ e-Statement การเชื่อมระบบ e-KYC ที่ครอบคลุมถึงการตรวจสอบข้อมูลกับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย (Department Of Provincial Administration) และ ใช้ AI ในการตรวจสอบเปรียบเทียบใบหน้า เพื่อช่วยในการระบุตัวตนและตรวจสอบผู้ขอสินเชื่อ เพื่อป้องกันการฉ้อโกงตั้งแต่ขั้นตอนการลงทะเบียน รวมถึงระบบ e-Sign ที่จะช่วยให้ขั้นตอนการทำงานรวดเร็วขึ้น

-Loan Origination System ขั้นตอนการวิเคราะห์และประเมินคุณสมบัติผู้ขออนุมัติสินเชื่อ ข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลประวัติเครดิต ที่เชื่อมต่อกับระบบของข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (National Credit Bureau) ช่วยตรวจสอบและลดความเสี่ยงในการเกิดหนี้เสียในอนาคต โดยระบบสามารถรองรับการกำหนดเงื่อนไขและข้อกำหนดในการพิจาณาสินเชื่อได้

-Loan Management System ระบบจัดการสินเชื่อที่ครอบคลุมตั้งแต่การคำนวณวงเงินต้น ดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และค่าบริการต่างๆ ไปถึงการโอนเงินสินเชื่อให้แก่ลูกค้า และการออกเอกสารใบแจ้งหนี้ การรับชำระหนี้ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น การเชื่อมระบบของธนาคารผ่าน API เพื่อรองรับการชำระเงินผ่านแอพพลิเคชั่น 

-Loan Collection ระบบติดตามหนี้เพื่อสนับสนุนการทำงานของฝ่ายติดตามทวงหนี้ โดยระบบจะแสดงรายงานแดชบอร์ด แจ้งเตือนในกรณีที่ลูกค้าเกิดการชำระเงินล่าช้า หรือลูกค้าเกิดการค้างชำระ เพื่อให้ฝ่ายติดตามทวงหนี้สามารถติดตามและทวงถามได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ระบบ Lending Platform เป็นระบบ Ecosystem สำหรับสินเชื่อ ที่สามารถเลือกติดตั้งได้หลายรูปแบบ ทั้งบนคลาวด์ส่วนตัว หรือผู้ให้บริการคลาวด์ ทั้งยังสมารถติดตั้งบนอุปกรณ์เซิฟเวอร์ขององค์กร (On-Premise) ช่วยให้การทำงานของธุรกิจสินเชื่อง่ายขึ้น แม่นยำและปลอดภัยยิ่งขึ้น ทั้งด้านการประเมินอนุมัติสินเชื่อ การคำนวณ และติดตามแผนการชำระหนี้ ทั้งยังสามารถผสานการทำงานกับแพลตฟอร์มอื่นๆ ผ่านระบบ API รองรับการปรับเปลี่ยนได้ในระยะยาว สนับสนุนให้ธุรกิจหมดห่วงในกระบวนการทำงาน สามารถต่อยอดธุกิจสอดคล้องกับการแข่งขันในตลาดที่เข้มข้น