ธนาคารไทยพาณิชย์ ลดดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท 0.25% มีผล 15 ส.ค.68

ธนาคารไทยพาณิชย์ ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท 0.25% ต่อปี สอดคล้องกับมติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 1.75% มาอยู่ที่ 1.50% ต่อปี เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องสำหรับภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ และลดภาระต้นทุนทางการเงินของลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังเปราะบาง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ใหม่มีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป

นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว ความเปราะบางของภาคธุรกิจและครัวเรือน และภาวะการเงินที่ตึงตัวสูง ธนาคารจึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทั้ง MLR, MOR และ MRR ลง 0.25% เพื่อลดภาระทางการเงินของลูกค้า และสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน  โดยมีรายละเอียดดังนี้

-อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR : Minimum Loan Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 6.750% เป็น 6.500% ต่อปี

-อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR : Minimum Overdraft Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 6.925% เป็น 6.675% ต่อปี

-อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR : Minimum Retail Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.025% เป็น 6.775% ต่อปี

ธนาคารพร้อมให้การสนับสนุนลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงศักยภาพและโอกาสในการปรับตัวของลูกค้าในอนาคต โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้จะมีส่วนสำคัญที่จะช่วยเหลือลูกค้าเพิ่มเติม รวมถึงมาตรการอื่นๆ ที่ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือและลดภาระให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่องมาตลอด สำหรับลูกค้าที่ประสงค์จะขอรับความช่วยเหลือหรือคำปรึกษาสามารถติดต่อธนาคารได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าธนาคารไทยพาณิชย์ SCB Call Center 02-777-7777

เงินบาทอ่อนค่าใกล้ 32.60 จากสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กังวลการเมืองโลกกดดันค่าเงิน

เงินบาทอ่อนค่าใกล้ 32.60 จากสถานการณ์ไทยกัมพูชา กังวลการเมืองโลกกดดันค่าเงิน

ค่าเงินบาทประจำวันที่ 29 กรกฎาคม 2568

-กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.35-32.60 บาท/ดอลลาร์

-เงินบาทอ่อนค่าลงต่อจากความกังวลไทยกับกัมพูชา โดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯเข้ามาเป็นคนกลางในการเจรจากับทั้งสองฝ่ายและได้ทำข้อตกลงหยุดยิงกันเที่ยงคืนที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ยังมีการยิงตอบโต้กันมาตลอดคืน

-เงินยูโรอ่อนค่าเทียบกับดอลลาร์ หลังมีความกังวลว่าข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ EU อาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจยุโรปในระยะต่อไป เพราะจะถูกเก็บภาษี 15%

-ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นหลังทรัมป์จะเลื่อนเส้นตายให้รัสเซียตกลงหยุดยิงในยูเครนให้เร็วขึ้น

#ค่าเงินบาทวันนี้ #เงินบาทอ่อนค่า #เงินบาท29กรกฎาคม #สถานการณ์ไทยกัมพูชา #ทรัมป์ไกล่เกลี่ย #ค่าเงินยูโร #ราคาน้ำมัน #เศรษฐกิจโลก #ตลาดการเงิน #ข่าวเศรษฐกิจ #เงินบาทล่าสุด

 

ธนาคารไทยพาณิชย์ ออกมาตรการเร่งด่วนช่วยเหลือลูกค้ารับผลกระทบชายแดนไทยกัมพูชา-อุทกภัยภาคเหนือ

ธนาคารไทยพาณิชย์ ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา และอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ โดยให้ความช่วยเหลือทั้งกลุ่มลูกค้าบุคคล ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการและลูกค้าผู้ประกอบการ SME ทั้งมาตรการพักชำระและสินเชื่อพิเศษเพื่อซ่อมแซมบ้านและกิจการอย่างเต็มที่

วันที่ 27 ก.ค.68 จากสถานการณ์ ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาและสถานการณ์อุทกภัยฉับพลันจากอิทธิพลของพายุ “วิภา” ที่เกิดขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อทรัพย์สินและความเป็นอยู่ของประชาชนในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ธนาคารไทยพาณิชย์ตระหนักถึงความเดือดร้อนของลูกค้า และพร้อมอยู่เคียงข้างเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง ผ่านมาตรการเร่งด่วนที่ครอบคลุม ทั้งลูกค้าบุคคล ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการและลูกค้าผู้ประกอบการ SME โดยให้ความช่วยเหลือสำหรับลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่ ทั้งในรูปแบบการพักชำระหนี้ และการสนับสนุนสินเชื่อใหม่เพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัย รวมถึงฟื้นฟูกิจการที่ได้รับผลกระทบ โดยมีรายละเอียดดังนี้

กลุ่มลูกค้าบุคคล และกลุ่มลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการ ประกอบด้วย

สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 

สำหรับลูกค้าปัจจุบัน - สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อบ้านคือเงิน (My Home My Cash) พักชำระเงินต้นนาน 3 เดือน  

สำหรับลูกค้าใหม่ - สินเชื่อบ้านได้เพิ่มเพื่อซ่อมแซมบ้าน (สินเชื่อบ้านได้เพิ่ม สำหรับลูกค้าสินเชื่อบ้าน (Home Loan Top Up) หรือ สินเชื่อบ้านได้เพิ่ม สำหรับลูกค้าสินเชื่อบ้านคือเงิน (My Home My Cash Top Up)) ดอกเบี้ย 0% นาน 3 เดือน ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกัน ได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม คอนโดมิเนียม และ อาคารพาณิชย์

สินเชื่อรถยนต์  สำหรับลูกค้าสินเชื่อรถยนต์ สามารถพักชำระหนี้สูงสุด 3 เดือน และขยายระยะเวลาในการผ่อนชำระสูงสุด 3 เดือน (รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 65 ปี) 

สินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการ (SSME)

สำหรับลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการปัจจุบัน พักชำระเงินต้นสูงสุดนาน 3 เดือน และสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูกิจการ ดอกเบี้ยคงที่เริ่มต้น 3.5% ต่อปี นาน 24 เดือน ระยะเวลากู้สูงสุด 10 ปี

สำหรับลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการที่ต้องการขอสินเชื่อใหม่ (ยอดขายไม่เกิน 75 ล้านบาทต่อปี) สามารถขอสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูกิจการภายใต้โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) โดยมีเงื่อนไข ดังนี้: 

อัตราดอกเบี้ยคงที่เริ่มต้น 3.5% ต่อปี ในช่วง 24 เดือนแรก ค่าธรรมเนียมการให้สินเชื่อ (Front-End Fee) 1%

ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 10 ปี

วงเงินสูงสุด 40 ล้านบาทต่อราย (รวมวงเงินจากทุกสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ)

ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน

ลูกค้าต้องนำเงินกู้ไปใช้เพื่อฟื้นฟูกิจการที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น ไม่สามารถนำไปชำระหนี้เดิม หรือ Refinance

ต้องยื่นเอกสารแสดงความเสียหายหรือผลกระทบจากสถานการณ์ประกอบการพิจารณา

ลูกค้าสามารถติดต่อขอเข้าร่วมโครงการได้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือโทร SCB Customer Call Center โทร 02-777-7777 ได้ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 – 31 ตุลาคม 2568

ลูกค้าผู้ประกอบการ SME ธนาคารมีโครงการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรง และทางอ้อม ผ่าน 4 มาตรการหลัก ประกอบด้วย 1) พักชำระเงินต้นสูงสุดนาน 6 เดือน 2) พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยสูงสุดนาน 3 เดือน 3) เพิ่มวงเงินหมุนเวียนชั่วคราว วงเงินสูงสุด 20% ของวงเงินหมุนเวียนเดิม และไม่เกิน 10 ล้านบาท 4) วงเงินกู้สำหรับปรับปรุง ซ่อมแซม หรือซื้อทดแทนทรัพย์สินที่เสียหายของกิจการ สูงสุด 20% ของวงเงินเดิม ไม่เกิน 10 ล้านบาท

ลูกค้าผู้ประกอบการ SME สามารถติดต่อขอเข้าร่วมโครงการได้ที่เจ้าหน้าที่ธุรกิจสัมพันธ์ และ SCB Business Call Center โทร 02-722-2222 ได้ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 – 31 ธันวาคม 2568

ธนาคารไทยพาณิชย์ขอส่งกำลังใจให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว และพร้อมดำเนินการให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ ทั้งนี้ ธนาคารจะเร่งดำเนินการอย่างเต็มความสามารถในการพิจารณาคำร้องของลูกค้าทุกท่านเพื่อให้ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบกลับมาฟื้นตัวได้อย่างทันท่วงที

กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว

สำหรับสินเชื่อบ้านได้เพิ่ม อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ระหว่าง 4.906%- 13.879%  ต่อปี โดยอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate : MRR ) ปัจจุบันเท่ากับ 7.025%ต่อปี มีผลวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว สามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามประกาศของธนาคาร รายละเอียดการคำนวณเพิ่มเติมดูได้ที่ เว็บไซต์ www.scb.co.th

#ธนาคารไทยพาณิชย์ #ไทยกัมพูชาชายแดน #ข่าววันนี้ #สินเชื่อ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ 

เงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อย เคลื่อนไหวในกรอบ 32.30-32.55 บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อย เคลื่อนไหวในกรอบ 32.30-32.55 บาทต่อดอลลาร์ 

ค่าเงินบาทประจำวันที่ 21 กรกฎาคม 2568

-กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.30-32.55 บาท/ดอลลาร์

-เงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อย ด้านดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นจากเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับสูงขึ้นที่ 61.8

-เงินเยนแข็งค่าขึ้นหลัง นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชิเงรุ อิชิบะ กล่าวว่าจะยังคงดำรงตำแหน่งต่อไป แม้มีรายงานว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะเสียเสียงข้างมากในสภาสูง

-สหภาพยุโรปเตรียมหารือเกี่ยวกับมาตรการตอบโต้ หากการเจรจากับสหรัฐฯ ล้มเหลวก่อนวันที่ 1 ส.ค. ด้านนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังผลักดันให้เก็บภาษีนำเข้าจากยุโรปในอัตราสูงกว่า 10%

#เงินบาท #เงินดอลลาร์ #เงินเยน #เศรษฐกิจสหรัฐ #การเมืองญี่ปุ่น #ธนาคารไทยพาณิชย์ #SCB #การค้าระหว่างประเทศ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

 

เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.35-32.60 บาท/ดอลลาร์ ติดตามดีลภาษีนำเข้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ และสถานการณ์รัสเซีย

เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.35-32.60 บาท/ดอลลาร์ ติดตามดีลภาษีนำเข้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ และสถานการณ์รัสเซีย

ค่าเงินบาทประจำวันที่ 15 กรกฎาคม 2568

-กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.35-32.60 บาท/ดอลลาร์

-เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ ตลาดจับตาดีลที่ไทยจะเสนอให้สหรัฐฯ โดยจะเพิ่มข้อเสนอเป็นเก็บภาษีนำเข้าใกล้ 0% ให้กับสหรัฐฯ ในระดับเกือบ 90% ของมูลค่าสินค้าสหรัฐฯ ที่ส่งมาไทย

-นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศว่าจะ sanction และขึ้นภาษีนำเข้าจากรัสเซีย 100% หากรัสเซียไม่เจรจาตกลงหยุดยิงกับยูเครนภายใน 50 วัน

-อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปีถึง 40 ปีพุ่งสูงขึ้นเร็ว จากความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการใช้จ่ายของรัฐบาลที่อาจสูงขึ้น

#เงินบาท #ตลาดการเงิน #ธนาคารไทยพาณิชย์ #ภาษีนำเข้า #ไทยสหรัฐ #ดอลลาร์ #ทรัมป์ #พันธบัตรญี่ปุ่น #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

หุ้นโลกสดใสแต่หุ้นไทย Upside จำกัด จากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ–จับตาผลประกอบการ Q2/68

หุ้นโลกสดใสแต่หุ้นไทย Upside จำกัด จากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ–จับตาผลประกอบการ Q2/68

วันที่ 11 ก.ค.68 Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 192 จุด (+0.4%) ได้แรงหนุนจากตลาดแรงงานที่สดใสรวมถึงผลประกอบการที่ดีกว่าคาด ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 2.2% นักลงทุนกังวลว่าภาษีกดดันอุปสงค์

วันพุธที่ผ่านมามหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือน มิ.ย. พบว่าปรับลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ต่ำสุดรอบ 28 เดือน สาเหตุเพราะว่าความไม่แน่นอนปัจจัยการเมืองทั้งคลิปเสียงหลุด กระทบกับความเชื่อมั่นการเมือง สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับนานาประเทศรวมถึงกำลังสร้างแรงกดดันต่อประเทศไทย นอกจากนี้ค่าครองชีพที่สูงขึ้นผสานกับรายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่ายเป็นอีกแรงกดดันต่อดัชนีความเชื่อมั่น

ขณะที่ช่วงเย็นของวันพุธอดีตนายกรัฐมนตรีก็ได้ออกมาแถลงในงานผ่าทางตันประเทศ ที่จัดโดย Nation ในส่วนของภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐฯ อดีตนายกระบุว่าประเทศไทยไม่ควรยอมสหรัฐฯจนเกินไป พร้อมเชื่อว่าระยะเวลาที่เหลือไทยจะสามารถเจาการค้ากับสหรัฐฯได้ ด้านปัจจัยต่างประเทศเมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯได้รายงานผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ 2.27 แสนรายดีกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ที่ 2.36 แสนรายและลดลงจากสัปดาห์ก่อนที่ 2.32 แสนราย นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้วภาษีนำเข้าของสหรัฐฯพบว่าทรัมป์ได้ประกาศภาษีนำเข้าใหม่กับฟิลิปปินส์ที่อัตรา 20% เร่งขึ้นจากเดิมที่ 18% แต่ก็ยังนับว่าต่ำกว่าไทยที่ 36% โดยประเทศที่ถูกเก็บภาษีมากสุดได้แก่บราซิลที่ 50%

คืนนี้ไม่มีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม โดยรอติดตามเงินเฟ้อสหรัฐฯสัปดาห์หน้า วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1100 – 1120 Upside ตลาดหุ้นไทยยังดูจำกัดจนกว่าจะทราบผลเจรจาการค้า ประกอบกับนักลงทุนจะเริ่มรอดูติดตามผลประกอบการ 2Q25 ที่จะเริ่มทยอยรายงานตั้งแต่สัปดาห์หน้า เริ่มที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์และตามมาด้วย Domestic Play ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน นักลงทุนระยะกลางอาจเน้นสะสมหุ้นปันผลสูงธุรกิจมั่นคงเป็นผู้นำธุรกิจ อาทิ SCB TISCO BBL KBANK รวมไปถึงหุ้นใหญ่ที่น่าสนใจ CPN CPALL MINT

MTC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 48.00 บาท)
MTC เผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และผลบวกจากอัตราดอกเบี้ยลดลงอาจยังไม่เห็นผลที่ชัดเจนนักใน 1H25 แต่เราคาดว่ากำไรสุทธิใน 2Q25 จะเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ 1.6 พันล้านบาท (+11.7% YoY, +2.7% QoQ) เพราะรายได้ดอกเบี้ยสุทธิขยายตัวตามสินเชื่อ กอปรกับการควบคุมคุณภาพสินเชื่อ และการติดตามหนี้ที่ดีขึ้นทำให้คาดว่า NPL ratio ปรับลดลงเล็กน้อยที่ 2.65% นอกจากนี้ เรามองว่าแนวโน้มกำไรจะเพิ่มสูงขึ้นได้ต่อเนื่องใน 2H25 เราคาดว่ากำไรสุทธิในปี 2025 จะเติบโตต่อเนื่อง 14%

MINT (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท)
2Q25 กำไรปกติจะเติบโตสูง QoQ และมีโอกาสเติบโต YoY หนุนจาก 1) แนวโน้มการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรม ด้วยยอดการจองล่วงหน้าตั้งแต่เดือนเมษายนอยู่ในระดับที่ดี โดยเฉพาะในโซนยุโรปที่กำลังเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว หนุน RevPar ปรับตัวสูงขึ้น 2) โรงแรมในประเทศไทยได้รับอานิสงค์จากช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทำให้ทั้งอัตราการเข้าพัก (Occupancy) และ RevPar อยู่ในเกณฑ์ที่ดี และ 3) คาดรายได้ธุรกิจร้านอาหารจะฟื้นกลับมาทรงตัว YoY ด้วยยอดขายไอศกรีมมะม่วง เมนูฤดูกาลยอดนิยมที่เลื่อนเปิดการขายจาก 1Q25 มาใน 2Q25 เนื่องจากสภาพอากาศต้นปีที่หนาวยาวนานกว่าปีก่อน 

#ตลาดหุ้นวันนี้ #หุ้นไทย #เศรษฐกิจโลก #ภาษีนำเข้าสหรัฐ #SETIndex #ดาวโจนส์ #เงินเฟ้อสหรัฐ #SCB #MTC #MINT #ลงทุนหุ้นปันผล #ข่าวหุ้น #ผลประกอบการQ2 #ทองคำ #RevPar #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

ไทยพาณิชย์จับเทรนด์ตลาด Hyper-Personalizationเปิดตัว “ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย*” ตอบโจทย์ 88 ความต้องการที่แตกต่างอย่างลึกซึ้งของคน 88 วัย

 

ธนาคารไทยพาณิชย์ มองตลาดประกันชีวิตเข้าสู่ยุครู้ใจลูกค้าเฉพาะบุคคล (Hyper-Personalization) เปิดตัวประกันฮีโร่ตัวใหม่ “ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย*” ประกันสะสมทรัพย์ที่รวบรวมจาก 88 อินไซต์ทางการเงินของคนไทยในทุกช่วงอายุ เป็นประกันชีวิตฉบับเดียวที่รวบตึงความต้องการทางการเงินของคนทุกวัย มอบความคุ้มครองที่ตรงใจในแต่ละช่วงอายุ ด้วยจุดเด่นในการซัปพอร์ตเงินเก็บเป็นประกันสะสมทรัพย์แบบ 88/9 พร้อมมอบความคุ้มครองอุบัติเหตุ และวงเงินค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ พิเศษเพิ่มความคุ้มครองแก่ผู้ชำระค่าเบี้ยประกันภัย เมื่อซื้อประกันให้ผู้เยาว์อายุไม่เกิน 20 ปี เจาะกลุ่มคนที่เตรียมพร้อมการวางแผนทางการเงิน สร้างเงินมรดกให้คนข้างหลัง คุ้มครองยาวตั้งแต่อายุ 1 วัน – 88 ปี พร้อมส่งแคมเปญการสื่อสารด้วยคลิปวีดิโอ 88 เวอร์ชัน ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของคน 88 วัย ผ่าน 88 อินไซต์ทางการเงินที่เชื่อมคนทุกวัยมาพบความคุ้มครองที่แตกต่างอย่างลงตัว ตอกย้ำความเป็นดิจิทัลแบงก์ที่เข้าถึงใจ เข้าถึงคุณ

 

นายศรชัย สุเนต์ตา รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ธนาคารฯ มุ่งมั่นในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ความคุ้มครองที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าในแต่ละช่วงวัย เพื่อมอบความคุ้มครองที่ตรงใจแก่กลุ่มลูกค้า พร้อมกันกับการวางแผนทางการเงินอย่างชาญฉลาดให้แก่ลูกค้า ตามเทรนด์ตลาดประกันชีวิตที่ได้เข้าสู่ยุครู้ใจลูกค้าเฉพาะบุคคล (Hyper-Personalization) โดยล่าสุดธนาคารได้เปิดตัวประกันสะสมทรัพย์ใหม่ ที่รับประกันภัยโดย บมจ. เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต ซึ่งเป็นแบบประกันที่พัฒนาขึ้นจากความต้องการของลูกค้าด้วยความเข้าใจใน 88 อินไซต์ทางการเงินของคน 88 วัย มาเป็นข้อมูลของการออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันภายใต้ชื่อ “ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย*” มีแนวความคิดที่ต้องการมอบทางเลือกในการเก็บเงินสำหรับคนทั่วไป ทั้งยังมอบความคุ้มครองชีวิตที่ครอบคลุมถึงอายุ 88 ปี และได้รับเงินคืนเป็นประจำทุกปี  พร้อมด้วยความคุ้มครองอุบัติเหตุ และค่ารักษาพยาบาลกรณีอุบัติเหตุระหว่างชำระค่าเบี้ยประกันภัย และมีเงินก้อนคืนใช้ยามเกษียณ หรือเป็นมรดกให้คนข้างหลัง โดยให้ความคุ้มครองตั้งแต่อายุ 1 วัน - 88 ปี ชำระค่าเบี้ยประกันภัยเพียง 9 ปี ให้ความคุ้มครองชีวิตถึงอายุ 88 ปี ในกรณีที่ผู้ปกครองสามารถสมัครให้ลูกที่อายุไม่เกิน 20 ปี และยังได้รับความคุ้มครองชีวิตแก่ผู้ชำระค่าเบี้ยประกันภัย อีกด้วย 

“ในครึ่งปีแรกการขายประกันผ่านช่องทางธนาคาร ของธนาคารไทยพาณิชย์ (Bancassurance) มียอดขายประกันรายใหม่ในกลุ่มประกันสะสมทรัพย์ (Endowment) รวม 3,460 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 71.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 ที่ 22.6%** เหตุจากจุดแข็งของธนาคารที่เข้าใจความต้องการของตลาดในประเทศไทย ที่มีความต้องการในผลิตภัณฑ์ประกันสะสมทรัพย์เพิ่มสูงขึ้นทุกปี เพราะจุดเด่นของประกันสะสมทรัพย์ที่การันตีผลตอบแทนในระยะยาว และมีความคุ้มครองชีวิต”  

จากการทำความเข้าใจกับความต้องการทั้ง 88 อินไซต์ทางการเงิน ที่ครอบคลุมทุกเจเนอเรชัน ธนาคารฯ ได้เห็นถึงความต้องการที่แตกต่าง อาทิ คน Gen Alpha & Gen Z ที่คุณพ่อคุณแม่ อยากให้ลูกมีเงินเก็บตั้งแต่วัยเยาว์ ในขณะที่ Gen Y เป็นช่วงทำงาน เริ่มเก็บเงิน สร้างความมั่นคงให้ชีวิต ส่วน Gen X ให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงินพร้อมทั้งลดหย่อนภาษี และ Gen B (Baby Boomer) เป็นวัยหลังเกษียณ ไม่ต้องการความเสี่ยง เน้นเงินอยู่ครบและงอกเงย เตรียมไว้เป็นมรดกให้ลูกหลาน

นายศรชัย กล่าวว่า ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย* จึงเป็นการรวมทุกความต้องการทางการเงินจากบุคคลที่ต้องการวางแผนทางการเงินผ่านการสมัครประกันสะสมทรัพย์ที่มาพร้อมกับความคุ้มครองที่ครอบคลุมและตรงใจ เชื่อมความต้องการของคนในทุกเจเนอเรชัน และเป็นการตอกย้ำถึงการนำบริการทางการเงินจากพลังแห่งเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการโดยยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง มาสร้างแบบประกันที่รู้จักรู้ใจลูกค้าเป็นรายบุคคล (Hyper-personalization) ผสานพลังของมืออาชีพทางการเงินของช่องทาง Bancassurance  ที่ดูแลลูกค้าอย่างจริงใจ และใส่ใจ สอดคล้องกับเป้าหมายของธนาคารที่เป็นดิจิทัลแบงก์ที่เข้าถึงใจ เข้าถึงคุณ

ทั้งนี้ ประกันสะสมทรัพย์ เป็นประกันหลักของธนาคารไทยพาณิชย์ในการนำเสนอผ่านช่องทาง Bancassurance โดยธนาคารตั้งเป้า “ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย*” จะได้รับความสนใจจาก กลุ่มเป้าหมายตามไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างพร้อมเตรียมแคมเปญการสื่อสาร เพื่อเข้าถึงลูกค้าบนช่องทางดิจิทัล ด้วยการนำเสนอคลิปวีดิโอที่ประกอบด้วยเรื่องรางความต้องการของคน 88 วัยในคลิปเดียว โดยใช้เทคนิค AI ในการสร้างภาพ แต่คิดบนอินไซต์ที่มาจากคนจริงๆ พบเรื่องราวของ 88 วิดีโอที่เชื่อมคน 88 วัยมาพบความคุ้มครองที่แตกต่างแต่ลงตัว ได้ที่ https://www.scb.co.th/th/personal-banking/insurance/savings-insurance/su...

หรือที่ QR Code

ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย มีจุดเด่น ดังนี้

-จ่ายเบี้ยประกันภัย 9 ปี คุ้มครองถึงอายุ 88 ปี

-คุ้มครองกรณีเสียชีวิตสูงถึง 910% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย เมื่อครบกำหนดสัญญา ให้ความคุ้มครองชีวิต รับเพิ่ม 200% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย กรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุและเพิ่มเป็น 400% ของจำนวนเงินเอาประกันภัยเมื่อเสียชีวิตจากอุบัติเหตุสาธารณะ

-พิเศษ มีวงเงินค่ารักษาพยาบาลกรณีอุบัติเหตุ ระหว่างระยะเวลาชำระค่าเบี้ยประกันภัยปีละ 5% กรณีไม่เคลมรับโบนัสพิเศษ 10% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ณ สิ้นปีกรมธรรม์ปีที่ 9

-การันตีเงินคืนทุกปีตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์แรกจนถึงครบสัญญา (เป็นทางเลือกในการวางแผนการเงินระยะยาวที่มีเงินคืน 10%,12% และ 14% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ทุกปี) โดยเฉพาะหากไม่เคลมค่ารักษาพยาบาล ณ สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 9 จะได้รับเงินคืนสูงถึง 22% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย

-พิเศษความคุ้มครองผู้ชำระค่าเบี้ยประกันภัย กรณีผู้เอาประกันภัยอายุไม่เกิน 20 ปี สำหรับพ่อแม่ที่เป็นผู้ชำระค่าเบี้ยประกันภัย ให้

-สมัครง่าย ไม่ต้องตรวจสุขภาพ ไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพสำหรับผู้เอาประกันภัย

-ผู้สนใจ ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย* สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สาขาธนาคารไทยพาณิชย์ ทั่วประเทศ

 

แบงก์ใบโพธิ์ คว้า 4 รางวัลสุดยอดแบรนด์ระดับเอเชียและในประเทศ ตอกย้ำความสำเร็จของกลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch

ธนาคารไทยพาณิชย์ คว้า 4 รางวัลสุดยอดแบรนด์ระดับเอเชียและในประเทศ ตอกย้ำความสำเร็จของกลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch

ธนาคารไทยพาณิชย์ ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและการตลาด คว้า 4 รางวัลสุดยอดแบรนด์ที่ดีที่สุดระดับเอเชียและในประเทศ ได้แก่ รางวัลสุดยอดยุทธวิธี AI-First Bank จากเวที The 1st BT Awards Asia โดย BT beartai, รางวัล GEN Z TOP Brand Award 2025 จาก BrandBuffet และ INTAGE (Thailand) รางวัล Prestigious Brands of Asia Award 2025 จากเวที BARC และรางวัลแบรนด์ที่น่าเชื่อถือที่สุดในกลุ่มธนาคาร (2025 Thailand’s Most Admired Brand) จากเวที BrandAge Awards ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และ ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จของกลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch ที่มุ่งเดินหน้าด้วยยุทธวิธี AI-First Bank ต่อเนื่อง โดยผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยกับความเข้าใจในผู้บริโภคทุกเจเนอเรชันอย่างแท้จริง มุ่งนำเสนอนวัตกรรมและบริการดิจิทัลที่ตอบโจทย์ในทุกมิติ พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการเงินด้วยพลังของ AI

 

สำหรับรางวัลแรก BT Awards - Best Brand for a Better Tomorrow ที่จัดโดย BT beartai นั้น ธนาคารไทยพาณิชย์ได้รับยกย่องจากการดำเนินยุทธวิธี AI-First Bank ที่มุ่งสู่การเป็นธนาคารดิจิทัลเต็มรูปแบบ เร่งยกระดับประสิทธิภาพบุคลากรด้วยความสามารถด้านเทคโนโลยี ยกระดับบริการด้วย AI และพัฒนาองค์กรเพื่อรองรับการแข่งขันในยุคปัจจุบัน โดยนางสาวอินทิรา จิตรนุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ Head of Marketing Function ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “สำหรับธนาคารไทยพาณิชย์ กลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch คือหัวใจในการขับเคลื่อนองค์กร เราเชื่อว่าเทคโนโลยีที่ดีต้องมาพร้อมความเข้าใจในมนุษย์ จึงจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน เราจึงนำ AI และเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อยกระดับบริการให้สะดวก ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการดูแลลูกค้าด้วยความใส่ใจในทุกช่วงชีวิต

 

นอกจากนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ยังได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน 10 สุดยอดแบรนด์ที่ครองใจคนรุ่นใหม่ จากรางวัล GEN Z TOP Brand Award 2025 ซึ่งจัดทำโดย BrandBuffet ร่วมกับ INTAGE (Thailand)  โดยเป็นผลจากการสำรวจความคิดเห็นในวงกว้าง (quantitative survey) และการพูดคุยเชิงลึกแบบกลุ่ม (panel discussion)สะท้อนถึงระดับความนิยม ความไว้วางใจ และความผูกพันของผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z (ผู้ที่เกิดระหว่าง พ.ศ. 2540–2555) ที่มีต่อแบรนด์ในยุคปัจจุบัน โดยพิจารณาทั้งในด้านคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ และความสามารถในการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ดิจิทัลของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง การสำรวจนี้ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างกว่า 2,000 คน จาก 10 หมวดอุตสาหกรรมหลักทั่วประเทศ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ตอกย้ำถึงศักยภาพของธนาคารในการสื่อสารและทำการตลาดที่เชื่อมต่อกับผู้บริโภครุ่นใหม่อย่างลึกซึ้งและตรงใจ

 

ในขณะที่รางวัล Prestigious Brands of Asia Award 2025 จากเวที BARC Asia ที่จัดโดย Brand Advertising Research & Consulting Pvt. Ltd. (BARC) เป็นอีกรางวัลที่ยืนยันถึงความเป็นเลิศของธนาคารที่มีผลกระทบเชิงบวกและสร้างคุณค่าให้แก่สังคมและเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย รางวัลนี้สะท้อนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ทันสมัย ที่มุ่งเน้นประสบการณ์ของลูกค้าและสร้างสรรค์โซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ดิจิทัล การได้รับรางวัลนี้เป็นหลักฐานยืนยันถึงความมุ่งมั่นของธนาคารไทยพาณิชย์ในการสร้างคุณค่าและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาค นอกจากรางวัลระดับเอเชียและในประเทศทั้งสามรางวัลแล้ว

 

นอกจากนี้ ความสำเร็จจากรางวัลทั้งหมด ยังสอดคล้องกับภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือของธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเพิ่งได้รับการยกย่องให้เป็น แบรนด์ที่น่าเชื่อถือที่สุดในกลุ่มธนาคาร (2025 Thailand’s Most Admired Brand) จากเวที BrandAge Awards ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 สะท้อนถึงความไว้วางใจที่ผู้บริโภคมีต่อธนาคารในฐานะสถาบันการเงินที่มั่นคง โปร่งใส และมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทย

 

ธนาคารไทยพาณิชย์ยังคงมุ่งมั่นและทุ่มเทในการพัฒนาและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ควบคู่กับความเข้าใจในความต้องการของลูกค้าในแต่ละช่วงชีวิต เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้กลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch

"ธนาคารไทยพาณิชย์" คว้าแชมป์ธนาคารแห่งปีต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน สะท้อนความเชื่อมั่นลูกค้า

ธนาคารไทยพาณิชย์ สร้างความสำเร็จต่อเนื่องด้วยการครองตำแหน่ง “ธนาคารแห่งปี 2568” ตามการประกาศผลการจัดอันดับ ธนาคารแห่งปี 2568 Bank of the Year 2025 จากวารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนเมษายน 2568 โดยใช้ผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ 12 แห่ง ในรอบปี 2567 มาประกอบการพิจารณา ความสำเร็จในครั้งนี้ นับเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน (2566-2568) และเป็นครั้งที่ 17 ของการได้รับรางวัลธนาคารแห่งปี ด้วยผลการดำเนินงานในปี 2567 ที่แข็งแกร่ง ภายใต้การนำทีมบริหารของ นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ รางวัลธนาคารแห่งปียังได้สะท้อนความเชื่อมั่นของลูกค้าที่ไว้วางใจในธนาคารไทยพาณิชย์มาอย่างยาวนาน และบ่งบอกความสำเร็จของกลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch ที่มุ่งผสานเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI กับข้อมูลและการบริการจากบุคลากรของธนาคาร เพื่อมอบประสบการณ์ทางการเงินที่ไร้รอยต่อในทุกช่องทางโดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง

ธนาคารไทยพาณิชย์ดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch มุ่งพัฒนาบริการสู่การเป็นดิจิทัลแบงก์ที่ให้บริการทางการเงินแบบครบวงจร (Universal Digital Bank) ที่เป็นอันดับหนึ่งด้านการบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) พร้อมมอบประสบการณ์การให้บริการที่เชื่อมถึงกันอย่างไร้รอยต่อในทุกช่องทางให้กับลูกค้าโดยผสานเทคโนโลยีดิจิทัลที่ล้ำสมัยเข้ากับการบริการที่ใส่ใจในทุกมิติ ธนาคารนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ครบวงจรทั้งด้านการเงินส่วนบุคคลและธุรกิจ พร้อมตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างรวดเร็วและตรงจุดด้วยการใช้ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อวิเคราะห์และนำเสนอโซลูชันที่เหมาะสม ธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่มีความเสถียรและปลอดภัย การให้คำปรึกษาเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ และการสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่ครอบคลุมเพื่อตอบโจทย์ทุกช่วงชีวิตของลูกค้า พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล

โดยในปี 2568 ธนาคารไทยพาณิชย์จะมุ่งเน้นเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจใน 3 ด้าน ได้แก่ 1) การนำเสนอโซลูชันทางการเงินอย่างเหมาะสมกับความต้องการและระดับความเสี่ยงของลูกค้าเป้าหมาย เพื่อให้ธนาคารสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการรักษาคุณภาพสินเชื่อ การบริหารต้นทุนสินเชื่ออย่างมีประสิทธิภาพ 2) การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานเพื่อควบคุมอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ พร้อมยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของธนาคารในระยะยาว ทั้งทางด้านบุคลากร และทางด้านไอที และ 3) AI-First Bank การเป็นธนาคารที่ขับเคลื่อนด้วย AI เป็นหลัก โดยดำเนินการลงทุนเพื่อวางรากฐานให้องค์กรสามารถนำเอาเทคโนโลยี AI มาใช้ได้ในทุกส่วนงาน เพื่อเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าและพนักงาน ไปจนถึงการสร้างโอกาสในการหารายได้ใหม่เพิ่มเติม

ธนาคารไทยพาณิชย์ไม่เพียงแต่มุ่งเน้นการเติบโตขององค์กรและเศรษฐกิจไทยเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยธนาคารให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเปราะบางผ่านมาตรการต่าง ๆ  และร่วมสนับสนุนโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านการให้สินเชื่อและการลงทุนในโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว ปัจจุบัน ธนาคารได้อนุมัติวงเงินสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนรวมมูลค่า 145,000 ล้านบาท จากเป้าหมาย 150,000 ล้านบาท (ภายในปี 2566-2568) พร้อมทั้งสนับสนุนให้ลูกค้าทุกกลุ่มธุรกิจตระหนักและปรับตัวสู่แนวทางการดำเนินงานที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมในระยะยาว

 

ธนาคารไทยพาณิชย์-ธนาคารกรุงเทพ ครองแชมป์ Bank of the Year 2025

วารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนเมษายน 2568 ประกาศผลการจัดอันดับ ธนาคารแห่งปี 2568  Bank of the Year 2025 โดยใช้ผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ 12 แห่ง ในรอบปี 2567 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-31 ธันวาคม 2567 มาพิจารณาจัดอันดับ ปรากฏว่า ธนาคารแห่งปี 2568 Bank of the Year 2025 ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ และ ธนาคารกรุงเทพ 

ธนาคารไทยพาณิชย์ ครองแชมป์ธนาคารแห่งปี 3 สมัยซ้อน 2566-2568
ปีนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้เป็นแชมป์ ธนาคารแห่ง 2568 Bank of the Year 2025 ซึ่งเป็นการครองแชมป์ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 คือในปี 2566, 2567 และ 2568 โดยในปี 2567 ธนาคารไทยพาณิชย์ สามารถสร้างกำไรสุทธิได้สูงเป็นอันดับ 1 ของระบบธนาคารพาณิชย์ทั้งหมดที่ 49,232.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,274.35 ล้านบาท หรือ 2.66% จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เติบโตสูงขึ้นมาอยู่ที่ 104,600 ล้านบาท โดยธนาคารใช้กลยุทธ์เลือกการเติบโตของสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนบนความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Loan Optimization) และการมีวินัยทางด้านราคา ในส่วนของเงินฝากขยายตัวสูงขึ้นโดยเฉพาะบัญชีเงินฝากลูกค้าธุรกิจ 

ในด้านของความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงิน ธนาคารมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) สูงถึง 18.92% หรือ 453,365 ล้านบาท แบ่งเป็น เงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 17.82% หรือ 427,000 ล้านบาท และเงินกองทุนชั้นที่ 2 อยู่ที่ 1.10% หรือ 26,364 ล้านบาท และมีอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) อยู่ในระดับสูง ที่ 152.3% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567 จากการพิจารณาตามหลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้น

สำหรับนโยบายการดำเนินงานใน ปี 2568 ธนาคารไทยพาณิชย์ จะมุ่งเน้นเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจใน 3 ด้าน ดังนี้
1. Value Driven Customer Strategy with Credit Efficiency Focus : การนำเสนอโซลูชั่นทางการเงินอย่างเหมาะสมกับความต้องการ มูลค่า และระดับความเสี่ยงของลูกค้าเป้าหมาย เพื่อให้ธนาคารสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุม และตรงจุด ควบคู่ไปกับการรักษาคุณภาพสินเชื่อ การบริหารต้นทุนสินเชื่ออย่างมีประสิทธิภาพ และการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการ

ติดตามหนี้ (Collection Efficiency) เพื่อลดความเสี่ยงด้านสินเชื่อและเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับธนาคารในระยะยาว 
ภายใต้กลยุทธ์นี้ ธุรกิจบริหารความมั่งคั่งจะเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักที่ธนาคารให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง โดยคาดหวังการเติบโตของรายได้จากค่าธรรมเนียมอย่างมีนัยสำคัญ

2. Productivity Optimization : การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เพื่อควบคุมอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ พร้อมยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของธนาคารในระยะยาว ผ่านการเพิ่มผลิตภาพและการบริหารทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพใน 2 ด้านสำคัญ ได้แก่ 
(1) ด้านพนักงาน ผ่านการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการทำงานควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะและการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี และ (2) ด้านไอที มุ่งเน้นการสร้างความเป็นเลิศในด้านเสถียรภาพของระบบธนาคาร ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และคุณภาพการให้บริการด้วยการปรับรูปแบบการทำงานเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบไอทีให้ทันสมัยภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสม และปรับสัดส่วนกระบวนการทำงานเป็นแบบอัตโนมัติ (Process Automation) มากขึ้นด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้

3. AI-First Bank : การเป็นธนาคารที่ขับเคลื่อนด้วย AI เป็นหลัก โดยดำเนินการลงทุนเพื่อวางรากฐานให้องค์กรสามารถนำเอาเทคโนโลยี AI มาใช้ได้ในทุกส่วนงาน ทั้งระบบ Core bank และการพัฒนาฐานข้อมูลกลางของธนาคารให้มีความถูกต้อง ปลอดภัย และมีความเป็นปัจจุบัน (Real-time) พร้อมการต่อยอดด้วย AI ที่จะเข้ามาช่วยวิเคราะห์และใช้ประโยชน์จากข้อมูลธนาคารที่มีจำนวนมาก 

นอกจากนี้ ธนาคารยังดำเนินการนำ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในหลายส่วนงานสำคัญของธนาคาร อาทิ การอนุมัติสินเชื่อ การติดตามหนี้ การตรวจสอบความเสี่ยงด้าน Fraud การเพิ่มผลิตภาพของพนักงาน และการพัฒนาความเข้าใจลูกค้าอันนำไปสู่การนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการเฉพาะตัวบุคคล (Hyper-Personalization) ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งการนำ AI มาใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนธนาคารจะช่วยตอบโจทย์ทั้งในด้านการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ การเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าและพนักงาน ไปจนถึงการสร้างโอกาสในการหารายได้ใหม่เพิ่มเติม
    
ธนาคารกรุงเทพ สร้างผลงานเด่น คว้าตำแหน่งธนาคารแห่งปี 2568 
ปีนี้ ธนาคารกรุงเทพ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์ ธนาคารแห่งปี 2568 Bank of the Year 2025 โดยโชว์ผลประกอบการในปี 2567 ที่มีกำไรสุทธิ 45,211 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,575.63 ล้านบาท หรือ 8.59% สูงเป็นอันดับ 3 ของระบบธนาคารพาณิชย์ และมีกำไรสุทธิต่อหุ้นสูงสุดเป็นอันดับ 1 ที่ 23.69 บาท จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 2.3% จากการขยายตัวของเงินให้สินเชื่อ และมีรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นจากธุรกิจบัตรเครดิต และบริการประกันผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวมที่ยังคงเติบโตดี 

นอกจากนี้ ธนาคารยังยึดหลักการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) อยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 334.3% ขณะที่ดำรงอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น 20.35% แบ่งเป็น เงินกองทุนขั้นที่ 1 ที่16.96% และเงินกองทุนขั้นที่ 2 ที่ 3.39% 

สำหรับยุทธศาสตร์ของธนาคารกรุงเทพ ในปี 2568  ประกอบด้วย 
1. การเติบโตอย่างมีคุณภาพ (Quality Growth) ธนาคารมุ่งสร้างความเติบโตอย่างมีคุณภาพ โดยการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดและขยายธุรกิจอย่างรอบคอบระมัดระวัง ควบคู่ไปกับการสนับสนุนลูกค้าที่แสวงหาโอกาสใหม่ๆ หรือต้องการย้ายฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียนและเอเชียที่ธนาคารกรุงเทพมีสาขา หรือธนาคารในเครือ ซึ่งได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ (ประเทศจีน) Bangkok Bank Berhad ในมาเลเซีย และธนาคารเพอร์มาตา ในอินโดนีเซีย 

นอกจากนี้ ธนาคารยังให้ความสำคัญกับภาคธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน เช่น พลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียน รวมถึงเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio, Circular and Green Economy) ซึ่งสอดคล้องกับหลักการ Sustainable Banking และ Responsible Lending

2. พันธมิตรด้านแพลตฟอร์ม (Platform Partner) ธนาคารสนับสนุนการขายสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์ โดยการร่วมมือกับพันธมิตรที่เป็นแพลตฟอร์มขายสินค้าและบริการต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีและตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้ธนาคารเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการแพลตฟอร์มต่างๆ และเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าอย่างทันสถานการณ์ เป็นการสร้างระบบนิเวศที่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินธุรกิจและการใช้ชีวิตของคนยุคใหม่

3. ความมั่งคั่งและมั่นคงทางการเงิน (Wealth and Wellness) ธนาคารนำเสนอบริการที่ช่วยให้ลูกค้าขยายผลต่อยอดความมั่งคั่งและคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อความมั่นคงทางการเงินสำหรับครอบครัวในอนาคต ซึ่งเป็นเรื่องที่ลูกค้าให้ความสำคัญมากขึ้น และสอดคล้องกับสภาพสังคมของประเทศไทยที่ก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัย เช่นเดียวกับอีกหลายๆ ประเทศ โดยธนาคารมีผลิตภัณฑ์และบริการที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทุกช่วงชีวิต ตั้งแต่การออม การสร้างหลักประกันทางการเงิน ไปจนถึงการลงทุนเพื่อสะสม Wealth ด้วยเครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อนขึ้นไปเป็นลำดับ

4. องค์กรอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลที่มีคุณภาพ (Data-driven Organization) ธนาคารมุ่งเสริมสร้างศักยภาพด้านข้อมูล โดยการพัฒนาระบบ Data Lake อย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้ธนาคารเข้าใจความต้องการของลูกค้า ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม ในแต่ละช่วงชีวิตได้อย่างถูกต้อง และทำให้ธนาคารเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตของลูกค้า พร้อมทั้งปกป้องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยด้านข้อมูลของลูกค้า 

5. การเสริมสร้างรากฐานองค์กร (Strengthened Foundation) ธนาคารมุ่งพัฒนาบุคลากรให้มีความพร้อมทั้งความรู้ ทักษะและความสามารถที่เพียงพอและเท่าทันสำหรับยุคแห่ง Disruption ของเทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งการประสานความร่วมมือในการทำงานที่มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงาน รวมทั้งนำเสนอบริการดิจิทัลที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตออนไลน์ของลูกค้า ซึ่งจะทำให้บุคลากรของธนาคารเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ให้คำแนะนำและให้บริการที่มีมูลค่าที่สูงขึ้น

#ธนาคารไทยพาณิชย์ #ธนาคารกรุงเทพ #วารสารการเงินธนาคาร #ข่าววันนี้ #ธนาคารแห่งปี2568 #BankoftheYear2025