ยูโอบี หนุนผู้ประกอบการหญิงไทยผ่าน โครงการ Womenpreneur: Sustainability and Innovation สู่ผู้นำธุรกิจแห่งอนาคต

 

ยูโอบี หนุนผู้ประกอบการหญิงไทยผ่าน โครงการ Womenpreneur: Sustainability and Innovation สู่ผู้นำธุรกิจแห่งอนาคต

 จากแนวโน้มการเติบโตของผู้ประกอบการหญิงไทยที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านอัตราการเริ่มต้นธุรกิจที่สูงกว่าผู้ชาย 1.1 เท่า และความเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง โดยร้อยละ 83 มั่นใจว่าธุรกิจจะเติบโตในอีก 5 ปีข้างหน้า ธนาคารยูโอบี ประเทศไทยจึงเดินหน้าสนับสนุนผู้ประกอบการหญิงผ่านโครงการ Womenpreneur: Sustainability and Innovation เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน

โครงการนี้ดำเนินการโดย UOB FinLab ร่วมกับ ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการและผู้บริหารระดับสูง (CEED) โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยผู้ประกอบการหญิงก้าวข้ามอุปสรรค ทั้งด้านการเข้าถึงแหล่งทุน การวางแผนธุรกิจ และการขาดเครือข่าย ผ่านการอบรมระยะเวลา 3 เดือน ผู้เข้าร่วมจาก 25 บริษัทได้ร่วมกันสรุปองค์ความรู้สำคัญออกมาเป็น 3 กุญแจสู่ความสำเร็จ ได้แก่:

กรอบแนวคิด PAEI: เสริมศักยภาพองค์กรอย่างสมดุล

แนวคิด PAEI ประกอบด้วย 4 บทบาทสำคัญในการบริหารองค์กร ได้แก่:

·Producer (P): มุ่งเน้นผลลัพธ์และประสิทธิภาพ

·Administrator (A): จัดการระบบและกระบวนการ

·Entrepreneur (E): สร้างสรรค์และวางกลยุทธ์

·Integrator (I): สร้างความร่วมมือและความสัมพันธ์ในทีม

ตัวอย่างบริษัทที่นำแนวคิดนี้ไปใช้ ได้แก่ พี.เจ.การ์เม้นท์ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตเสื้อผ้ายูนิฟอร์มปรับโครงสร้างองค์กรใหม่เพื่อขยายธุรกิจสู่ระดับพันล้าน และแอมเฮลท์ เอเชีย เจ้าของแบรนด์ PETCHPLOY ในแวดวงแฟชั่นและสุขภาพ พัฒนาโครงสร้างทีมเพื่อเพิ่มความพึงพอใจของพนักงานและเตรียมขยายพอร์ตสินค้า

 

New S-Curve: สร้างคลื่นการเติบโตใหม่

ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ผู้ประกอบการต้องกล้าคิด กล้าทำ และเปิดรับนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ตัวอย่างเช่น คิสออฟบิวตี้ ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิว พลิกกลยุทธ์ธุรกิจด้วยแนวคิด New S-Curve ลงทุนด้าน R&D เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ anti-aging สำหรับตลาด mass พร้อมตั้งเป้าเพิ่มยอดขาย 35%

 Connection & Inspiration: เครือข่ายและแรงบันดาลใจ

การเชื่อมโยงระหว่างผู้ประกอบการหญิงช่วยสร้างโอกาสใหม่ ๆ และแรงผลักดันในการเติบโต เช่น 360 แคร์ ผู้พัฒนาแบรนด์ HiCare ศูนย์พัฒนาความสูง โดยอิงจากงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับระดับประเทศ ได้รับโอกาสในการพบและรับคำปรึกษาด้านการตลาดจากคุณทนงศักดิ์ แซ่เอี้ยว  ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เริ่มใหม่ จำกัด เจ้าของแบรนด์ Yuedpao ซึ่งอาจนำไปสู่ความร่วมมือในอนาคต การสร้าง Fashion Collection ร่วมกับแบรนด์ Yuedpao เพื่อขยายฐานลูกค้า และ ดิจิตอล ช็อตคัต ศูนย์ความรู้ด้านการตลาดดิจิทัล มุ่งสร้างแบรนด์ให้โดดเด่นในตลาดที่แข่งขันสูง ด้วยกลยุทธ์การสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัว ต่อยอดจากคำแนะนำและเครือข่ายที่ได้รับจากผู้เชี่ยวชาญในสังคม

นางสาวปิยพร รัตน์ประสาทพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ เครือข่ายสาขาและบริการดิจิทัล ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า การสนับสนุนผู้ประกอบการหญิงไม่ใช่เพียงเรื่องของความเท่าเทียม แต่คือการลงทุนในศักยภาพที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างมีนวัตกรรมและยั่งยืน การสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการพัฒนาธุรกิจหญิงจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับสากล และสร้างผู้นำธุรกิจรุ่นใหม่ที่พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

 

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจโครงการอื่นๆ ของทางธนาคารยูโอบีประเทศไทย เพื่อพัฒนาศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สามารถติดตามข่าวสารได้ที่ www.facebook.com/uob.th หรือ https://thefinlab.com/th/thailand

 

 

 

 

ยูโอบี ร่วมกับ ททท.เมืองพัทยา และพันธมิตร จัดสัมมนาแบ่งปันความรู้ ส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวภาคตะวันออก

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเมืองพัทยา และพันธมิตรของ UOB BizSmart บริการดิจิทัลโซลูชันเพื่อการจัดการธุรกิจ จัดสัมมนาแบ่งปันความรู้ให้กับเอสเอ็มอีในภาคการท่องเที่ยวและร้านอาหาร เจาะลึกเทรนด์ด้านการท่องเที่ยว กลยุทธ์การตลาด และเครื่องมือในการส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่มีการแข่งขันสูง โดยงานนี้ได้รับเกียรติจาก ดร. ศิวัช บุณเกิด รองปลัดเมืองพัทยา เป็นประธานเปิดงาน และ นายชัยวัฒน์ ตามไท ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท. สำนักงานเมืองพัทยา ซึ่งได้นำเสนอภาพรวมของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย พร้อมกับกรอบนโยบายเชิงกลยุทธ์ของ ททท. เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในภาคส่วนนี้

นางสยุมรัตน์ มาระเนตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ธนาคารยูโอบี เชื่อว่าการสนับสนุนเอสเอ็มอี เป็นสิ่งสำคัญในการเสริมสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคที่มีศักยภาพสูงอย่างการท่องเที่ยว เรามุ่งมั่นที่จะจัดหาเครื่องมือ ข้อมูลเชิงลึก และโซลูชันทางการเงินที่ธุรกิจท้องถิ่นต้องการ เพื่อเติบโตอย่างยั่งยืนและประสบความสำเร็จในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผ่านบริการทางการเงินที่เข้าใจธุรกิจเอสเอ็มอี และเครือข่ายพันธมิตร  ของ UOB BizSmart ที่ช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังได้รับฟังถึงโซลูชันด้านการเงิน การชำระเงิน และประกันภัย ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจท่องเที่ยว ในช่วงเสวนาระหว่างธนาคารยูโอบี GHL Freedom World และ MSIG

ปิดท้ายด้วย Klook แพลตฟอร์มการท่องเที่ยวและประสบการณ์ระดับโลก และหนึ่งในพันธมิตรหลักของ UOB BizSmart ที่มานำเสนอแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภค และโซลูชันดิจิทัลที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจโรงแรม ที่พัก และร้านอาหาร เพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า และสร้างรายได้เพิ่มขึ้น

กิจกรรมครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของธนาคารยูโอบี ในการส่งเสริมความร่วมมือและนวัตกรรมทางการเงินที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจท้องถิ่นภาคตะวันออก ซึ่งมีความสำคัญ และมีส่วนช่วยในการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยในระยะยาว

 

ผลสำรวจ UOB Business Outlook Study 2025 เผยภาคธุรกิจไทยมุ่งขยายโอกาสในภูมิภาค รับมือผลกระทบภาษีทรัมป์

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เผยรายงาน UOB Business Outlook Study ประจำปี 2568 สะท้อนแนวทางการปรับตัวของภาคธุรกิจไทยท่ามกลางความท้าทายจากการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา และความไม่แน่นอนของห่วงโซ่อุปทานโลก การสำรวจจัดเก็บข้อมูลเมื่อมกราคม 2568 และสัมภาษณ์เพิ่มเติมในเดือนเมษายน 2568 พบว่า แม้ภาคธุรกิจไทยจะดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง แต่ยังแสดงศักยภาพในการปรับตัว ผ่านการขยายโอกาสในภูมิภาคอาเซียน เร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยผลสำรวจพบว่า ภายหลังจากการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา มากกว่าร้อยละ 90 ของภาคธุรกิจคาดว่าจะเผชิญกับภาวะหยุดชะงักในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันร้อยละ 68 คาดว่าจะปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเร็วยิ่งขึ้น และร้อยละ 60 มองว่าความยั่งยืนมีความสำคัญ โดยมีมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกาเป็นปัจจัยเร่งสำคัญ

นางวีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล กรรมการผู้จัดการ Deputy CEO &  Wholesale Banking ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ผลสำรวจ UOB Business Outlook Study ประจำปี 2568 สะท้อนถึงความสามารถของภาคธุรกิจไทยในการปรับตัวต่อความท้าทายระดับโลก ด้วยการมองหาโอกาสใหม่ในระดับภูมิภาค การประยุกต์ใช้เครื่องมือดิจิทัล และการให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ล้วนเป็นแนวทางที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตในภาคธุรกิจในระยะยาว อย่างมั่นคง ธนาคารยูโอบีพร้อมสนับสนุนภาคธุรกิจไทยอย่างเต็มที่ ด้วยโซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์ ความเชี่ยวชาญในตลาดภายในประเทศ และเครือข่ายที่แข็งแกร่งในภูมิภาคอาเซียน”

ภาษีสหรัฐฯ ฉุดความเชื่อมั่น จุดประกายธุรกิจเร่งปรับตัว
ผลสำรวจพบว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจปรับตัวลดลงจากร้อยละ 58 ในปี 2024 เหลือร้อยละ 52 ภายหลังการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กแสดงความกังวลมากที่สุด ปัจจัยหลักที่สร้างแรงกดดันคือ ต้นทุนการดำเนินงานและเงินเฟ้อ โดยร้อยละ 60 ของผู้ตอบแบบสอบถาม คาดว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้น และร้อยละ 57 คาดว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คืออสังหาริมทรัพย์และธุรกิจการให้บริการ

ภาคธุรกิจไทยได้ริเริ่มมาตรการสำคัญเพื่อรับมือสถานการณ์ ดังนี้
• ลดต้นทุน: ธุรกิจ 3 ใน 5 โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลาง (ร้อยละ 67) ได้ดำเนินการมาตรการลดต้นทุน 
• เพิ่มรายได้: ธุรกิจจำนวนมากมุ่งขยายฐานลูกค้าใหม่และแสวงหาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์
• ต้องการการสนับสนุน: ธุรกิจให้ความสำคัญกับความช่วยหลือทางการเงิน (ร้อยละ 92) การสนับสนุนด้านการค้าและห่วงโซ่อุปทาน (ร้อยละ 65) และการให้คำปรึกษาหรือฝึกอบรม (ร้อยละ 50) เพื่อสร้างเสริมความสามารถในการปรับตัว

ความกดดันในห่วงโซ่อุปทานผลักดันให้ธุรกิจไทยมุ่งเน้นตลาดภูมิภาค
ร้อยละ 90 ของธุรกิจไทยมุ่งเน้นการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน ทว่ามาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกากลับส่งผลให้ภาวะหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทานทวีความรุนแรงขึ้น ร้อยละ 80 ของธุรกิจคาดว่าจะเผชิญความท้าทายเพิ่มเติมจากภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยสูง แนวทางสำคัญที่ธุรกิจจะใช้ในการรับมือ ได้แก่
• การวิเคราะห์ข้อมูล: ธุรกิจ 4 ใน 10 ราย นำการวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้เพื่อการตัดสินใจที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งกลายเป็นกลยุทธ์ด้านการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปี 2024 แซงหน้ากลยุทธ์การกระจายความเสี่ยง
• การค้าภายในภูมิภาคอาเซียน: ธุรกิจเปลี่ยนไปใช้ทางเลือกในภูมิภาคมากขึ้น ส่งผลให้การค้าภายในภูมิภาคเติบโต
• ความต้องการสนับสนุน: ธุรกิจมองหามาตรการจูงใจทางภาษี การเข้าถึงเทคโนโลยี และการฝึกอบรมแรงงาน

การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลเร่งเสริมความสามารถในการปรับตัว
การปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นกลยุทธ์หลักของธุรกิจ โดยเกือบร้อยละ 40 ของธุรกิจได้นำเครื่องมือดิจิทัลมาผสานรวมอย่างเต็มรูปแบบ และร้อยละ 68 คาดว่าจะเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลหลังการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง ทั้งนี้ ธุรกิจไทยมองว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการ อาทิ การสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การขยายการเข้าถึงลูกค้า และการเข้าสู่ตลาดที่รวดเร็วขึ้น อย่างไรก็ดี ความกังวลเรื่องความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ต้นทุน และความเสี่ยงจากการละเมิดข้อมูล ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ต้องเผชิญ และกระตุ้นความต้องการด้านการฝึกอบรมและการวิเคราะห์ข้อมูลเฉพาะอุตสาหกรรม

ธุรกิจไทยเร่งเดินหน้าสู่ความยั่งยืน แม้ต้องเผชิญความท้าทาย
แม้ว่ามากกว่าร้อยละ 90 ของธุรกิจจะตระหนักถึงความสำคัญของความยั่งยืน แต่มีเพียงร้อยละ 53 เท่านั้นที่ได้นำแนวทางปฏิบัติไปใช้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง อย่างไรก็ตาม หลังการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ มากกว่าร้อยละ 60 คาดว่าจะเร่งดำเนินมาตรการเพื่อความยั่งยืน อุปสรรคสำคัญ ได้แก่ การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐาน ต้นทุนที่สูง และพฤติกรรมผู้บริโภคที่ยังไม่พร้อมจ่ายราคาพรีเมียมสำหรับสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ มากกว่าร้อยละ 30 อยู่ระหว่างการพิจารณานำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ พร้อมทั้งแสวงหาข้อมูลและคำปรึกษาเพื่อพัฒนาแนวทางดังกล่าว

ธุรกิจไทยเร่งขยายสู่ต่างประเทศ โดยเน้นภูมิภาคอาเซียนเป็นหลัก
ธุรกิจไทยเกือบร้อยละ 90 มีแผนขยายตลาดสู่ต่างประเทศ โดยมากกว่าร้อยละ 50 คาดว่าจะเร่งดำเนินการหลังมาตรการเก็บภาษีของสหรัฐฯ ประเทศเป้าหมายหลัก ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม รองลงมาคือจีนและภูมิภาคเอเชียเหนือ ทั้งนี้ แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการเติบโตของรายได้และกำไร แม้ยังเผชิญความ ท้าทายด้านจำนวนลูกค้าและความเข้าใจตลาดที่จำกัดในแต่ละประเทศก็ตาม ภาคธุรกิจจึงต้องการข้อมูลเชิงลึก การสนับสนุนทางการเงิน และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรเพื่อขยายตลาดข้ามพรมแดน

แรงงานยังคงเป็นปัญหาหลักที่ธุรกิจต้องเผชิญ
ครึ่งหนึ่งของธุรกิจไทยยังคงเผชิญปัญหาด้านแรงงาน โดยเฉพาะเรื่องค่าตอบแทนและความยืดหยุ่นในการทำงาน ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้และความคาดหวังของบุคลากรรุ่นใหม่ ผลการสำรวจยังชี้ว่า ธุรกิจเกือบร้อยละ 40 จึงประสบปัญหาในการรักษาบุคลากรที่มีความสามารถ แนวทางรับมือกับปัญหานี้ ได้แก่ การเพิ่มค่าตอบแทน การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล การปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน และการสลับบทบาทหน้าที่ภายในองค์กร

ยูโอบี จับมือร้าน “โอ้กะจู๋” และ ‘โอ้ จู๊ซ’ ส่งแคมเปญสุดคุ้มเสิร์ฟความฟินให้คนรักสุขภาพ สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตยูโอบีเท่านั้น

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เปิดตัวแคมเปญใหม่ ครั้งแรกกับความร่วมมือสุดเอกซ์คลูซีฟกับร้านอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพยอดนิยมอย่าง ‘โอ้กะจู๋’ และ ‘โอ้ จู๊ซ’ พร้อมแคมเปญสองระดับที่มอบสิทธิประโยชน์เฉพาะสำหรับผู้ถือบัตรเครดิตยูโอบี แคมเปญนี้จัดขึ้นตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 มุ่งตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ และต้องการความคุ้มค่าในทุกการใช้จ่าย ต่อที่ 1 รับส่วนลด 50 เปอร์เซ็นต์กับเมนูพิเศษที่ร่วมรายการ รับส่วนลดเมนู Not Plain Cheesecake เมื่อทานครบ 1,500 บาทขึ้นไป/เซลส์สลิป ที่ โอ้กะจู๋ และ รับส่วนลด 50%เครื่องดื่ม Signature menu เมื่อซื้อเครื่องดื่ม Signature menu ที่มีราคาเท่ากันหรือต่ำกว่าที่ โอ้จู๊ซ และต่อที่ 2 แลกรับเครดิตเงินคืน 15% เมื่อทานอาหารตามยอดที่กำหนดและแลกคะแนนสะสม

นางสาวพิมณภัทร์ พงศ์เลิศโภคิน Head of Usage and Paylite, Card Business ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ยูโอบีให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่มีคุณค่าและตรงใจกลุ่มลูกค้า การร่วมมือกับพันธมิตรอย่างโอ้กะจู๋ และโอ้ จู๊ซ ในครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสในการส่งต่อความสุข ความอร่อย และความคุ้มค่าให้กับผู้ถือบัตรเครดิตยูโอบี โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่และผู้รักสุขภาพที่ใส่ใจในไลฟ์สไตล์และคุณภาพของอาหาร”

"ยูโอบี" จับมือเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย เดินหน้าเสริมแกร่งการลงทุนภาคอุตสาหกรรมในไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย และบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมภายใต้บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเชิงกลยุทธ์ เพื่อร่วมกันส่งเสริมการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม สนับสนุนการค้า และอำนวยความสะดวกทางการเงินแก่ธุรกิจที่มีแผนขยายการดำเนินงานในประเทศไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย 

แม้สภาวะแวดล้อมทางการค้าโลกยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนและมีความผันผวนจากภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพสูงสำหรับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม โดยรายงานการลงทุนโลกประจำปี 2568[1] ขององค์การการค้าและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNCTAD) ระบุว่า ในปี 2567 การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ไหลเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีมูลค่ารวม 225,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากปี 2566 บันทึกความเข้าใจฉบับนี้นับเป็นความร่วมมือที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยทั้งสององค์กรชั้นนำจะผนึกกำลังกันเพื่อระบุและส่งเสริมโอกาสด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจที่มีแผนจัดตั้งหรือขยายกิจการในพื้นที่อุตสาหกรรมสำคัญทั่วภูมิภาค

ภายใต้ข้อตกลงฉบับนี้

• บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) จำกัด จะให้การสนับสนุนแก่ธุรกิจที่ต้องการลงทุนในพื้นที่อุตสาหกรรมอย่างครอบคลุม ตั้งแต่การให้คำแนะนำเกี่ยวกับนโยบาย กฎระเบียบ และโอกาสในการลงทุน

• ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย จะให้บริการโซลูชันทางการเงินอย่างรอบด้าน ครอบคลุมการให้คำปรึกษาด้านกฎระเบียบ การจัดหาเงินทุนสำหรับโครงการ สิ่งอำนวยความสะดวกด้านการค้า และบริการบริหารเงินสด โดยอาศัยเครือข่ายธนาคารที่ครอบคลุมทั่วภูมิภาคและองค์ความรู้ในการสนับสนุนการลงทุนข้ามพรมแดน

นายริชาร์ด มาโลนี่ย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้กับ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) จำกัด ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของทั้งสององค์กร ในการขับเคลื่อนการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมในภูมิภาค ขณะที่ภาคธุรกิจจำนวนมากขึ้นให้ความสำคัญกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะศูนย์กลางของห่วงโซ่อุปทาน และเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในการขยายธุรกิจ บันทึกความเข้าใจนี้จะช่วยให้ทั้งสององค์กรระบุและสนับสนุนโครงการอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในตลาดสำคัญๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราเชื่อมั่นว่าการผสานองค์ความรู้เชิงลึกในระดับภูมิภาคและโซลูชันทางการเงินของยูโอบี เข้ากับศักยภาพด้านอสังหาริมทรัพย์ของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) จะช่วยปลดล็อกโอกาสใหม่ๆ ในการลงทุน สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และยกระดับบทบาทของภูมิภาคในฐานะศูนย์กลางอุตสาหกรรมระดับโลก”

นายพีระพัฒน์ ศรีสุคนธ์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า “ด้วยเครือข่ายธุรกิจด้านอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมทั้งในประเทศไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับธนาคารยูโอบีในการสนับสนุนอย่างครบวงจรให้กับผู้ผลิตและผู้ประกอบการจากทั่วโลกที่ต้องการขยายการลงทุนเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการผสานองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และทรัพยากรของทั้งสององค์กรรวมถึงเครือข่ายระดับภูมิภาคของกลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งเรามุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างคุณค่าในระยะยาวให้กับภูมิภาคนี้”

ทั้งนี้ปัจจุบัน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมของบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการรวมกว่า 3.48 ล้านตารางเมตรทั่วประเทศไทย โดยมีโรงงานและคลังสินค้ารวม 946 ยูนิต นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่อุตสาหกรรมในเวียดนามอีก 140,000 ตารางเมตร และในอินโดนีเซีย 150,000 ตารางเมตร ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของทั้งสององค์กรในการเชื่อมโยงธุรกิจในระดับภูมิภาค ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม และขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียนอย่างยั่งยืน
 

ยูโอบี จับมือ 40 แบรนด์แฟชั่นชั้นนำ มอบเครดิตเงินคืนรวมสูงสุด 23 เปอร์เซ็นต์

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย จับมือแบรนด์แฟชั่นชั้นนำกว่า 40 แบรนด์ จัดแคมเปญ Fashion Mid Year Sale 2025 มอบสิทธิประโยชน์สุดคุ้มให้กับผู้ถือบัตรเครดิตยูโอบี ตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม 2568 ผู้ถือบัตรสามารถรับเงินคืนสูงถึง 23 เปอร์เซ็นต์จากความคุ้มค่าสองต่อ ต่อแรกรับเงินคืนสูงสุด 10 เปอร์เซ็นต์จากการซื้อสินค้าจากแบรนด์แฟชั่นที่ร่วมรายการ และต่อที่สองแลกคะแนนสะสมยูโอบี เพื่อรับเงินคืนเพิ่มสูงสุดอีก 13 เปอร์เซ็นต์ และยังรับส่วนลดสูงสุด 70 เปอร์เซ็นต์จากแบรนด์ที่ร่วมรายการในช่วง Mid-year sale ของปีนี้ อาทิเช่น ZARA, CLUB21, H&M, PP group เป็นต้น ซึ่งจะสร้างความคุ้มค่าให้กับนักช้อปที่ให้ความสำคัญกับสไตล์การแต่งตัวและการใช้จ่ายอย่างชาญฉลาด

นางสาวสุพรทิพย์ พงษาชำนาญกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจบัตรเครดิต ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เปิดเผยว่า “แฟชั่นเป็นเรื่องของรสนิยมส่วนตัว แต่ความคุ้มค่าเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญ แคมเปญนี้สะท้อนความตั้งใจของเราที่จะเชื่อมโยงความต้องการด้านไลฟ์สไตล์เข้ากับสิทธิประโยชน์ที่จับต้องได้ เราจับมือกับแบรนด์แฟชั่นชั้นนำ เพื่อสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ครบทั้งคุณภาพ และความคุ้มค่า นี่คือส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ระยะยาวของเราที่ต้องการยกระดับการใช้ชีวิตของลูกค้าผ่านบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์อย่างแท้จริง”

 

ยูโอบี ร่วมมือกับลาซาด้า จัดสัมมนา “Future Trends in E-commerce” ชูเทรนด์อีคอมเมิร์ซและ AI หนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ร่วมกับลาซาด้า จัดสัมมนา “Future Trends in E-commerce: Driving Growth with AI on E-commerce” รวมพลังผู้ประกอบการ ผู้ให้บริการดิจิทัลโซลูชันสำหรับธุรกิจ และผู้เชี่ยวชาญด้านอีคอมเมิร์ซ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับแนวโน้มตลาดอีคอมเมิร์ซและบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่อนาคต

นางสยุมรัตน์ มาระเนตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “เราตระหนักดีว่าเทคโนโลยี โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางด้าน AI จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจอีคอมเมิร์ซในปัจจุบัน การร่วมมือกับลาซาด้าในครั้งนี้จึงเป็นการเชื่อมต่อนวัตกรรมด้านอีคอมเมิร์ซกับโซลูชันทางการเงินของธนาคาร เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เติบโตและแข่งขันได้อย่างทันท่วงที”
 
ไฮไลต์สำคัญของงานคือ การแบ่งปันความรู้ด้านกลยุทธ์การใช้ AI ในการทำตลาดดิจิทัล เจาะลึกเทรนด์การค้าบนโลกออนไลน์ และเทคนิคการเพิ่มยอดขายบนแพลตฟอร์มลาซาด้า โดยในงานนี้ ทางลาซาด้า ได้แนะนำฟีเจอร์ใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ขายเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการขาย ปรับปรุงการให้บริการลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล และสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ผู้เข้าร่วมงานยังได้รับความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินและเครื่องมือดิจิทัลที่ช่วยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของเอสเอ็มอี อย่างมีประสิทธิภาพ จากพันธมิตรของ UOB BizSmart บริการดิจิทัลโซลูชันที่ช่วยเอสเอ็มอีบริหารจัดการธุรกิจ ได้แก่ PEAK โซลูชันระบบจัดการบัญชี และ ZORT ระบบจัดการคำสั่งซื้อและสต็อกสินค้า
 
นอกจากนี้ ยังมีการแชร์เคล็ดลับความสำเร็จจากแบรนด์ไทยชั้นนำอย่าง AIMER แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่น และ INGU Skin แบรนด์สกินแคร์ที่โดดเด่นด้วยสารสกัดจากธรรมชาติคุณภาพสูง ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้ประกอบการในการสร้างธุรกิจให้เติบโตในโลกออนไลน์
 
งานสัมมนาครั้งนี้ตอกย้ำพันธกิจของธนาคารยูโอบี และลาซาด้า ในการส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยให้มีความรู้ เครื่องมือ และโซลูชันทางการเงินที่จำเป็นต่อการเติบโตบนช่องทางอีคอมเมิร์ซ และสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาว

 

ยูโอบี จับมือ จุฬาฯ ส่งมอบดิจิทัลโซลูชัน Virtual Account ยกระดับการบริหารจัดการเงินทุนวิจัย 

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ประกาศความร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อส่งมอบบริการบริหารจัดการเงินสดแบบดิจิทัล Virtual Account เพิ่มประสิทธิภาพในการรับ-จ่ายเงินทุน สำหรับงานวิจัย และยกระดับงานวิจัยจุฬาฯ สู่ยุคดิจิทัล

นางวีระอนงค์  จิระนคร ภู่ตระกูล กรรมการผู้จัดการ Deputy CEO และ Wholesale Banking ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการนำความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการเงินสดของธนาคาร มาช่วยยกระดับมาตรฐานของการทำงานวิจัยของทางมหาวิทยาลัย โซลูชัน Virtual Account ได้รับการออกแบบมาให้ลดขั้นตอนการรับ-จ่ายเงินทุน สำหรับงานวิจัย อำนวยความสะดวกให้งานวิจัยต่าง ๆ ดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว และคล่องตัวมากขึ้น”

ปัจจุบัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีนักวิจัยอยู่ประมาณ 2,800 คน ในแต่ละปี มีการทำโครงการวิจัยกว่า 400โครงการ อุปสรรคสำคัญของการดำเนินโครงการวิจัยที่ทางจุฬาฯ ประสบก็คือ ความล่าช้าในการระบุที่มาของเงินทุนวิจัย ที่เข้ามาจากหลากหลายช่องทาง โดยต้องใช้ระยะเวลาถึง 1-3 เดือนในการกระทบยอดในบัญชีส่วนกลาง เพื่อระบุที่มาของเงินทุน ทำให้เกิดความล่าช้าในการนำจ่ายให้กับนักวิจัยของแต่ละโครงการ 

ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “ในฐานะสถาบันการศึกษาของประเทศ หนึ่งในเป้าหมายของเรา คือช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ผ่านโครงการศึกษาวิจัยต่างๆ ของทางมหาวิทยาลัย การบริหารจัดการทุนวิจัยผ่านระบบ Virtual Account ของธนาคารยูโอบี ช่วยลดขั้นตอนการทำงานเอกสาร และทำให้เกิดความโปร่งใส เนื่องจากนักวิจัยสามารถตรวจสอบกระบวนการเบิกจ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังได้รับเงินทุนรวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้สามารถพัฒนางานวิจัยได้อย่างต่อเนื่อง” 

โซลูชันบริหารจัดการเงินสดแบบดิจิทัล Virtual Account เป็นทางเลือกสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ เช่น สถาบันการศึกษา ที่ได้ประโยชน์จากการปรับใช้ดิจิทัล (Digital Transformation) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนในการดำเนินงานด้านบัญชี ทำให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการมากขึ้น 

 

"ยูโอบี" จับมือ "นารา กรุ๊ป" มอบสิทธิพิเศษด้านการรับประทานอาหารตลอดทั้งปี

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท นารา กรุ๊ป กลุ่มธุรกิจร้านอาหารชื่อดังของไทย ผู้อยู่เบื้องหลังแบรนด์ยอดนิยม เช่น นาราไทย คูซีน, โค-ลิมิเต็ด, อั้งม้อ และบ้านนอกเข้ากรุง ยกระดับประสบการณ์การรับประทานอาหารให้กับผู้ถือบัตรเครดิตยูโอบี ด้วยสิทธิประโยชน์สุดพิเศษที่ผสานความอร่อยของอาหารไทยเข้ากับความคุ้มค่าอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นเลือกรับเมนูจานพิเศษ หรือส่วนลดสุดพิเศษ และเครดิตเงินคืน 

ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ถึง 30 เมษายน 2569 ผู้ถือบัตรเครดิตยูโอบีจะได้รับสิทธิพิเศษดังนี้:
- รับฟรีเมนูจานพิเศษ หรือส่วนลดร้อยละ10 ที่ร้านอาหารในเครือนารา กรุ๊ป  
- แลกรับเครดิตเงินคืนร้อยละ15 เมื่อมียอดใช้จ่ายครบ 2,200 บาทขึ้นไปต่อเซลส์สลิป  

นางสาวสุพรทิพย์ พงศาชำนาญกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจบัตรเครดิต ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า "ความร่วมมือกับนารา กรุ๊ป เครือร้านอาหารไทยที่สร้างชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในต่างประเทศ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของยูโอบีในการมอบประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้าอย่างแท้จริง เราต้องการให้ทุกมื้ออาหารไม่ว่าจะเป็นมื้อพิเศษกับครอบครัว เพื่อนฝูง หรือประชุมทางธุรกิจ กลายเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำ พร้อมสิทธิพิเศษที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับผู้ถือบัตรของเรา”

นางนริพร เคียงศิริ ประธานบริหารฝ่ายการตลาดบริษัทนารา กรุ๊ป กล่าวเสริมว่า  "เราภูมิใจที่ได้ยกระดับอาหารไทยพร้อมทั้งมีส่วนช่วยในการเติบโตทางเศรษฐกิจในทุกภาคส่วน ผู้ประกอบการรายย่อย ตลอดจนชุมชนท้องถิ่นที่เราเลือกใช้วัตถุดิบในการประกอบอาหาร ความร่วมมือกับยูโอบีครั้งนี้ไม่เพียงแต่นำเสนออาหารรสเลิศ แต่ยังส่งเสริมความหลากหลายและความงดงามของมรดกทางอาหารไทยให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น"

 

ยูโอบี จัดสัมมนา UOB Sustainability Compass Forum เสริมความรู้เอสเอ็มอี เริ่มต้นลดคาร์บอน เพื่อความยั่งยืนและเพิ่มโอกาสธุรกิจ

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย จัดงานสัมมนา UOB Sustainability Compass Forum เพื่อตอกย้ำบทบาทการสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอีให้สามารถเริ่มต้นเส้นทางการลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization) ได้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเตรียมความพร้อมให้ธุรกิจเหล่านี้สามารถอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว งานเสวนาครั้งนี้ เป็นการเปิดพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น รวมถึงข้อมูลกฎระเบียบที่กำลังจะส่งผลกระทบ และแชร์มุมมองจากธุรกิจที่เริ่มต้นเรื่องความยั่งยืน

นางพณิตตรา เวชชาชีวะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ Financial Institutions และ ESG Solutions ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “เมื่อปีที่แล้ว ธนาคารยูโอบี ได้เปิดตัว UOB Sustainability Compass เครื่องมือในการสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจ เอสเอ็มอี ในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ความยั่งยืน มีธุรกิจที่ให้ความสนใจแล้วมากกว่า 1,600 ราย ปัจจุบัน สถานการณ์ด้านความยั่งยืนมีปัจจัยจากหลายด้าน ที่ผลักดันให้ภาคธุรกิจต้องเตรียมรับมือ งาน UOB Sustainability Compass Forum ในครั้งนี้จึงเกิดขึ้น โดยธนาคารได้ร่วมมือกับพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของความยั่งยืน เพื่อสร้างการตระหนักรู้ และตื่นตัวในการเปลี่ยนแปลง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน”

จากภาคสมัครใจสู่ภาคบังคับ
ผู้นำทั่วโลกตระหนักตรงกันว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความเสี่ยงสำคัญที่สุดในทศวรรษนี้ คำถามสำคัญคือ ทำอย่างไรจึงจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกควบคู่ไปกับการรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจและธุรกิจได้ 

ดร. ธีรเดช ทังสุบุตร Partner บริษัท เดอะ ครีเอจี้ จำกัด และกรรมการบริหารเครือข่ายการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน (Climate Finance Network Thailand หรือ CFNT) กล่าวว่า “นอกเหนือจากความร่วมมือภาคสมัครใจแล้ว หลายประเทศทั่วโลกเริ่มมีการร่างและออกกฎเกณฑ์และกฎหมายที่เริ่มมีผลบังคับใช้และจะมีเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ ในอนาคตอันใกล้เพื่อมุ่งสู่ระบบเศรษฐกิจ Net Zero ซึ่งกลไกเหล่านี้จะเป็นกติกาของเกมธุรกิจใหม่ บริษัทที่เข้าใจเกมใหม่นี้ก่อนก็จะสามารถเพิ่มโอกาสและสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจและการค้าในบริบทการแข่งขันบนกติกาใหม่นี้

ประเทศไทยอยู่ระหว่างการพิจารณาผ่านกฎหมาย พรบ. ลดโลกร้อน รวมถึงกลไกต่างๆ ที่จะอยู่ภายใต้ พรบ. ซึ่งคาดว่าจะประกาศใช้ในอนาคตอันใกล้นี้ และยังมีความพยายามจากหลายหน่วยงานร่วมกันจัดทำมาตรฐาน Thailand Taxonomy ซึ่งเป็นมาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ที่ทุกหน่วยงานสามารถนำไปใช้อ้างอิงได้โดยสมัครใจเพื่อส่งเสริมและช่วยขับเคลื่อนการลงทุนที่ยั่งยืน”

มาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนและสภาพภูมิอากาศ (IFRS S1 และ S2) รวมถึงแนวปฏิบัติการรายงานความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต่างก็ได้กำหนดให้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 1, 2 และ 3

Scope 1 คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรง (Direct Emissions) ที่เกิดจากกิจกรรมขององค์กรหรือภายใต้การควบคุมขององค์กร Scope 2 คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Indirect Emissions) Scope 3 คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ (Other Indirect Emissions) หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่อุปทานทั้งจากต้นน้ำและปลายน้ำ นำมาซึ่งความสำคัญของการเก็บข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อทำการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดความเสี่ยงจาก Climate Change 

มาตรฐาน IFRS S1 - S2 กำหนดให้มีการเปิดเผยบัญชีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Scope 1, 2, และ 3 อย่างไรก็ตาม ในมุมของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีแนวทางให้บริษัทพยายามรวบรวมข้อมูล Scope 3 ให้ได้มากที่สุด โดยให้ระยะเวลา 5 ปี สำหรับการจัดเก็บข้อมูลดังกล่าว หลังจากนั้น ทุกบริษัทต้องปฏิบัติตามมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด สำหรับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการทำรายงานความยั่งยืน (TCFD: Task Force on Climate-related Financial Disclosures) ซึ่งหนึ่งในประเด็นสำคัญคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับ Scope 1 และ 2 เป็นหลัก และคาดว่า ภายใน 5 ปีข้างหน้าจะมีการดำเนินมาตรการเกี่ยวกับ Scope 3 อย่างจริงจัง

เอสเอ็มอีเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน Scope 3 
นายชยาธร ฉันท์เรืองวณิชย์ หุ้นส่วน บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวว่า การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Decarbonization) มีความสำคัญ เพราะในบางอุตสาหกรรม เช่น ภาคการเงินและการลงทุน อาจมีสัดส่วนของการปล่อย Scope 3 สูงถึง 99.98% อันมาจากการปล่อย GHGs ของลูกค้าของธนาคาร ทำให้เอสเอ็มอี จะต้องเก็บข้อมูลและจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อตอบโจทย์คู่ค้าที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของบริษัทฯ ที่ต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน IFRS S1 - S2 

นายชยาธร กล่าวถึงหลักการทำ Supply Chain Decarbonization ทั้งในขอบเขตที่ 1 และขอบเขตที่ 2 ว่าหลักการเหมือนกัน คือเริ่มจากการเก็บรวบรวมข้อมูล จากนั้นดูในส่วนของ baseline  และพิจารณาว่ามีส่วนไหนบ้างที่สามารถปรับปรุงเพื่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อที่จะนำมากำหนดเป็นแผนดำเนินการในการเริ่มลงมือจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างค่อยเป็นค่อยไป 
 
“เอสเอ็มอีสามารถเริ่มต้นการเก็บข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เลย เพื่อที่จะสามารถวางแผนการจัดการในอนาคตได้” นายชยาธร กล่าว 

ธุรกิจลดต้นทุนได้ ด้วยโซลูชันลดคาร์บอน
นายภาณุ เภตรา รองกรรมการผู้จัดการบริษัทในเครือเภตรากรุ๊ป ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์รายใหญ่ ซึ่งดำเนินธุรกิจมามากกว่า 30 ปี กล่าวว่า “บริษัทวางหัวใจ 4 ข้อในการทำธุรกิจคือ บริษัท พนักงาน ลูกค้า และชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทเริ่มทำเรื่องความยั่งยืนมามากกว่า 10 ปี เริ่มจากการทำโชว์รูมรถยนต์ให้ได้มาตรฐานอาคารสีเขียว (Green Building) และทำหลังคาโซลาเซลล์ (Solar Rooftop) นำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ พร้อมแบตเตอรี่เก็บพลังงาน รวมถึงการดำเนินการเรื่องขยะอาหาร การรีไซเคิลชิ้นส่วนนำกลับมาใช้ใหม่ พัฒนาประสิทธิภาพการทำงานเพื่อลดการทำงานของพนักงานลง สำหรับแผนระยะยาวคือการพัฒนาพนักงานทุกคนในองค์กรเป็นแกนหลักในการคิดและพัฒนารูปแบบการทำงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 

“บริษัทเน้นลดและประหยัดเพื่อสิ่งแวดล้อม และปรับทัศคติของพนักงาน กว่าที่บริษัทจะเดินทางมาจนถึงวันนี้วันที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและอยู่บนเส้นทางสู่ความยั่งยืนได้ บริษัทต้องใช้เวลาและทรัพยกรจำนวนมากในการทำ แต่เมื่อได้มารู้จักกับ UOB Sustainability Compass เป็นแผนที่นำทางสำหรับผู้เริ่มต้นใหม่ที่เริ่มต้นเส้นทางความยั่งยืนได้ง่ายมาก ที่จะช่วยให้ เอสเอ็มอีสามารถมีแนวทางชัดเจน เป็นผู้ช่วยที่ดี มีข้อมูลครบในทุกมิติและทุกอุตสาหกรรม”

นายโสฬส ยอดมงคล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท ยูนิคพลาสติก อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกคือคนของทั้งองค์กร ตั้งแต่ระดับผู้บริหารจนถึงระดับพนักงานต้องมีความเข้าใจ มีความรู้ และร่วมมือกัน บริษัทมีการตั้งคณะกรรมการด้านความยั่งยืน ที่ทำงานแบบ Cross Function ทุกหน่วยงานต้องมีส่วนร่วม” 

ทั้งนี้ ในอนาคตจะมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจหากไม่มุ่งหน้าสู่ความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นข้อกำหนดในการเปิดเผยข้อมูลทั้งจากผู้มีส่วนได้เสียทั้งภาครัฐและภาคเอกชน หรืออาจจะไปถึง Carbon Tax บริษัทควรพิจารณาและวางแผนว่าจะทำอย่างไร กับต้นทุนที่จะเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น การพิจารณาใช้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนในกระบวนการทำงาน ทำให้ต้นทุนการทำงานรวมลดลง บริษัทต้องเตรียมอย่างรวดเร็ว

ด้าน นายอาทิตย์ เวชกิจ ประธานคณะกรรมการ บริษัท นีโอ คลีน เอนเนอร์ยี่ จำกัด กล่าวว่า พรบ. โลกร้อน จะออกภายในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ทุกธุรกิจจะต้องเข้าสู่ภาคบังคับเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งพลังงานแสงอาทิตย์เป็นหนึ่งในความต้องการของธุรกิจในการทำการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หากธุรกิจไหนไม่มีแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Low Carbon Plan) อาจจะได้รับผลกระทบทางธุรกิจหากปรับตัวไม่ทันกับข้อกำหนดของคู่ค้าที่มีความต้องการด้านนี้ 

การลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะช่วยให้องค์กรสามารถลดลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและได้ผลตอบแทนจากการลงทุน นอกจากนี้ BOI มีการสนับสนุนเรื่องการทำ Renewable Energy และ Efficiency Energy รวมถึงการลงทุนนวัตกรรมเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน บริษัทสามารถนำเงินลงทุน 50% ไปลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้ 

ยูโอบี พร้อมสนับสนุนการลดคาร์บอน 
พันธกิจหลักของธนาคารยูโอบี คือการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ ธนาคารพยายามให้สินเชื่อเพื่อความยั่งยืนผ่านกรอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ยั่งยืนเพื่อเมืองอัจฉริยะ (Smart City Sustainable Financing Framework) เป็นการให้การสนับสนุนสินเชื่อแก่กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม อาทิ การติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ การก่อสร้างอาคารประหยัดพลังงาน การปรับเปลี่ยนอาคารให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น การบริหารจัดการขยะ การบริหารจัดการน้ำ การให้สินเชื่อเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า

“ความยั่งยืนเป็นทั้งโอกาสและการบริหารความเสี่ยง ว่าทำอย่างไรให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ธนาคารยูโอบี ต้องการเป็นพันธมิตรกับทุกภาคส่วนในการเดินไปสู่ความยั่งยืนร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น UOB Sustainability Compass ที่เป็นคู่มือเริ่มต้น หรือการเชื่อมลูกค้าเอสเอ็มอีกับผู้ให้บริการทั้งผู้ให้บริการโซลูชันต่างๆ รวมทั้งการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน   

นอกจากนั้น เรายังมุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ โดยมีเป้าหมายที่จะเปิดโอกาสให้ลูกค้าที่ได้เริ่มดำเนินการด้านความยั่งยืนแล้ว ได้พบปะและแลกเปลี่ยนกับผู้ให้บริการโซลูชันต่างๆ และในครึ่งหลังของปีนี้ เราจะจัดโครงการนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนอย่างต่อเนื่องจากปีที่แล้ว เนื่องจากความยั่งยืนเป็นประเด็นที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และธนาคารยูโอบี ก็พร้อมเป็นส่วนหนึ่งเพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืนไปด้วยกัน” นางพณิตตรากล่าวทิ้งท้าย