คลังเร่งให้ความช่วยเหลือทางการเงิน แก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ

วันที่ 29 สิงหาคม 2568 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าของการดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของกระทรวงการคลังที่ร่วมกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้แก่ ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ผ่านมาตรการสินเชื่อต่าง ๆ ได้แก่ โครงการสินเชื่อธนาคารประชาชน สินเชื่อเพื่อชำระหนี้สินนอกระบบ สินเชื่อกองทุนหมุนเวียนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ยากจน มาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือและรองรับลูกหนี้นอกระบบที่ลงทะเบียนแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ สินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ และสินเชื่อสร้างเครดิต  สร้างโอกาส โดยผลการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 – 28 สิงหาคม 2568 มีประชาชนที่เป็นหนี้นอกระบบได้รับอนุมัติให้ความช่วยเหลือทางการเงินผ่านมาตรการสินเชื่อต่าง ๆ ข้างต้น ไปแล้วจำนวน 88,016 ราย ยอดอนุมัติ รวมทั้งสิ้น 2,655.96 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากผลการดำเนินการ ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2568 จำนวน 1,359 ราย และมียอดอนุมัติเพิ่มขึ้น 39.15 ล้านบาท
 
โฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลังมีนโยบายส่งเสริมให้มีการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) เพื่อเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบให้แก่ประชาชนรายย่อยในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ไม่ถูกเอาเปรียบจากเจ้าหนี้นอกระบบที่เรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยที่เกินกว่ากฎหมายกำหนด รวมทั้งยังเป็นช่องทางให้เจ้าหนี้นอกระบบสามารถเข้ามาให้บริการสินเชื่อในระบบอย่างถูกกฎหมาย โดยปัจจุบัน ณ เดือนสิงหาคม 2568 มีนิติบุคคล (บริษัทจำกัดหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด) ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และเปิดดำเนินการแล้ว 1,162 ราย ใน 75 จังหวัด และ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 มีการอนุมัติสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้กับประชาชนรายย่อยสะสมทั้งสิ้น 5,223,888 บัญชี เป็นจำนวนเงินรวม 52,209.72 ล้านบาท โดยเป็นยอดสินเชื่อคงค้าง 380,944 บัญชี เป็นจำนวนเงินรวม 7,503.66 ล้านบาท

ทั้งนี้นิติบุคคลที่สนใจประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์สามารถดูข้อมูลการยื่นคำขออนุญาตได้ที่ www.1359.go.th หรือโทรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1359

คลังสรุปมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทยกัมพูชา

สรุปมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทยกัมพูชาของกระทรวงการคลัง

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากการประชุมเพื่อติดตามมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ของกระทรวงการคลัง ผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งมีหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม โดยเฉพาะ 4 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ได้แก่ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดอุบลราชธานี

ที่ประชุม ได้มีโอกาสรับฟังความเห็นจาก 4 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา เพื่อรับทราบสถานการณ์จริง และได้รับข้อมูลการปฏิบัติงาน ผลของมาตรการที่ได้มีการออกไปแล้ว ที่ประชุมได้มีการการชี้แจงในประเด็น

• มาตรการช่วยเหลือด้านประกันชีวิตและประกันวินาศภัยของ คปภ. ในส่วนของการประกันภัย และการประกันวินาศภัย ทั้งในส่วนของการขยายการผ่อนผันรับชำระเบี้ยประกันภัย การให้สิทธิ์พิเศษแก่ผู้ทำประกัน เช่น การงดตรวจสุขภาพหรือยกเว้นดอกเบี้ยตามแต่กรณี

• การสรุปทำความเข้าใจในมาตรการช่วยเหลือและบรรเทาผู้ที่ได้รับผลกระทบฯ ของกรมสรรพากร ทั้งมาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบที่ให้สิทธิ์ประชาชนสามารถหักลดหย่อนค่าซ่อมแซมที่อยู่อาศัยจากเหตุการณ์ความเสียหายได้ตามจริงไม่เกิน 100,000 บาท และสำหรับยานพาหนะไม่เกิน 30,000 บาท พร้อมเลื่อนเวลาการยื่นแบบและการชำระภาษี

• มาตรการช่วยเหลือและบรรเทาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ข้อพิพาทชายแดนของสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่มีการออกมาตรการพักชำระหนี้ มาตรการสินเชื่อพิเศษเพื่อฟื้นฟูภายหลังได้รับผลกระทบ สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ และสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟที่อยู่อาศัย

#กระทรวงการคลัง #ชายแดนไทยกัมพูชา #มาตรการช่วยเหลือ #สินเชื่อฟื้นฟู #คปภ #กรมสรรพากร #พักชำระหนี้ #ลดหย่อนภาษี #ข่าวเศรษฐกิจ #ข่าวการเงิน

ธอส.หนุนนโยบายก.คลัง ช่วยเหลือลูกค้าผลกระทบปัญหาชายแดน กู้ซ่อมแซมบ้านเสียหาย ดบ. 1% นาน 3 ปีแรก

ธอส.ขานรับนโยบายกระทรวงการคลัง จัดทำสินเชื่อสำหรับลูกค้าและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาชายแดน ช่วยเหลือให้ครอบคลุมกรณีที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายให้กู้ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย อัตราดอกเบี้ย 1% นาน 3 ปีแรก สามารถยื่นกู้ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ณ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ  

วันที่ 6 สิงหาคม 2568 นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า หลังจาก ธอส. จัดทำมาตรการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนลูกค้าจากสถานการณ์ข้อพิพาทชายแดนไทย - กัมพูชา ที่ที่อยู่อาศัยหรือหลักประกันเสียหายทั้งหลังจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้ โดยลูกค้าสถานะปกติจะได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0.01 % ต่อปีตลอดอายุสัญญา และสำหรับลูกค้าสถานะ NPL สามารถพักชำระหนี้นานสูงสุด 1 ปี จากนั้นผ่อน 0.01% ตลอดระยะเวลาคงเหลือ เพื่อเป็นการดำเนินการตามนโยบายกระทรวงการคลัง ที่มีความมุ่งมั่นในการช่วยบรรเทาและช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ธอส. จึงสานต่อความช่วยเหลือให้ครอบคลุมกรณีที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายบางส่วน ดังนี้ (1) ลูกค้าปัจจุบันของธนาคารสามารถกู้เพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัยกับ ธอส. ภายใต้โครงการสินเชื่อซ่อม – แต่ง และสินเชื่อซ่อม- แต่ง Plus วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 3 แสนบาทต่อราย ระยะเวลาการกู้นานสูงสุด 5 ปี โดยวงเงิน 1 แสนบาทแรก อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปีเพียง 1% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ย 1.99% ต่อปี ในวงเงิน 200,000 บาทถัดมา โดยไม่ต้องจดทะเบียนการจำนองเพิ่มที่สำนักงานที่ดิน

และ (2)  ลูกค้าใหม่สามารถกู้เพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัยวงเงินกู้สูงสุดต่อรายต่อหลักประกันไม่เกิน 2 ล้านบาท ระยะเวลาการกู้นานสูงสุดนาน 40 ปี อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี นาน 3 เดือนแรก เดือนที่ 4 - 24 เท่ากับ 2.00% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ MRR-3.30% ต่อปี (อัตราดอกเบี้ย MRR ของ ธอส. ปัจจุบัน เท่ากับ 6.495% ต่อปี) พร้อมฟรีค่าธรรมเนียมประเมินราคาหลักประกัน (1,900 – 2,800 บาท) และค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการจำนองไม่เกิน 1% ของวงเงินจำนอง

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถยื่นกู้หรือเข้าร่วมมาตรการตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ G H Bank Call Center โทร.0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Application : GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th
         

คลังสั่งเร่งสรุปผลกระทบภาษีทรัมป์ 19% ทุกกระทรวงลุยทำการบ้าน หวังออกแพ็คเกจเยียวยาเร็วที่สุด

คลังสั่งเร่งสรุปผลกระทบภาษีทรัมป์ 19% ทุกกระทรวงลุยทำการบ้าน หวังออกแพ็คเกจเยียวยาเร็วที่สุด

วันที่ 5 ส.ค.68 นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า หลังจากมีความชัดเจนในเรื่องภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บจากสินค้าไทยในอัตรา 19% แล้วนั้น จากนี้ไปจะต้องมาพิจารณาในรายกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบว่ามีกลุ่มไหนบ้าง กระทบอย่างไร โดยจะต้องหาแนวทางในการให้ความช่วยเหลือต่อไป ซึ่งในส่วนนี้เป็นหน้าที่ของแต่ละกระทรวงที่จะต้องเร่งทำการบ้าน เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อดูให้ครบทุกมิติของกลุ่มอุตสาหกรรม

โดยจากนั้นจะต้องสรุปรายละเอียดผลกระทบทั้งหมดที่แต่ละอุตสาหกรรมได้รับ และแนวทางในการบรรเทาผลกระทบ เสนอให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจได้พิจารณา ก่อนเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และเสนอต่อไปยังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป โดยในปีงบประมาณ 2568 ยังมีงบกระตุ้นเศรษฐกิจเหลืออีกราว 2.4 หมื่นล้านบาท ส่วนในปีงบประมาณ 2569 อีกราว 2.5 หมื่นล้านบาท ที่สามารถใช้ดำเนินการได้

"ทุกคนไม่ได้เริ่มจากศูนย์ เพราะแต่ละส่วน ต่างก็อยู่ในทีมไทยแลนด์ ช่วยกันเจรจามาอยู่แล้ว ดังนั้นจึงรู้อยู่แล้วว่าไทยได้ยื่นข้อเสนออะไรไปบ้าง ก็น่าจะทราบว่าจะมีผลกระทบกับกลุ่มไหน แบบใด ดังนั้นก็ให้แต่ละกระทรวงเสนอมาเป็นแพ็คเกจ ว่าระยะเร่งด่วนรัฐบาลควรให้ความช่วยเหลือแบบใดเพื่อลดผลกระทบ อยากให้ทุกส่วนเร่งยื่นคำขอมาเร็วที่สุด" ปลัดกระทรวงการคลังกล่าว

นอกจากนี้ ยังมีการบ้านที่ต้องทำต่อ โดยเฉพาะเรื่องสัดส่วนการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content) ที่หลายประเทศยังไม่นิ่ง และยังมีเรื่องที่ใหม่มาก ๆ เช่น เกณฑ์การคำนวณมูลค่าในประเทศ (Regional Value Content : RVC) ซึ่งมีรายละเอียดค่อนข้างมาก ทั้งนี้ยืนยันว่า แม้แต่ละประเทศจะทราบอัตราภาษีที่ถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บแล้ว แต่ทุกประเทศยังมีการบ้านที่จะต้องไปทำต่อ ไม่ใช่เจรจาแล้วจบเลย เพราะต้องรอรายละเอียดเกี่ยวกับเกณฑ์ต่างๆเหล่านี้จากสหรัฐฯ ที่จะประกาศออกมาอีกครั้ง

"การลดมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี  รวมถึงเกณฑ์ RVC สินค้า Transshipment ยังมีรายละเอียดอีกเยอะที่ต้องคุย ตอนนี้ยังไม่ได้มีกรอบเวลา หรือเดตไลน์ มีเพียงเรื่องภาษีต่างตอบแทนเท่านั้นที่รู้ว่าใครได้เท่าไร ซึ่งไทยได้มา 19% ตรงนี้ถือเป็นยกที่ 1 แต่หลังจากนี้เป็นเรื่องที่จะต้องไปคุยกันต่อว่าจะใช้เกณฑ์อย่างไร ลดได้อย่างไร" ปลัดกระทรวงการคลังกล่าว

สำหรับในภาคเกษตรของไทย ภายหลังจากการเจรจาภาษีนำเข้าของสหรัฐฯแล้ว ควรถือโอกาสนี้ในการปฏิรูปโครงสร้างภาคเกษตรไทย ไม่ใช่เพียงแค่การเยียวยาผลกระทบเท่านั้น เพื่อให้ทุกคนสามารถอยู่ในจุดที่แข่งขันได้

ขณะที่แนวโน้มของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ล่าสุด กระทรวงการคลัง ปรับประมาณการ GDP เพิ่มขึ้นเป็น 2.2% ภายใต้สมมติฐานภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่อัตรา 18-20% ซึ่งเป็นการประเมินที่สอดคล้องกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่มองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวดีขึ้นเป็น 2% จากคาดการณ์ไว้เดิมที่ 1.8%

#ภาษีนำเข้าสหรัฐ #ReciprocalTariffs #เศรษฐกิจไทย #กระทรวงการคลัง #ภาษีศุลกากร #GDPไทย #คลังเร่งเยียวยา #นโยบายเศรษฐกิจ #ส่งออกไทย #มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ #RVC #LocalContent #NonTariffBarriers

ครม.เคาะโยกย้ายใหญ่คลัง 6 เก้าอี้ “กุลยา” คุมศุลกากร “พรชัย” นั่งอธิบดีสรรพสามิต มีผล 1 ต.ค.68

ครม.ไฟเขียวคลังโยกย้ายใหญ่ 6 ตำแหน่ง ‘กุลยา’ นั่งอธิบดีศุลกากร ‘พรชัย’ อธิบดีสรรพสามิต มีผล 1 ต.ค.68

วันที่ 22 ก.ค.68 นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอคนะรัฐมนตรีพิจารณารณาอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทนักบริหารระดับสูงจำนวน 6 ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้

1.นางสาวกุลยา ตันติเตมิท จากอธิบตีกรมสรรพสามิต ไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศุลกากร 

2.นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมสรรพสามิต

3.นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ไปดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)

4.นายอรรถพล อรรถวรเดช ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ไปดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง.

5.นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี (นักวิชาการศุลกากรทรงคุณวุฒิ) กรมศุลกากร ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

6.นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล ที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงาน 

ทั้งนี้มีผลตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

#โยกย้ายข้าราชการ #กระทรวงการคลัง #อธิบดีศุลกากร #อธิบดีสรรพสามิต #ครมวันนี้ #แต่งตั้งข้าราชการ #กุลยาตันติเตมิท #พรชัยฐีระเวช #ข่าวเศรษฐกิจ #ข่าวการเงิน #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #สยามรัฐ #ข่าววันนี้

“พิชัย” รมว.คลัง นำทีมไทยแลนด์พบภาคเอกชนอเมริกา กระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ

“พิชัย” รัฐมนตรีคลัง นำทีมไทยแลนด์พบภาคเอกชนอเมริกา กระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ

สหรัฐอเมริกา  วันนี้  ( 2 ก.ค.)  นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง    เปิดเผยว่า ได้นำทีมประเทศไทย หรือ ทีมไทยแลนด์เข้าพบหอการค้าแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. Chamber of Commerce)    ซึ่งนำโดย Mr.Charles Freeman, Senior Vice President, Asia    และคณะผู้แทนระดับสูงจากบริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ    ที่ลงทุนและดำเนินธุรกิจในประเทศไทย    เพื่อกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็น    และข้อเสนอแนะ   โดยเฉพาะในประเด็นสถานการณ์การค้าการลงทุนภายใต้นโยบายภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงการหารือถึงแนวทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่ภาคธุรกิจเผชิญ    เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ทำให้ไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนมากขึ้น 

นอกจากนั้น ยังได้มีการเข้าพบสมาคม US Grains Council    เพื่อหารือและเปิดโอกาสการค้าด้านเกษตรกรรมเพิ่มเติมระหว่างไทยและอเมริกา    โดยมุ่งเน้นการยกระดับการค้า    แต่ยังรักษาผลประโยชน์ของเกษตรกรไทยไปพร้อมกัน    ซึ่งทาง US Grains Council ก็เห็นตรงกันว่าข้อเสนอ ต่าง ๆ นั้นล้วนแต่เป็นประโยชน์กับทั้ง 2 ประเทศ    ครอบคลุมกันทั้ง tariff และ non-tariff barrier โดยมีหลายข้อเสนอ US Grains Council ที่น่าสนใจ และทางทีมไทยแลนด์เองก็หวังว่าเขาจะช่วยเป็นพันธมิตรที่สนับสนุนการเจรจาให้บรรลุเป้าหมาย
 
ภารกิจสุดท้ายในการเดินทางมาครั้งนี้ ยังได้มีการประชุมสรุป  (Debrief)    ภายในกับทีมไทยแลนด์     ซึ่งได้รับเกียรติจากผู้แทนจากกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์ มาร่วมระดมความคิดเห็น    เรียกได้ว่าครบทีม ครบมุมมอง พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนภารกิจเพื่อประเทศไทยอย่างเต็มกำลัง
 
“ผมได้เน้นย้ำว่า ไทยยังคงเดินหน้าเต็มที่ในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ โดยมุ่งหวังข้อตกลงที่ “win-win” ต่อทุกฝ่าย และขอขอบคุณทุกหน่วยงานของสหรัฐอเมริกาที่ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด ทั้งในฐานะเวทีแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น และเป็นกระบอกเสียงให้รัฐบาลไทย ถึงความสำคัญของประเทศไทยในห่วงโซ่เศรษฐกิจโลก ผมยังได้ยืนยันต่อพันธมิตรภาคเอกชนว่า รัฐบาลยังเดินหน้าสานต่อนโยบายที่ส่งเสริมการค้าและการลงทุน พร้อมรักษาบรรยากาศที่โปร่งใส เป็นมิตร และสามารถคาดการณ์ได้ โดยเรามีเป้าหมายร่วมกันคือ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายและผมเชื่อมั่นว่า ด้วยความเข้าใจและความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ไทยและสหรัฐฯ จะสามารถขับเคลื่อนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน”  นายพิชัย กล่าว 

ลดงบขาดดุลเพิ่มรายได้ โจทย์ใหญ่ กระทรวงการคลังที่มากกว่า "แค่ขึ้นภาษี"

ลดงบขาดดุลเพิ่มรายได้ โจทย์ใหญ่ กระทรวงการคลัง ที่มากกว่า "แค่ขึ้นภาษี"

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางการคลังที่หนักหน่วง งบประมาณแผ่นดินที่ขาดดุลต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี และหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กำลังเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่าการบริหารจัดการรายได้ของรัฐจำเป็นต้องได้รับการปฏิรูปอย่างจริงจัง แม้ว่าการปรับขึ้นอัตราภาษีจะเป็นวิธีการหนึ่งในการเพิ่มรายได้ แต่ในบริบทของประเทศไทยขณะนี้ การ "ขึ้นภาษี" เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ และอาจสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ไม่พึงประสงค์ได้ การปฏิรูปโครงสร้างภาษีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

จากการอภิปรายงบประมาณประจำปี 2569 ประเด็นหลักที่พรรคประชาชนใช้ตั้งคำถามกับแผนงบประมาณฉบับนี้ คือ การดำเนินงบประมาณขาดดุลแบบสุดโต่ง และมีการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลสูงที่สุดในประวัติการณ์ถึงกว่า 4.5% ต่อ GDP ซึ่งงบประมาณที่ถูกรีดออกมากว่า 3.77 ล้านล้านบาท สามารถนำไปใช้ได้จริงในการดำเนินโครงการพัฒนาประเทศเพียง 1 ใน 4 ของงบประมาณทั้งหมดเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่ถูกจัดสรรให้กับรายจ่ายงบประจำ เช่น รายจ่ายสำหรับบุคลากร งบชำระหนี้ งบผูกพัน และงบท้องถิ่น ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายพิชัย ชุณหวชิร ได้อภิปรายแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการขาดดุลเพื่อให้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตของประเทศใหม่ แต่จะต้องอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ในขณะที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล จะอภิปรายโต้แย้งว่าเป็นการวางรากฐานเพื่อใช้หนี้ที่มีอยู่ก่อน ในอนาคตรัฐบาลจะสามารถลดการขาดดุลได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และสำหรับงบประจำอื่น ๆ ก็มีการปรับลดลงแล้วเช่นกัน รัฐบาลยังเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาท้องถิ่น จึงได้จัดสรรงบให้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ไม่อยากให้ฝ่ายค้านมองว่าแผนงบประมาณปี 2569 นี้ถูกเขียนขึ้นอย่างไร้ความรับผิดชอบ

เป็นเรื่องดีที่รัฐบาลมุ่งมั่นใช้หนี้ และควบคุมรายจ่ายประจำ แต่ก็มีโครงการอีกมากที่ต้องการเงินสนับสนุน การที่รัฐยังไม่มีประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้มากเพียงพอกับรายจ่ายจะทำให้ประเทศไทยไม่สามารถหลุดจากการกู้เพื่อลดการขาดดุลได้ ในรายงานความเสี่ยงการคลัง ปีงบประมาณ 2567 โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ระบุชัดเจนว่าประเทศไทยมีความสามารถในการจัดเก็บรายได้ต่ำ ขณะที่มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น และมีหนี้สาธารณะที่เพิ่มไม่หยุด ทำให้สภาพคล่องทางการคลังลดลง จึงแนะนำให้ประเทศไทยลดระดับการขาดดุลให้เหลือไม่เกิน 3% ของ GDP ผ่านการปรับโครงสร้างภาษีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ การลดรายจ่าย และผลักดันการออมหลังเกษียณ

ขณะนี้ปลัดกระทรวงการคลังประกาศจะเสนอแผนปฏิรูปภาษี โดยอาจมีการปรับขึ้นภาษีหลายประเภท เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้รัฐให้แตะ 18% ต่อ GDP ครอบคลุมทั้งภาษีสรรพากร และภาษีสรรพสามิต เช่น การขยายฐานภาษีบุคคลธรรมดา และภาษีนิติบุคคล การจัดเก็บภาษีความหวาน และความเค็ม ซึ่งการขึ้นภาษีเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะเรียกเม็ดเงินได้อย่างรวดเร็ว แต่การขึ้นภาษีเพียงอย่างเดียวมีข้อจำกัดและผลกระทบที่ต้องพิจารณา เช่น กำลังซื้อของผู้บริโภค ความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ และโครงสร้างภาษีที่ต้องสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจเพื่อให้เอื้อต่อการจัดเก็บรายได้ด้วย

ในฐานะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนายเผ่าภูมิโรจนสกุล กำกับดูแลกรมสรรพสามิต ภาษีสรรพสามิตนับเป็นแหล่งรายได้ลำดับที่ 2 ใน 3 กรมจัดเก็บภาษี ที่ยังมีโอกาสสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากภาษีสรรพสามิตยาสูบที่หายไป ในปี 2560 กรมสรรพสามิตตัดสินใจปรับโครงสร้างภาษียาสูบครั้งใหญ่ โดยนำการจัดเก็บภาษีแบบ 2 อัตรามาใช้ เพื่อเก็บภาษีจากทั้งขาปริมาณและขามูลค่า โดยในขามูลค่านั้น ได้แบ่งบุหรี่เป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มราคาประหยัดจะเสียภาษีน้อยกว่า และราคาสูงจะเสียภาษีมากกว่า ทำให้มีอัตราภาษีจริงเฉลี่ยต่อหน่วย (Effective Tax Rate: ETR) เพิ่มขึ้น แต่ภายหลังประกาศใช้ บุหรี่ทั้งไทยและต่างประเทศต่างลดราคามาแข่งขันในกลุ่มราคาประหยัดเพื่อเสียภาษีน้อยกว่า เป็นจุดเริ่มต้นของรายได้ภาษีสรรพสามิตยาสูบที่ไม่เคยกลับไปแตะระดับ 6 หมื่นล้านอีกเลย และในปี 2564 ที่มีการปรับขึ้นอัตราภาษีบุหรี่อีกครั้ง ก็ส่งผลกระทบโดยตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปหาสินค้าทดแทนที่มีราคาถูก ทำให้รายได้ภาษีสรรพสามิตเองก็ตกต่ำจนถึงขีดสุด เหลือเพียง 5.1 หมื่นล้านในปี 2567 และอาจเหลือ 4.9 ล้านในปี 2568 ตกต่ำที่สุดในรอบ 15 ปี แม้ว่ากระทรวงการคลังจะทราบดีว่าโครงสร้างภาษียาสูบที่เป็นสากลและเอื้อต่อการจัดเก็บรายได้คือการใช้โครงสร้างภาษีแบบอัตราเดียวที่เรียบง่าย และมีมติคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการปรับสู่ภาษีอัตราเดียวหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่มีแนวโน้มว่ากระทรวงการคลังและกรมสรรพสามิตภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังนายเผ่าภูมิ โรจนสกุลจะดำเนินเปลี่ยนแปลงใดๆ ท่ามกลางรายได้ภาษีจะลดลงเรื่อย ๆ ทุกปี

รายงานความเสี่ยงการคลังชี้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับภาษีสรรพสามิตยาสูบนั้นเป็นผลกระทบโดยตรงจากการปรับโครงสร้างภาษี ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ต่างจากภาษีรถยนต์ที่ลดลงเพราะมีการปรับโครงสร้างเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปนิยมรถยนต์ไฟฟ้าที่มีอัตราภาษีที่ต่ำกว่ารถยนต์สันดาปมากขึ้น โดยการเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำมากขึ้นและส่งผลดีต่อสิ่งเเวดล้อมตามมา ปัญหาโครงสร้างภาษียาสูบจึงเป็นบทเรียนที่ดีให้กับกระทรวงการคลังที่ต้องเร่งหารายได้ ซึ่งมากกว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการขึ้นภาษี กระทรวงการคลัง ต้องคิดหาหนทางระยะยาวในการปรับโครงสร้าง อุดรอยรั่ว เพื่อให้โครงสร้างภาษีมีประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้มากที่สุด เพราะเครื่องมือภาษีเป็นกลไกสำคัญที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไปในทิศทางที่ยั่งยืนและสมดุล การเปลี่ยนแปลงนี้จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจ และความกล้าหาญทางการเมืองในการผลักดัน เพื่ออนาคตที่มั่นคงของประเทศไทย

"พิชัย รองนายกฯและรมว.คลัง" ปาฐกถาพิเศษ "ทิศทางไทยในการปรับตัวสู่ทศวรรษใหม่" งานสัมมนา THAILAND CVISION SUMMIT 2025

วันที่ 5 มิถุนายน 2568 บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) โดย นิตยสาร Business+ ร่วมกับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดงานสัมมนา THAILAND CVISION SUMMIT 2025 ภายใต้แนวคิด “THAILAND TRANSFORMATION 2025: จุดเปลี่ยนประเทศไทย” โดยการสนับสนุนของ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ส์ (ประเทศไทย) จำกัด, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, บริษัท บิซิเนส ออนไลน์ จำกัด (มหาชน) และตลาดหลักทรัพย์ mai งานสัมมนาที่รวมสุดยอดผู้นำ กว่า 20 ชีวิต กับหัวข้อสัมมนากว่า10 หัวข้อ ร่วมถ่ายทอดแนวคิดและข้อมูลที่จะปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมของประเทศเพื่อก้าวข้ามภาวะความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และพาไทยไปสู่ผู้นำแห่งอาเซียน รวมถึงวิสัยทัศน์ทางธุรกิจของผู้บริหารที่จะทรานฟอร์มธุรกิจเพื่อเอาชนะความท้าทายจากทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยภายในงานได้รับเกียรติจาก นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว. กระทรวงการคลัง เป็นประธาน ณ พารากอนฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ Thailand Transformation for The Next Decade: ทิศทางไทยในการปรับตัวสู่ทศวรรษใหม่ กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ทศวรรษใหม่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี โดยเฉพาะการเข้าสู่ยุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรับวิธีคิดของทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อยกระดับศักยภาพของประเทศในทุกมิติ ตั้งแต่กระบวนการผลิต การบริการ ไปจนถึงการบริหารจัดการข้อมูล (Big Data) รัฐบาลตระหนักว่า บทบาทของภาครัฐต้องเปลี่ยนจากผู้ให้บริการแบบเดิม มาเป็นผู้ส่งเสริมให้ภาคเอกชนสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ทั้งนี้การพัฒนาเศรษฐกิจจำเป็นต้องอาศัยการลงทุนที่มากขึ้น ทั้งจากภาครัฐและเอกชน โดยตั้งเป้าให้มีสัดส่วนการลงทุนมากกว่า 30% ของจีดีพี พร้อมปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้สอดรับกับความต้องการของนักลงทุน เช่น การจัดหาพลังงานสะอาด ราคาค่าไฟที่เหมาะสม ความมั่นคงของน้ำ และระบบขนส่งที่ทันสมัย

"นอกจากนี้ ยังมีความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ที่ดินให้มีความยืดหยุ่น รองรับการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจในระยะยาว อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์ ประเทศไทยต้องผลิตบุคลากรที่มีทักษะด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อแข่งขันกับโลกสมัยใหม่ ภาคเอกชนเองต้องเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล มีการยกระดับอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น ยานยนต์ไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) แม้จะยังมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและเทคโนโลยี แต่ต้องกล้าเริ่มต้นและลงทุน ในภาคเกษตรกรรม ประเทศไทยยังขาดประสิทธิภาพ ไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนกับตลาดโลกได้ จึงจำเป็นต้องใช้ไบโอเทคโนโลยี และการจัดการซัพพลายเชนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดการผลิตเกินความต้องการ

ด้านการท่องเที่ยวต้องปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ที่เน้นประสบการณ์และความยั่งยืนมากกว่าการบริโภคจำนวนมาก รัฐบาลตั้งเป้าหมายในการผลักดันประเทศไทยจากการเป็นแค่ฐานการผลิตหรือผู้รับจ้างผลิต ไปสู่การมีแบรนด์ของตัวเองที่เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยความกล้าหาญ ความต่อเนื่อง และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการเปลี่ยนผ่านประเทศอย่างเป็นระบบ สู่ทิศทางใหม่ที่มั่นคง ยั่งยืน และสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างแท้จริง

นายบุญเลิศ นราไท ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2568 นิตยสาร Business+ ครบรอบ 36 ปี เราในฐานะสื่อด้านธุรกิจที่อยู่เคียงงข้างนักธุรกิจมาอย่างยาวนาน จึงได้จัดงานสัมมนาพิเศษในโอกาสครบรอบ 36 ปี สำหรับงานสัมมนา THAILAND C VISION SUMMIT 2025 ที่จัดขึ้นในโอกาสพิเศษนี้ เพื่อมุ่งเน้นการปรับตัวให้กับทุกธุรกิจจากปัญหาทั้งหมด 3 ด้าน ทั้งการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลงของภาคธุรกิจ นิตยสาร Business+ ที่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับ CEO มากมาย เราจึงได้เชิญผู้บริหารชั้นนำ ทั้งภาครัฐ และเอกชน มาร่วมแบ่งปันความรู้ แลกเปลี่ยนมุมมองแนวทางการบริหารจัดการ เปิดมุมมองใหม่ทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศไทย เมื่อโลกธุรกิจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เสริมสร้างความเข้าใจในแนวโน้มและความท้าทายของธุรกิจในอนาคต และโอกาสในการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้นำภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมกันสร้างโอกาสการเติบโตขององค์กรไปด้วยกัน

ผศ.ดร.มณฑล สรไกรกิติกูล หัวหน้าสาขาวิชาการบริหารองค์การ การประกอบการ และทรัพยากรมนุษย์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ทำงานร่วมมือกับ นิตยสาร Business+ มาอย่างต่อเนื่องในการศึกษาวิจัยถึงแนวทางการบริหารงานของผู้บริหารระดับสูงขององค์กร เพื่อนำมาถอดบทเรียนความสำเร็จในมิติต่างๆ ของผู้บริหาร

 

และในงานสัมมนาครั้งนี้ที่เป็นโอกาสพิเศษครบรอบ 86 ปีของคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  และครบรอบ 36 ปี ของ นิตยสาร Business+ จึงเป็นโอกาสที่จะได้เผยแพร่สุดยอดงานวิจัยด้านกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ รวบรวมข้อมูลมาจากผู้นำระดับหัวกะทิของเมืองไทย จากหลากหลายอุตสาหกรรมและหลากหลายเจเนเรชั่น จึงถือเป็นโอกาสดีสำหรับผู้นำองค์กร นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ ที่สนใจวางแผนธุรกิจเพื่อรับฟังแนวคิดของผู้นำ

สามารถติดตามข่าวสารด้านธุรกิจจาก นิตยสาร Business+ สื่อธุรกิจในประเทศไทยที่ดำเนินมาอย่างยาวนานกว่า 35 ปีได้ที่ https://www.facebook.com/businessplusonline/ หรือทุกช่องทาง Social Media ของ Business+

“พิชัย” บอกพยายามอยู่ หลัง “ทักษิณ”ยก ก.คลัง เป็นหัวใจหลักดึงคะแนนนิยม เชื่อชะลอดิจิทัลไม่กระทบ

เมื่อเวลา 10.20 น. วันที่ 31 พ.ค. 68 ที่รัฐสภา นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์กรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บอกว่ากระทรวงการคลังจะเป็น 1 ใน 4 กระทรวงที่เป็นหัวใจหลักสามารถดึงคะแนนนิยมกลับมา ทำให้ชนะการเลือกตั้งครั้งหน้าได้ จากนี้ต้องปรับตัวอะไรหรือไม่ว่า ตนยังไม่ได้ดูการให้สัมภาษณ์ดังกล่าว เพราะนั่งเตรียมงาน ส่วนจะต้องปรับอะไรหรือไม่นั้น ตนปรับตลอดเวลา ตนรู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไรบ้าง

เมื่อถามว่า ระยะเวลาที่เหลือ 2 ปีจะเพียงพอกับการเรียกคะแนนนิยมกลับมาได้หรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า ตนพยายามทำอยู่ที่ผ่านมาก็ทำได้ปีนึงแล้ว

เมื่อถามว่า กรณีดิจิทัลเฟส 3 ต้องชะลอไปจะทำให้การหาเสียงยากขึ้นหรือไม่ นายพิชัยกล่าวว่า มันมีเหตุผลของมันอยู่ เราสามารถอธิบายได้ 

เปิดไทม์ไลน์ ผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่ เริ่ม 13 พ.ค.-4 มิ.ย.นี้ คาดส่งรายชื่อเสนอ ครม.ต้น ก.ค.68

เปิดไทม์ไลน์ ผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่ เริ่ม 13 พ.ค.-4 มิ.ย.นี้ คาดส่งรายชื่อเสนอ ครม.ต้น ก.ค.68

วันที่ 8 พฤษภาคม 2568 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการคัดเลือกผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าในคราวการประชุมคณะกรรมการคัดเลือกผู้ว่าการแห่งประเทศไทย (คณะกรรมการคัดเลือกฯ) ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้มีการเปิดรับสมัครบุคคลเพื่อเข้ารับการพิจารณาคัดเลือกให้เป็นบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ผู้ว่าการ ธปท.) โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้ 

1.คุณสมบัติของผู้สมัคร มีสัญชาติไทย มีอายุไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ในวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเสนอชื่อเพื่อทรงแต่งตั้ง มีความรู้ความสามารถ และความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ หรือด้านการเงินการธนาคาร รวมทั้งมีความรู้ความเชี่ยวชาญหรือประสบการณ์ด้านอื่นอันจะเป็นประโยชน์ต่อการทำหน้าที่ผู้ว่าการ ธปท. สามารถทำงานให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เต็มเวลา สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีจากสถาบันการศึกษาที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) รับรอง มีคุณสมบัติเฉพาะของผู้สมัครและไม่มีลักษณะต้องห้าม ตามที่กำหนดในประกาศคณะกรรมการคัดเลือกผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การรับสมัครบุคคลเพื่อเข้ารับการพิจารณาคัดเลือกให้เป็นบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้ว่าการ ธปท. ลงวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 (ประกาศคณะกรรมการคัดเลือกฯ)
 
2.การรับสมัคร ผู้สนใจสามารถยื่นใบสมัครด้วยตนเองหรือมอบอำนาจให้ผู้อื่นยื่นใบสมัครแทนได้ พร้อมเอกสารหลักฐานประกอบการสมัครตามที่คณะกรรมการคัดเลือกฯ กำหนด โดยปิดผนึกและจ่าหน้าซองถึงประธานกรรมการคัดเลือกผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ส่งใบสมัครได้ที่กองนโยบายระบบการเงินและสถาบันการเงิน ชั้น 2 สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ถนนพระรามที่ 6 กรุงเทพฯ 10400 ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม – 4 มิถุนายน 2568 ในวันและเวลาราชการ 

3.เอกสารหลักฐานประกอบการรับสมัคร 
 3.1 ใบสมัครบุคคลเพื่อเข้ารับการพิจารณาคัดเลือกให้เป็นบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้ว่าการ ธปท.  
 3.2 เอกสารแสดงแนวคิดการบริหารจัดการ ธปท. และวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจมหภาคของประเทศและเศรษฐกิจการเงินโลก นโยบายการเงิน นโยบายการกำกับดูแลสถาบันการเงิน และนโยบายเกี่ยวกับระบบการชำระเงิน 

นายพรชัย กล่าวอีกว่า หลังวันที่ 4 มิ.ย.68 คณะกรรมการคัดเลือกฯ จะมีการตรวจสอบคุณสมบัติ ลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร โดยคณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้กำหนดวันประชุมเบื้องต้นไว้ในวันที่ 20 มิ.ย.68 เพื่อพิจารณาคุณสมบัติ และนัดบุคคลที่ผ่านคุณสมบัติเข้ามาสัมภาษณ์ในการประชุมครั้งต่อไป ในวันที่ 24 มิ.ย.68 การสัมภาษณ์ ผู้ผ่านคุณสมบัติจะต้องแสดงวิสัยทัศน์ด้วย คาดว่าจะสรุปการคัดเลือก และเสนอชื่อต่อ รมว.คลัง ได้ก่อนวันที่ 2 ก.ค. โดยตามกฎหมายจะต้องมีการเสนอรายชื่อไม่ต่ำกว่า 2 รายชื่อ หลังจากนั้นจึงจะมีการเสนอให้ที่ประชุม ครม. พิจารณาต่อไป ส่วนกรณีที่ไม่มีผู้มาสมัครคัดเลือกนั้น คณะกรรมการคัดเลือกฯ จะพิจารณาดูความชัดเจนอีกครั้ง

#กระทรวงการคลัง #ผู้ว่าการธปทคนใหม่ #แบงก์ชาติ #ข่าววันนีh #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์