กรุงศรีร่วมสนับสนุน Sustainability Expo 2025 "ธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน"

ธนาคารกรุงศรี และบริษัทในเครือ เข้าร่วมงานมหกรรมด้านความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน Sustainability Expo 2025 (SX2025) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ตอกย้ำการเป็น ธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน พร้อมเป็นกำลังสำคัญขับเคลื่อนการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) ให้เกิดผลเชิงรูปธรรมต่อภาคธุรกิจและสังคม สอดคล้องกับแนวคิดการจัดงานในปีนี้ “ปรับตัว ร่วมมือ และหาทางออก เพื่ออยู่รอดในวิกฤติโลกรวน” (Adaptation & Collaboration) นำเสนอสาระ ความรู้ กิจกรรม และโซลูชันทางการเงินที่ยั่งยืน เพื่อชวนทุกภาคส่วนร่วมเปลี่ยนผ่านสู่โลก Net Zero

นางสาวมิ่งขวัญ พัฒนวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานบริหารแบรนด์และการตลาดองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้กรุงศรีได้กลับมาร่วมงาน SX2025 อีกครั้งด้วยความมุ่งมั่นในฐานะ ธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน ที่พร้อมขับเคลื่อนสังคมและธุรกิจไทยให้ก้าวสู่โลกอนาคตอย่างมั่นคง เราเชื่อว่าความยั่งยืนไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ในชีวิตประจำวัน กรุงศรี และ MUFG พร้อมที่จะเดินเคียงข้างลูกค้าทุกกลุ่ม ตั้งแต่ลูกค้าบุคคล ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงองค์กรระดับภูมิภาค ด้วยผลิตภัณฑ์การเงินที่ออกแบบมาตอบโจทย์การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง เราหวังว่าการเข้าร่วมงานในปีนี้จะช่วยให้เราแบ่งปันองค์ความรู้ทางการเงินเพื่อความยั่งยืนได้กว้างขึ้น และอยากเชิญชวนทุกคนมาสัมผัสประสบการณ์เหล่านี้ร่วมกันที่บูธกรุงศรี

บูธกรุงศรี: GO Sustainable with Krungsri

ปีนี้กรุงศรีนำเสนอพื้นที่จัดแสดงภายใต้แนวคิด “GO Sustainable with krungsri” ที่ออกแบบอย่างใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยการนำโครงสร้างบางส่วนจากงานเดิมกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) และเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ถ่ายทอดแนวคิด “หลักคิด–หลักปฏิบัติ” ด้านความยั่งยืนของธนาคารและบริษัทในเครือในมิติที่จับต้องได้ ภายในบูธผู้เข้าชมจะได้พบกับกิจกรรมอินเตอร์แอคทีฟที่ทั้งสนุกและให้ความรู้ ไม่ว่าจะเป็น เกมแยกขยะ เสริมทักษะการจัดการของเสียอย่างถูกวิธี โซนถ่ายภาพ–แชร์โซเชียล พร้อมรับของที่ระลึก Krungsri Reusable Bag รวมถึง นิทรรศการที่นำเสนอผลงานชนะเลิศจาก From Waste to Wow Sustainable Sculpture Contest 2025 by Krungsri ศิลปะสร้างสรรค์จากวัสดุรีไซเคิลที่สะท้อนพลังความคิดใหม่ของเยาวชน นอกจากนี้ยังมีการแนะนำ ผลิตภัณฑ์และบริการด้าน Sustainable Finance ที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งกรุงศรีต้องการสร้างพื้นที่ที่ผสานทั้งความรู้ ความบันเทิง และแรงบันดาลใจให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสการเงินเพื่อความยั่งยืนในทุกมิติ

กรุงศรียังได้นำเสนอนวัตกรรมด้านความยั่งยืนจากพันธมิตรธุรกิจ เพื่อสะท้อนพลังของ Partnerships & Ecosystem โดยได้คัดเลือกลูกค้าธุรกิจที่มีนโยบายด้านความยั่งยืนมาร่วมจัดแสดงผลิตภัณฑ์ในโซน Marketplace ขณะเดียวกันยังมี จุดติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ที่จัดแสดงในโซน Innovate Experience Station (พื้นที่ Marketplace) เพื่อแสดงให้เห็นถึงบทบาทของการมีส่วนร่วมในการส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนการเดินทางคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม

เวทีองค์ความรู้จากผู้นำ: จากไทยสู่ภูมิภาค

ด้วยศักยภาพและความพร้อมทั้งในเรื่องเครือข่ายและองค์ความรู้ที่ได้รับการสนับสนุนจาก MUFG สถาบันการเงินชั้นนำระดับโลก กรุงศรีจึงไม่เพียงสะท้อนบทบาทผู้ให้บริการทางการเงิน แต่ยังเป็น ผู้แบ่งปันองค์ความรู้ และ ร่วมกำหนดทิศทางเชิงนโยบาย ที่องค์กรธุรกิจสามารถนำไปใช้ได้จริง ตลอดการจัดงาน โดยมีผู้บริหารกรุงศรี และ MUFG ร่วมเวทีสำคัญ 2 รายการ ได้แก่

- ดร. พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) จะแชร์ความรู้ในหัวข้อ “ธุรกิจไทยพร้อมแค่ไหน กับกฎหมายความยั่งยืนทั้งห่วงโซ่อุปทาน” ในวันที่ 29 กันยายน 2568 เวลา 13.30–14.00 น. ณ SX Talk Stage 

- Mr. Colin Chen, Head of Sustainable Finance, Asia Pacific, MUFG จะร่วมในเวทีเสวนา Chief Sustainability Officers (CSO) Forum ในหัวข้อ “Sustainability as an Engine for Growth” ในวันที่ 4 ตุลาคม 2568 เวลา 14.00–17.00 น. ณ ห้องประชุม 208

โดยสาระจากทั้งสองเวทีถูกออกแบบให้เชื่อมโยงกับโซลูชันทางการเงินของกรุงศรีโดยตรง ตั้งแต่การวิเคราะห์ความเสี่ยง ESG ในห่วงโซ่อุปทาน ไปจนถึงการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อสนับสนุนการลงทุนสีเขียว สะท้อนถึงบทบาทของกรุงศรีในการยกระดับความรู้จากไทยสู่ภูมิภาค

จุดประกายความคิดสร้างสรรค์: สร้างงานศิลปะจากวัสดุเหลือใช้

อีกหนึ่งกิจกรรมไฮไลต์คือการจัดประกวด “From Waste to Wow Sustainable Sculpture Contest 2025 by Krungsri,” รอบชิงชนะเลิศในวันที่ 26 กันยายน 2568 ซึ่งมีทีมเยาวชนมากความสามารถเข้ารอบสุดท้ายจำนวน 10 ทีม ผลงานทุกชิ้นล้วนถ่ายทอดแนวคิดการสร้างคุณค่าใหม่จากวัสดุเหลือใช้ สร้างเป็นงานศิลปะที่ทั้งสวยงามและเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ โดยผลงานที่ชนะเลิศจะได้รับการนำไปจัดแสดงที่บูธกรุงศรีตลอดงาน SX2025 เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสพลังความคิดสร้างสรรค์ของเยาวชนอย่างใกล้ชิด กิจกรรมนี้ไม่เพียงสร้างพื้นที่ให้เยาวชนได้แสดงออก แต่ยังเป็นเวทีที่ปลุกพลังสังคมให้ตระหนักถึงการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน

พบกับ บูธกรุงศรี และกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ด้านการเงินยั่งยืนได้ที่งาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 กันยายน – 5 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ไอคอนสยาม-เมืองสุขสยาม ผนึกพันธมิตร เปลี่ยนขวดพลาสติกเป็นผ้าห่มรักษ์โลก 3,500 ผืน

ไอคอนสยาม และเมืองสุขสยาม ร่วมกับ กระทรวงวัฒนธรรม, กรุงเทพมหานคร, ธนาคารกสิกรไทย, บริษัท ผลิตภัณฑ์กระดาษไทย จำกัด ใน Fest by SCGP และ Wake Up Waste จัดงาน “SOOKSIAM สุขรักษ์โลก” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “สุขเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” เผยผลสำเร็จของโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 พร้อมต่อยอดโครงการเปลี่ยนขยะเศษอาหารกว่า 220 ตันเป็นสารบำรุงดิน ปลูกผักบุ้งจีนมอบโครงการอาหารกลางวันให้กับเด็กนักเรียน และเปลี่ยนขวดพลาสติกเป็นผ้าห่มรักษ์โลกเตรียมมอบ 30 โรงเรียนในจังหวัดภาคเหนือ พร้อมเชิญชวนคนไทยและนักท่องเที่ยว ชม ชิม ช้อป แบบรักษ์โลกใน ECO–Market และร้านค้าในเมืองสุขสยาม ตั้งแต่วันนี้ - 30 กันยายน 2568 ณ เมืองสุขสยาม ไอคอนสยาม ชั้น G

พิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2568 ได้รับเกียรติจาก นางปาณิสรา เนตรธารธร ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตคลองสาน เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคุณบัญชา ฉันทดิลก กรรมการผู้จัดการโครงการสุขสยาม และคุณอนนต์ อัตถวิบูลย์ ผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด ร่วมเปิดงาน โดยมีผู้บริหารจากองค์กรพันธมิตร ผู้สนับสนุนการจัดงาน สื่อมวลชน และประชาชน ให้ความสนใจเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

คุณบัญชา ฉันทดิลก กรรมการผู้จัดการโครงการสุขสยาม กล่าวว่า เมืองสุขสยาม มุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความยั่งยืนให้กับสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ผ่านโครงการ SOOKSIAM สุขรักษ์โลก ที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 4 ซึ่งได้ดำเนินการภายใต้วิสัยทัศน์ของไอคอนสยามในการดำเนินธุรกิจที่เอื้ออำนวยประโยชน์ให้กับคนจำนวนมาก และต้องการเป็นส่วนสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย จึงได้นำกลยุทธ์ “ร่วมกันรังสรรค์ (Co-creation) และการสร้างคุณค่าสมประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย (Creating Shared Values)” มาบรรจุเข้าไปในกระบวนการดำเนินธุรกิจทุกประเภท โดยให้ความสำคัญในการร่วมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม 

ดังนั้นโครงการ SOOKSIAM สุขรักษ์โลก จึงไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม แต่เป็นการแสดงพลังของชุมชนเมืองสุขสยามที่ร่วมกันดูแลโลกใบนี้ เราเชื่อว่าการรวมพลังจากจุดเล็ก ๆ ผ่านผู้คน ร้านค้า และพันธมิตรของเมืองสุขสยาม จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เพื่อโลกของเราได้ ภายใต้กิจกรรม “SOOKSIAM สุขรักษ์โลก” เราภูมิใจที่ได้เปลี่ยนขยะเศษอาหารกว่า 220 ตันต่อปีให้เป็นสารบำรุงดิน เปลี่ยนขยะพลาสติกให้เป็นผ้าห่มสำหรับเด็ก ๆ โดยหวังว่าจากการรวมพลังรักษ์โลกของเราจะสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนหันมาดูแลสิ่งแวดล้อม และร่วมกันส่งต่อโลกที่ดีกว่าให้กับคนรุ่นต่อไป

ทั้งนี้เมืองสุขสยามดำเนินโครงการ “SOOKSIAM สุขรักษ์โลก” มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 เพื่อประสานความร่วมมือกับพันธมิตรและผู้ประกอบการร้านค้าในเมืองสุขสยาม สร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมในสังคมและชุมชนผู้คน ผ่านการรณรงค์การลดขยะอย่างเป็นรูปธรรม อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน จัดตั้ง “สถานีคัดแยกขยะ” ให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่มาเยือนเมืองสุขสยาม ได้มีส่วนรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และยังเปลี่ยนขยะเศษอาหารภายในเมืองสุขสยามที่มีมากกว่า 220 ตันต่อปี ให้เป็นสารบำรุงดิน ส่งมอบให้สำนักงานสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร ฟื้นฟูพื้นที่สีเขียว รวมถึงรีไซเคิลขยะขวดน้ำพลาสติกที่มีมากถึง 912,500 ขวดต่อปี เป็นผ้าห่มรักษ์โลกที่ผลิตจากขวดน้ำพลาสติก 100% ภายใต้ ”โครงการห่มรักษ์ให้น้องอุ่น” 

โดยในปี 2568 นี้ เมืองสุขสยามได้ต่อยอด “สารบำรุงดิน” ด้วยโครงการ “จากจานสู่ดิน ส่งต่อมื้อกลางวันให้เด็ก” ร่วมกับเกษตรกรเจ้าของสวนลูกหลานตาเต่า อำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นำสารบำรุงดินที่ได้จากขยะเศษอาหารในเมืองสุขสยาม ไปใช้ในกระบวนการเพาะปลูกผักบุ้งจีน เพื่อนำส่งต่อครัวโรงเรียนในโครงการอาหารกลางวันให้กับโรงเรียนในเขตคลองสานและโรงเรียนใกล้เคียง เชื่อมโยงเป็นวงจรอาหาร ตั้งแต่ครัวเรือน โรงเรียน จนถึงการบริโภคของเด็ก ๆ ส่งต่อความสุขสู่ชุมชนและสังคมอย่างยั่งยืนมากขึ้น และยังเพิ่มจำนวนการผลิตผ้าห่มรักษ์โลกเป็น 3,500 ผืน เพื่อส่งมอบให้กับเด็กเล็กในโรงเรียนจังหวัดทางภาคเหนือจำนวน 30 โรงเรียน นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้ผู้ประกอบการร้านค้าในเมืองสุขสยาม มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ภาชนะรักษ์โลก “Fest Bio Brown” นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์อาหารเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย และบริษัท ผลิตภัณฑ์กระดาษไทย จำกัด ใน Fest by SCGP พัฒนาขึ้นจากเยื่อยูคาลิปตัส 100% สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติภายใน 60 วัน อีกทั้งยังส่งต่อขวดพลาสติก กระป๋องน้ำพลาสติก และลังกระดาษให้ Wake Up Waste แพลตฟอร์มซื้อขายขยะรีไซเคิล นำไปเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์รักษ์โลกที่สร้างมูลค่าได้

นอกจากนี้ภายในงานมีประชาชนและนักท่องท่องเที่ยวสนใจเข้าชมนิทรรศการผลิตภัณฑ์ Upcycle นิทรรศการบรรจุภัณฑ์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงเลือกซื้อผลิตภัณฑ์รักษ์โลก สินค้าธรรมชาติ และงานแฮนด์เมดใน ECO–Market เพลิดเพลินกับการเลือกช็อปผลิตภัณฑ์รักษ์โลกอย่างผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติจากเชียงใหม่, ภาชนะไม้หวายธรรมชาติจากอยุธยา, กระเป๋า Tote Bag จากขวดพลาสติก PET และเสื้อผ้าเส้นใยรีไซเคิลไร้สารเคมี รวมถึงกิจกรรมสร้างสรรค์ อาทิ เวิร์กช็อปปั้นของจิ๋วจากดินไทย ในวันที่ 18-19 กันยายน 2568 และ ในวันที่ 25-26 กันยายน 2568 ขณะเดียวกันเมืองสุขสยาม ยังได้ร่วมกับ “โครงการเหลือ - ขอ” ให้ ‘สิ่งของ’ เหลือใช้ เปลี่ยนเป็นทุนการศึกษาให้น้องๆที่ขาดโอกาสในสังคม โดยสามารถร่วมบริจาคสิ่งของ อาทิ เสื้อผ้า, หนังสือ, กระเป๋า, ของเล่น, อุปกรณ์การเรียน ได้ที่จุดรับบริจาคบริเวณประตูสุขสุวรรณศาลา (ประตู 5) ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งทางโครงการเหลือ - ขอ จะส่งต่อไปยังมูลนิธิบ้านนกขมิ้น   

มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลโลกของเราให้น่าอยู่อย่างยั่งยืน ได้ในงาน “SOOKSIAM สุขรักษ์โลก” ตั้งแต่วันนี้ - 30 กันยายน 2568 ณ เมืองสุขสยาม ชั้น G ไอคอนสยาม

ถอดรหัส 'Sustainable Growth' เมื่ออนาคตของธุรกิจอยู่บนเส้นทางของความยั่งยืน: บทเรียนสำคัญจากงาน TCP Sustainability Forum 2025

วันที่ 29 สิงหาคม 2568 กลุ่มธุรกิจ TCP จัดงาน “TCP Sustainability Forum 2025” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ภายใต้แนวคิด Sustainable Growth: The Future of Growth เวทีที่รวมผู้นำองค์กรระดับประเทศ นักเศรษฐศาสตร์ และผู้ประกอบการ เพื่อหาคำตอบว่าธุรกิจจะเติบโตอย่างแท้จริงได้อย่างไร ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ภูมิรัฐศาสตร์ที่ผันผวน และสิ่งแวดล้อมที่กำลังเปลี่ยนแปลง

Sustainable Growth คือเป้าหมายใหม่ที่โลกต้องการ

ในการเสวนาหัวข้อ 'การก้าวข้ามธุรกิจแบบเดิม: สู่กลยุทธ์ใหม่เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน' คุณสราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่องค์กรต้องปรับตัวและสร้างสรรค์สิ่งใหม่เพื่อรับมือกับบริบทที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นการดำเนินธุรกิจแบบเดิม จึงไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป คุณสราวุฒิมองว่าสถานการณ์ปัจจุบันเป็นช่วงเวลาสำคัญของการปรับสมดุล (Rebalancing) เพื่อทบทวนและจัดลำดับความสำคัญใหม่ให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งสร้างสรรค์สิ่งใหม่ (Reinvention) ด้วยการเปลี่ยนวิธีการทำงาน วิธีคิด และรูปแบบธุรกิจให้ยั่งยืนยิ่งขึ้น

กลุ่มธุรกิจ TCP ยังได้วางกลยุทธ์ 3 เสาหลัก ได้แก่ การกระจายการเติบโต (Growth Diversification), การยกระดับประสิทธิภาพ (Operational Efficiency) และ การสร้างรากฐานเพื่ออนาคต (Future-Ready Foundation) โดยทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนแนวคิด EESG: Economic, Environment, Social และ Governance

 “หัวใจของการเติบโตอย่างยั่งยืนอยู่ที่ Adaptability หรือความสามารถในการปรับตัวขององค์กร ความยั่งยืนที่แท้จริงไม่ใช่การยึดติดอยู่กับรูปแบบเดิม แต่คือการพร้อมเผชิญและปรับตัวในทุกการเปลี่ยนแปลง หากเรามองเห็นว่าในทุกวิกฤตมีโอกาส และสามารถใช้ช่องว่างนั้นให้เป็นประโยชน์ ก็จะกลายเป็นข้อได้เปรียบระยะยาวที่ต่อยอดไปสู่การเติบโตในอนาคต และภายในปี 2030 ผมอยากเห็นการทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืนระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยี พร้อมด้วย Mindset ที่เปิดกว้างต่อการเปลี่ยนแปลง เพราะนี่คือกุญแจสำคัญที่จะพาเราไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน” นายสราวุฒิ กล่าว

เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายความยั่งยืน กลุ่มธุรกิจ TCP ได้ขยายการดำเนินงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพด้วยโครงการสำคัญ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการพัฒนาพื้นที่อนุรักษ์นอกเขตคุ้มครอง ซึ่งเป็นความร่วมมือกับสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย (BCST) เพื่อนำร่องพัฒนาพื้นที่ยี่สาร จังหวัดสมุทรสงคราม ให้เป็นต้นแบบพื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพนอกเขตคุ้มครองตามแนวทาง OECMs (Other Effective Area-Based Conservation Measures) และ โครงการป่าไม้เพื่อคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นความร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้แนวคิด PES (Payment for Ecosystem Services) หรือ "การจ่ายค่าตอบแทนสำหรับบริการจากระบบนิเวศ" โดยมีแนวคิดหลักว่า “คุณดูแลป่า เราดูแลคุณ” ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับชุมชน ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

 

การพัฒนาที่ยั่งยืนคือพลังขับเคลื่อนใหม่

งาน TCP Sustainability Forum 2025 ยังได้รับเกียรติจาก คุณเจียง เหว่ย อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจและพาณิชย์ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษ โดยเน้นย้ำว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนคือพลังขับเคลื่อนใหม่ของความร่วมมือจีน-ไทย และได้ยกตัวอย่างแนวคิดการพัฒนาของจีน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านนวัตกรรม  การบูรณาการ ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเปิดกว้าง และการแบ่งปัน ซึ่งสอดคล้องกับโมเดล BCG ของไทย โดยปัจจุบันมีบริษัทจีนกว่า 1,000 แห่งเข้ามาลงทุนในไทยในอุตสาหกรรมเกิดใหม่ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสีเขียว ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะร่วมสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมและเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

“การพัฒนาที่ยั่งยืนมิใช่เพียงภารกิจร่วมที่ยุคสมัยมอบหมายแก่เรา แต่ยังเป็นโอกาสที่เราจะได้ร่วมกันสร้างอนาคต การจับมือเดินไปด้วยกันบนเส้นทางดังกล่าว จะไม่เพียงแต่เสริมสร้างเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ แต่ยังจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเผชิญความท้าทายระดับโลก และสร้างอนาคตร่วมกันที่มั่งคั่งและสมดุลยิ่งขึ้น” คุณเจียง เหว่ย กล่าว

 

Green Transition: การลงทุนที่ดีที่สุด

ด้าน ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่และเลขานุการ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวในปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ ‘การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวในฐานะกลไกเศรษฐกิจ: โอกาสใหม่สำหรับการเติบโตทางธุรกิจ’ ว่า โลกกำลังอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ที่บีบให้ทุกประเทศต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด การแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ ไม่เพียงส่งผลต่อภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลก แต่ยังสะท้อนมายังไทย ทั้งตลาดทุน การผลิต และค่าเงิน อย่างไรก็ดี นี่อาจเป็นโอกาสสำคัญ เพราะจีนเริ่มกระจายฐานการผลิตสู่เอเชียและอาเซียน ซึ่งมีศักยภาพจะกลายเป็นตลาดใหญ่ของโลกในอีกสิบปีข้างหน้า ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนผ่านสู่ The Great Green Transition ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น แม้บางประเทศลดบทบาทด้านความยั่งยืน แต่ท่ามกลางวิกฤติสภาพภูมิอากาศ Green Transition จะกลับมาเป็นวาระหลักของทุกประเทศภายในไม่กี่ปีข้างหน้า

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่และเลขานุการ บริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

ดร.กอบศักดิ์ เสริมว่า “วันนี้ประเทศไทยกำลังเริ่มเตรียมความพร้อม ทั้งด้านกฎหมายและการสร้างความเข้าใจให้ภาคเอกชนเกี่ยวกับการลดการปล่อย CO₂ การจัดการ Carbon Supply Chain และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง เพราะนี่คือการลงทุนที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง ต้นทุนถูกลงมาก และยิ่งเราเริ่มเร็ว เราก็ยิ่งมีโอกาสสร้างความได้เปรียบระยะยาว”

“ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีกำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและกระทบแทบทุกอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นรถสันดาป ปิโตรเคมี เหล็ก อิเล็กทรอนิกส์ หรือแม้กระทั่งเกษตรและปศุสัตว์ หากไม่เร่งปรับตัวก็จะเผชิญความล้าสมัย ขณะที่การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจโลกยิ่งเร่งให้อัตราการเปลี่ยนแปลงด้าน AI หุ่นยนต์ และ Computing เร็วขึ้นกว่าเดิม นี่จึงเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัว เพื่อยืนหยัดได้อย่างมั่นคงในโลกอนาคต”

 

AI และนวัตกรรม: เครื่องมือเร่งการเติบโต

ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) โดย คุณธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เน้นย้ำว่า AI และเทคโนโลยีคือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้องค์กรเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืนได้ โดยเปลี่ยนบทบาทจากผู้พัฒนาซอฟต์แวร์มาเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมสำหรับทุกองค์กร ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน

“AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือเพื่อการเติบโตแบบปกติ แต่คือพลังแห่ง Disruptive Growth ที่สามารถยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศได้หลายเท่า” คุณธนวัฒน์ กล่าว

นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น “Frontier Country” ภายในปี 2030 ที่ทุกคนสามารถใช้เทคโนโลยีสร้างคุณค่าและเติบโตไปด้วยกันได้อย่างยั่งยืน

 

การเติบโตที่แท้จริง ต้องโตให้ถูกทาง

ขณะที่ คุณบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ตั้งคำถามกับผู้ร่วมงานว่า เรากำลังเติบโตไปเพื่อใคร และกำลังทิ้งอะไรไว้ให้คนรุ่นหลัง โดยชี้ว่าการเติบโตที่มีความหมายต้องครอบคลุมทั้งความมั่งคั่ง การกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม และความยั่งยืน เขายกตัวอย่าง ดัชนีสิ่งแวดล้อม (EPI) ที่ไทยอยู่เพียงอันดับ 90 จาก 180 ประเทศ สะท้อนถึงจุดอ่อนด้านคุณภาพอากาศและการจัดการทรัพยากรน้ำ แม้จะมีความก้าวหน้าในบางมิติ แต่โดยรวมยังต้องเร่งพัฒนา ที่สำคัญ ดัชนีนี้ยังสะท้อนว่าปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น หลักนิติธรรม ความโปร่งใส และฉันทานุมัติของสังคม มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ หากต้องการเติบโตอย่างยั่งยืน

 

การแก้ปัญหาโครงสร้างต้องอาศัย ‘ฉันทานุมัติ’ จากภาคส่วนต่าง ๆ ตั้งแต่ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาควิชาการ สื่อ ไปจนถึงประชาชนทั่วไป เพราะหากสังคมเห็นตรงกันในเรื่องคุณค่าที่ควรยึดถือ นโยบายสาธารณะย่อมเปลี่ยนตาม เพราะในท้ายที่สุด การเติบโตที่มีความหมาย ไม่ได้วัดจากความร่ำรวยของประเทศเพียงลำพัง หากแต่วัดจากความสามารถในการพาคนส่วนใหญ่ของประเทศไปต่อในอนาคตร่วมกัน” คุณบรรยง กล่าว

 

ความยั่งยืน: ‘ร่ม’ ที่ธุรกิจต้องถือไว้ด้วยกัน

ภายในงาน TCP Sustainability Forum 2025 ยังมีการเสวนาในหัวข้อ “การนำการเติบโตที่ยั่งยืนไปปฏิบัติจริง” โดยผู้ประกอบการ SME และผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วน อาทิ เพนนิน เพนนี พาทิซเซอรี่, คอมม่อน ฟู้ด โซลูชั่น บริษัทที่เข้าร่วม โครงการ ‘Big Brother’ ที่ เดอเบล บริษัทภายใต้กลุ่มธุรกิจ TCP ทำงานร่วมกับหอการค้าไทย เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs และไทยนำโพลีแพค ซึ่งเป็นซัปพลายเออร์ของกลุ่มธุรกิจ TCP โดยทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าบทบาทของธุรกิจวันนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การทำกำไร แต่ต้องสร้างคุณค่าให้สังคมและสิ่งแวดล้อมควบคู่กัน

คุณพรพิมล ปักเข็ม จาก เพนนิน เพนนี พาทิซเซอรี่ เล่าถึงแรงบันดาลใจในการสร้างอนาคตที่ดีและโลกที่น่าอยู่ขึ้นให้กับลูกสาว และคนรุ่นหลัง มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยี Air Pop และวัตถุดิบที่ช่วยสร้างคุณค่าให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน ขณะที่ คุณวัฒนา กฤษณาวารินทร์ จาก ไทยนำโพลีแพค ที่เปลี่ยนความท้าทายและภาพลักษณ์ของ 'พลาสติก' ที่ถูกมองว่าเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม ด้วยโมเดล BCG (Bio-Circular-Green Economy) และการบรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้เพื่อผลักดัน Circular Economy ที่แม้จะทำให้ต้นทุนสูง แต่ความตื่นตัวของสังคมและกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น จะทำให้ผู้ที่พร้อมก่อนได้เปรียบก่อน ส่วน คุณสุพิชญ์ญา ยามวินิจ จาก คอมม่อน ฟู้ด โซลูชั่น เล่าประสบการณ์การทำธุรกิจที่แก้ปัญหา Food Waste และสร้างโอกาสทางธุรกิจ ด้วยการแปรรูปผักผลไม้ที่หลุด QC เป็นสินค้าคุณภาพ พร้อมสร้างระบบจัดการขยะที่ชุมชนมีส่วนร่วมเพื่อสร้างความยั่งยืนอย่างแท้จริง

 

ความร่วมมือคือพลังขับเคลื่อน

คุณพรฤทัย โชติวิจิตร จาก องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ หรือ IUCN ให้ความเห็นว่า วิกฤตสิ่งแวดล้อมนั้นใกล้ตัวกว่าที่คิด “มันไม่ทำไม่ได้แล้ว เพราะผลกระทบจากขยะมูลฝอย เช่น ไมโครพลาสติก อยู่ในร่างกายมนุษย์แล้ว” เธอยกตัวอย่างโครงการนำร่องที่ IUCN ร่วมกับกลุ่มธุรกิจ TCP และชุมชนในจังหวัดระนอง ทดลองโมเดล EPR (Extended Producer Responsibility) โดยใช้ร้านโชห่วยในชุมชนเป็นจุดรับคืนบรรจุภัณฑ์ ทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนมุมมองว่าบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วไม่ใช่ขยะ แต่ยังมีคุณค่า และยังสามารถผลักดันสู่การออกเทศบัญญัติท้องถิ่นว่าด้วยการจัดการขยะได้สำเร็จ ตอกย้ำว่าความร่วมมือระหว่างธุรกิจและชุมชนคือพลังขับเคลื่อนที่ทรงพลัง

งาน TCP Sustainability Forum 2025 ไม่ได้เป็นเพียงเวทีสนทนา แต่คือสัญญาณสะท้อนจากผู้นำในภาคธุรกิจ การเงิน และเทคโนโลยี ที่ต่างเห็นตรงกันว่าการเติบโตในอนาคตต้องไม่ใช่เพียง การโตเร็ว แต่คือการโตอย่าง มั่นคง เป็นธรรม และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง บทเรียนสำคัญจากเวทีครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า “ความยั่งยืน” ไม่ใช่ทางเลือก หากแต่คือหนทางเดียวที่จะพาเราไปถึงอนาคตที่แท้จริง

 

วรุณา จับมือ ทรูมันนี่ และ แอสเซนด์ บิท ผลักดันป่าไม้ไทยสู่ความยั่งยืน ร่วมนำร่องคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้

ทรูมันนี่ ผู้นำด้านบริการการเงินดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ บริษัท แอสเซนด์ บิท จำกัด ผู้ให้บริการเทคโนโลยีบล็อกเชนชั้นนำ เดินหน้าขยายความร่วมมือด้านความยั่งยืนล่าสุดประกาศความร่วมมือกับ บริษัท วรุณา (ประเทศไทย) จำกัด หรือ วรุณา (VARUNA) ผู้เชี่ยวชาญด้านการขับเคลื่อนคาร์บอนอย่างยั่งยืน ในกลุ่มบริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ เออาร์วี (ARV) เปิดตัวโครงการนำร่องคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ ผ่านแอปทรูมันนี่ให้คนไทยสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจก อย่างโปร่งใสตรวจสอบได้ และยั่งยืน
 
โดยความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการสานต่อบริการซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอน ผ่านโครงการที่พัฒนาภายใต้มาตรฐาน T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction Program - โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจของประเทศไทย) ซึ่งมุ่งเน้นให้ผู้ใช้งานทรูมันนี่สามารถมีส่วนร่วม ในการสนับสนุนการปลูกป่าไทยได้อย่างสะดวกและปลอดภัย โดยที่ผ่านมามีผู้ใช้งานแอปทรูมันนี่ซื้อ คาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นจำนวน 5,800 ตันคาร์บอน หรือเทียบเท่ากับใช้ต้นไม้กว่า 386,000 ต้น (ข้อมูล ณ 20 เมษายน 2568)
 
ภายใต้ความร่วมมือนี้ ผู้ใช้งานสามารถสนับสนุนการปลูกป่าไม้ไทยผ่านโครงการที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก(TGO) อย่างถูกต้อง ครอบคลุมพื้นที่ป่าในจังหวัดแพร่ ได้แก่ สวนป่าขุนแม่คำมี สวนป่าวังชิ้น และสวนป่าแม่ยม-แม่แปง โดยมีองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ และบริษัท วรุณา (ประเทศไทย) จำกัด ผู้พัฒนาโครงการ ตั้งแต่การสำรวจพื้นที่ การวางแผนการปลูก การดูการเติบโตของต้นไม้ ประเมินคาร์บอนเครดิต และตรวจสอบโครงการ โดยใช้แพลตฟอร์มและเทคโนโลยีเข้าร่วมสนับสนุน

นายอภินันท์ ดาบเพ็ชร ผู้อำนวยการฝ่ายการเติบโตของวอลเล็ทแพลตฟอร์ม บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซนด์บิท จำกัด กล่าวว่า “ทรูมันนี่ และ แอสเซนด์ บิท ภายใต้เครือ แอสเซนด์กรุ๊ป ต่างมุ่งมั่นที่จะใช้ศักยภาพของ เทคโนโลยีบล็อกเชนสาธารณะ เชื่อมโยงและสนับสนุนคนไทยในด้านความยั่งยืน โดยล่าสุดเราได้ร่วมมือกับวรุณา เปิดโอกาสให้ ผู้ใช้งานทรูมันนี่มีส่วนร่วมในการร่วมลดคาร์บอนผ่านโครงการป่าไม้ในไทยด้วยการซื้อคารบอนเครดิตผ่านแอปทรูมันนี่ได้อย่างง่ายๆ และโปร่งใส เพราะสามารถตรวจสอบได้ โดยความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการนำ ร่องโครงการสนับสนุนความยั่งยืนด้าน ป่าไม้ภายในประเทศและวางรากฐานสู่การขยายผลในอนาคต
 
นางสาวพณัญญา เจริญสวัสดิ์พงศ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท วรุณา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “วรุณา มุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนอนาคตสีเขียวที่ยั่งยืน และสร้างประโยชน์สูงสุดต่อพื้นที่เกษตรและป่าไม้รวมถึงสิ่งแวดล้อม ของประเทศไทย ความร่วมมือกับทรูมันนี่และแอสเซนด์ บิท ในครั้งนี้จะช่วยให้คนไทยเข้าถึงการมีส่วนร่วมด้าน สิ่งแวดล้อมได้ในวงกว้างผ่านแอปพลิเคชันที่ใช้งานอยู่แล้ว พร้อมร่วมผลักดันการลดก๊าซเรือนกระจก สู่เป้าหมาย SDG 13 Climate Action และร่วมรักษ์โลกไปด้วยกัน”

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถซื้อคาร์บอนเครดิตอย่างสะดวก และโปร่งใสด้วยบล็อกเชน ผ่านแอปพลิเคชัน ทรูมันนี่ ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถชดเชยคาร์บอนได้ในราคาเริ่มต้นเพียง 39 บาทสำหรับโครงการในไทย โดยสามารถเลือกแพ็กเกจได้ตามต้องการ (7, 30 หรือ 90 วัน) ระบบจะตัดเงินจากบัญชีทรูมันนี่ เพื่อซื้อและเบิร์นโทเคนคาร์บอนเครดิตที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล โดยทุกธุรกรรมจะถูกบันทึกไว้บน เครือข่ายบล็อกเชนสาธารณะ (Polygon) ในรูปแบบ NFT เพื่อความโปร่งใส ตรวจสอบได้และลดต้นทุนเมื่อเทียบกับบริการชดเชย คาร์บอนรูปแบบเดิมหลายเท่าตัวสร้างประสบการณ์ที่ง่าย สะดวก และเข้าถึงได้สำหรับผู้ใช้งานทุกกลุ่ม ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://tmn.app.link/CARBON_CREDIT

ทรูฯ ติดท็อป FSTE4Good ต่อเนื่องปีที่ 8 ขานรับ SET ดึง FSTE Russell ESG Score ยกระดับ บจ.ไทย เทียบเท่าสากล

FTSE Russell บริษัทในเครือตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน ในฐานะผู้ประเมิน ESG ซึ่งเป็นที่ยอมรับระดับสากล ประกาศรายชื่อบริษัทติดอันดับดัชนีความยั่งยืน FTSE4Good 2024 โดยทรู คอร์ปอเรชั่น เป็นเทคคอมปานีไทยรายเดียวที่ติดกลุ่มคะแนนสูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมทั่วโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 โดยมีคะแนนรวมเพิ่มขึ้นจาก 4.4 ในปีที่ผ่านมา เป็น 4.5 จากคะแนนเต็มรวม 5 คะแนน โดยเฉพาะมิติด้านธรรมาภิบาลที่ได้คะแนนเต็ม 5 คะแนน จากการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีโครงสร้างคณะกรรมการเป็นไปตามสากล ประกอบด้วยคณะกรรมการอิสระ คณะกรรมการที่ไม่ใช่ผู้บริหาร มีคณะกรรมการเพศชายและหญิง ส่งเสริมความหลากหลายทางเพศ เชื้อชาติ รวมถึงนโยบายต่อต้านการทุจริต จัดตั้งหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลธรรมาภิบาลภายในบริษัทโดยเฉพาะ เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานทุกคนปฏิบัติตามมาตรฐานสูงสุดทางกฎหมายและจริยธรรม ตลอดจนสร้างวัฒนธรรม ‘Speak Up’ ที่ให้พนักงาน รวมถึงบุคคลภายนอก มีส่วนร่วมแจ้งเบาะแสที่อาจละเมิดต่อหลักธรรมาภิบาล (Code of Conduct) ของบริษัท ผ่านสายด่วนธรรมาภิบาล (Integrity Hotline) 

มาตรวัดความยั่งยืนผ่านมาตรฐานระดับโลก FTSE Russell

ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประกาศยกระดับการประเมินความยั่งยืนบริษัทจดทะเบียนไทย จากเดิมที่เคยใช้เกณฑ์หุ้นยั่งยืน (THSI: Thailand Sustainability Investment) หรือที่รู้จักกันในชื่อ SET ESG Ratings เพื่อประเมินและรวบรวมบริษัทเข้ากลุ่มหุ้นยั่งยืน เปลี่ยนมาเป็นดัชนีมาตรฐานสากล FTSE4Good ของ FTSE Russell ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ โดยเน้นประเมินข้อมูลที่บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยสู่สาธารณะทั้งในและต่างประเทศอย่างโปร่งใส ประเมินหลักทรัพย์กว่า 8,000 แห่งทั่วโลกจาก 47 ประเทศ ซึ่งมีเกณฑ์พิจารณาตัวชี้วัดมากกว่า 300 ด้าน 14 ธีม ทั้งในมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล โดยได้ให้บจ.ในไทย เตรียมความพร้อม 2 ปี ก่อนการประเมิน และจะประกาศผลคะแนน ESG สู่สาธารณะตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป

ทรู พร้อมรับมือทุกความท้าทาย ฝ่าด่านประเมินเข้มข้นมาตลอด 8 ปีซ้อน

นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น เล็งเห็นความสำคัญของการประเมิน FSTE Russell ซึ่งเป็นอีกหนี่งมาตรวัดให้องค์กรต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงทรูได้นำข้อเรียนรู้มาพัฒนา ลดความเสี่ยง ตลอดจนสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งทรู ได้ศึกษาและเตรียมตัวให้พร้อมกับการประเมิน ESG Score โดย FTSE Russell มานานกว่า 8 ปีแล้ว เนื่องด้วยเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าตลาดสูง เมื่อเทียบกับบริษัทเทเลคอมทั่วโลก ทั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงเดินหน้ารักษามาตรฐานด้านความยั่งยืนระดับสากลที่เข้มข้นนี้ต่อไป หลังจากที่ในปี 2024 ได้รับการรับรองเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืน FTSE4Good อีกครั้ง ด้วยคะแนนระดับท็อปต่อเนื่องเป็นปีที่ 8”
เจาะลึก “ทรู” ผ่านประเมินเข้ม FSTE4Good 2024

ในปีนี้ นอกจากที่ทรู ผ่านการประเมิน FSTE Russell ที่ได้คะแนนเต็มในมิติด้านธรรมาภิบาลแล้ว ในมิติด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทรู สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 12.7% เมื่อเทียบกับเป้าหมาย 12.6% ด้วยการนำเทคโนโลยี AI, Machine Learning มาบริหารจัดการเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพ และติดตั้ง Solar Cell มากกว่า 7,000 แห่ง ที่เสาสัญญาณและสถานีฐาน และจะขยายสู่ Data Centers ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ตามแนวทาง SBTi โดยในปี 2567 ทรูได้รับการรับรองเป้าหมาย Near-Term จาก SBTi เป็นรายแรกของบริษัทโทรคมนาคมไทย ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรงและทางอ้อมของตนเองให้ได้ราว 42% ภายในปี 2573 อีกด้วย  

ส่วนด้านการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่คุณค่า มีคุณธรรมและข้อพึงปฏิบัติสำหรับคู่ค้าที่กำหนดให้คู่ค้าต้องบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม โดยในปี 2567 ทรู เริ่มผลักดันให้คู่ค้าหลัก 62% ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ (Scope 3) และมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero โดยจะดำเนินการให้ครบ 100% ในปี 2568 ขณะที่มิติด้านสังคม มีนโยบายด้านการบริหารแรงงานอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม เป็นไปตามกฎหมาย ข้อบังคับ และแนวปฏิบัติด้านแรงงานสากล อีกทั้ง ยังมีนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนที่ใช้ภายในองค์กรและกับพันธมิตรทางธุรกิจ สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ รวมถึงกลุ่ม LGBTQI และส่งเสริมแรงงานสตรี พร้อมการดูแลชุมชนสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน