SJWD ลุยขยายพอร์ตธุรกิจ ตปท.เซ็นสัญญาคว้างานใหม่ 2 รายในเวียดนาม มูลค่ารวมกว่า 450 ล้านบาท บริการโลจิสติกส์

SJWD รุกขยายพอร์ตธุรกิจต่างประเทศ ปิดดีลงานใหม่จากลูกค้า 2 รายในเวียดนาม มูลค่ารวมกว่า 450 ล้านบาท เซ็นสัญญา ‘Vina Kraft Paper’ ขยายบริการโลจิสติกส์ต่อเนื่องอีก 4 ปี และความร่วมมือโครงการใช้ยานพาหนะพลังงานไฟฟ้าเพื่อมุ่งสู่ Net Zero ส่วนอีกรายเซ็นสัญญา ‘เอ.เจ.พลาสท์ (เวียดนาม)’ ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรแบบ End-to-End Supply Chain & Financial Solution ให้บริการขนย้ายเครื่องจักรจากไทยมายังเวียดนามพร้อมบริการติดตั้งรองรับการขยายโรงงานเฟส 2 และผสานความร่วมมือ Transimex Corporation พาร์ทเนอร์ด้านโลจิสติกส์ในเวียดนามร่วมให้บริการ เดินหน้าเจรจาขยายโอกาสรับงานก่อสร้างและบริหารคลังสินค้าหลังใหม่

วันที่ 10 เมษายน 2568 นายบรรณ เกษมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD  ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า จากแผนธุรกิจของบริษัทฯ ในปี 2568 ที่มุ่งเน้นการขยายธุรกิจต่างประเทศเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลัก โดยมีเวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่โฟกัสการขยายธุรกิจ เนื่องจากเศรษฐกิจมีศักยภาพเติบโตสูงและมีแนวโน้มได้รับผลบวกจากการเคลื่อนย้ายและขยายฐานการผลิตจากจีนมายังภูมิภาคอาเซียน เพื่อลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้า บริษัทฯ จึงวางแผนรุกขยายการให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน รวมถึงต่อยอดความเชี่ยวชาญสู่การให้บริการแบบ End-to-End Supply Chain & Financial Solution แก่ลูกค้าผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในเวียดนามทั้งที่อยู่ในเครือ SCG และลูกค้าทั่วไปอย่างต่อเนื่องในปีนี้

โดยล่าสุด บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ (เวียดนาม) จำกัด หรือ SCGJWD Logistics (Vietnam) Co., Ltd. (เดิมชื่อ SCG International Vietnam) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ SJWD ถือหุ้น 100% ได้เซ็นสัญญารับงานใหม่จากลูกค้า 2 รายในประเทศเวียดนาม ได้แก่ (1) Vina Kraft Paper Co., Ltd. (VKPC) ใน SCGP ผู้ผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ชั้นนำในประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท สยามคราฟท์อุตสาหกรรม จำกัด ใน SCGP และ Rengo Company Limited ประเทศญี่ปุ่น และ (2) บริษัท เอ.เจ.พลาสท์ (เวียดนาม) จำกัด ผู้ผลิตแผ่นฟิล์มพลาสติกสำหรับบรรจุภัณฑ์ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ และ บมจ.เอ.เจ.พลาสท์ โดยมีมูลค่างานรวมกันกว่า 450 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นคงแก่ผลการดำเนินงานและเพิ่มรายได้ในเวียดนาม

สำหรับ เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ (เวียดนาม) ได้เซ็นสัญญาให้บริการโลจิสติกส์แก่ Vina Kraft Paper ต่อเนื่องอีก 4 ปี (ปี 2025 – 2028) เพื่อให้บริการขนส่งกระดาษรีไซเคิลมายังโรงงานของ Vina Kraft Paper และความร่วมมือในโครงการปรับเปลี่ยนมาใช้ยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าภายในโรงงานและคลังสินค้าของ Vina Kraft Paper เช่น การทยอยเปลี่ยนรถโฟลค์ลิฟท์ดีเซล เป็นรถโฟลค์ลิฟท์ไฟฟ้า (EV Forklift) เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero และศึกษาความคุ้มค่าในการลดต้นทุนโลจิสติกส์

นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม SJWD กล่าวว่า ขณะที่การเซ็นสัญญากับ เอ.เจ.พลาสท์ (เวียดนาม) จะขยายบริการแบบ End-to-End Supply Chain & Financial Solution เพื่อรองรับการขยายโรงงานเฟส 2 โดยจะให้บริการขนย้ายเครื่องจักรจากโรงงาน เอ.เจ.พลาสท์ ในประเทศไทยมายังเวียดนามด้วยการขนส่งทางเรือ บริการติดตั้งเครื่องจักร รวมถึงเป็นผู้บริหารคลังสินค้าในโรงงานเฟส 2 หลังจากติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จและเริ่มการผลิต โดยมี Transimex Corporation พาร์ทเนอร์ด้านโลจิสติกส์ของบริษัทฯ ในเวียดนาม ร่วมให้บริการเคลื่อนย้ายเครื่องจักรออกจากตู้คอนเทนเนอร์และการขนส่งในเวียดนาม

นอกจากนี้ เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ (เวียดนาม) มีแผนเจรจาเพื่อขยายการให้บริการแก่ เอ.เจ.พลาสท์ (เวียดนาม) ที่มีแผนก่อสร้างคลังสินค้าหลังใหม่ โดยจะเป็นผู้ลงทุนและก่อสร้างคลังสินค้าแห่งใหม่ในรูปแบบ Built-to-Suit ตามความต้องการของลูกค้า เพื่อส่งมอบหรือให้เช่าระยะยาว พร้อมรับบริหารคลังสินค้าและให้บริการโลจิสติกส์

“บริษัทฯ กำลังรุกขยายบริการในรูปแบบ End-to-End Supply Chain & Financial Solution ในเวียดนาม เพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละราย ช่วยเพิ่มรายได้ต่อโปรเจกต์ นอกจาก เอ.เจ.พลาสท์ (เวียดนาม) ที่ได้รับงานใหม่ กำลังเจรจากับลูกค้าอีกรายในเวียดนาม คาดว่าจะได้ข้อสรุปครึ่งปีหลังของปีนี้” นายชวนินทร์ กล่าว

"SJWD" กำไรปี 67 พุ่งแรง 1,119 ล้านบาท โต 47% จากการสร้าง Synergy ลดต้นทุนและขยายธุรกิจ

SJWD ประกาศผลการดำเนินงานปี 67 ทำกำไรสุทธิ 1,119 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% จากปีก่อน และทำรายได้รวม 24,705 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน จากการสร้าง Synergy หลังรวมกิจการเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มศักยภาพขยายการลงทุน รวมถึงการขยายฐานลูกค้าใหม่ แม้รายได้และกำไรสุทธิไตรมาส 4/2567 ชะลอตัว เนื่องจากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในกัมพูชาที่ร่วมลงทุน เลื่อนการบันทึกรายได้จากการขายที่ดินเป็นไตรมาส 1/2568 ส่งผลกระทบต่อการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเข้ามายังบริษัทฯ เตรียมเสนอผู้ถือหุ้นพิจารณาจ่ายปันผลอัตรา 0.28 บาทต่อหุ้น ขณะที่ไตรมาส 1/2568 รับปัจจัยบวกจากธุรกิจรับฝากและบริหารยานยนต์ ขยายบริการแก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และเตรียมเปิดคลังสินค้าห้องเย็นอีก 3 แห่งในปีนี้

เมื่อวันที่ 28 ก.พ.68 ดร.เอกพงษ์ ตั้งศรีสงวน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2567 รายได้รวม 6,335 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 185.4 ล้านบาท ชะลอตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรสุทธิที่ชะลอตัวเกิดจากภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้ ประกอบกับบริษัท Phnom Penh SEZ Plc. ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมรายใหญ่ในประเทศกัมพูชาที่บริษัทฯ เข้าร่วมลงทุน มีการปรับปรุงรายการทางบัญชี จึงต้องเลื่อนบันทึกรายได้จากการขายที่ดินจากไตรมาส 4/2567 เป็นไตรมาส 1/2568 กระทบต่อการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่เข้ามายังบริษัทฯ รวมถึงบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมผลการดำเนินงานทั้งปี 2567 ยังมีอัตราเติบโตทั้งรายได้และกำไร โดยทำรายได้รวมทั้งสิ้น 24,705 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 1,119 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 761.3 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการสร้าง Synergy ภายในกลุ่มบริษัทฯ หลังจากรวมกิจการแล้วเสร็จ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุนและช่วยเพิ่มศักยภาพการขยายธุรกิจ

โดยธุรกิจที่เติบโตได้ดีในรอบปีที่ผ่านมา ได้แก่ (1) ธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ในต่างประเทศ มีรายได้ 3,589 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.1% จากปีก่อน จากการขยายธุรกิจและได้รับงานใหม่ เช่น งานขนถ่ายปูนเม็ดเข้าสู่โรงงานผลิตซีเมนต์และลำเลียงซีเมนต์ขาออกไปยังเรือขนส่งแก่ VCM ในเวียดนาม (2) ธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าแบบ D2C (Direct to Consumer) มีรายได้ 2,452 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.1% จาก ปีก่อน จากการได้รับงานใหม่จาก บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก หรือ OR ให้เป็นผู้ขนส่งสินค้าเบเกอรี่จากโรงงานผลิตไปยังร้าน คาเฟ่อเมซอนในภาคต่าง ๆ และยังได้รับงานบริหารจัดการคลังสินค้าชั่วคราวและบริการขนส่งสินค้าแก่ดีลเลอร์และลูกค้าของแคเรียร์ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา จากบริษัท บี.กริม แคเรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท แคเรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด

(3) ธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าแบบ B2B แม้มีความกังวลผลกระทบจากอุตสาหกรรมซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างที่อยู่ในช่วงชะลอตัว อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีรายได้ 8,429 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.8% จากปีก่อน จากการขยายฐานลูกค้าใหม่และได้รับงานเพิ่มขึ้นจาก SCG ขณะที่ ธุรกิจให้บริการจัดเก็บและบริหารสินค้า ได้แก่ เคมีภัณฑ์และสินค้าอันตราย มีรายได้ 552 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.6% และคลังสินค้าห้องเย็น มีรายได้ 1,052 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.7% จากปีก่อน จากดีมานด์จัดเก็บปลาทะเลที่เพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกันในปี 2567 บริษัทฯ ได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ (เมื่อไม่รวมรายการรายได้จากค่าความนิยม) จำนวน 344 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62.6% เนื่องจากในปีที่ผ่านมาได้ขยายการลงทุนโดยเข้าถือหุ้นในบริษัท บมจ.เอเชีย เน็ตเวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ ANI ผู้นำธุรกิจตัวแทนขายระวางสินค้าสายการบินหรือ Cargo General Sales Agent (GSA) และบริษัท Swift Haulage Berhad หรือ SWIFT (สวิฟท์) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจ Integrated Logistics ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย โดยการลงทุนดังกล่าวมาจากศักยภาพด้านเงินทุนที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ หลังรวมกิจการแล้วเสร็จ

ทั้งนี้จากผลการดำเนินงานปี 2567 ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 จึงมีมติเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานปี 2567 ที่อัตรา 0.28 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงิน 507 ล้านบาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 และจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน SJWD กล่าวอีกว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 คาดว่าจะอยู่ในระดับที่ดี โดยสถานการณ์เดือนมกราคมที่ผ่านมาเป็นไปตามเป้าหมาย ปัจจัยบวกมากจากธุรกิจให้บริการรับฝากและบริหารยานยนต์ที่จะมีปริมาณขนส่งรถเพิ่มขึ้น หลังจากจบงานมอเตอร์เอ็กซ์โปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา และการขยายการให้บริการโลจิสติกส์อย่างต่อเนื่องกับลูกค้ารายสำคัญ อาทิ บริษัท บี.กริม แคเรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท แคเรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด รวมถึงบริษัทพันธมิตรในกลุ่ม SCG

นอกจากนี้ บริษัท Phnom Penh SEZ Plc. ในกัมพูชาที่บริษัทเข้าร่วมลงทุน เตรียมรับรู้รายได้จากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นจะเปิดดำเนินการคลังแห่งใหม่อีก 3 แห่งภายในปีนี้ มีพื้นที่รวมกว่า 21,000 ตารางเมตร รวมถึงมีบริษัทที่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจ สนใจขยายการลงทุนคลังสินค้าห้องเย็นผ่านบริษัทร่วมทุน อีกทั้งบริษัทฯ มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการลดต้นทุนธุรกิจขนส่งสินค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสัดส่วนรายได้หลัก เพื่ออัตรากำไรที่ดียิ่งขึ้น

SJWD ขายหุ้นกู้ชุดใหม่วงเงินไม่เกิน 4,200 ล้านบาท อันดับเครดิต BBB+(tha) เปิดจองซื้อ 16-18 ก.ย.67 ดบ.คงที่ 4.04% ต่อปี

SJWD พร้อมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่วงเงินไม่เกิน 4,200 ล้านบาท เคาะอัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.04% ต่อปี เสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน ระหว่างวันที่ 16 – 18 กันยายน 2567 นี้ ชูอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ที่ BBB+(tha) จากฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) เพื่อนำไปใช้ขยายธุรกิจหรือเป็นเงินค่าใช้จ่ายในกิจการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ และชำระคืนเงินกู้หรือหนี้จากการออกตราสารหนี้ และ ชำระคืนหนี้อื่น พร้อมชูศักยภาพธุรกิจและผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกปีนี้แข็งแกร่ง

เมื่อวันที่ 2 ก.ย.67 ดร.เอกพงษ์ ตั้งศรีสงวน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ ครั้งที่ 1/2567 โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อายุ 3 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2570 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.04% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ ราคาเสนอขายหน่วยละ 1,000 บาท จำนวนไม่เกิน 4,200,000 หน่วย มูลค่าเสนอขายรวมไม่เกิน 4,200 ล้านบาท

โดยหุ้นกู้ดังกล่าว ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ BBB+(tha) จากบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2567 โดยจะเสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน (โดยให้บุคคลธรรมดาที่เป็นผู้ลงทุนสถาบัน จองซื้อในฐานะผู้ลงทุนทั่วไปหรือผู้ลงทุนรายใหญ่เท่านั้น) ระหว่างวันที่ 16 – 18 กันยายน 2567 โดยมีผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้สำหรับการเสนอขายต่อผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน 6 ราย ได้แก่ (1) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (2) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (3) ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) (4) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) (5) บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) และ (6) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด และธนาคาร เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ และมีธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้สำหรับการเสนอขายเฉพาะต่อผู้ลงทุนรายใหญ่และผู้ลงทุนสถาบันเท่านั้น

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน SJWD กล่าวอีกว่า “การเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อนำไปขยายธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้และชำระเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางการเงินให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาแผนงานขยายการลงทุนทั้งการลงทุนขยายธุรกิจในปัจจุบันและพิจารณาโอกาสขยายธุรกิจด้วยวิธี M&A เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง”

ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 12,130.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ (ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่) 678.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 88.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยจากรายได้ธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น ธุรกิจรับฝากและบริหารยานยนต์ และธุรกิจขนส่งสินค้าหลายรูปแบบ ที่เติบโตได้ดีในไตรมาส 2 ปี 2567 รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนเพิ่มขึ้น และมีกำไรพิเศษหลังหักค่าใช้จ่ายจากการเข้าซื้อหุ้นบริษัท Swift Haulage Berhad หรือ SWIFT ผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย ที่ราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมซึ่งประเมินโดยผู้ประเมินอิสระหลังหักค่าใช้จ่ายพิเศษในไตรมาส 2 ปี 2567

OR จับมือ SJWD ยกระดับการขนส่งแบบรักษ์โลกด้วย Green Logistics Solution ตอบโจทย์การขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิทั่วประเทศ

บมจ.เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ หรือ SJWD พัฒนา Green Logistics Solution แก้ไข Pain Points แก่ผู้ประกอบการธุรกิจอาหารและเบเกอรี่ ที่มีข้อจำกัดด้านการจัดส่งสินค้าไปยังทั่วประเทศ รุกให้บริการแก่ OR ภายใต้แบรนด์คาเฟ่ อเมซอน ที่มีความต้องการขยายพื้นที่จัดส่งเบเกอรี่จากโรงงานไปยังร้านคาเฟ่อเมซอนในภาคกลาง และภาคอื่น ๆ ทั่วประเทศ รวมมูลค่างานเฟสแรก 50 ล้านบาท นำ Cool Container ใช้จัดเก็บสินค้าเพื่อควบคุมอุณหภูมิและขนส่งด้วยรถทั่วไปซึ่งมีฟลีทใหญ่ที่สุดกระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 12,000 คัน แทนการขนส่งด้วยรถห้องเย็นจำนวนมาก ช่วยลดต้นทุนและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

นายบรรณ เกษมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า บริษัทฯ มองเห็น Pain Points ของลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารและเบเกอรี่ ที่มีปัญหาด้านการจัดส่งสินค้าดังกล่าวไปยังจุดจำหน่ายหรือร้านสาขาที่มีเป็นจำนวนมากและกระจายอยู่ในหลายจังหวัด ทุกภูมิภาค ทั่วประเทศ เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องระยะทางและการบริหารต้นทุนค่าขนส่งด้วยรถขนส่งห้องเย็นตลอดเส้นทางที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง

ทั้งนี้บริษัทฯ จึงพัฒนาการให้บริการในรูปแบบ “Green Logistics Solution” เพื่อตอบสนองลูกค้าผู้ประกอบการที่มีความต้องการขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ อาทิ อาหาร, เบเกอรี่ ฯลฯ ไปยังร้านค้าหรือจุดขายที่กระจายอยู่ในหลายจังหวัดทั่วประเทศ โดยไม่ต้องใช้รถขนส่งห้องเย็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถช่วยลูกค้าขยายพื้นที่จัดส่งทางไกลและคงความสดใหม่ของสินค้าจนถึงปลายทาง ลดต้นทุนค่าขนส่ง ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตลอดจนสามารถเพิ่มความถี่ในการจัดส่งสินค้าต่อสัปดาห์

นายอุดร คงคาเขตร  Senior Vice President-B2b2c Business บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ล่าสุด บริษัทฯ ได้ร่วมกับ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR พัฒนา Green Logistics Solution ที่เหมาะกับ OR สามารถตอบสนองความต้องการขยายพื้นที่จัดส่งสินค้าเบเกอรี่จากโรงงานผลิตในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไปสู่ร้านคาเฟ่อเมซอน ทั้งที่อยู่ภายในสถานีบริการน้ำมัน  ภายในช้อปปิ้งมอลล์ หรือแบบสแตนอโลน ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ จากเดิมที่สามารถจัดส่งได้เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ และภาคกลาง โดยมีมูลค่างานที่ให้บริการแก่ OR เฟสแรก รวมประมาณ 50 ล้านบาท

โดยบริษัทฯ ได้พัฒนาบริการจัดส่งสินค้าเบเกอรี่ให้กับ OR  โดยผสานกับโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ของ SCGJWD  ที่มีเครือข่ายการขนส่งกระจายอยู่ครบทุกภูมิภาคทั่วประเทศ  พร้อมฟลีทรถขนส่งหลากหลายรูปแบบ ทั้งการขนส่งแบบปกติและควบคุมอุณหภูมิ รวมกว่า 12,000 คัน  รวมถึงแพลตฟอร์มด้านโลจิสติกส์  Transportation Management System (TMS)  ที่จะช่วยในการบริหารเที่ยวรถขนส่ง เลือกเส้นทางการจัดส่งที่สั้นที่สุด วางแผนและลำดับจุดจอดในการจัดส่งสินค้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด จัดสรรและเลือกใช้รถขนส่งพร้อมคำนวณต้นทุนค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่า

นอกจากนั้น บริการดังกล่าวถือเป็นนวัตกรรมด้านกระบวนการ (Process Innovation) ด้านโลจิสติกส์ โดยบริษัทฯ ได้นำ Cool Container เข้ามาใช้บรรจุสินค้าเบเกอรี่และจัดส่งด้วยรถขนส่งสินค้าทั่วไปแทนรถขนส่งห้องเย็น โดย Cool Container สามารถควบคุมอุณหภูมิที่ระดับ 0-8 องศาเซลเซียส หรือ -15 องศาเซลเซียส  เป็นระยะเวลา 12 ชั่วโมง เพื่อรักษาคุณภาพของสินค้าให้สด ใหม่ ส่งมอบความอร่อยไปยังจุดหมายในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ ด้วยต้นทุนต่ำกว่าการใช้รถขนส่งห้องเย็น ปัจจุบันให้บริการขนส่งเบเกอรี่ไปยังร้านคาเฟ่อเมซอนรวมประมาณ 500 แห่งต่อวัน

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการวางแผนเพิ่มศักยภาพการให้บริการ Green Logistics Solution แก่ OR โดยการรับสินค้าจากโรงงานผลิตในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพิ่มความสะดวกสบายให้กับโรงงานและร้านค้า โดยนำเสนอ  one stop service ใช้ศูนย์ CDC (Central Distribution Center) ย่านวังน้อยทำการคัดแยก ก่อนขนส่งด้วยรถและกระจายไปยังร้านคาเฟ่อเมซอนในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศ

SJWD ส่งสัญญาณ Q2/67 โตแกร่งจากแนวโน้มธุรกิจหลัก-ร่วมลงทุนฟื้นตัว หลังผลงานโค้งแรกทำรายได้รวม 6,288 ล้านบาท

บมจ.เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ หรือ SJWD ส่งซิกผลงานไตรมาส 2/2567 จะเติบโตแข็งแกร่งจากไตรมาสก่อนหน้า จากแนวโน้มการเช่าพื้นที่คลังสินค้าห้องเย็นที่เพิ่มขึ้นและคาดการณ์ธุรกิจที่เข้าลงทุนจะมีส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้น รวมถึงเตรียมรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังจาก SCG Inter VN ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ในเวียดนามและโครงการปิโตรเคมีครบวงจร Long Son Petrochemicals หลังบอร์ดอนุมัติการลงทุนแล้ว คาดสร้างรายได้ปีละ 1,000 ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาสแรกทำรายได้รวม 6,288 ล้านบาท ใกล้เคียงไตรมาสก่อนหน้า และกำไรสุทธิ 164.1 ล้านบาท ย่อตัวจากไตรมาสก่อน เนื่องจากรายการพิเศษทางบัญชีและธุรกิจที่ลงทุนมีส่วนแบ่งกำไรไม่เป็นไปตามที่คาดไว้

ดร.เอกพงษ์ ตั้งศรีสงวน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2567 จะเติบโตกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 6,199.8 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 129.3 ล้านบาท จากธุรกิจหลักที่บริษัทดำเนินกิจการและธุรกิจที่เข้าลงทุนมีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากสถานการณ์ธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นในเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีลูกค้าผู้ประกอบการเช่าพื้นที่เพื่อเก็บไก่สดเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2567 หลังจากที่มีการเบิกสินค้าออกจากคลังห้องเย็นในช่วงต้นปีนี้ เนื่องจากราคาเนื้อไก่ปรับที่สูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และธุรกิจขนส่งสินค้าที่คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของปริมาณการขนส่งสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ถ่านหิน, ซีเมนต์, วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ จะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเต็มไตรมาสตั้งแต่ไตรมาส 2/2567 เป็นต้นไป หลังจากเข้าลงทุนในบริษัท Swift Haulage Berhad หรือ SWIFT (สวิฟท์) ผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรชั้นนำที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย และเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในบริษัท เอเชีย เน็ตเวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ ANI ผู้นำธุรกิจตัวแทนขายระวางสินค้าสายการบิน (GSA) ในภูมิภาคเอเชีย แล้วเสร็จช่วงปลายไตรมาส 1/2567 ส่วนการดำเนินงานของ Transimex ผู้ให้บริการโลจิสติกส์อย่างครบวงจรรายใหญ่ในเวียดนาม ซึ่งเป็นบริษัทที่ SJWD เข้าร่วมลงทุน คาดว่าจะมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าไตรมาสแรกของปีนี้จากภาพรวมเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัวตามลำดับ ส่วนธุรกิจให้บริการจัดเก็บและบริหารยานยนต์คาดว่าจะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในครึ่งปีหลังของปีนี้ จากการขยายบริการโลจิสติกส์สำหรับโรงงานของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนที่เตรียมเปิดดำเนินการโรงงานแห่งแรกในประเทศไทยภายในปีนี้

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2567 คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติเข้าซื้อหุ้น 100% ในบริษัทเอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล เวียดนาม จำกัด หรือ SCG International Vietnam Co.,Ltd. (SCG Inter VN) จากบริษัทเอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ใช้เงินลงทุนประมาณ 193 ล้านบาท คาดว่าบริษัทฯ จะทำธุรกรรมแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2567 และเริ่มรับรู้รายได้จาก SCG Inter VN ตั้งแต่ไตรมาส 3/2567 เป็นต้นไป โดย SCG Inter VN ดำเนินธุรกิจโลจิสติกส์มากว่า 10 ปี มีเครือข่ายผู้ให้บริการที่มีความเชี่ยวชาญการขนส่งทางรถ การขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ครอบคลุมทั่วประเทศเวียดนามและการขนส่งข้ามแดน ได้แก่ ไทย กัมพูชา สปป.ลาวและจีน อีกทั้งเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์แก่ Long Son Petrochemicals โครงการปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรกในเวียดนามของ บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) โดยคาดว่าในช่วงแรกบริษัทฯ จะรับรู้รายได้จาก SCG Inter VN ปีละ 1,000 ล้านบาท

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน SJWD กล่าวว่า ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2567 มีรายได้รวม 6,288.0 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้รวม 6,378.4 ล้านบาท โดยกลุ่มธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจร ได้แก่ ธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้า มีรายได้ 3,170.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.3% จากไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้รวม 2,955.4 ล้านบาท ส่วนธุรกิจให้บริการจัดเก็บและบริหารสินค้า เช่น คลังสินค้าทั่วไป, บริการจัดเก็บและบริหารยานยนต์ มีรายได้ชะลอตัวจากไตรมาสก่อนหน้า อย่างไรก็ตามคาดว่ารายได้จะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 2–3 ของปีนี้ จากความต้องการจัดเก็บสินค้าและใช้บริการจากผู้ผลิตยานยนต์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในไตรมาสนี้มีการบันทึกรายการพิเศษทางบัญชี ประกอบกับธุรกิจที่บริษัทฯ เข้าลงทุนบางแห่งมีผลการดำเนินงานและส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 164.1 ล้านบาท ชะลอตัวจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งหากไม่นับรวมผลจากรายการพิเศษดังกล่าว บริษัทฯ จะยังคงมีผลกำไรจากการดำเนินธุรกิจหลักในระดับที่ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า

 

SJWD ประกาศแผนขยายธุรกิจโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในภูมิภาคอาเซียนหลังรวมกิจการ  

บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD ประกาศแผนขยายธุรกิจโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในภูมิภาคอาเซียนหลังรวมกิจการ เดินหน้าแผนงาน 5 ส่วน ผลักดันเป้าหมายรายได้ปีนี้ 30,000 ล้านบาท ภายใต้งบลงทุนรวม 3,500-5,000 ล้านบาท และวางเป้าหมายรายได้ 3 ปีข้างหน้า (ปี 2567-2569) เติบโตเฉลี่ย 12% ต่อปี นำร่องผสานความร่วมมือลดต้นทุนจากการรวมคำสั่งซื้อสินค้าและบริการ มุ่งขยายธุรกิจเดิมและรุกบริการใหม่ เตรียมลุยดีลใหญ่เข้าถือหุ้น 100% ใน SCG Inter Vietnam เพื่อให้บริการแก่ธุรกิจเครือ SCG และลูกค้าทั่วไปในเวียดนาม รุกให้บริการขนส่งสินค้าข้ามแดนกัมพูชา-ไทยแบบ “ไฮบริด โมเดล” ทางรางและรถ วางแผนนำโมเดล “คลังสินค้าห้องเย็น” และ “โลจิสติกส์ยานยนต์” ในไทย บุกเวียดนาม อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ 

นายบรรณ เกษมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD 
ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า หลังจากบริษัท เอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด และบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) ได้รวมกิจการเป็นบริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD ตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้ผสานความร่วมมือตามแผนงาน 5 ส่วนที่วางไว้ ได้แก่ (1) การประหยัดต้นทุนและเพิ่มรายได้จากการ Cross-Sale และ Up-Sale จากฐานลูกค้าเดิม (2) สร้างมูลค่าเพิ่มแก่บริการเดิมที่แต่ละฝ่ายมีความเชี่ยวชาญ (3) เชื่อมต่อการให้บริการในภูมิภาคอาเซียนแบบไร้รอยต่อโดยนำโมเดลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทยไปขยายในอาเซียน (4) ให้บริการแบบ D2C (Direct to Consumer) ตามความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป และ (5) ขยายขอบเขตการให้บริการอย่างต่อเนื่องไปยังธุรกิจใหม่ โดยบริษัทวางเป้าหมายปี 2566 มีรายได้รวม 30,000 ล้านบาท ซึ่งจะแบ่งสัดส่วนเป็นรายได้จากในประเทศไทยประมาณ 90% และต่างประเทศอีก 10% พร้อมตั้งงบลงทุนรวม 3,500-5,000 ล้านบาท และคาดหวังปิดดีล M&A เพิ่มเติมได้ภายในปีนี้ ส่วนเป้าหมายระยะยาวในปี 2569 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า จะมียอดขายเติบโตเฉลี่ยปีละ 12% โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 30% 

ทั้งนี้ หลังจากรวมกิจการแล้วในช่วงที่ผ่านมาได้ผสานความร่วมมือกันเพื่อลดต้นทุนแล้วบางส่วน ได้แก่ การรวมคำสั่งซื้อสินค้าและบริการ เช่น การใช้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ, ซื้อประกันภัย เป็นต้น การรวมฟลีตรถและเพิ่มประสิทธิภาพบริหารจัดการ การปรับอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ โดยบริษัทจัดอันดับเครดิตซึ่งจะมีผลต่อการลดต้นทุนทางการเงิน นอกจากนี้ได้ใช้ประโยชน์จากฐานลูกค้าของทั้ง 2 ฝ่ายทำ Cross-Sale และ Up-Sale เพื่อเพิ่มรายได้ในอนาคต ส่วนการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่บริการเดิม การเชื่อมต่อบริการในภูมิภาคอาเซียนโดยนำโมเดลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในไทยไปต่อยอด การให้บริการแบบ D2C และการขยายขอบเขตการบริการไปยังธุรกิจใหม่นั้น จะดำเนินการภายใต้แผนยุทธศาสตร์ขยายธุรกิจในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน

สำหรับแผนยุทธศาสตร์ขยายธุรกิจในไทยและอาเซียน ล่าสุดเตรียมเข้าซื้อหุ้น 100% ในบริษัท เอสซีจี อินเตอร์ เวียดนาม จำกัด หรือ SCG Inter Vietnam จากบริษัท เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ตามแผนงานที่วางไว้ โดยปัจจุบัน SCG Inter Vietnam เป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในประเทศเวียดนาม มีลูกค้าหลักเป็นธุรกิจในเครือ SCG และให้บริการแก่ลูกค้าทั่วไป ล่าสุดเตรียมให้บริการด้านโลจิสติกส์และซัพพลายแก่สินค้าเคมีภัณฑ์ในโครงการ Long Son Petrochemicals (LSP) ซึ่งเป็นโครงการคอมเพล็กซ์ปิโตรเคมีขนาดใหญ่แห่งแรกในประเทศเวียดนาม ที่ลงทุนโดยเครือ SCG คาดว่าการเข้าซื้อหุ้นดังกล่าวจะแล้วเสร็จในวันที่ 1 มิถุนายน 2567 และบริษัทฯ คาดว่าในช่วงแรกจะรับรู้รายได้จาก SCG Inter Vietnam 800-1,000 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ได้วางแผนร่วมมือกับ Transimex Corporation ซึ่งเป็น
พาร์ทเนอร์ท้องถิ่นที่เป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ชั้นนำในประเทศเวียดนามเพื่อร่วมกันขยายธุรกิจในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง 

ส่วนการขยายขอบเขตการบริการไปยังธุรกิจใหม่ บริษัทฯ ได้ต่อความเชี่ยวชาญด้านการให้บริการขนส่งสินค้าข้ามแดนของทั้ง 2 ฝ่าย กับ Cambodia Railway พาร์ทเนอร์จากกัมพูชา เพื่อให้บริการขนส่งสินค้าข้ามแดนจากกัมพูชา-ไทย ในรูปแบบแบบ “ไฮบริด โมเดล” ครอบคลุมการขนส่งทางรางและทางรถ ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพการให้บริการและช่วยลดต้นทุนแก่ลูกค้า โดยบริษัทฯ ถือเป็นผู้ประกอบการรายแรกในไทยที่สามารถให้บริการขนส่งสินค้าข้ามแดนจากกัมพูชา-ไทย แบบไฮบริดและ “Door-to-Door Service” (จากผู้ส่งถึงผู้รับ) ตอกย้ำการเป็น First Mover ในการนำเสนอบริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน นอกจากนี้ได้วางแผนยกระดับธุรกิจโรงเรียนสอนขับรถ เป็น “สถาบันสอนขับรถ” เพื่อขยายบริการฝึกอบรมแก่บุคลากรภายในเครือ SCG ไปยังลูกค้าภายนอก

นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม SJWD กล่าวว่า บริษัทฯ วางแผนขยายธุรกิจเดิมและรุกให้บริการใหม่ ๆ ผ่านการร่วมทุนและทำ M&A โดยเตรียมนำโมเดลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทย ต่อยอดขยายการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน เพื่อเชื่อมต่อโครงข่ายการให้บริการด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในระดับภูมิภาคและสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

ทั้งนี้ล่าสุดบริษัทได้ขยายธุรกิจให้บริการขนส่งชิ้นส่วนยานยนต์ เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย  โดยมีแผนจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในประเทศ เพื่อดำเนินธุรกิจให้บริการขนส่งชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน ไปยังโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจรและจัดส่งแก่ดีลเลอร์รถทั่วประเทศ คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้บางส่วนในปีหน้าและรับรู้รายได้เต็มปีตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป พร้อมกันนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างวางแผนนำโมเดลธุรกิจ “คลังสินค้าห้องเย็น” และ “โลจิสติกส์ยานยนต์” ไปขยายการลงทุนในประเทศเวียดนาม อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรสูงสุด 3 อันดับแรกในอาเซียน รูปแบบจะเป็นการเข้าถือหุ้นหรือร่วมลงทุนกับพาร์ทเนอร์ในแต่ละประเทศ โดยมองว่าทั้ง 3 ประเทศดังกล่าวมีศักยภาพสูง เนื่องจากมีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี ซึ่งจะส่งผลให้มีความต้องการบริโภคอาหารเพิ่มขึ้นและยังเป็นฐานการผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ของภูมิภาคอีกด้วย

นอกจากนี้ ได้วางแผนขยายการให้บริการขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิไปยังกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆเช่น ยาและเวชภัณฑ์,สินค้าเพื่อสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งจะต่อยอดจากความเชี่ยวชาญในบริการคลังสินค้าห้องเย็นและรถขนส่งควบคุมอุณหภูมิสำหรับวัคซีน โดยได้วางงบลงทุน (เฉพาะธุรกิจขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิ) ตามแผน 5 ปี ประมาณ 450 ล้านบาท 

“หลังจากรวมกิจการเป็น เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ ทำให้บริษัทฯ มีความแข็งแกร่งและศักยภาพเพิ่มขึ้น โดยผสานความเชี่ยวชาญเพื่อรุกขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น และพร้อมรับมือกับการแข่งขันในอุตสาหกรรมและความท้าทายจากปัจจัยต่างๆ” นายชวนินทร์กล่าว