ด่วน! "กองทัพภาค2"พบ "ทุ่นระเบิด PMN-2" 8 ลูก ซุก "ช่องโดนเอาว์-ฐานปฏิบัติการชนะศึก จ.ศรีสะเกษ

ด่วน! "กองทัพภาค2"พบ "ทุ่นระเบิด PMN-2" 8 ลูก ซุก "ช่องโดนเอาว์-ฐานปฏิบัติการชนะศึก จ.ศรีสะเกษ

เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ได้รับข้อมูลจากกองทัพภาคที่ 2 ว่า วันนี้ เวลา 08.00 - 15.00 น. ทหารร้อย ร.132 โดย มว.ปล.ที่ 2 ฐานปฏิบัติการชนะศึก ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ทำการสำรวจพื้นที่บริเวณช่องโดนเอาว์ ฐานปฏิบัติการชนะศึก ชายแดนไทย-กัมพูชา จ.ศรีสะเกษ ตรวจพบ ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล แบบ PMN-2 จำนวน 8 ลูก ติดตั้งในลักษณะพร้อมทำงาน จึงได้ทำการเก็บกู้รื้อถอนและนำเก็บไปเพื่อรอการทำลายต่อไป

ทั้งนี้ การตรวจพบทุ่นระเบิดดังกล่าว เป็นเครื่องยืนยันว่า ฝ่ายกัมพูชายังคงมีความพยายามอย่างไม่ลดละ ในการใช้อาวุธต่อกำลังทหารฝ่ายไทย เป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างชัดเจน อีกทั้งเรื่องของทุนระเบิดควรเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ควรจะต้องเร่งดำเนินการ เพราะที่ผ่านมาฝ่ายไทยเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอยู่ฝ่ายเดียว ซึ่งจะทำให้สังคมเข้าใจได้ว่ากัมพูชาไม่ได้แสดงออกถึงความจริงใจในการแก้ปัญหา

พบ PMN-2 อีก 5 ลูก "ช่องจุ๊บตาโมก" ทบ.ชี้ กัมพูชาจงใจสร้างภัยคุกคาม

วันที่ 12 ส.ค.68  พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึง เหตุการณ์ที่ทหารพราน ร้อย.ทพ.2610 เหยียบกับระเบิดระหว่างปฏิบัติภารกิจลาดตระเวน ในพื้นที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ บาดเจ็บสูญเสียขาซ้าย 1 นาย ว่า  เหตุเกิดในจุดแนว วางรั้วลวดหนามทางด้านทิศตะวันตก ถ้าหันหน้าเข้าเขมร จะอยู่ฝั่งขวาของ ตัวปราสาท และ ห่างจากตัวปราสาท 1 กิโลเมตร เรียกว่า  ช่องจุ๊บตาโมก สันนิษฐานว่าเขมรลักลอบมาวางกับระเบิด ช่วงที่ถอนกำลังทหารออกไป 

ซึ่ง ทหารไปตรวจสอบแนววางลวดหนาม บริเวณนี้อยู่ในเขตแดนไทย เป็นเส้นทางที่ใช้ลาดตระเวนประจำอยู่ในฝั่งไทย อยู่แล้ว

จากการตรวจสอบจุดเกิดเหตุ พบว่า   ด้านซ้าย ห่างไปประมาณ 2 เมตร พบอีก 2 ทุ่น   และ ด้านขวา ห่างไปประมาณ 2 เมตร พบอีก 1 ทุ่น ส่วน ด้านหน้า ห่างประมาณ 5 เมตร พบอีก 1 ทุ่น ซึ่งทั้งหมดเป็น ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล แบบ  PMN-2

เพจ ทบ.ทันกระแส  ระบุ เมื่อทุ่นระเบิด คืออาวุธ แบบรอเวลา  สรุปใครใช้อาวุธก่อน?  กัมพูชา จงใจ!! สร้าง ภัยคุกคาม ต่อชีวิต และความปลอดภัย

แค่ 7 วันขยี้จบ!! ทัพไทยพร้อมดับซ่ากัมพูชา

กลางเดือนกรกฎาคม 2568 เหตุการณ์ทหารไทย 3 นายเหยียบกับระเบิด บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี กลายเป็นชนวนร้อนที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาเข้าสู่โหมดตึงเครียดสูงสุด เมื่อผลการตรวจสอบจากฝ่ายไทยยืนยันว่า ระเบิด PMN-2 ไม่ใช่ระเบิดเก่าที่ตกค้างจากการสู้รบในอดีต และมีหลักฐานชัดว่าเป็นกับระเบิดที่เพิ่งถูกวางใหม่

สิ่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการละเมิดอธิปไตยไทย แต่ยังขัดต่ออนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Treaty) ที่ห้ามการใช้และสะสมทุ่นระเบิดสังหารบุคคล การปฏิเสธแบบแข็งกร้าวของกัมพูชาและการขัดขวางทีมเก็บกู้ทุ่นระเบิดไทย ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า นี่คือการยั่วยุโดยตรง

คำถามคือ… ถ้าสถานการณ์บานปลายจนเกิดการปะทะ หรือสงครามเต็มรูปแบบ ไทยกับกัมพูชา ใครเหนือกว่า? และ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร?

เจตนาชัด “ลากไทยสู่การปะทะ”

เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่สะท้อน เกมการเมืองและยุทธวิธีจิตวิทยาของกัมพูชา เห็นได้จาก

-หลักฐานทางเทคนิค ระเบิด PMN-2 เป็นชนิดที่กองทัพกัมพูชาใช้ และไม่ใช่มาตรฐานของไทยที่ย้ำชัดว่าทำตามพันธกรณีตามอนุสัญญาออตตาวา

-ขัดขวางการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เมื่อทีมเก็บกู้เข้าปฏิบัติงานใกล้เส้นชายแดน กลับถูกกัมพูชากดดันและขัดขวาง ทั้งที่เป็นพื้นที่ของไทย

-ข้อกล่าวหาเบี่ยงเบน กัมพูชาออกมาอ้างว่า “ทหารไทยเดินนอกเส้นทาง และอาจเป็นระเบิดที่ไทยวางเอง” ข้อกล่าวหานี้ถูกมองว่าเป็นความพยายามปั่นกระแสให้ไทยตกเป็นผู้ร้ายในสายตาประชาคมโลก

ทั้งหมดนี้คือสัญญาณชัดว่า กัมพูชาต้องการสร้างความตึงเครียด และผลักไทยให้ตอบโต้ก่อน

ศักยภาพกองทัพไทยเหนือกัมพูชาหลายขุม

การเปรียบเทียบศักยภาพทางทหารอย่างตรงไปตรงมาชี้ให้เห็นว่า ไทยเหนือกว่าชัดเจนทั้งทางบกและทางอากาศ

สรุปสั้นๆ: ไทยเหนือกว่าแทบทุกมิติ โดยเฉพาะ อำนาจการคุมฟ้า ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญหากสงครามปะทุ

 

ถ้าสงครามปะทุ – 2 ฉากจบที่เป็นไปได้

ฉากที่ 1: สงครามชายแดนจำกัดพื้นที่ (Limited Border Conflict) กัมพูชาเปิดฉากยั่วยุ ปะทะเฉพาะจุด เช่น บริเวณช่องบกหรือปราสาทพระวิหาร ไทยใช้ยุทธวิธีป้องกัน-ผลักดัน ใช้กำลังเฉพาะพื้นที่ ไม่ขยายวง

ผลลัพธ์: ไทยควบคุมสถานการณ์ได้ภายใน 3-7 วัน กัมพูชาถูกผลักกลับไปยังเขตแดน

ฉากที่ 2: สงครามเต็มรูปแบบ (Full-Scale War) หากกัมพูชาลากยาว หรือขยายวงปะทะทั่วแนวชายแดน

48 ชั่วโมงแรก: ไทยคุมฟ้าทั้งหมด ใช้ Gripen และ F-16 ทำลายฐานสนับสนุนชายแดน

7-14 วันต่อมา: ไทยมีศักยภาพบุกลึกเข้ากัมพูชาได้ แต่ไทยอาจเลือกหยุดที่การผลักดันเพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดดันนานาชาติ

สรุปคือหากเกิดการรบขึ้นเมื่อไหร่ ไทยชนะเด็ดขาดทางทหาร แต่ต้องระวังผลกระทบทางการทูตและเศรษฐกิจ หากใช้กำลังรุนแรงเกินจำเป็น

ใครได้ประโยชน์จากความตึงเครียด?

เหตุการณ์นี้ทำให้หลายฝ่ายมองว่า กัมพูชาอาจมีวาระซ่อนเร้น เช่น เบี่ยงเบนความสนใจภายในประเทศ หากมีปัญหาการเมืองหรือเศรษฐกิจ

กดดันไทยบนโต๊ะเจรจา ทั้งด้านเขตแดน เศรษฐกิจ และผลประโยชน์พลังงาน

สร้างภาพว่าไทยรุกราน หากไทยตอบโต้ก่อน จะทำให้กัมพูชาสร้างความชอบธรรมต่อประชาคมโลก

ฉะนั้น แม้จะเหนือกว่าทางทหาร แต่ไทยควรเดินเกมอย่างระมัดระวัง โดยการ

-รวบรวมหลักฐานทางเทคนิค ยื่นต่อเวทีนานาชาติ เช่น สหประชาชาติ เพื่อสร้างความชอบธรรม

-ยกระดับมาตรการทางการทูต หากจำเป็นอาจเรียกทูตกลับประเทศ

-เพิ่มกำลังชายแดน แต่หลีกเลี่ยงการตอบโต้ก่อน เพื่อไม่ให้ตกเป็น “ผู้ร้าย” ในสายตาประชาคมโลก

- เตรียมพร้อมเต็มที่ หากสถานการณ์ลุกลาม แแต่ต้องเน้นยุทธวิธีป้องกันก่อนเสมอ        

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียง “ทหารเหยียบกับระเบิด” แต่เป็นเกมยั่วยุที่อันตราย หากไทยตอบโต้เกินขอบเขตอาจลากเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบ

แม้ไทยจะเหนือกว่าทางทหารอย่างชัดเจน  แต่การชนะสงครามไม่สำคัญเท่ากับการรักษาความชอบธรรมในสายตานานาชาติ เพราะสงครามที่ชนะในสนามรบ แต่แพ้บนโต๊ะการเมือง อาจทำให้ไทยเสียหายมากกว่าที่คิด

                                                         

#ไทยกัมพูชาตึงเครียด #ทหารไทยเหยียบระเบิด #สงครามชายแดน #ศักยภาพกองทัพไทย #วิเคราะห์การเมือง #PMN2 #OttawaTreaty