PLANET ยกระดับศูนย์ Data Center ใน EEC ด้วยมาตรฐาน ISO/IEC 27001 ขยายสู่ Hyperscale รองรับ AI และพลังงานสะอาด

บริษัท แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANET ยกระดับศูนย์ Data Center ของบริษัท เอสทีพี แพลนเน็ต ดีซี จำกัด (STP PLANET DC) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ด้วยมาตรฐาน ISO/IEC 27001 เพื่อเสริมศักยภาพและความปลอดภัยในการให้บริการ ตอกย้ำศักยภาพความเป็นศูนย์ Data Center ระดับ Tier 3 ชั้นนำในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยให้บริการ Colocation และ Cloud แก่ลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยอุปกรณ์คุณภาพสูงจากแบรนด์ผู้ผลิตระดับโลก มั่นใจได้ว่าข้อมูลดิจิทัลของลูกค้าจะได้รับการดูแลภายใต้มาตรฐานสากลอย่างเข้มงวด พร้อมแผนการขยายสู่ Hyperscale Data Center รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้วยทำเลที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์และโครงสร้างพื้นฐานที่ครบครัน มุ่งสู่การเป็น Green AI Data Center Ecosystem โดยเน้นการใช้พลังงานสะอาดและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

นายประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา บริษัท เอสทีพี แพลนเน็ต ดีซี จำกัด ได้รับใบรับรองมาตรฐานระบบบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ ISO/IEC 27001 อย่างเป็นทางการจาก British Standards Institution (BSI) ซึ่งเป็นองค์กรรับรองมาตรฐานระดับสากล

นายประพัฒน์กล่าวเพิ่มเติมว่า การได้รับการรับรองมาตรฐานดังกล่าวจะช่วยยกระดับการให้บริการในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ โดยมีจุดเด่น ได้แก่
1.ยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยของข้อมูลทั้งภายในองค์กรและในการให้บริการแก่ลูกค้า
2.ลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลหรือการโจมตีทางไซเบอร์
3.สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าและพันธมิตร
4.สนับสนุนการปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดด้านข้อมูลสารสนเทศ เช่น พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) และ พ.ร.บ.ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และ
5.เพิ่มความได้เปรียบทางการแข่งขันในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์และบริการคลาวด์ ซึ่งสามารถมั่นใจได้ว่าข้อมูลที่จัดเก็บไว้กับ STP PLANET DC จะได้รับการดูแลอย่างปลอดภัยสูงสุด

STP PLANET DC ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดระยอง ภายในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ให้บริการ Colocation และ Cloud รองรับความต้องการขององค์กรและภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการโซลูชันดิจิทัลที่ปลอดภัย เสถียร และขยายได้ ปัจจุบันเริ่มมีลูกค้าจากทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทด้านเทคโนโลยี วิจัย และ AI เข้ามาใช้บริการแล้ว

STP PLANET DC ได้รับการรับรองมาตรฐาน Tier 3 จาก Uptime Institute ปัจจุบันมีขนาด 1.8 เมกะวัตต์ (MW) และอยู่ระหว่างการขยายกำลังการให้บริการเป็น 5 – 10 เมกะวัตต์ (MW) เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มธุรกิจที่ต้องการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรม AI และยังมีเป้าหมายในการพัฒนาให้เป็น Green AI Data Center Ecosystem ที่ใช้พลังงานสะอาด

นายประพัฒน์กล่าวเพิ่มเติมว่า จุดแข็งของ STP PLANET DC คือทำเลที่ตั้งมีความปลอดภัยจากน้ำท่วม และตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัยจากรอยเลื่อนแผ่นดินไหวตามข้อมูลจากกรมทรัพยากรธรณี อีกทั้งยังอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ อย่างเหมาะสม ทำให้สามารถรองรับการวางระบบสำรองข้อมูลขององค์กรต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมด้วยโครงสร้างอาคารที่แข็งแรง ปลอดภัย และสามารถปกป้องข้อมูลจากภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

นอกจากนี้ โครงสร้างอาคารที่ได้มาตรฐาน ระบบไฟฟ้าสำรอง อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และระบบรักษาความปลอดภัยหลายชั้น ช่วยให้สามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องแม้ในภาวะฉุกเฉิน ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่ม Cloud และผู้ให้บริการ AI GPU Server ที่ต้องการประมวลผลระดับสูง รองรับการใช้ไฟฟ้าได้ตั้งแต่ 6 – 40 กิโลวัตต์ (kW) ต่อ rack

“บริษัทฯ ยังเน้นการใช้อุปกรณ์คุณภาพสูงจากแบรนด์ผู้ผลิตระดับโลก ทั้งระบบไฟฟ้าสำรอง ระบบควบคุมอุณหภูมิที่แม่นยำ ระบบเครือข่ายความเร็วสูง และโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัย ซึ่งเมื่อรวมกับการได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 27001 แล้วจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจ Data Center ของบริษัทฯ เติบโตอย่างมั่นคง” นายประพัฒน์กล่าว

ด้านนายกฤตภาส วิริยจันทร์ตา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสทีพี แพลนเน็ต ดีซี จำกัด กล่าวว่า STP PLANET DC ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาดใหญ่ ใกล้แหล่งคมนาคมสำคัญ เช่น ท่าเรือแหลมฉบัง สนามบินอู่ตะเภา และสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับภูมิภาคและต่างประเทศได้อย่างสะดวก และยังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานและสิทธิประโยชน์การลงทุนในพื้นที่ EEC เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 13 ปี และการอนุญาตให้ชาวต่างชาติถือครองที่ดินได้

STP PLANET DC มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาและเสริมสร้างความมั่นคงด้านดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง เพื่อก้าวสู่การเป็นศูนย์ข้อมูลระดับภูมิภาคที่มีมาตรฐานสูงสุด สำหรับองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และกลุ่มธุรกิจที่ต้องการโซลูชันดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด
    
 

  PLANET ผนึก PSTC Academy ยกระดับทักษะ Data Center ในไทย รองรับการเติบโตอุตสาหกรรมสมัยใหม่ S-curve industries

PLANET ผนึก PSTC Academy สถาบันอบรมเสริมความรู้ด้านดาต้าเซ็นเตอร์ ยกระดับทักษะดิจิทัลไทย ร่วมพัฒนาหลักสูตรและศูนย์ฝึกอบรม Data Center, Cloud, AI, IoT และ Cybersecurity แบบครบวงจร ตอบโจทย์ยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรม ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ (S-curve industries)

นายประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANET ผู้ให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลแบบครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ  PSTC Academy สถาบันอบรมเสริมความรู้ด้านดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อร่วมกันแลกเปลี่ยนความรู้และทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี Data Center, Cloud, AI, IoT และ Cybersecurity รวมถึงศูนย์ฝึกอบรม โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาวิชาชีพและส่งเสริมนวัตกรรมให้กับทั้งนักศึกษาและภาคธุรกิจต่างๆ

"ความร่วมมือในครั้งนี้ไม่เพียงตอกย้ำบทบาทของบริษัทฯ ในฐานะผู้นำด้านให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลแบบครบวงจร แต่ยังสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ที่ต้องการเห็นประเทศไทยมีบุคลากรที่พร้อมแข่งขันในตลาดดิจิทัลระดับสากล ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของวงการเทคโนโลยีไทย ในการเพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน” นายประพัฒน์กล่าวสำหรับ ภายใต้กรอบความร่วมมือนี้ PLANET และ PSTC Academy จะดำเนินการประชุมเชิงกลยุทธ์ร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อผลักดันโครงการสำคัญที่ครอบคลุมถึง การวิจัยพัฒนาหลักสูตรและศูนย์ฝึกอบรมที่ทันสมัย ที่เอื้อต่อความก้าวหน้าของเทคโนโลยี Data Center, Cloud, AI,  IoT และ Cybersecurity เพื่อเป็นการสร้างรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัล ผ่านการส่งต่อความรู้ ประสบการณ์ และโอกาสทางอาชีพให้กับคนรุ่นใหม่และผู้ประกอบการไทย เป็นการเตรียมพร้อมก้าวสู่โลกอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะในยุคของการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Transformation) และรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เน้นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ (S-curve industries) 

นายปรเมศวร์ เรืองหนู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PSTC Academy สถาบันอบรมเสริมความรู้ด้านดาต้าเซ็นเตอร์ กล่าวว่า AI Data Center มีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอีก 5 ปีข้างหน้า และไทยเริ่มกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของผู้ลงทุนด้านศูนย์ข้อมูล AI เนื่องจากมีศักยภาพด้านพลังงาน ซึ่ง PSTC Academy เป็นอีกหนึ่งภาคส่วนที่ส่งเสริมทักษะและอัปสกิลให้กับบุคลากรในสายงานนี้ให้มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในระดับภูมิภาคและในระดับสากล 

โดยความร่วมมือกับ PLANET ครั้งนี้ จะมีส่วนเสริมให้ PSTC สามารถใช้ศักยภาพด้านการฝึกอบรมของ PSTC Academy ได้อย่างเต็มที่ พร้อมเปิดโอกาสให้นักศึกษา บุคลากรองค์กร และลูกค้าของ PLANET ได้เข้าถึงหลักสูตรระดับมืออาชีพที่รองรับ Data Center, Cloud, IoT, Cybersecurity และ AI ได้ครบวงจร

“PSTC Academy เพิ่งปรับตัวเป็น PSTC Group of Companies และเติบโตอย่างก้าวกระโดดในฐานะผู้นำด้านศูนย์ฝึกอบรม Data Center ระดับภูมิภาคเอเชียและมีเป้าหมายส่งเสริมให้คนไทยและองค์กรต่างๆ เร่ง Upskill/Reskill ทักษะ AI ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี”
                                   

ผู้ถือหุ้น PLANET ไฟเขียวเพิ่มทุน–แจกวอร์แรนต์ 3 ผู้ถือหุ้นเดิม

ผู้ถือหุ้น PLANET ไฟเขียวเพิ่มทุน – แจกวอร์แรนต์ 3 ผู้ถือหุ้นเดิม

ดร.รัตติกร วรากูลศิริพันธุ์ ประธานกรรมการ คุณประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยคณะกรรมการ บริษัท แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANET  ถ่ายภาพร่วมกันในงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 โดยที่ประชุมมีมติอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 420,187,264 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 823,504,530 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ 1,243,691,794 บาท โดยออกหุ้นเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 420,187,264 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท แบ่งจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (Right Offering) จำนวนไม่เกิน 210,093,632 หุ้น สัดส่วน 3 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ราคาหุ้นละ 2 บาท และรองรับการใช้สิทธิใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญสามัญบริษัท ครั้งที่ 3 (PLANET-W3) ที่จะออกและจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมที่จองซื้อและได้รับจัดสรรหันสามัญเพิ่มทุนที่ออกและเสนอขายให้แก่ผู้หุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Ofering) จำนวนไม่เกิน 210,093,632 หุ้น วัตถุประสงค์เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน รองรับการลงทุนและขยายธุรกิจของบริษัทในอนาคต                                                                                                                          

PLANET ผนึก Phosphorus Cybersecurity สัมมนาเสริมเกราะป้องกันภัยด้าน xIoT Security

 PLANET ผนึก Phosphorus Cybersecurity จัดสัมมนาเสริมเกราะป้องกันภัยด้าน xIoT Security

คุณวีรศักดิ์ อาทรชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บมจ.แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย หรือ PLANET คุณวรรณภา วีระเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บจก. แพลนเน็ตคลาวด์ และคุณจิระชา รัฐเลิศกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บจก. แพลนเน็ต ไซเบอร์ พร้อมด้วยผู้บริหารและทีมงานจาก Phosphorus Cybersecurity ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการความปลอดภัยสำหรับอุปกรณ์ xIoT จากประเทศสหรัฐอเมริกา ถ่ายภาพร่วมกันในงานสัมมนา "Securing the internet of forgotten systems เจาะลึกด้าน xIoT Security" เพื่อให้ความรู้แก่ส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ให้ตระหนักถึงวิธีป้องกันอุปกรณ์ xIoT ที่ครอบคลุมถึงอุปกรณ์ IoT, OT, IoMT และ IIoT ในการลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ ที่อาจส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อองค์กร พร้อมนำเสนอแพลตฟอร์ม xIoT Security Management ที่ช่วยองค์กร ค้นหา, ตรวจสอบ, และป้องกันได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย ณ โรงแรม Pullman Bangkok King Power 

                                         

PLANET ปักธงปี 68 ชู 6 กลยุทธ์ เจาะตลาดสินค้า New S Curve มุ่ง Digital go Green เต็มตัว ตั้งเป้าผลงานพลิกกำไร

PLANET ปักธงปี 68 มุ่งเน้น นำเทคโนโลยีขั้นสูง และเทคโนโลยีดิจิทัลใช้เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (Digital Go Green) เต็มตัว ชู 6 กลยุทธ์ รักษาฐานตลาดเดิมและเจาะตลาด New S Curve ประกอบด้วย กลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูง (Advanced Technology) กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีสำหรับการป้องกันประเทศ (Defense Technology) กลุ่มธุรกิจระบบป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ในระบบปฏิบัติการ (OT Cybersecurity) กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน (ESG)  กลุ่มธุรกิจศูนย์ข้อมูลอัจฉริยะสีเขียว (Green AI Data Center) และต่อยอดด้วยกลุ่มธุรกิจบริการ AI และ ข้อมูลขนาดใหญ่ (AI & Big Data Services) บิ๊กบอส "ประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์" ตั้งเป้าปี 68 ผลงานพลิกเป็นกำไร

เมื่อวันที่ 18 มี.ค.68 นายประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANET ผู้ให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลแบบครบวงจร เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมา สภาพตลาดได้เปลี่ยนแปลงไป ทั้งทางด้านเทคโนโลยี  ความต้องการของลูกค้าเดิมขยายช้า และการแข่งขันในธุรกิจเดิมที่สูงมาก ทำให้มีผลต่อการเจริญเติบโตของบริษัทฯ ดังนั้น  เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืนและผลกำไรเพิ่มขึ้น ในปี 2568 บริษัทฯ จึงได้วางแผนการดำเนินธุรกิจ 2 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 รักษาฐานลูกค้าและเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมเดิม ส่วนที่ 2 มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูงสำหรับตลาดเฉพาะ (New S Curve) รวมทั้งนำเทคโนโลยีดิจิทัลใช้เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (Digital Go Green) อย่างเต็มตัว

ทั้งนี้ได้กำหนดกลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจองค์กรภายใต้ 6 กลยุทธ์ ประกอบด้วย 1.กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีขั้นสูง (Advanced Technology) ซึ่งบริษัทเริ่มดำเนินธุรกิจนี้มาตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา หลังได้เป็นตัวแทนจำหน่ายบริษัท SAAB Technologies จากประเทศสวีเดน ซึ่งมีความชำนาญทางด้านเทคโนโลยีขั้นสูงทางด้านระบบควบคุมการเดินอากาศที่ใช้กิจการควบคุมการเดินอากาศและสนามบินต่างๆทั่วโลก โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการจำหน่ายระบบติดตามอากาศยานภาคพื้นดินแบบ Multilateration (MLAT) ของ SAAB Technologies ให้แก่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (Aerothai) ตามนโยบายของรัฐบาลเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้เติบโต จึงมีแผนในการปรับปรุงระบบการเดินอากาศของสนามบินทุกแห่ง ให้มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยตามมาตราการบินสากล เพื่อให้นักท่องเที่ยวมีความมั่นใจในการเดินทางมาประเทศไทยเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายของรัฐบาล 

โโยกลุ่มธุรกิจในส่วนนี้มีแนวโน้มเติบโตทุกปีตามนโยบายของรัฐบาลที่จะปรับปรุงระบบควบคุมการบินของทุกสนามบิน ด้วยภาวะการแข่งขันในตลาดซึ่งอยู่ในระดับต่ำ จึงมีแนวโน้มกำไรขั้นต้นสูง และบริษัทฯ ยังมีความได้เปรียบจากการเป็นพันธมิตรกับ SAAB Technologies ซึ่งเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก จึงเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างรายได้ เพื่อผลักดันให้ธุรกิจกลับมาทำกำไรอย่างมั่นคง

2.กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีสำหรับการป้องกันประเทศ (Defense Technology) ในปี 2568 บริษัทฯเล็งเห็นโอกาสในการเพิ่มรายได้ จากนโยบายรัฐบาล ที่ให้ความสำคัญกับการเสริมศักยภาพด้านความมั่นคงของประเทศ และจำนวนคู่แข่งในตลาดไทยที่ยังมีไม่มาก จึงวางแผนขยายธุรกิจ และผลิตภัณฑ์สินค้าเทคโนโลยีใหม่ๆสำหรับตลาดนี้ อาทิ ระบบโครงข่ายสื่อสารแบบเคลื่อนที่เป็นกลุ่ม ,ระบบวิทยุสื่อสารทางการทหาร และ Drone & Anti Drone, Jammers ทั้งนี้ ในฐานะที่บริษัทฯ เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสื่อสารทางการทหาร และได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีป้องกันประเทศ อาทิ DTC, L3Harris, Skydio, IXI, Flyfocus และIAI จึงมองเห็นโอกาสในการขยายตลาด และเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการเติบโตของบริษัทฯ

3.กลุ่มธุรกิจระบบป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ในระบบการปฏิบัติการ (OT Cybersecurity) ปัจจุบัน เหล่าแฮกเกอร์เริ่มขยายเป้าหมายโจมตีไซเบอร์จากทางด้าน IT ระบบคอมพิวเตอร์ มาเน้นโจมตีระบบปฏิบัติการภายในหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานของประเทศและภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่สามารถสร้างเสียหายได้มากกว่า รวมทั้งมีผลกระทบกับความมั่นคงของประเทศอย่างรุนแรง ซึ่งระบบการปฏิบัติการ OT Cybersecurity ของบริษัทฯเป็นเทคโนโลยีใหม่และมีโอกาสสร้างรายได้ที่มีมูลค่าสูง

“ในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ Siemens ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกทางด้านระบบปฎิบัติการของหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานของประเทศและภาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มีประสบการณ์ในการป้องกันการโจมตีจากภัยคุกคามไซเบอร์ให้หน่วยงานชั้นนำทั่วโลก ในปีที่ผ่านมา จึงได้นำเสนอโซลูชัน OT Cybersecurity  และจัดสัมมนาให้ความรู้แก่หน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มเป้าหมาย คาดว่าจะเห็นผลงานภายในปี 2568 นี้“ นายประพัฒน์กล่าว

4.กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน (ESG) ในปี 2568 บริษัทฯมีแผนให้บริการโซลูชันบริหารจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลการปล่อยคาร์บอนขององค์กร (Carbon Management Platform) พร้อมบันทึกการเกิดลดคาร์บอน (Carbon Footprints)และการลดคาร์บอน (Carbon Credit)  พร้อมเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT กับระบบไฟฟ้า ในการวัดค่าการใช้งานเพื่อใช้การคำณวนแบบ Real Time  รวมทั้งการรับรองผล กับเทคโนโลยี่ทางด้านพลังงานทดแทน อาทิ Solar, รถไฟฟ้า EV, EV Charger, BESS, Wind Turbines, Water Turbines ให้แก่ทุกอุตสาหกรรมโดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมภาคการส่งออก ที่ต้องการปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม และต้องปฏิบัติตามมาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ซึ่งเป็นกฎระเบียบสำคัญของสหภาพยุโรปในการควบคุมการปล่อยคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทาน ในปีปี 2569 นี้ ซึ่งมั่นใจว่ากลุ่มธุรกิจของบริษัทฯในส่วนนี้จะสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตในปีนี้

5.กลุ่มธุรกิจศูนย์ข้อมูลอัจฉริยะสีเขียว (Green AI Data Center) ในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ มุ่งเน้นให้บริการรับฝากวางคอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Co-Location Service) สำหรับองค์กรและธุรกิจที่ต้องการพื้นที่วางเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์ไอที และจากความร่วมมือกับ NVIDIA ทำให้ปัจจุบันเริ่มมีลูกค้าจากต่างประเทศ เช่าใช้บริการพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวิจัยและพัฒนานวัตกรรม และประสงค์ใช้บริการ GPU Server NVIDIA ซึ่งเป็นจุดเด่น ที่บริษัทฯ มีพร้อมให้บริการ นอกเหนือจาก ความพร้อมด้าน ระบบสาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐาน ทำให้มั่นใจว่า ภายในสิ้นปี 2568 มีลูกค้าเข้าใช้บริการเต็มพื้นที่ 124 เซิร์ฟเวอร์ หรือเต็มกำลังผลิตไฟฟ้ารองรับลูกค้า1.3 เมกะวัตต์ ตามเป้าหมาย

"บริษัทฯ ยังมีแผนขยายพื้นที่เพิ่มเติมเพื่อรองรับ Hyperscale Data Center เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด AI และฐานข้อมูลที่ขยายตัวอย่างก้าวกระโดด ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพของบริษัทฯ ในการเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI Data Center ที่ครบวงจรและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม" นายประพัฒน์กล่าว

6.กลุ่มธุรกิจบริการ AI และ ข้อมูลขนาดใหญ่ (AI & Big Data Services) ต่อยอดจากบริการศูนย์ข้อมูลอัจฉริยะสีเขียว ในปี 2568 บริษัทฯมีแผนขยายบริการ AI และ Big Data เพื่อตอบสนองความต้องการขององค์กรภาครัฐ โดยเฉพาะ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ซึ่งมีการเก็บข้อมูลจำนวนมาก แต่ยังขาดระบบวิเคราะห์และนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อช่วยให้หน่วยงานภาครัฐสามารถ จัดเก็บ วิเคราะห์ และนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ อย่างเป็นระบบ โดยเน้นการสนับสนุนด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) และการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

สำหรับกลุ่มธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม (Telecommunications Technology) ที่บริษัทดำเนินงานมากว่า 30 ปี  ปัจจุบันมีการจำหน่ายสินค้าและบริการ ให้กับหน่วยงานราชการ หน่วยงานทหารและความมั่นคง บริษัทเอกชนชั้นนำ โรงงานอุตสาหกรรมประกอบด้วย ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียม (Satcom) ระบบโครงข่ายพื้นฐานโทรคมนาคม (Network Infrastructure) ระบบรวมศูนย์การสื่อสาร ภาพ เสียง ข้อมูล (Unified Communications System) ระบบถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์แบบดิจิทัล (Digital Broadcasting) และ รถสื่อสารผ่านดาวเทียม (Satellite Mobile Vehicle) ในส่วนนี้เราจะเน้นรักษาฐานลูกค้าเดิม และหาลูกค้าใหม่ที่มีความต้องการและมีกำลังซื้อมาชดเชยยอดขายที่ลดลง พร้อมทั้งการปรับตัวทางด้านการหาสินค้าที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆให้ตรงกับความต้องการของตลาด และหากสินค้าใดไม่สามารถทำผลกำไรได้ บริษัทจะพิจารณาลดบทบาทลงไป 

“ด้วยกลยุทธ์ทั้งหมดในข้างต้น มั่นใจว่าจะทำให้ผลการดำเนินของบริษัทฯ สามารถพลิกกลับมาเป็นมีกำไรและกลับไปอยู่ในจุดที่แข็งแกร่ง สามารถสร้างรายได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน พร้อมขยายศักยภาพไปสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคตต่อไป” นายประพัฒน์กล่าว                                                                
                                                
 

"PLANET" โชว์ผลงานปี 67 เริ่มสดใส งานเทคฯขั้นสูง ดันรายได้พุ่ง 54.48%

PLANET โชว์ผลงานปี 67 เริ่มสดใส หลังคุมต้นทุนเยี่ยม งานโครงการเทคฯขั้นสูง, ไซเบอร์ซีเคียวริตี้, รถEV ดันรายได้พุ่ง 54.48% ส่งผลทั้งปีขาดทุนลดลง เหตุธุรกิจ Data Center ยอดขายยังล่าช้ากว่าแผน บิ๊กบอส "ประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์" แย้มลูกค้า Data Center เริ่มเข้า จ่อสะท้อนรายได้ในปี 2568 นี้ เป็นต้นไป พร้อมลั่นมีแผนขยายธุรกิจนี้เพิ่มเติม

เมื่อวันที่ 3 มี.ค.68 นายประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย (PLANET) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานปี 2567 รายได้จากการดำเนินงานเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจ ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับตัวสูงขึ้นของรายได้งานโครงการเทคโนโลยีชั้นสูงสำหรับการควบคุมอากาศยาน ณ สนามบินสุวรรณภูมิ งานระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ แก่ธนาคารพาณิชย์ และผู้ให้บริการด้านระบบชำระเงินรายใหญ่ รวมไปถึงธุรกิจรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ที่ขยายตัวสูงขึ้นจากปี 2566 ถึงหนึ่งเท่าตัว ส่งผลให้ในปี 2567 บริษัทฯมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการจำนวน 655.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 231.25 ล้านบาท หรือ 54.48% เมื่อเทียบกับปี 2566 ซึ่งมีรายได้จากการดำเนินงาน 424.44 ล้านบาท

โดยสาเหตุหลักเกิดจากการปรับปรุงการบันทึกรายได้จากการขายและให้บริการที่รับรู้สูงไปในงบการเงินรวมสำหรับปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ซึ่งเป็นผลมาจากการระบุภาระที่กิจการต้องปฏิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสัญญาและการแยกองค์ประกอบการจัดหาเงินที่มีนัยสำคัญออกจากมูลค่างานตามสัญญาการปรับปรุงการรายการรับรู้รายได้งานโครงการ จำนวน 115.67 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจำนวน 115.58 ล้านบาท เป็นการเติบโตจากธุรกิจเทคโนโลยีชั้นสูงที่ทำให้ ในปี 2567 บริษัทฯมีรายได้ เติบโตอย่างก้าวกระโดด

นอกจากนี้ การบริหารต้นทุน และกลยุทธ์การบริหารค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ ที่มีประสิทธิภาพ ยังส่งผลให้ผลงานในปี 2567 บริษัทฯมีกำไรขั้นต้นที่ปรับตัวสูงขึ้น อยู่ที่ 20.71% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 16.11% หรือเพิ่มขึ้น4.60% การควบคุมค่าใช้จ่ายดังกล่าวนี้ยังได้สะท้อนไปถึงตัวเลขค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ปรับตัวลดลง พร้อมกันนี้ บริษัทฯยังได้มีการเร่งรัดติดตามหนี้ค้างชำระจากลูกหนี้อย่างเข้มงวด อย่างไรก็ตามในปี 2567 บริษัทฯ มีงบการเงินรวมขาดทุนสุทธิจำนวน 50.06 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุน 248.02 ล้านบาท หรือขาดทุนลดลง 79.81% สาเหตุหลักสืบเนื่องมาจากธุรกิจ Data Center ที่ยอดขายยังล่าช้ากว่าแผนที่วางไว้ของบริษัทฯ ทั้งนี้ผลขาดทุนสุทธิของงบการเงินรวมในปี 2567 ถือว่าปรับตัวลดลงอย่างมีสาระสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566

"ในปี 2567 รายได้จากธุรกิจ Data Center ของบริษัทฯ ยังล่าช้ากว่าแผนที่วางไว้พอสมควร แต่อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 ธุรกิจดังกล่าวเริ่มมีทิศทางที่ดีโดยเริ่มมีลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะเริ่มมีการสะท้อนรายได้ตั้งแต่ปี 2568 นี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนขยายการดำเนินงานในธุรกิจนี้เพิ่มเติม" นายประพัฒน์กล่าว

"PLANET" ออเดอร์กระบะ EV พุ่ง ส่งมอบเพิ่มให้ "ทีพีไอ โพลีน" พร้อมหนุนองค์กรธุรกิจต่างๆสู่เป้าหมาย Net Zero                  

PLANET ส่งมอบรถกระบะไฟฟ้า (Pickup Truck) เพิ่มให้ "ทีพีไอ โพลีน" สำหรับใช้ขนส่งสินค้า ตามเป้าหมายเดินหน้าใช้พลังงานสะอาด สู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน เผยรถไฟฟ้ากระแสตอบรับดี เริ่มมีออเดอร์ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าสนับสนุนองค์กรธุรกิจต่างๆ สู่เป้าหมาย Net Zero ด้วยการใช้รถ EV

เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2567 นายประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANET เปิดเผยว่า  การดำเนินธุรกิจจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ผ่านบริษัทย่อย แพลนเน็ต อีวี จำกัด (PlanetEV) ขณะนี้เริ่มมีสัญญาณการตอบรับที่ดี โดยล่าสุด ได้ส่งมอบรถกระบะไฟฟ้า (Pickup Truck) ให้กับ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) หรือTPIPL เพิ่มเติมสำหรับใช้ในกิจการขนส่งสินค้า และเพื่อรักษ์สิ่งแวดล้อม ลดปัญหาก๊าซเรือนกระจกจากการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ โดยมีเป้าหมายนำไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน

           

“ที่ผ่านมาบริษัทเดินหน้าสู่การมีส่วนในการช่วยลดโลกร้อนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ รู้สึกยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนนโยบายมุ่งเน้นพลังงานสะอาดในการดำเนินธุรกิจของ ทีพีไอ โพลีน เพื่อนำไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) ในปี 2043 ซึ่งการเปลี่ยนรถสัปดาปมาเป็นรถEV ในการขนส่งสินค้า ถือเป็นหนึ่งในหลายแนวทางที่มีการดำเนินการ ทั้งนี้ขอขอบคุณ ทีพีไอ โพลีน ที่ให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจรถกระบะไฟฟ้า (Pickup Truck) ของPlanetEV"นายประพัฒน์กล่าว

สำหรับองค์กรธุรกิจต่างๆ ที่กำลังพยายามทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero โดยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศ หนึ่งในวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการลดการปล่อยก๊าซคือการนำรถไฟฟ้า EV มาใช้แทนรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน เนื่องจาก การเปลี่ยนมาใช้รถไฟฟ้า EV ไม่เพียงแต่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ยังช่วยลดมลพิษทางอากาศและเสียงรบกวนในเขตเมือง โดยรถไฟฟ้า EV สามารถช่วยองค์กรธุรกิจประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาที่ต่ำกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน นอกจากนี้ ยังสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร ซึ่งจะช่วยดึงดูดลูกค้าและนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น

ด้านนายกฤตภาส วิริยจันทร์ตา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แพลนเน็ต อีวี จำกัด (PlanetEV) กล่าวว่า รถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ที่บริษัทนำมาทำตลาดในประเทศไทย ถือว่าได้รับกระแสตอบรับที่ดีอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากกลุ่มผู้ประกอบการ ที่ต้องการลดต้นทุน และได้รับผลกระทบจากปัญหาราคาน้ำมันปรับตัวสูง ทำให้เริ่มมีออเดอร์ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สำหรับในส่วนของ บมจ.ทีพีไอ โพลีน ก่อนหน้านี้ บริษัทได้ส่งมอบไปแล้วจำนวน 30 คัน และล่าสุดส่งมอบเพิ่มเติมอีกจำนวน 17 คัน

                                      

บอร์ด PLANET ไฟเขียวเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน PP ให้นักลงทุน 2 ราย รวม 50 ล้านหุ้น 

คณะกรรมการ บริษัท แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANET อนุมัติเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) จำนวน 50 ล้านหุ้น ให้แก่บุคคลในวงจำกัด จำนวน2 ราย ในราคาหุ้นละ 0.50 บาท เพื่อรองรับการขยายการลงทุน บิ๊กบอส "ประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์" เผย ธุรกิจ New S-Curve ของบริษัทฯเริ่มสร้างผลตอบแทน หนุนผลงานครึ่งแรกของปีขาดทุนลดลง มั่นใจจะพลิกเป็นกำไรได้ในทึ่สุด

นายประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์ บริษัท แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANET เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการออก การจัดสรรและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) จำนวน 50 ล้านหุ้น ให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ครั้งที่ 1 แก่นักลงทุน 2 ราย ในราคาหุ้นละ 0.50 บาท โดยจะจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนให้จำนวน 25 ล้านหุ้น ให้แก่นายศักดิ์ชัย วัฒนนามกุล และจัดสรรจำนวน 25 ล้านหุ้น ให้แก่ Mr.Maarten Cornelis 

"การออกและเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ จะสามารถทำให้บริษัทฯ สามารถระดมทุนได้ภายในระยะสั้น สามารถนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทฯและบริษัทย่อย สำหรับการประกอบธุรกิจ การลงทุนหรือขยายธุรกิจในอนาคตได้อย่างทันกาล รวมทั้งส่งผลให้โครงสร้างทางการเงินของบริษัทฯมีความแข็งแกร่งมากขึ้น"นายประพัฒน์กล่าว

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2567 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติลดทุนจดทะเบียนของบริษัท 157,468,273 บาท จากทุนเดิม 687,139,173 บาท เป็น 529,670,900 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และมีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียน 529,670,900.00 บาท เป็น 579,670,900.00 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 50,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อรองรับการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแบบ General Mandate โดยจะจัดสรรเพื่อเสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัด (Private Placement) 

นายประพัฒน์ กล่าวต่อว่า สำหรับแนวโน้มการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นการลงทุนในโครงการใหม่ๆในธุรกิจ New S-Curve อยู่ระหว่างเริ่มให้ผลตอบแทนอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยจะเห็นได้จาก ผลประกอบการในครึ่งแรกของปี 2567 ตัวเลขการขาดทุนเริ่มลดลง โดยในครึ่งแรกของปีนี้บริษัทฯ มีผลประกอบการขาดทุนสุทธิ 28.91 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 44.99 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นพัฒนาการที่ดี ทั้งนี้ มั่นใจว่าผลจากการขยายการลงทุน จะส่งผลให้บริษัทฯสามารถพลิกกลับมาเป็นมีกำไรได้ในที่สุด        
                                   

PLANET ติดปีกธุรกิจ ผนึก SIEMENS ป้องกันภัยไซเบอร์ในไทย เล็งขยายฐานลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรม พร้อมประเมินภัยคุกคามให้ฟรี

PLANET ติดปีกธุรกิจ ได้รับแต่งตั้ง  “Solution Partner” จาก บริษัท ซีเมนส์ จำกัด ผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับโลก ให้เป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นป้องกันความปลอดภัยทางไซเบอร์ ภายใต้แบรนด์สินค้า ‘SIEMENS’ ตั้งเป้าลุยขยายฐานลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานของประเทศและกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ พร้อมให้บริการประเมินความเสี่ยงภัยคุกคามจากการปฎิบัติงาน (OT Security assessment) ฟรี แก่ธุรกิจ และโรงงานอุตสาหกรรมที่สนใจ

นายประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANET ผู้ให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลแบบครบวงจร (Digital Technology Provide) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับการแต่งตั้งจากบริษัท ซีเมนส์ จำกัด ผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับโลก ให้เป็นพันธมิตรทางการค้าที่สำคัญในประเทศไทย “Solution Partner” เพื่อให้บริษัทฯ สามารถนำเสนอสินค้าและบริการโซลูชั่นป้องกันความปลอดภัยทางไซเบอร์ ภายใต้แบรนด์ ‘SIEMENS’ เพื่อรองรับแผนงานขยายตลาดไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ๆ

ทั้งนี้ความร่วมมือดังกล่าวทาง ซีเมนส์จะช่วยสนับสนุนและถ่ายทอดเทคโนโลยีต่างๆ เกี่ยวกับโซลูชั่นความปลอดภัยไซเบอร์ที่มีมาตรฐานระดับโลก ให้แก่ PLANET เพื่อนำไปสู่การขยายตลาดอย่างครอบคลุมในทุกอุตสาหกรรม อาทิ ระบบโครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน เทคโนโลยีการผลิต อุตสาหกรรมอัตโนมัติ และระบบการแพทย์ เพื่อช่วยยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์ในภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความน่าเชื่อถือและมีมาตรฐานระดับโลก โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

นายประพัฒน์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันภัยคุกคามทางไซเบอร์ มีแนวโน้มความรุนแรงมากขึ้น ทำให้ความต้องการเพื่อลดผลกระทบสูงขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้ PLANET พร้อมให้บริการประเมินความเสี่ยงภัยคุกคามจากการปฎิบัติงาน (OT Security assessment) แก่ธุรกิจ และโรงงานอุตสาหกรรมที่สนใจโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ การได้รับความไว้วางใจและร่วมเป็นพันธมิตรกับ ซีเมนส์ในครั้งนี้ จะเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มความน่าเชื่อถือ และเปิดโอกาสให้บริษัทฯ สามารถขยายฐานลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานของประเทศและกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆได้มากยิ่งขึ้น

"การเป็นพันธมิตรกับซีเมนส์ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาและขยายตลาดของ PLANET ในการนำเสนอโซลูชั่นความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่มีมาตรฐานระดับโลก ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจให้กับลูกค้า แต่ยังช่วยยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์ในประเทศไทยให้สูงขึ้นอีกด้วย  ทั้งนี้ PLANET พร้อมที่จะมุ่งมั่นและพัฒนาเพื่อให้บริการที่มีคุณภาพและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างเต็มที่" นายประพัฒน์กล่าว

โจเซฟ คง หัวหน้ากลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมดิจิทัล ซีเมนส์ ประเทศไทย กล่าวว่า ซีเมนส์มีความยินดีและมั่นใจว่าการที่ PLANET เข้าร่วมเป็น Solution Partner กับซีเมนส์ จะช่วยเร่งการพัฒนาและยกระดับศักยภาพระบบการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ของภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทย ทั้งนี้ PLANET ถือเป็นพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม ระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์, Data Center, Cloud, Internet of Things สำหรับโครงสร้างพื้นฐานแบบครบวงจร ซึ่งจะสามารถต่อยอดการทำการตลาดโซลูชันความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทย

"การร่วมมือกันในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยให้กับโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของทั้งภาครัฐและเอกชน เป็นการช่วยยกระดับ เสริมสร้างความเชื่อมั่นในระบบการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ในประเทศไทย และเชื่อว่าจะได้ร่วมมือทางด้านธุรกิจกับ PLANET มากขึ้นในอนาคตอันใกล้" โจเซฟ กล่าว                                                       

#ข่าววันนี้ #PLANET #SIEMENS #ภัยไซเบอร์ 

 

"PLANET" ผลงาน Q1/67 พลิกกำไร รายได้ธุรกิจรถ EV-ดิจิทัลเทคโนโลยีเริ่มเติบโต

 

PLANET โชว์ผลงานไตรมาส 1/67พลิกกำไร หลังได้รับชําระหนี้เต็มจํานวน ธุรกิจรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) และธุรกิจด้านดิจิทัลเทคโนโลยี เริ่มสร้างผลตอบแทน หนุนรายได้Q1 โต 18.37% บิ๊กบอส "ประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์ " มั่นใจปี 67 

นายประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANET เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/67 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 11.67 ล้านบาท จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ซึ่งมีขาดทุนสุทธิจํานวน 18.61 ล้านบาท สาเหตุ หลัก มาจากได้รับชําระหนี้ทั้งหมดจากโครงการหนึ่งที่ได้ตั้งสํารองผลขาดทุนไปในปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เร่งรัดการติดตามหนี้อย่างเข้มข้น ทําให้ได้รับชําระหนี้เต็มจํานวนส่งผลให้รายได้อื่นในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้นจํานวน 53.37 ล้านบาท
 
ขณะที่รายได้จากการดําเนินงานในไตรมาสที่ 1/67 มีจํานวน 107.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.75 ล้านบาท หรือ 18.37% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้ 91.20 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากธุรกิจรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) และธุรกิจด้านดิจิทัลเทคโนโลยี

สำหรับต้นทุนขายและบริการในไตรมาสที่ 1/67 จํานวน 91.90 ล้านบาท หรือ 85.13% ของรายได้จากการขายสินค้าและบริการ ส่งผลให้มีอัตรากําไรขั้นต้น 14.87% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งมีจํานวน 68.42 ล้านบาท หรือ 75.02% และกําไรขั้นต้นคิดเป็น24.98% โดยต้นทุนขายปรับตัวสูงขึ้นมาจากต้นทุนในการขยายธุรกิจไปยัง EEC global cloud ที่ให้บริการด้านคลาวด์เซอร์วิสและ Data Center ซึ่งยังอยู่ในช่วงต้นของการเริ่มดําเนินธุรกิจ

นายประพัฒน์ กล่าวต่อว่า  หลังจากการปรับตัวของบริษัทฯในช่วงหลายปีก่อนหน้า จากธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม ก้าวสู่การเป็น Digital Technology Provider  ผู้ให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลแบบครบวงจร มุ่งเน้นตลาดสินค้า New S Curve ผ่านการจัดตั้งบริษัทย่อยต่างๆ อาทิ ธุรกิจเกี่ยวกับด้านสาธารณูปโภค ธุรกิจด้านดิจิทัลเทคโนโลยี ธุรกิจระบบรักษาความปลอดภัยทางด้านไซเบอร์ (Cyber Security) และธุรกิจด้านยานยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) จะเริ่มสร้างรายได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป

"ผลจากการขยายการลงทุนในข้างต้น มั่นใจว่า ในปี 2567 จะเริ่มสร้างผลตอบแทนได้ในระยะยาว และเป็นไปตามกลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจของบริษัทฯ ที่เน้นให้ความสำคัญต่อแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน (Environmental, Social and Governance หรือ ESG) และมุ่งการนำเทคโนโลยีไปใช้เพื่อยกระดับและพัฒนาประเทศไปสู่สังคมคาร์บอนเป็นศูนย์ (Zero-Carbon) เพื่อร่วมปกป้องสิ่งแวดล้อม ลดปัญหาโลกร้อน"นายประพัฒน์กล่าว