DEXON รับมอบฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร จากTGO ตอกย้ำความมุ่งมั่นสู่ Net Zero

DEXON เข้าร่วมพิธีรับมอบประกาศนียบัตรเครื่องหมายรับรองฉลากคาร์บอน (Carbon Footprint of Organization: CFO) จัดโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO ณ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งพิธีมอบประกาศนียบัตรครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติและแสดงความขอบคุณต่อองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมสนับสนุนการเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างยั่งยืนของประเทศ

ดร.มัลลิกา แก่กล้า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เด็กซ์ซอน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน)  DEXON กล่าวว่า ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายใหญ่ที่ทั่วโลกต้องเผชิญ และจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง การที่ DEXON ได้รับการรับรองฉลากคาร์บอนในครั้งนี้ ไม่เพียงสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังตอกย้ำบทบาทของเราในการร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำและ Net Zero อย่างยั่งยืน

“DEXON จะยังคงเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมด้านเทคโนโลยีตรวจสอบ พร้อมทั้งสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย ความยั่งยืน และคุณภาพชีวิต ทั้งในประเทศไทยและในเวทีสากล”

การได้รับประกาศนียบัตรฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรในครั้งนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ DEXON ในการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการสร้างนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีตรวจสอบและบริการวิศวกรรมที่เป็นมิตรต่อโลก ซึ่งไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

DEXON ยังคงยึดมั่นในการสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกกระบวนการ และพร้อมเป็นพลังสำคัญในการผลักดันประเทศไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน

บีทีเอส กรุ๊ปฯ รับมอบประกาศนียบัตรเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ มุ่งหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero

บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จํากัด (มหาชน) หรือ บีทีเอส กรุ๊ปฯ รับมอบประกาศนียบัตรเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization หรือ CFO) จาก นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ในงานพิธีมอบประกาศนียบัตรเครื่องหมายรับรองฉลากคาร์บอน ที่จัดโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ณ ห้อง Conference Hall สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) หรือ Thailand Institute of Justice (TIJ) โดยบีทีเอส กรุ๊ปฯ เป็น 1 ใน 79 บริษัทที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น และตั้งใจในการดำเนินกิจกรรมที่คำนึงถึงการจัดการก๊าซเรือนกระจก มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และร่วมขับเคลื่อนประเทศให้บรรลุตามเป้าหมาย การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065) เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

ปตท.สผ. เดินหน้าโครงการ CCS แห่งแรกในไทยที่แหล่งอาทิตย์ สนับสนุนเป้าหมาย Net Zero ของปท.

ปตท.สผ. ประกาศตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) โครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) ที่แหล่งก๊าซฯ อาทิตย์ นำร่องพัฒนาเทคโนโลยี CCS ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก สนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม

วันที่ 8 กันยายน 2568 นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า โครงการ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ ซึ่งสามารถดักจับและอัดกลับคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงสุด 1 ล้านตันต่อปี มีความสำคัญมากในฐานะโครงการ CCS แรกของประเทศไทย เป็นก้าวแรกในการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สอดคล้องกับนโยบายรัฐ ซึ่งได้บรรจุโครงการนี้อยู่ในแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. 2564 – 2573 (NDC Action Plan on Mitigation 2021-2030) โดย ปตท.สผ. ในฐานะบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของประเทศไทย ได้ตัดสินใจที่จะขับเคลื่อนโครงการ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

“นอกจากภารกิจหลักในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทยแล้ว การลงทุนครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ ปตท.สผ. ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่ง CCS นับเป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ที่ถูกนำมาใช้ควบคู่กับเทคโนโลยีพลังงานสะอาดอื่น ๆ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นระบบ โดยโครงการ CCS ที่แหล่งอาทิตย์เป็นโครงการนำร่องและเป็นต้นแบบสำคัญในการพัฒนาโครงการ CCS ในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศ เช่น Eastern Thailand CCS Hub ในบริเวณอ่าวไทยตอนบน ซึ่งมีศักยภาพที่จะสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ พร้อมทั้งเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจในระยะยาว” นายมนตรี กล่าว

ทั้งนี้ โครงการ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ได้รับความเห็นชอบให้เป็นโครงการสำคัญที่ควรดำเนินการและผลักดันในระดับนโยบายภายใต้ NDC Action Plan รวมถึงเห็นชอบหลักการในการกำหนดแนวทางส่งเสริมด้านการลงทุนที่เหมาะสมแก่โครงการผ่านมาตรการทางภาษี ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการหารือในรายละเอียดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันส่งเสริมเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ

ปตท.สผ. ได้เตรียมความพร้อมในการศึกษาและประเมินอย่างรอบด้านเพื่อพัฒนาโครงการ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ครั้งนี้ ตั้งแต่กระบวนการคัดเลือกแหล่งกักเก็บใต้ดินที่มีความเหมาะสมในระดับความลึก 1,000 – 2,000 เมตร ไปจนถึงการออกแบบทางวิศวกรรมและการวางแผนการติดตามตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ผ่านการตรวจวัดข้อมูลในหลุมอัดกลับ และการตรวจสอบบนพื้นผิวและพื้นทะเล เพื่อให้การจัดการก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดย ปตท.สผ. จะใช้โครงสร้างพื้นฐานบางส่วนที่มีอยู่แล้ว รวมถึงก่อสร้างและติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ เพิ่มเติม  คาดว่าจะสามารถเริ่มการอัดกลับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ในปี 2571 และทยอยเพิ่มอัตราการอัดกลับไปจนถึงศักยภาพสูงสุดที่ ประมาณ 1 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี  ใช้งบประมาณในระยะเวลา 5 ปี ประมาณ 10,000 ล้านบาท (เทียบเท่า 320 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ) โดยการดำเนินงานดังกล่าว จะไม่กระทบต่อการผลิตก๊าซธรรมชาติของแหล่งอาทิตย์

ทั้งนี้ เทคโนโลยี CCS เปรียบเสมือนกระบวนการย้อนกลับ (Reverse Process) ของกิจกรรมการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ที่นำก๊าซธรรมชาติจากใต้ดินขึ้นมาเพื่อเป็นพลังงานสำหรับการพัฒนาประเทศและการใช้ในชีวิตประจำวัน โดย CCS จะเป็นการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ส่งกลับลงไปยังแหล่งที่มาใต้ดิน

นอกจากโครงการ CCS แล้ว ปตท.สผ. ยังมีโครงการและกิจกรรมอื่น ๆ ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การนำก๊าซส่วนเกินจากกระบวนการผลิตปิโตรเลียมกลับมาใช้ใหม่ การปรับปรุงกระบวนการผลิต การใช้พลังงานหมุนเวียน และการคัดเลือกโครงการที่มีความเข้มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำเข้ามาใน Portfolio รวมทั้ง การปลูกป่าทั้งป่าบกและป่าชายเลน เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวในการช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจก

กรุงไทยเดินหน้าสู่ Net Zero เปลี่ยนรถยนต์ธนาคารทั้งหมดเป็นรถ EV ภายในปี 2573

วันที่ 28 สิงหาคม 2568 ธนาคารกรุงไทย มุ่งก้าวสู่ธนาคารเพื่อความยั่งยืน เดินหน้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี 2573 โดยล่าสุด ธนาคารเร่งปรับเปลี่ยนยานพาหนะ ที่ใช้งานในธนาคารจากรถยนต์ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ตามแผนงาน Net Zero Pathway เพื่อช่วยลดมลพิษและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ ธนาคารได้ทยอยนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้แทนรถยนต์เชื้อเพลิงฟอสซิล พร้อมติดตั้งสถานีชาร์จรองรับ ส่งผลให้ในช่วงปี 2565-2567 สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปแล้วกว่า 238 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้มากถึง 477,013 กิโลวัตต์-ชั่วโมง โดยในปี 2568 ธนาคารจะมีรถยนต์ไฟฟ้าสะสมรวม 680 คัน คาดว่า จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 1,039 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี หรือเท่ากับการปลูกต้นไม้ 60,407 ต้น

ธนาคารกรุงไทย ดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมใสังคมและธรรมาภิบาล (ESG) เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในด้านสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า การเปลี่ยนหลอดไฟเป็น LED การใช้ Cool Paint Technology ลดความร้อนอาคาร และการใช้พลังงานหมุนเวียนจากพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ในองค์กร โดยการดำเนินงานของธนาคารดังกล่าวในปี 2567 สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 12,540 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเท่ากับการปลูกต้นไม้ จำนวน 729,070 ต้น มุ่งผลักดันให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”

เปิดแล็บสีเขียว! Thailand LAB 2025 ขับเคลื่อน Net Zero ห้องปฏิบัติการ สู่อนาคตสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน  

เปิดแล็บสีเขียว! Thailand LAB 2025 ขับเคลื่อน Net Zero ห้องปฏิบัติการ สู่อนาคตสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน  

ประเทศไทยเดินหน้ายกระดับบทบาทสู่ศูนย์กลางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีชีวภาพ และนวัตกรรมเพื่อสุขภาพในภูมิภาคอาเซียน ผ่านงานแสดงเทคโนโลยีห้องปฏิบัติการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี Thailand LAB INTERNATIONAL 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3–5 กันยายน 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ ภายใต้แนวคิดขับเคลื่อน “ห้องปฏิบัติการยั่งยืน” สู่เป้าหมาย Net Zero Carbon Lab ปี 2050

ปีนี้ถือเป็นวาระครบรอบ 15 ปีของการจัดงาน โดยมีการขยายขอบเขตครอบคลุมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างครบวงจร รวมถึงการเปิดตัว Health & Innovation Asia อย่างเป็นทางการ และโซน Food for Health Pavilion ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างระบบนิเวศด้านวิทยาศาสตร์ สุขภาพ และนวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต นอกเหนือไปจากกลุ่มงานเดิม ได้แก่ Thailand LAB INTERNATIONAL, BioAP INTERNATIONAL และ FutureCHEM INTERNATIONAL

ผศ.สุชาดา ไชยสวัสดิ์ ที่ปรึกษาศูนย์การจัดการพลังงาน สิ่งแวดล้อมความปลอดภัย และอาชีวอนามัย และฝ่ายส่งเสริมกิจกรรมอย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวว่า ““ห้องปฏิบัติการเป็นหนึ่งในแหล่งที่ใช้พลังงานสูง มีการใช้สารเคมีและปล่อยของเสียอันตราย ซึ่งส่งผลต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานโดยตรง อีกทั้งยังเป็นแหล่งปลดปล่อยคาร์บอนจากวัสดุ น้ำยา และอุปกรณ์ต่าง ๆ ในกระบวนการวิเคราะห์ การก้าวสู่ ห้องปฏิบัติการยั่งยืน จึงไม่ใช่แค่เรื่องทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นของโลกยุคใหม่ แนวทางสำคัญคือการลดการใช้สารเคมี ลดขยะพลาสติกและอิเล็กทรอนิกส์ ส่งเสริมนวัตกรรมที่ประหยัดพลังงาน และสร้างเครือข่ายความร่วมมือ เพื่อพัฒนาวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละห้องปฏิบัติการ พร้อมเดินหน้าไปสู่เป้าหมาย Net Zero Carbon Lab ภายในปี 2050 อย่างเป็นรูปธรรม”

งานนี้จัดโดย บริษัท วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค มุ่งสร้าง “ระบบนิเวศแห่งนวัตกรรม” ที่เชื่อมโยงองค์ความรู้ เทคโนโลยี และธุรกิจสุขภาพในอนาคตไว้ด้วยกัน ภายในพื้นที่จัดแสดงกว่า 15,000 ตารางเมตร โดยมีผู้แสดงสินค้ากว่า 500 แบรนด์ จาก 12 ประเทศ แบ่งเป็นผู้แสดงสินค้าในประเทศ 60% และนานาชาติ 40% พร้อมพาวิลเลียนจาก จีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ตอกย้ำศักยภาพของไทยในฐานะจุดศูนย์กลางของอุตสาหกรรมห้องปฏิบัติการระดับเอเชีย

การขยายสู่ตลาดใหม่ของงาน Thailand LAB INTERNATIONAL 2025 ไม่ใช่แค่การเพิ่มขนาดของงาน แต่คือการต่อยอด ‘พลังแห่งความร่วมมือ’ ที่จะยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง คุณอนุชา พันธุ์พิเชฐ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ด้านห้องปฏิบัติการและสุขภาพ บริษัท วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค กล่าวว่า “เรามีการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ อาทิ Big Data Institute, TED Fund, KX Knowledge Xchange, BART Lab, สมาคมหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์, สมาคมโปรตีนแห่งประเทศไทย และ ศูนย์ MIND Center โรงพยาบาลรามาธิบดี นับเป็นเครื่องยืนยันว่า Thailand LAB ไม่ได้เป็นเพียงเวทีแสดงเทคโนโลยี แต่คือ ‘ฐานปฏิบัติการระดับชาติ’ สำหรับการต่อยอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีแห่งอนาคต”

“เรายังมีแรงสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและสมาคมชั้นนำที่สนับสนุนเราเสมอมา ทั้ง กรมวิทยาศาสตร์บริการ, กรมปศุสัตว์, กรมโรงงานอุตสาหกรรม, สวทช., วว., สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ, สถาบันอาหาร, และอีกมากมาย ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้งานนี้สามารถเชื่อมโยงทุกภาคส่วน ตั้งแต่ห้องแล็บ วิจัย การผลิต จนถึงสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม” คุณอนุชา กล่าว

เสวนาวิชาการ: ยกระดับห้องแล็บ สู่สังคมยั่งยืน
ในการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ มีการจัดเสวนาภายใต้หัวข้อ “ความยั่งยืนในห้องปฏิบัติการ ความยั่งยืนในสุขภาพ สู่สังคมแห่งความยั่งยืน” โดยมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่
1.คุณพงศ์ศักดิ์ ฟูศิริ นายกสมาคมการค้าเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ (STTA)
2.ดร.นเรศ ดำรงชัย ผู้อำนวยการสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย–ญี่ปุ่น)
3.ผศ.สุชาดา ไชยสวัสดิ์ ที่ปรึกษาศูนย์การจัดการพลังงาน มจธ.
ทั้งสามท่านสะท้อนมุมมองเกี่ยวกับบทบาทของห้องปฏิบัติการต่อสังคมยุคใหม่ โดยเฉพาะ การลดการใช้สารเคมี ขยะอิเล็กทรอนิกส์ และการปลดปล่อยคาร์บอนในห้องแล็บ เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมาย “Net Zero Carbon Lab” ภายในปี 2050

เวทีการค้า–นวัตกรรม–โอกาสใหม่
งาน Thailand LAB International 2025 ยังเป็นเวทีเชื่อมโยงงานวิจัยสู่การใช้จริง ด้วยกิจกรรมพิเศษ อาทิ:  
1.Startup Pavilion สำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ 
2.กิจกรรม Business Matching ทั้งออนไลน์และออนไซต์ 
3.Carbon Neutrality Program ครั้งแรกของงาน 
4.การประกวดบูธสวยงามและยั่งยืน 
5.เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่จากนานาประเทศ

สัมมนาใหญ่กว่า 65 หัวข้อ จาก 160 วิทยากรทั่วโลก
เวทีวิชาการของงานจัดขึ้นกว่า 65 หัวข้อสัมมนา ครอบคลุมไบโอเทค ห้องปฏิบัติการดิจิทัล เคมีขั้นสูง และการวินิจฉัยโรค โดยมีองค์กรชั้นนำเข้าร่วม เช่น:
1.Biotech Frontiers Forum #6 โดย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI)
2.Biotechnology International Congress ครั้งที่ 9 โดย BIC 2025
3.การใช้งานวัสดุคอมโพสิตในห้องปฏิบัติการ (Composites in Laboratory Applications) 
4.Global Testing Standards for Business Resilience โดย สวทช.
5.AI Applications for ISO/IEC 17025 Labs โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
6.นวัตกรรมเครื่องสำอางและความยั่งยืน โดย สมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย (TCOS)  เป็นต้น

ยกระดับสุขภาพคนไทยด้วย Health & Innovation Asia
อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญคือ Health & Innovation Asia และโซน Future Food Pavilion ที่รวมนวัตกรรมด้านสุขภาพดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ และอาหารเพื่อสุขภาพ โดยมีผู้ร่วมแสดงกว่า 40 ราย และสัมมนาอีก 20 หัวข้อที่น่าสนใจ ได้แก่:
1.The Internet of Medical Things (IoMT) and AI โดย Bay Computing
2.Thai Health-Tech Startups Panel โดย สมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIAT)
3.Functional Food as Medicine โดย Mahidol University
4.BOI Investment Incentives for Healthcare Businesses
5.Health & Innovation Hackathon 2025 โดย สวทช. และ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า
6.Nationwide Health Data Platform โดย สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Institute)

ดร. นเรศ ดำรงชัย ผู้อำนวยการ สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น) กล่าวเสริมว่า “ในยุคที่การค้าระหว่างประเทศเผชิญความไม่แน่นอน การเติบโตของไทยจะขับเคลื่อนด้วยภาคบริการมูลค่าสูง โดยเฉพาะบริการสุขภาพเชิงป้องกันและตลาดผู้สูงอายุ ห้องปฏิบัติการในไทยจึงต้องเร่งปรับตัว ด้วยระบบอัตโนมัติ IoT และความมั่นคงทางไซเบอร์ ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นยังคงเป็นพันธมิตรสำคัญด้านเทคโนโลยีและการดูแลผู้สูงอายุ โดยลงทุนในไทยกว่า 40,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา”

สำหรับท่านที่สนใจเข้าชมงาน Thailand LAB INTERNATIONAL 2025 จัดร่วมกับ BioAP INTERNATIONAL, FutureCHEM INTERNATIONAL และ Health & Innovation Asia ระหว่างวันที่ 3–5 กันยายน 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:  www.thailandlab.com และ https://health-innovation-asia.com 

ลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อลุ้นรับของรางวัล ได้ที่  https://eventpassinsight.co/el/to/THLAB0017

GPSC สร้างฝายชะลอน้ำ เสริมระบบนิเวศ หนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น เดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero

GPSC สร้างฝายชะลอน้ำ เสริมระบบนิเวศ หนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น เดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero

นางปริญดา มาอิ่มใจ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายบริหารองค์กร และนายอาเดรียนุส โยเซฟุส แวน เดน บรูค รองกรมการผู้จัดการใหญ่ ที่ปรึกษาประจำประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. นำพนักงานจิตอาสาบริษัทฯ ร่วมกับเทศบาลตำบลบ้านฉาง และเครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดระยอง จัดกิจกรรม “สร้างฝายชะลอน้ำ ประจำปี 2568” ณ ป่าชุมชนบ้านภูดรห้วยมะหาด อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 โดย GPSC ได้สร้างฝายชะลอน้ำแล้วกว่า 187 ฝาย บนพื้นที่ป่าชุมชนประมาณ 50 ไร่ ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่ฟื้นฟูได้อย่างยั่งยืน โดยฝายชะลอน้ำเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูระบบนิเวศ เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผืนป่า และลดการพังทลายของดินอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ GPSC ยังได้ส่งเสริมการปลูกพืชอาหารและสมุนไพรจำนวน 6 ชนิด ได้แก่ ขมิ้นชัน กระชายบ้าน ว่านม่วง หัวไพล หัวกระทือ และขิงแห้ง รอบพื้นที่ฝายชะลอน้ำ เพื่อสร้างรายได้เสริมให้ชุมชนสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตหมุนเวียนได้ตลอดปี ส่งผลให้ประชาชนโดยรอบพื้นที่กว่า 250 ครัวเรือน ได้รับประโยชน์จากการดำเนินงานดังกล่าว

ทั้งนี้ GPSC ยังได้ร่วมมือกับ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในการสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) ของป่าชุมชนแห่งนี้ จากผลการสำรวจพบว่า พืชและสัตว์ชนิดเล็กในพื้นที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนให้เห็นถึงผลสัมฤทธิ์ของการดูแลและฟื้นฟูระบบนิเวศผืนป่าในภาพรวม ซึ่งมีส่วนสำคัญในการดูดซับคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ในระดับชุมชน เพื่อสร้างประโยชน์สู่ป่าชุมชนและการติดตามผลการฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างเป็นระบบ  นับเป็นการสะท้อนความมุ่งมั่นของ GPSC ในการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมกับภาครัฐและภาคชุมชนในการขับเคลื่อนเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการพัฒนาชุมชนอย่างสมดุลและยั่งยืน

“SMO สาขาสระบุรี” คว้าฉลากคาร์บอน ตอกย้ำวิสัยทัศน์สู่ Net Zero ขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน

SMO สาขาสระบุรี คว้าฉลากคาร์บอน ตอกย้ำวิสัยทัศน์สู่ Net Zero ขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน

นายศักดา ทองรอง รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานสำนักงาน บริษัท กลุ่มสมอทอง จำกัด (มหาชน) หรือ SMO เป็นตัวแทนบริษัทฯ สาขาสระบุรี เข้ารับประกาศนียบัตรเครื่องหมายรับรองฉลากคาร์บอน (Carbon Footprint for Organization : CFO) โดยได้รับเกียรติจาก ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ประธานกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก เป็นผู้มอบประกาศนียบัตรฉลากคาร์บอน ซึ่งจัดขึ้นโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ณ ห้อง Conference Hall สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ถนนแจ้งวัฒนะ

ทั้งนี้บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก พร้อมทั้งร่วมลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อนอย่างเป็นระบบ ยกระดับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ภายใต้เป้าหมายการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึง ESG อย่างชัดเจน บริษัทฯ ได้ดำเนินมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในองค์กร เช่น การปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การใช้พลังงานทดแทน และการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างรอบคอบ บริษัทฯ ยังเดินหน้า “โครงการ Greenlife ไร้ขยะ” อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นโครงการที่ส่งเสริมให้พนักงานทุกระดับมีส่วนร่วมในการลดขยะจากต้นทาง จัดการของเสียอย่างถูกวิธี และนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน มาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ด้วยเป้าหมายที่จะลดปริมาณขยะให้เหลือน้อยที่สุด หรือ “Zero Waste to Landfill”

 SMO มุ่งมั่นที่จะเป็นองค์กรต้นแบบที่ขับเคลื่อนธุรกิจควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และจะเดินหน้าพัฒนาองค์กรตามแนวทางความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบคุณค่าที่ดีให้แก่สังคม เศรษฐกิจ และโลกใบนี้อย่างสมดุล

 

เบเยอร์ ผู้นำด้านนวัตกรรมสีเพื่อสิ่งแวดล้อม รับมอบเครื่องหมาย CFR และ CFP เดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero

เบเยอร์ตอกย้ำผู้นำด้านนวัตกรรมสีเพื่อสิ่งแวดล้อม รับมอบเครื่องหมาย CFR และ CFP พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรม

กลุ่มบริษัทสีเบเยอร์ โดย ดร.จารุรัตน์ ชัยยศบูรณะ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน เข้ารับมอบ เครื่องหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint Reduction: CFR) และ เครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product: CFP) สำหรับผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม สีน้ำทาอาคาร, สีน้ำทาอาคารพร้อมใช้งาน (2IN1 Product), สีน้ำมัน, และสีตกแต่งพิเศษจาก ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ประธานกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ณ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ถนนแจ้งวัฒนะ

โดยพิธีกล่าว จัดงานขึ้นภายใต้จุดมุ่งหมายในการส่งเสริมองค์กรที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างยั่งยืน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม โดยในวาระการรับรองครั้งที่ 3/2568 กลุ่มบริษัทสีเบเยอร์ได้รับเครื่องหมายรับรองฉลากคาร์บอนเพิ่มเติม สะท้อนถึงการพัฒนานวัตกรรมสีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ทั้งในมิติของกระบวนการผลิต การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

เบเยอร์เป็นแบรนด์สีแบรนด์เดียวในประเทศไทย ที่ได้รับฉลากคาร์บอนอย่างต่อเนื่องหลายปี และเข้าร่วมโครงการ Net Zero Pathway อย่างเป็นทางการ โดยเป็น 1 ใน 38 องค์กรชั้นนำที่ลงนามความร่วมมือ “Science Based Target” เพื่อร่วมกำหนดมาตรฐานสีเขียวให้กับอุตสาหกรรมสีและเคมีภัณฑ์ก่อสร้างไทย ความสำเร็จครั้งนี้เกิดจากความมุ่งมั่นของเบเยอร์ในการพัฒนานวัตกรรมสีอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ในกระบวนการผลิต ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลและลดการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมีนัยสำคัญ

“เราไม่ได้มุ่งพัฒนาเฉพาะผลิตภัณฑ์เรือธงอย่าง ‘เบเยอร์คูล’ เท่านั้น แต่ตั้งใจให้ทุกผลิตภัณฑ์ภายใต้ชื่อเบเยอร์ สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด” — ดร.จารุรัตน์ ชัยยศบูรณะ

เบเยอร์ดำเนินธุรกิจปีที่ 65 ภายใต้ปณิธาน Eco-Wellness Innovation – สีนวัตกรรม รักษ์โลก รักคุณ โดยเป็นรายแรกในไทยที่พัฒนาสีสะท้อนความร้อนอย่างจริงจัง พร้อมลงทุนในเทคโนโลยี AVID, ระบบผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ และขนส่งอัจฉริยะ เพื่อขับเคลื่อนทุกกระบวนการสู่ Net Zero เบเยอร์ยังคงมุ่งมั่นเป็นผู้นำด้าน “สีรักษ์โลก” อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่การลดคาร์บอนในตัวเลข แต่คือการสร้าง ผลกระทบเชิงบวกต่อโลก ผู้คน และอนาคตของประเทศ อย่างเป็นรูปธรรม

เปิดเวที Climate Tech ไทย: ปฏิบัติการจริงสู่ Net Zero ในงาน SITE 2025

เปิดเวที Climate Tech ไทย: ปฏิบัติการจริงสู่ Net Zero ในงาน SITE 2025 Sustainability Forum ภายในงาน Startup x Innovation Thailand Expo 2025 (SITE 2025) เปิดมุมมองใหม่ของ “Climate Technology” กับสองผู้นำพลังงานไทย ที่ร่วมขับเคลื่อนนวัตกรรมพลังงานสะอาดเพื่อก้าวสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง

ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ COO กลุ่มธุรกิจใหม่และความยั่งยืน ปตท. และ คุณสมิทธ์ พนมยงค์ Senior EVP กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ ร่วมเผยภาพรวมความท้าทายและโอกาสของ Climate Tech ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีแห่งอนาคตควบคู่กับ AI, Robotics และ Biotech ที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมาย Net Zero

“Climate Tech” เทคโนโลยีอนาคตที่ไม่ใช่เรื่องไกลตัว

ดร.บุรณิน ชี้ว่า Climate Tech คือหัวใจของการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ผ่านนวัตกรรมพลังงานสะอาด ตั้งแต่พลังงานทดแทนอย่างโซลาร์และลม, รถยนต์ไฟฟ้า (EV), AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน, ระบบดักจับคาร์บอน (Carbon Capture) ไปจนถึงโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid)

ปตท. ได้ลงทุนในโครงการโซลาร์ฟาร์มทั้งในไทยและอินเดีย, ปรับโรงงานปิโตรเคมีสู่ Bio-based, และศึกษาพัฒนา SMR (Small Modular Reactor) เพื่อรองรับพลังงานสะอาดในอนาคต

“ไทยเราอาจยังไม่ใช่ผู้นำโลกด้าน Climate Tech แต่กำลังวางรากฐานที่มั่นคง โดยเฉพาะโครงสร้าง Smart Grid และการเปิดรับนวัตกรรมจากสตาร์ตอัพ” ดร.บุรณินกล่าว

“ต้องคุ้มค่า ถึงจะเปลี่ยนผ่านสำเร็จ”
คุณสมิทธ์ พนมยงค์ เน้นว่าการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ต้องเดินควบคู่กับความคุ้มค่าต่อผู้ใช้ ซึ่งเป็นหัวใจที่ทำให้ผู้คนพร้อมเปลี่ยนพฤติกรรม

เขายกตัวอย่างต้นทุนโซลาร์ที่ลดลงกว่า 5 เท่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้พลังงานสะอาดกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ  กัลฟ์ยังเดินหน้าลงทุนในโซลาร์และฟาร์มลมที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง, ติดตั้งโซลาร์บนเสาโทรคมนาคม และร่วมกับไทยคมพัฒนาดาวเทียมวิเคราะห์การปล่อยคาร์บอน เพื่อลดต้นทุนคาร์บอนเครดิต

“Smart Grid และนโยบายรัฐที่ครอบคลุม คือกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อน Climate Tech อย่างมั่นคง เราต้องเลิกแบ่งฝ่าย ‘ผู้ร้าย-พระเอก’ ในอุตสาหกรรมพลังงาน และร่วมมือกันสร้างอนาคตที่ดีขึ้น” คุณสมิทธ์กล่าว

เมื่อเทคโนโลยีต้องคู่กับความเข้าใจของสังคม

ทั้งสองผู้นำเห็นตรงกันว่า Climate Tech จะประสบความสำเร็จได้จริงเมื่อเทคโนโลยีไม่ใช่แค่ “ของใหม่” แต่ต้องเกิดจากความเข้าใจและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งประชาชน ภาครัฐ และภาคธุรกิจ

ดร.บุรณิน ฝากข้อคิดว่า อย่าให้ความเชื่อมานำหน้าองค์ความรู้” ขณะที่คุณสมิทธ์เสริมว่า “ทุกเทคโนโลยีเกิดขึ้นได้ ถ้าประชาชนเข้าใจและยอมรับ

งาน SITE 2025 จึงไม่ใช่แค่เวทีแสดงนวัตกรรมทั่วไป แต่เป็นจุดรวมพลังและโอกาสสำคัญของไทย ในการพลิกโฉมพลังงานและเศรษฐกิจสู่โลกใหม่ที่ยั่งยืน

“International Engineering Expo 2025” เวทีใหญ่ที่สุดวงการวิศวกรรมไทย สู่เป้าหมาย Net Zero และความปลอดภัยโครงสร้างในอนาคต

วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) ร่วมกับ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด แถลงข่าวการจัดงาน “งานวิศวกรรมแห่งชาติ 2568” (International Engineering Expo 2025: IENXPO 2025) มหกรรมด้านวิศวกรรมระดับชาติ ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-25 กรกฎาคม 2568 ณ ฮอลล์ 5-6 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ชูแนวคิด “Engineering the Future for Net Zero” ตอกย้ำบทบาทของวิศวกรไทยในโลกยุคเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน

วันที่ 28 มิถุนายน 2568 นายสมจิตร์ เปี่ยมเปรมสุข ประธานคณะกรรมการจัดงาน International Engineering Expo 2025 เผย วสท. ตั้งเป้ายกระดับงานนี้ให้เป็น ‘เวทีขององค์ความรู้และนวัตกรรม’ ที่ตอบโจทย์ทั้งมาตรฐานด้านความปลอดภัย การรับมือภัยพิบัติ และการเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero ด้วยเทคโนโลยีใหม่ เช่น Digital Twin, IoT Sensor และระบบวิเคราะห์โครงสร้างด้วย AI ซึ่งจะช่วยเสริมความมั่นคงในระบบโครงสร้างพื้นฐานของไทยพร้อมกล่าวย้ำ “International Engineering Expo 2025 พร้อมเสริมสร้างศักยภาพให้กับวิศวกรไทยในทุกระดับ โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำงานในสถานประกอบการ ในโครงการต่างๆ ทั่วประเทศ วิศวกรอิสระ อาจารย์ นิสิต และนักศึกษา ได้เข้าถึงมาตรฐานใหม่ องค์ความรู้ และเทคโนโลยีที่นำไปใช้ได้จริง พร้อมรับมือกับความท้าทายทางวิศวกรรมในอนาคต

งานในปีนี้จัดให้มีหัวข้อ สัมมนามากกว่า 60 หัวข้อ ตลอด 3 วัน ครอบคลุมสาขาหลัก เช่น โยธา ไฟฟ้า เครื่องกล อุตสาหการ ความปลอดภัยอัคคีภัย และสิ่งแวดล้อม โดยวิทยากรมากกว่า 200 ท่าน อาทิ หัวข้อ มาตรฐานอาคารสาธารณะยุคใหม่ / ระบบโครงสร้างรับมือแผ่นดินไหว / Digital Twin & Predictive Structural Engineering / วิศวกรรมเพื่อ Net Zero และ พลังงานอัจฉริยะ เป็นต้น 

คุณสุรพล อุทินทุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด (NCC) กล่าวว่า องค์ความรู้ด้านวิศวกรรมจำเป็นต้องมีการอัปเดต และต่อยอดอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการติดตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี เครื่องมือ อุปกรณ์ และโซลูชันต่าง ๆ ที่พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะในยุคที่ประเด็นด้านความปลอดภัยและภัยพิบัติมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า วิศวกรรมไม่ใช่เพียงศาสตร์ด้านโครงสร้างเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความปลอดภัยและความยั่งยืนให้กับสังคม งาน IENXPO 2025 จึงถูกออกแบบให้เป็นเวทีกลางที่เชื่อมโยงภาครัฐ ภาคเอกชน และแวดวงวิชาการเข้าด้วยกัน เพื่อร่วมขับเคลื่อนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และมาตรฐานวิชาชีพวิศวกรรมไทยให้ก้าวทันต่อโลก และพร้อมรับมือกับความท้าทายของอนาคต

NCC ยังเน้นการจัดแสดงเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมโดยตรง โดยปีนี้มี ผู้ร่วมแสดงนวัตกรรมเทคโนโลยีกว่า 150 บริษัท ไฮไลท์โซลูชันส์ อาทิ ระบบแจ้งเตือนแผ่นดินไหวล่วงหน้า/ เครื่องมือวัดแรงสั่นสะเทือนอาคาร/ ข้อมูลดาวเทียม THEOS-3 / ระบบจำลอง BIM และ Digital Twin และ เสาเข็มไร้สนิมด้วยเทคโนโลยี Hot Dip Galvanized เป็นต้น พร้อมกิจกรรม Business Matching ในรูปแบบการนัดหมายเจรจาทางธุรกิจ ฝ่ายจัดซื้อ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทวิศวกรรมด้านต่างๆ บริษัทผู้รับเหมาโครงการ และ นิทรรศการนวัตกรรมด้านความปลอดภัย และ Net Zero คาดผู้เข้าชมงานกว่า 32,000 คน มูลค่าการซื้อขายไม่ต่ำกว่า 1,100 ล้านบาท

ทั้งนี้ในงานได้มีการจัดเสวนาพิเศษในหัวข้อ “บทบาทของวิศวกรรมความปลอดภัยในระบบ โครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ:จากหลักการสู่การปฏิบัติผ่านเทคโนโลยีและองค์ความรู้ด้านวิศวกรรม” โดยได้รับเกียรติจาก คุณชาตรี ตันศิริ รองผู้ว่าการ (วิศวกรรมและบำรุงรักษา) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย รองศาสตราจารย์ ดร.วัชรินทร์ กาสลัก นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ดร.อรรถสิทธิ์ ศิริสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โปร ฟีนิกซ์ จำกัด และ ดร.กิติพันธุ์ นุตยกุล กรรมการประชาสัมพันธ์ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ

การเสวนาครั้งนี้ได้แลกเปลี่ยนแนวทางและแผนการปฏิบัติในการสร้างความปลอดภัยสำหรับโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ ในบริบทการยกระดับทักษะวิชาชีพวิศวกร ความก้าวหน้าของการนำเทคโนโลยีใหม่ เช่น ระบบวิเคราะห์โครงสร้างอัจฉริยะและการประเมินความเสี่ยงเชิงป้องกัน ความสำคัญของการทบทวน ปรับปรุงมาตรฐานวิชาชีพ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาใช้ควบคู่กับมาตรฐานทางวิศวกรรมที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงและเพิ่มขีดความสามารถ ในการรองรับภัยพิบัติใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ

งานวิศวกรรมแห่งชาติ 2568 หรือ International Engineering Expo 2025 เวทีแห่งองค์ความรู้ เทคโนโลยี และความร่วมมือเพื่อสังคมที่ปลอดภัยและยั่งยืน จัดพร้อมกับงาน ASEAN TOOLS EXPO 2025 งานแสดงสินค้าเกี่ยวกับเครื่องมือช่าง งานเดียวที่ตอบโจทย์ทุกงานช่าง เพื่อให้วิศวกรที่เข้าชมงานและเลือกซื้อทั้งที่เป็นการสั่งซื้อในระดับองค์กร และการซื้อปลีกทั่วไป ระหว่างวันที่ 23-25 กรกฎาคม 2568 ณ ฮอลล์ 5-6 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ลงทะเบียนเข้าชมงาน สัมมนาฟรี พร้อมรับ PDU และ e-Certificate ได้ที่ www.ienxpo.com