“PrideHealth” ยกระดับบริการสุขภาพ LGBTQ+ เปิดแพลตฟอร์มดิจิทัลรายแรกของเอเชียแปซิฟิกในไทย  

“PrideHealth.care (ไพรด์เฮลท์ดอทแคร์) เปิดให้บริการในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมเปลี่ยนโฉมหน้าการเข้าถึงสุขภาพของกลุ่ม LGBTQ+ ทั่วภูมิภาค”

ก้าวสำคัญสู่ระบบการดูแลสุขภาพอย่างเท่าเทียม PrideHealth แพลตฟอร์มสุขภาพดิจิทัลเพื่อกลุ่ม LGBTQ+ แห่งแรกของเอเชียแปซิฟิก เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้ววันนี้ โดยสามารถเข้าใช้งานได้ที่ www.pridehealth.care แพลตฟอร์มนี้ถูกออกแบบมาเพื่อลดช่องว่างการเข้าถึงบริการสุขภาพสำหรับผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ (กลุ่ม LGBTQ+) และกลุ่มเปราะบางที่ยังคงถูกมองข้ามในระบบสาธารณสุขกระแสหลักของเอเชีย

PrideHealth ก่อตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในหลากหลายสาขา ได้แก่ นายบรูซ หลี่  (Bruce Li) อดีตผู้บริหารในวงการยาระดับโลก (ดำรงตำแหน่ง CEO และ CTO), นายชอว์น ลู (Shawn Loo) นักการตลาดรางวัลระดับนานาชาติ (ดำรงตำแหน่ง Chief Brand Officer) และ นพ.อริย์ธัช ตั้งสง่า (หมอกั้ง) แพทย์อายุรกรรม นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิ LGBTQ+ (ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการแพทย์) โดยได้รับการสนับสนุนจากทีมแพทย์และนักบำบัดที่เป็นมิตรกับ LGBTQ+ ทั่วภูมิภาค แพลตฟอร์มนี้ให้บริการแบบครบวงจร ทั้ง การแพทย์ทางไกล (Telehealth), การจำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพแบบเฉพาะทางผ่านอีคอมเมิร์ซ, และบริการดูแลสุขภาพที่ออกแบบเฉพาะบุคคล ครอบคลุมด้านสุขภาพทางเพศ สุขภาพจิต การป้องกันและการรักษา HIV ตลอดจนบริการที่เกี่ยวข้องกับการยืนยันเพศสภาพ PrideHealth ถือเป็นก้าวสำคัญของการสร้างระบบสุขภาพที่ “เข้าใจ-เข้าถึง-และเคารพ” สำหรับกลุ่ม LGBTQ+ ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 430 ล้านคนในภูมิภาคเอเชีย

 “ไม่ใช่แค่แพลตฟอร์มสุขภาพ แต่คือ ‘การขับเคลื่อน’ เพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคตของระบบสุขภาพ”
นพ.อริย์ธัช ตั้งสง่า ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการแพทย์ของ PrideHealth กล่าวว่า “กลุ่ม LGBTQ+ ในเอเชียแปซิฟิกยังต้องเผชิญอุปสรรคในการเข้าถึงการรักษาที่ปลอดภัยและเข้าใจความต้องการของพวกเขา PrideHealth.care จึงเข้ามาเพื่อลดอุปสรรคเหล่านี้ และแทนที่ด้วยพลังแห่งการเลือก ความเคารพศักดิ์ศรี และความเท่าเทียมที่ทุกคนพึงได้รับ”

“ตอบโจทย์ช่องว่างสำคัญในระบบสุขภาพ LGBTQ+” 
ความต้องการบริการสุขภาพที่ครอบคลุมสำหรับกลุ่ม LGBTQ+ เป็นเรื่องเร่งด่วนและเป็นความจำเป็นระดับโลก ข้อมูลจาก Open for Business ระบุว่า กว่า 70% ของ LGBTQ+ ในเอเชียยังเผชิญอุปสรรคในการเข้าถึงบริการสุขภาพ การขาดบุคลากรที่เข้าใจ LGBTQ+ และการเลือกปฏิบัติอย่างเปิดเผย การขาดบุคลากรทางการแพทย์ที่ผ่านการอบรม หรือแม้แต่การเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยิ่งทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยิ่งทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในชนบทและชุมชนอนุรักษ์นิยม แม้ประเทศไทยซึ่งมักถูกมองว่าเป็นประเทศที่เป็นมิตรต่อ LGBTQ+ แต่การเข้าถึงบริการสุขภาพที่ตอบโจทย์เฉพาะทางก็ยังไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะในกลุ่มคนข้ามเพศ ผู้สูงวัยที่ติดเชื้อ HIV และผู้ที่ต้องการการดูแลสุขภาพจิต 

PrideHealth กำลังลบข้อจำกัดเหล่านี้ ด้วยการรวมตัวของแพทย์และผู้เชี่ยวชาญจากไทย ไต้หวัน สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจใน LGBTQ ไว้ในแพลตฟอร์มเดียวที่เข้าถึงได้ง่าย  เพื่อให้มั่นใจว่าผู้รับบริการสามารถเข้าถึงการดูแลสุขภาพที่ยืนยันเพศสภาพของตน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดหรือมีรายได้ระดับใดก็ตาม โดยทีมที่ปรึกษาอาวุโสและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของ PrideHealth สะท้อนถึงความหลากหลายของกลุ่มที่ให้บริการ อาทิ 
• นพ.อริย์ธัช ตั้งสง่า ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการแพทย์์และผู้ร่วมก่อตั้ง PrideHealth ผู้ขับเคลื่อนประเด็น “สุขภาพที่ครอบคลุม” และการเข้าถึง PrEP ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
• ศ.นพ.เกรียง ตั้งสง่า ประธานคณะกรรมการจริยธรรม กระทรวงสาธารณสุข อดีตนายกสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย และอดีตนักวิจัยรับเชิญจากโรงพยาบาล Johns Hopkins ประเทศสหรัฐอเมริกา เจ้าของผลงานวิจัยตีพิมพ์กว่า 230 ชิ้น
• พญ.วโรชา มหาชัย แพทย์เฉพาะทางโรคระบบทางเดินอาหารระดับแนวหน้า ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเซอรีน และศูนย์วิจัยโรคมะเร็งกระเพาะอาหารแห่งชาติ และอดีตนายกสมาคมแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารแห่งประเทศไทย

“PrideHealth กับการสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและธุรกิจในกลุ่ม LGBTQ+” 
การเปิดตัว PrideHealth.care ไม่ได้สะท้อนแค่ความก้าวหน้าในระบบสุขภาพที่ครอบคลุมเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณของ “โอกาสทางเศรษฐกิจ” ที่มาพร้อมกับความเท่าเทียมทางเพศอีกด้ว สะท้อนถึงแนวโน้วการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สำคัญ จากรายงานของ Open for Business ปี 2567 ระบุว่า ผลกระทบทางสุขภาพที่เกิดจากการเลือกปฏิบัติต่อกลุ่ม LGBTQ+ ส่งผลให้เศรษฐกิจในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม สูญเสียผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สูงถึง 1.24% ต่อปี ตัวอย่างเช่น ในประเทศไทย เพียงแค่ภาวะซึมเศร้าในกลุ่ม LGBTQ+ ที่นำไปสู่ความพิการและการสูญเสียรายได้ โดยคาดว่ามีมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึง 14.9 พันล้านบาทต่อปี

ในทางกลับกัน แพลตฟอร์มอย่าง PrideHealth ที่สนับสนุนความเท่าเทียมมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน โดยเมืองที่มีนโยบายรองรับ LGBTQ+ อย่างเป็นระบบ มีอัตราการเติบโต GDP สูงกว่าปกติถึง 2.6% ขณะที่บริษัทที่มีนโยบายสนับสนุน LGBTQ+ มีผลกำไรสูงกว่าบริษัททั่วไปถึง 2.3 เท่า

เพื่อรับมือกับความเหลื่อมล้ำเหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรม PrideHealth จึงได้พัฒนา “Pride Packages” สำหรับองค์กรธุรกิจ ซึ่งเป็นชุดบริการสุขภาพแบบครบวงจร เพื่อให้บริษัทต่าง ๆ สามารถมอบสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพที่ครอบคลุมแก่พนักงานของตนได้อย่างแท้จริง ครอบคลุมทั้งการปรึกษาแพทย์ทางไกล ยาเวชภัณฑ์ อาหารเสริม และบริการโค้ชชิ่ง ด้วยแพลตฟอร์มเดียว เพื่อสร้างองค์กรที่ใส่ใจความหลากหลายอย่างแท้จริง 

นายบรูซ หลี่ ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง PrideHealth กล่าวว่า “ความต้องการด้านสุขภาพของกลุ่ม LGBTQ+ มักถูกมองว่าเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่ม แต่แท้จริงนี่คือโอกาสสำคัญทางสาธารณสุขและเศรษฐกิจ ด้วยจำนวนประชากร LGBTQ+ มากกว่า 430 ล้านคนทั่วเอเชียแปซิฟิก ความจำเป็นในการดูแลสุขภาพแบบครอบคลุมและเท่าเทียมจึงเร่งด่วนกว่าที่เคย เพราะ ‘การรวมกลุ่ม’ ไม่ใช่แค่เรื่องของความยุติธรรมทางสังคม — แต่มันคือ กลยุทธ์ธุรกิจที่ชาญฉลาด เมื่อเราสนับสนุนความเท่าเทียมด้านสุขภาพ เรากำลังปลดล็อกทั้งนวัตกรรม ประสิทธิภาพการทำงาน และการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว”

“สร้างจากไทย ออกแบบเพื่อเอเชีย”
หลังจากที่ประเทศไทยผ่านกฎหมาย “สมรสเท่าเทียม” ในปี 2568 ประเทศไทยก็ยิ่งตอกย้ำบทบาทผู้นำในด้าน การท่องเที่ยว วัฒนธรรม และการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของ LGBTQ+ และจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่เหมาะสมที่สุดของการเปิดตัว PrideHealth แพลตฟอร์มสุขภาพดิจิทัลสำหรับ LGBTQ+ แห่งแรกของเอเชียแปซิฟิก
กว่า 10% ของประชากรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกระบุว่าเป็น LGBTQ+ แพลตฟอร์ม PrideHealth มีแผนขยายบริการไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วเอเชียในปี 2568 พร้อมปรับบริการให้สอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ โดยมุ่งตอบโจทย์ตลาดที่ทั้ง “ขาดการดูแล” และ “ถูกประเมินค่าต่ำกว่าความเป็นจริง” ซึ่งจากการวิเคราะห์ PrideHealth พบว่า กลุ่มสุขภาพ LGBTQ+ มีมูลค่าตลาดสูงถึง 5.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยความต้องการหลักยังคงถูกละเลย เช่น สุขภาพจิต การนอนหลับ การดูแลยืนยันเพศสภาพ (gender-affirming care)  การดูแลผู้สูงอายุ และการป้องกันโรค

PrideHealth คือแพลตฟอร์มแรกที่เล็งเห็นการบรรจบกันของ “ความต้องการทางตลาด” และ “สิทธิความเท่าเทียมทางสุขภาพ” พร้อมนำเสนอบริการสุขภาพแบบบูรณาการครบวงจร ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับกลุ่ม LGBTQ+  ข้อมูลเพิ่มเติม  www.pridehealth.care

“Pride Month 2025” สะท้อนพลังความหลากหลายทางเพศ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่อนาคต ในวันที่โลกเปิดกว้าง

ในปี 2025 นี้ ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความท้าทายที่มาพร้อมกับโอกาสอันยิ่งใหญ่ของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ซึ่งนับเป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนถึงความเปิดกว้างและการยอมรับของสังคมไทยที่มีต่อชาว LGBTQ+ 

เอกภพ พันธุรัตน์ นักประชาสัมพันธ์ ที่โลดแล่นอยู่ในวงการพีอาร์มาอย่างยาวนาน ร่วมงานกับธุรกิจ องค์กร และบุคคลมีชื่อเสียงมากมาย ได้รับขนานนามว่า “ Princess of PR ” กล่าวถึงกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้ว่า “สังคมไทยเปิดกว้างและยอมรับกลุ่ม LGBTQ+ มากขึ้น ส่งผลให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศสามารถแสดงศักยภาพในแวดวงธุรกิจ การตลาด และการสร้างอาชีพได้อย่างเต็มที่  จึงจะเห็นได้ว่าในทุกๆ ผู้มีความหลากหลายทางเพศเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองที่ขับเคลื่อนอยู่ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง”

เมื่อโอกาสเปิดกว้าง ผู้มีความหลากหลายทางเพศคือพลังสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจในยุคเปลี่ยนผ่าน เลยยิ่งต้องทำให้ทุกเพศสภาพตื่นตัวกับการใช้ทักษะความสามารถอย่างเต็มกำลัง ควบคู่การปรับตัวเข้าสู่บริบทต่างๆ ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา และนี่คือความชำนาญพิเศษของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศที่จะเผชิญความท้าทายนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ปรากฏการณ์นี้เห็นได้ชัดจากการเติบโตของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว แฟชั่น และความบันเทิง ซึ่งกลุ่ม LGBTQ+ มีบทบาททั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ไม่เพียงแต่สร้างสีสันให้กับอุตสาหกรรม หากแต่ยังนำเสนอมุมมองใหม่ๆที่ตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างมีวิสัยทัศน์ จึงทำให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศคือกลุ่มบุคคลที่มีประกายของความสามารถพิเศษเฉพาะตัวที่แฝงอยู่ในตัวตนเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยพลังสร้างสรรค์ ความสามารถเฉพาะตัว และการปรับตัวที่รวดเร็ว ซึ่งกลายเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้ธุรกิจเติบโตได้ แม้จะเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจโลกก็ตาม

“เราคือกลุ่มคนที่เต็มไปด้วยไอเดีย กล้าในการนำเสนอสิ่งใหม่ๆ และเข้าใจบริบทธุรกิจได้อย่างลึกซึ้ง และพร้อมปรับตัวให้สอดรับกับทุกความเปลี่ยนแปลง เราคือส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนให้แบรนด์เกิดกระแส สินค้าขายได้ และตลาดมีชีวิต”

อย่างไรก็ตาม แม้ความหลากหลายทางเพศจะเบ่งบานในประเทศไทยแล้ว แต่ในมุมธุรกิจก็ยังถือว่าเป็นตลาดใหม่ที่ยังสามารถเติบโตได้อีกเยอะ ในฐานะนักประชาสัมพันธ์ที่ทำงานกับธุรกิจ องค์กรและผู้มีชื่อเสียง เอกภพ ให้ความเห็นว่า ในมุมของการเป็นผู้บริโภค การที่ธุรกิจออกมาสื่อสารให้การสนับสนุนความหลากหลายทางเพศนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้บรรยากาศของสังคมมีความเข้มข้นและมีความสำคัญมากขึ้น แต่อาจไม่ใช่ทุกธุรกิจจะสามารถยกระดับความพิเศษของสินค้าได้มากนัก เช่น ที่อยู่อาศัย รถยนต์ ซึ่งเป็นสินค้าที่ตอบสนองต่อความหลากหลายอยู่แล้ว กลุ่มธุรกิจที่คิดว่าสามารถต่อยอดเพื่อให้ตอบโจทย์ผู้มีความหลากหลายทางเพศได้มากขึ้น คือ เสื้อผ้าและแฟชั่น ซึ่งน่าสนใจว่าแฟชั่นสตรี จะตอบโจทย์สตรีข้ามเพศได้อย่างไร หรือแฟชั่นบุรุษจะต้องปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมอะไรเพื่อให้เข้าถึงบุรุษข้ามเพศมากขึ้น เช่น ในกลุ่มสาว LGBTQ+ ซึ่งมีร่างกายบางอย่างที่ยังคงเป็นตามเพศสภาพ เช่น ไซส์เท้าที่ใหญ่ แต่ใจมุ่งไปที่รองเท้าส้นสูง ส้นเข็ม ตรงนี้ก็หายากมากเราก็จะมีร้านลับเฉพาะกลุ่มที่คอยซื้อหาผลิตภัณฑ์ แต่ก็ไม่ได้มีหลากหลายมากนัก หรืออย่างกลุ่มสตรีที่มีความเป็นบุรุษ ก็จะเจอกับปัญหาเสื้อผ้า ร้องเท้า ที่หาเข้ากับสรีระยากเช่นเดียวกัน อีกธุรกิจที่น่าต่อยอดคือกลุ่มเครื่องสำอาง เนื่องจากกลุ่มคนข้ามเพศที่ใช้ฮอร์โมน จะมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของสภาพผิว ซึ่งยังมีสินค้าที่ตอบโจทย์อยู่น้อยมาก สิ่งต่างๆ เหล่านี้ จึงเป็นส่วนหนึ่งที่อยากส่งเสียงสะท้อนออกไปให้กับกลุ่มธุรกิจ เพราะกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศไม่ได้เป็นเพียงพลังแห่งการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียวแต่ยังเป็นพลังแห่งการเป็นผู้บริโภค ซึ่งมองว่า คงเป็นเรื่องดีหากในอนาคตเราจะมีโอกาสเห็นแบรนด์ต่างๆ ที่สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์มาเพื่อเรา เมื่อถึงวันนั้นคงจะมีโอกาสได้สัมผัสโลกธุรกิจในมุมมองใหม่ ที่ขับเคลื่อนโดยกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งคงมีสีสันและน่าตื่นเต้นไม่น้อยเลยทีเดียว

“การเฉลิมฉลอง Pride month จึงไม่ได้เป็นเพียงการแสดงออกถึงตัวตน แต่ยังเป็นเวทีสำคัญ ในการยืนยันว่า กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศคือพลังขับเคลื่อนที่แท้จริงในสังคมและเศรษฐกิจระดับโลก หากได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสมและทำให้ยั่งยืนได้” เอกภพ กล่าว

ลูกค้า LGBTQ+ ยื่นขอสินเชื่อบ้านได้ง่ายๆกับ ธอส.ได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เช็คเงื่อนไขที่นี่

ลูกค้า LGBTQ+ ยื่นขอสินเชื่อบ้านได้ง่าย ๆ กับ ธอส. ได้แล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
 
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ สังกัดกระทรวงการคลัง ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” พร้อมสนับสนุนทุกคู่รัก LGBTQ+ ให้มีความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยมากขึ้น ด้วยการเปิดโอกาสให้คู่ชีวิต (กรณีไม่มีทะเบียนสมรส) หรือ คู่สมรส (กรณีมีทะเบียนสมรส) LGBTQ+ สามารถยื่นขอสินเชื่อกับ ธอส. ได้ทุกผลิตภัณฑ์ตั้งแต่วันนี้ทุกสาขาทั่วประเทศ พร้อมเอกสารประกอบการยื่นขอสินเชื่อได้แก่ 1.เอกสารส่วนบุคคล 2.เอกสารทางการเงิน และ 3.เอกสารหลักประกัน เพียงเท่านี้ ลูกค้า LGBTQ+ ก็สามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้แล้ว

โดยผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ G H Bank Call Center โทร.0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคาร
อาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Application : GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th 

#LGBTQ #ข่าววันนี้ #สินเชื่อบ้าน #ธอส #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #สมรสเท่าเทียม

 

ธอส.ต้อนรับเดือนแห่งความรัก สนับสนุนกลุ่ม LGBTQ+ มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ยื่นขอสินเชื่อบ้านร่วมกันได้ทุกสาขาทั่วปท. เริ่มวันนี้

ธอส. ร่วมต้อนรับเดือนแห่งความรัก สนับสนุนทุกคู่รัก LGBTQ+ ให้มีความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย โดยสามารถยื่นขอสินเชื่อร่วมกันในทุกผลิตภัณฑ์สินเชื่อกับ ธอส. ทั้งคู่รัก LGBTQ+ ที่เป็นพนักงานประจำ และผู้ประกอบอาชีพอิสระ นำโดย  “สินเชื่อบ้านสวัสดิการ ปี 2568” อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 เท่ากับ 2.30% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกเพียง 2.90%, “สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ปี 2568” อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 เท่ากับ 2.50% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก เท่ากับ 3.20% และ “โครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2568” อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ 3.50% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก เท่ากับ 4.10% โดยผู้ที่สนใจสามารถยื่นขอสินเชื่อได้แล้ว ณ สาขาธนาคารทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 68 นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า  ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” พร้อมสนับสนุนทุกความรักของทุกคู่รัก LGBTQ+ ให้มีความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย โดยสามารถยื่นขอสินเชื่อร่วมกันได้ในทุกผลิตภัณฑ์กับ ธอส. ทั้งคู่รัก LGBTQ+ ที่เป็นพนักงานประจำ และผู้ประกอบอาชีพอิสระ ไม่กำหนดรายได้ขั้นต่ำ ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมต้องถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน โดยผู้กู้ต้องมีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป และไม่เกิน 70 ปี นำโดย  “สินเชื่อบ้านสวัสดิการ ปี 2568” สำหรับพนักงานที่สังกัดหน่วยงานที่ทำข้อตกลงโครงการสวัสดิการเงินกู้ที่อยู่อาศัย ประเภทไม่มีเงินฝาก และมีความประสงค์ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ 2.30% ต่อปี, ปีที่ 2 เท่ากับ 2.90% ต่อปี, ปีที่ 3 เท่ากับ 3.50% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก
เพียง 2.90%,  ปีที่ 4 – 5 เท่ากับ MRR – 2.00% ต่อปี และปีที่ 6 จนถึงตลอดอายุสัญญา เท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี (อัตราดอกเบี้ย MRR ของ ธอส. ปัจจุบันอยู่ที่ 6.545% ต่อปี) กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเงินงวดเพียงเดือนละ 3,200 บาท,

“สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ปี 2568” สำหรับผู้ที่ต้องการกู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม หรือซ่อมแซม และมีความประสงค์ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 เท่ากับ 2.50% ต่อปี, ปีที่ 2 เท่ากับ 3.10% ต่อปี, ปีที่ 3 เท่ากับ 4.00% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก เพียง 3.20% และปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญา เท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเงินงวดเพียงเดือนละ 3,300 บาท ยื่นคำขอกู้ได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568 อนุมัติและทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 เมษายน 2568

และ “โครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2568” สำหรับลูกค้าทั่วไปที่มีรายได้ (Gross) ไม่เกิน 35,000 บาทต่อเดือน และไม่มีประวัติการผ่อนชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัยกับ ธอส. ที่ต้องการกู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง รีไฟแนนซ์ ต่อเติม ขยาย ซ่อมแซม และชำระหนี้พร้อมรีไฟแนนซ์ วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 3 ล้านบาท ต่อรายต่อหลักประกัน อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ 3.50% ต่อปี, ปีที่ 2 เท่ากับ 4.25% ต่อปี, ปีที่ 3 เท่ากับ 4.55% ต่อปี, อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก เท่ากับ 4.10%, ปีที่ 4 - 5 เท่ากับ MRR-2.00% ต่อปี, ปีที่ 6 จนถึงตลอดอายุสัญญา ลูกค้าสวัสดิการ เท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี, ลูกค้ารายย่อยเท่ากับ MRR-0.75% ต่อปี และชำระหนี้ เท่ากับ MRR กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเงินงวดเริ่มต้นเพียงเดือนละ 4,700 บาท 

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถยื่นขอสินเชื่อได้แล้ว ณ สาขาธนาคารทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ G H Bank Call Center โทร.0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage  ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Application : GHB ALL GEN และ  www.ghbank.co.th

คู่รัก LGBTQ+ จูบมาราธอนกินเนสส์บุ๊ก ตอบรับร่วม "Pattaya Marriage Equality Cele bration 2025” ฉลองสมรสเท่าเทียม

หลังจากที่ Royal Garden Plaza Pattaya ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเฉลิมฉลอง กฎหมายสมรสเท่าเทียม โดยการจัดงาน “Pattaya Marriage Equality Celebration 2025” เพื่อเฉลิมฉลองการแต่งงานและจดทะเบียนสมรสให้กับ 7 คู่รักที่ผ่านการคัดเลือกจากกิจกรรมที่กำหนด ซึ่งในวันนี้ได้เชิญหนึ่งในคู่รัก LGBTQ+  คือ นายนนทวัฒน์ เจริญเกสรสิน และนายธนากร สิทธิ์เทียมทอง ที่เคยสร้างสถิติ Guinness World Records ในการแข่งขันจูบมาราธอนที่ยาวนานถึง 50 ชั่วโมง 25 นาที กับอีก 1 วินาที ณ ศูนย์การ ค้ารอยัล การ์เด้น เมืองพัทยา จ.ชลบุรี เมื่อ 12 ปีที่แล้ว  ได้กลับมาร่วมกิจกรรมอีกครั้ง

นายนนทวัฒน์ เปิดเผยถึงความรู้สึกที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ว่ากิจกรรม“Pattaya Marriage Equality Celebration 2025” ถือเป็นโอกาสในการสนับสนุนและผลักดันให้ความรักในทุก ๆ รูปแบบได้รับการยอม รับ และช่วยผลักดันให้สังคมเข้าใจและยอมรับความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งการเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคู่รักอื่น ๆ กล้าที่จะแสดงความรักและภาคภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น และเชื่อว่ากิจกรรมนี้มีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ เป็นก้าวสำคัญในการสร้างพื้นที่ให้ทุกคนสามารถแสดงตัวตนได้อย่างภาคภูมิใจและปลอดภัย สะท้อนถึงการสนับสนุนสิทธิความเท่าเทียมทางกฎหมายอย่างแท้จริง จึงอยากเชิญชวนทุกคนให้มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานในปีนี้และปีต่อ ๆไป

ทั้งนี้เมื่อกฎหมายสมรสเท่าเทียมมีการบังคับใช้อย่างเป็นทางการจะคู่สมรสทุกคู่จะมีสิทธิและหน้าที่เท่าเทียม กันตามกฎหมาย เช่น สิทธิในการรับมรดก สิทธิในการให้ความยินยอมในการรักษาพยาบาล และสิทธิในการรับบุตรบุญธรรมร่วมกัน โดยเฉพาะสิทธิในการยอมในการรักษาพยาบาล ถือเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตคู่รัก LGBTQ+ หากไม่สบายเจ็บป่วย แล้วอีกคนให้ตัดสินใจแทน ซึ่งหากมีการสมรสเท่าเทียมคู่รัก LGBTQ+ สามารถตัดสินใจแทนได้ทันทีโดยไม่ต้องรอญาติ หรือคนในครอบครัวมาดำเนินการ  เนื่องจากคู่รักส่วนมากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมากกว่าคนในครอบครัว เราสามารถฝากชีวิตกันได้ในทุกช่วงเวลาของชีวิตทั้งยามสุข ทุกข์ และยามป่วย เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันหรือต้องตัดสินใจเร่งด่วนสามารถตัดสินใจแทนกันได้ ดังนั้นกฎหมายสมรสเท่าเทียมจึงมีความสำคัญและเป็นสิ่งที่คู่รัก LGBTQ+ รอคอย จนมาถึงวันนี้ที่ประเทศไทยมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมเป็นประเทศแรกในอาเซียน

ส่วนงาน “Pattaya Marriage Equality Celebration 2025” จะจัดขึ้นที่ศูนย์การค้า Royal Garden Plaza Pattaya ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 โดยจะเปิดให้คู่รักลงทะเบียนเข้าร่วมการคัดเลือกเป็น 1 ใน 7 คู่รักภายในงานตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2567 – 31 มกราคม 2568 ผ่านทางเว็บไซต์ www.royalgardenplaza.co.th โดยเกณฑ์การคัดเลือกคู่รักทั้ง 7 คู่จะตัดสินจากโพสต์หรือวิดีโอที่บอกเล่าเรื่องราวความรักของตัวเองและเหตุผลที่อยากเป็น 1 ใน 7 คู่รักภายในงานผ่านหนึ่งช่องทางบนโซเชียลมีเดีย(Facebook/Instagram/TikTok) พร้อมกับติดแฮชแท็ก #PMEC2025 ซึ่งคู่รักที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับสิทธิพิเศษมากมายจาก Royal Garden Plaza Pattaya และพาร์ตเนอร์ที่จัดเตรียมไว้อย่างยิ่งใหญ่เพื่อเฉลิมฉลองการแต่งงานที่เป็นประวัติศาสตร์ให้กับคู่รักทั้ง 7 คู่อีกด้วย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือติดตามข่าวสารเกี่ยวกับงานได้ทาง Facebook เพจ Pattaya Marriage Equality Celebration, เว็บไซต์ www.royalgardenplaza.co.th หรือโทรศัพท์หมายเลข 03871 0294 ต่อ 8667 หรือต่อ 8349

“จักรภพ” ประกาศ 22 มค.68 เป็นวันประวัติศาสตร์โลก ไทยจะมี พรบ.สมรสเท่าเทียมเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรก

วันที่ 26 ธ.ค.67 จักรภพ​ เพ็ญ​แข อดีตรัฐมนตรี​ประจำ​สำนัก​นายกรัฐมตรี โพสต์ข้อความผ่าน เฟซบุ๊ก จักรภพ เพ็ญแข - Jakrapob Penkair ระบุว่า...

“จักรภพ” ชี้ 22 มค.68 เป็นวันประวัติศาสตร์โลก  เมื่อประเทศไทยจะมี พรบ.สมรสเท่าเทียมเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรก จวก “ทรัมป์” ประกาศต่อต้าน LGBTQ+  เอาใจคนกลุ่มเดียว เชื่อ แค่เห่าดังแต่ไม่กัดจริง  

26 ธันวาคม 2567 นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายก และโฆษกรัฐบาล กล่าวว่า ในวันที่ 22 มกราคม 2568 จะเป็นวันประวัติศาสตร์ไทยและโลก เนื่องจากประเทศไทยจะประกาศใช้ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม อย่างเต็มที่เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความหมายมาก เพราะว่าคนเพศเดียวกันหรือที่เรียกว่า LGBTQ+ ก็สามารถจดทะเบียนสมรสได้ เหมือนกับมนุษย์คนอื่นในโลกนี้ เพื่อยู่ภายใต้ระบบกฎหมายเดียวกัน นี่เป็นการแสดงความใจกว้างและยืดหยุ่นได้ของประเทศไทย ที่ทำให้เห็นว่าวัฒนธรรมไทยเอามนุษย์เป็นหลัก ไม่ได้เอาเรื่องความคิดกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นหลัก  แต่มองในภาพรวมทั่วไปแบบที่เรียกว่ามนุษยนิยม
  
อดีตโฆษกรัฐบาล กล่าวอีกว่า ในขณะที่ประเทศไทยกำลังจะดีขึ้นในแง่นี้ แต่สหรัฐอเมริกา  ก็กำลังจะมีเรื่องปวดหัวใหม่ เพราะว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขึ้นเวทีแล้วประณามเรื่อง LGBTQ+ อย่างชนิดที่เรียกว่าขนานใหญ่ โดยประกาศจะไปหยุดเรื่องหลักสูตรที่เกี่ยว LGBTQ+ ตั้งในระดับประถม และมัธยม ทั้งหมดในสหรัฐ คือจะไม่ยอมให้มีการเรียนการสอน และให้ไปอยู่ในที่เดิมที่บอกว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผิดพลาด ไม่ใช่ของที่ถูกต้องหรือเป็นสิ่งที่ปกติธรรมดา โดยเขาใช้คำว่า LGBTQ ของฝ่ายซ้าย ซึ่งเป็นกลุ่มสังคมนิยมของประเทศนั้นๆ ซึ่งไม่ใช่ ความจริงแล้วมันเป็นกระบวนการทางสังคมธรรมดา  

“ทรัมป์ประกาศว่า LGBTQ+ เป็นพวกฝ่ายซ้าย เขาจะยุติให้หมด จะไม่ให้เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลของเขา คำพูดนี้ก็สร้างความกังวลพอสมควรกับบางคน ว่าเสียงทรัมป์ ทำให้ข่าวนั้นดังเป็นพิเศษ หลายคนเลยกลัวกันว่า สหรัฐจะเป็นประเทศนำทางกลับไปสู่ภาวะขวาจัด หรืออนุรักษ์นิยม  โดยที่ไม่ได้ดูว่าโลกในความเป็นจริง มันดำเนินเปลี่ยนแปลงขั้นไหนแล้ว” นายจักรภพ กล่าว  

นายจักรภพ ยังได้ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ทรัมป์มักจะเห่าดังกว่ากัด บางทีถ้าเขาพูดอะไรรุนแรงก็เพื่อจะเอาใจฐานเสียงที่เป็นกลุ่มคนผิวขาว นิกายโปเตสแตนด์ ซึ่งอยู่ใจกลางสหรัฐ แถบ เช่น แคนซัส มิสซูรี่อาร์คันซอ เป็นต้น ซึ่งเป็นคนที่คิดว่าตัวเองเป็นอเมริกันแท้  คนอื่นที่อพยพมาทีหลังเป็นอเมริกันเทียม สมควรที่จะไล่ออกไป หรือยุติการให้เคลื่อนเข้ามาในฐานะผู้อพยพเข้าประเทศ  ซึ่งแนวความคิดที่แคบตรงนี้แสดงให้เห็นถึงการเห็นแก่พวกตัวเองที่หน้าตาเหมือนกัน ลักษณะทางร่างกายเดียวกัน โดยไม่ได้ดูว่ามนุษย์มีความแตกต่างแค่ไหนในระดับโลก จึงเป็นที่มาของความรู้สึกต่อต้าน LGBTQ เขาจึงพูดเพื่อที่จะเอาใจคนกลุ่มนี้  ไม่คิดที่เขาจะทำรวดเร็ว หรือทำมากอย่างได้ประกาศไปในการต่อต้าน

นอกจากนี้ นายจักรภพ ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า ขบวนการ LGBTQ+ ได้กลายเป็นขบวนการทางสังคมไปแล้ว จริงอยู่ก่อนหน้านี้อาจจะเป็นเพียงความคิดของคนกลุ่มน้อย ที่พยายามจะมีสิทธิในสังคมเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ท่ามกลางคนกลุ่มใหญ่ที่ยังมีอคติและต่อต้านอยู่  แต่ปัจจุบันประชามติเกือบทั่วโลก แม้กระทั่งในประเทศที่บอกว่า LGBTQ+ เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนา  สังคมก็ตอบรับกันมากมายในหลายๆ ประเทศที่มีศาสนาคอยห้ามอยู่ แต่สังคมเขาจะเดินไปข้างหน้าด้วยความเป็นเสรี ดังนั้นการที่ทรัมป์ ออกมาพูดในคราวนี้ เขาแค่แสดงให้คนทึ่ง ว่าเขาสามารถที่จะพูดสวนทางกับกระแสสังคมในขณะนี้ได้ เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองเฉพาะกลุ่มเฉพาะด้าน แต่ผลที่เกิดขึ้นกับสังคมนั้น ตราบใดที่เรายังต่อสู้กันอยู่ ทั้งคนที่เป็น LGBTQ+ และคนที่ไม่ได้เป็น ก็ยังเห็นใจ เข้าใจ และอยากร่วมโลกด้วยกันในฐานะมนุษย์ที่มีความสงบสันติอยู่ภายในใจ 

“ถ้าเราช่วยกันแบบนี้ กระแสความคิดแบบขวาจัดก็ชนะไม่ได้หรอกครับ การแสดงออกของเขาก็เป็นเรื่องของคนที่อยากจะหมุนนาฬิกาทวนเข็มย้อนไปด้านหลัง เช่นเดียวกับเรื่องต่าง ๆ เท่านั้นเอง แต่โลกไม่ได้เป็นอย่างนั้น แม้กระทั่งพุทธศาสนิกชน ที่ไม่มีอะไรต่อต้านเรื่อง LGBTQ+ ก็ยังมีหลักธรรมที่ชัดเจนว่า ทั้งหมดนี้มันก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นต่อไป เราอยู่ในปัจจุบันก็จริง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเห็นถึงอนาคตที่จะมาต่อไปด้วย นี่คือการอยู่ในโลกกับการมีทรรศนะแบบรอบคอบ ไม่เสี่ยงอันตราย และไม่สร้างความขัดแย้งที่จะนำไปสู่มาสงคราม แต่อย่างว่าแหล่ะครับ ถ้ากลัวว่าทรัมป์จะมาสร้างบรรยากาศไม่ดีมาก ๆ ก็ให้นึกไว้ว่า เห่าแล้วไม่กัด หรือเห่าดัง แต่ไม่กัดแรง เอาไว้เท่านั้นเอง” นายจักรภพ กล่าวทิ้งท้าย  

“เอก จักรภพ เพ็ญแข - ป๊อป สุไพรพล” จับมือเปิดตำนานรักต้องซ่อนในรอบ 23 ปี

ยุคนี้รักต้องเปิด! เปิดใจคู่รัก LGBTQ สะท้านแวดวงการเมือง “เอก จักรภพ เพ็ญแข - ป๊อป สุไพรพล” จับมือเปิดตำนานรักต้องซ่อนในรอบ 23 ปี เตรียมจัดงานแต่งงานสมรสเท่าเทียมประเทศแรกในอาเซียน ตอนนี้พร้อมมาก รอคอยจดทะเบียนสมรสถูกต้อง อายุห่างกัน 13 ปี ต้องปรับตัวสุดขั้ว ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ช่องOne31 ที่มี เป็กกี้ ศรีธัญญา และ บูม สุภาพรเป็นพิธีกรดำเนินรายการ

เปิดตัวคบกันได้ 1 เดือน แต่จริงๆ เป็นคู่รักแห่งตำนานการซ่อนเร้น เก็บซ่อนไว้ 23 ปี?
ป๊อป : รู้สึกตื่นเต้นมาก ไม่คิดว่าจะเป็นการเปิดตัวที่กระเพื่อมกับสังคม

เอก : พี่รู้สึกเบาตัว สบายมาก ปกติก็ไม่ค่อยมีความลับอะไรอยู่แล้ว นี่คือความลับสุดท้าย พอเปิดปั๊บรู้สึกสบาย ตอนนี้ไปไหนก็ได้ ทำอะไรก็ได้

ทำไมตัดสินใจเปิดตัว ทั้งที่ปิดมานาน?
เอก : 23 ปี เขาขึ้นเขา ลงห้วย อยู่กับพี่จนรู้สึกว่ายังอยู่กันอีกเหรอ เราชื่นใจ ใจเราก็กลัวเขาจะไป แต่เขายังอยู่ นี่คือข้อแรก เมื่อเปิดตัวได้สังคมเริ่มยอมรับ พี่กับเขายังก้าวต่อไปได้ ไม่ถูกเหยียดหยาม ไม่ถูกเหยียบจมดิน สอง เมื่อเราเปิดตัวแล้วจะได้ทำประโยชน์ให้คนอื่นได้เยอะขึ้น ในฐานะที่เราเป็นตัวของเราเอง

ไอเดียการเปิด ใครพูดขึ้นมาหรือบอกว่าเปิดตัวกันเลยดีกว่า?
ป๊อป : คุณจักรภพครับ (หัวเราะ) เขาจะถามก่อนว่าเห็นด้วยมั้ยตอนนั้นก็รู้สึกว่าความเป็นส่วนตัวเราเริ่มลดน้อยลงแล้ว ถ้าเราเป็นบุคคลสาธารณะ และทำประโยชน์ให้กับประเทศ โดยเฉพาะกลุ่ม LGBTQ

เอก : เราบวกลบ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก็เตือนเขาว่าถ้าเขาเป็นที่รู้จัก ชื่อเสียงมันมีสองมุม บางทีต้องเตือนเขา เพราะเขาจะเข้ามาสู่ชีวิตแบบนั้นแล้ว

ถ้าเปิดตัวบวกกับลบอะไรจะเกิดมากกว่ากัน?
เอก : พี่อยากเปิด โน้มน้าวให้เขาเปิด แต่ถ้าเขายืนยันว่าไม่เปิด พี่คงไม่กล้า พอเขาโอเคพี่ดีใจ รู้สึกว่าเราก็มาด้วยกัน เห็นตรงกัน ของแบบนี้ไม่ต้องถามอะไรกันมาก แป๊บเดียวก็ได้คำตอบ

ครอบครัวว่ายังไงตอนเปิดตัว?
เอก : พี่รู้ว่าตัวเองชอบแบบนี้มาตั้งแต่อายุน้อยมาก แต่ด้วยความเป็นเด็ก เรียบร้อย มีประสบการณ์จริงๆ ตอนโตแล้ว ใกล้ 20 แล้ว ถึงตอนนั้นก็บอกพ่อแม่ เพราะเรามั่นใจว่าเราเป็นใคร ต้องรอไปเรียนต่อกลับมาก่อน ตอนนั้นไม่มีป๊อป แต่เริ่มต้นรู้จักกันแล้ว เป็นตำนานมาก (หัวเราะ)

ป๊อป : ตอนแรกที่บ้านไม่ทราบ แต่พอเริ่มไปส่งที่บ้านบ่อยๆ ก็เริ่มสงสัย คุณย่าสงสัยคนแรก เพราะคุณย่าเอากล้วยมาให้คุณจักรภพ (หัวเราะ)

เอก : แบกกล้วยมาเครือนึง ย่าเดินเอามาให้ที่ท้ายรถ แล้วบอกว่าฝากดูแลกันด้วย ผ่านกล้วย 1 เครือ (หัวเราะ)

มีคำพูดจุกอกจากพี่เอกที่พูดกับพี่ป๊อป คืออะไร?
ป๊อป : น่าจะเป็นคำพูดที่เขาบอกว่าขอบคุณนะที่อดทนอยู่กับพี่มา โดยที่ไม่จากกัน โดยที่รู้สึกว่าเราต่อสู้มาด้วยกัน

เอก : ก็ต้องกลั้นใจบอกเขาว่าถ้าไม่ไหว จะไปก็เข้าใจ เพราะตอนนั้นไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า แล้วพี่รู้สึกว่าพี่อายุมากกว่าเขา พี่ต้องรับผิดชอบชีวิตเขา เขาอายุน้อยยังหาได้ และหาง่ายกว่าอีก เขามีสิทธิ์ที่จะไปสำรวจชีวิตไปอะไรก็เลยต้องเปิดทางกัน คนเราอยู่กันนานๆ เหมือนต่อประโยคกัน จะเข้าใจกัน อยู่กันมานาน พูดเพราะจำเป็นต้องพูด จะว่าไปพยายามเป็นคนดี ทั้งที่เราเห็นแก่ตัว เราอยากกลับมาแล้วเห็นเขาอยู่ ด้วยเราต้องไปอยู่ต่างประเทศเพราะเหตุผลทางการเมือง ก็หวังว่ากลับมาแล้วชีวิตเดิมๆ จะรออยู่บ้าง โดยเฉพาะเรื่องนี้

เริ่มคบนานเท่าไหร่ ถึงต้องจากกัน?
ป๊อป : ประมาณ 10 ปีได้ครับ

เดย์วันที่คบกัน ตัดสินใจคบกัน ครอบครัวพี่เอกก็ยังไม่ได้เปิดขนาดนั้น?
เอก : นึกภาพพี่เป็นผู้ชายที่ต้องเล่นบทเป็นผู้ชาย ส่วนตัวก็บุคลิกอย่างนี้ แต่ไม่มีใครคิดว่าเราจะเป็น พ่อแม่ก็คงรู้แต่คงไม่อยากยอมรับ นี่เป็นจุดนึงที่ตัดสินใจบอก เราต้องซื่อสัตย์กับคนที่เรารัก พ่อแม่ต้องมาก่อนเลย ความรู้สึกพี่คือต้องบอก พ่อแม่ก็ต้องใช้เวลา เหมือนหลายคู่เหมือนกัน พอเปิดปั๊บพ่อแม่จะซัดกันทันที ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีใครโทษใคร

นานมั้ยกว่าจะเอาชนะใจครอบครัว?
ป๊อป : นานครับ (หัวเราะ) เป็นระยะเวลา 10 ปีได้เลยครับ

มีประโยคที่คุณพ่อพี่เอกพูดกับพี่ป๊อป เราตกใจและช็อกมาก มันคืออะไร?
ป๊อป : เขาพูดว่าเดินติดตูดเลยนะ (หัวเราะ)

เอก : ตอนนั้นเขาเป็นผู้ช่วย แต่เราอยากอยู่ด้วยกัน พ่อก็สังเกตเห็นจนกระทั่งไปว่าเขา เพราะไม่รู้ว่าเราจะมีความสัมพันธ์กัน

มีคิดถอดใจไม่คบกันมั้ย?
ป๊อป : มีเล็กๆ น้อยๆ จากการคาดหวังสูง มีน้อยใจ งอนบ้างครับ

คาดหวังสูงคืออะไร?
ป๊อป : อยากให้ได้ดี และประสบความสำเร็จ ก็จะคาดหวังไปตามอารมณ์

เอก : อันนี้เป็นความผิดพี่เอง เราอยู่ในสังคมหลายสังคม ก็รู้สึกว่าถ้ารู้จักเทคนิคตรงนี้ รู้จักวิธีอยู่ตรงนั้น อยู่เป็น เขาจะสบายขึ้น แต่ลืมไปว่านั่นคือชีวิตเขา เขาต้องเรียนรู้เอง เขาต้องรู้เอง ตอนแรกเราก็เอาแต่ใจ อยากให้เขารู้ทันที ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ซึ่งเป็นเจตนาดี

ถ้าย้อนกลับไป ครอบครัวไม่ซัปพอร์ต?
เอก : หมายถึงแม่พี่ล่ะสิ (หัวเราะ)

ป๊อป : ตอนแรกก็รู้สึกว่าต้องเอาชนะใช่มั้ยครับ แต่พอระยะเวลาผ่านไป ก็เข้าใจความเป็นแม่ที่รักลูก เขาก็อยากให้มีคู่ครองที่ดีเหมาะสม

เอก : แม่ไม่ได้ห้าม แต่ใช้เวลาอยู่นาน เหมือนทดสอบพี่ด้วย ว่าแน่ใจเหรอ เป็นตามแฟชั่นหรือเปล่า แต่แม่แม่ที่รักลูกจริง สุดท้ายก็อยากให้ลูกมีความสุข แต่บางครั้งการมีความสุขใช้เวลานานในการมอง ว่าเขามีความสุขจริงหรือเปล่า พอรู้ว่ามีความสุขจริงก็เบาลงเยอะ ตอนแรกไม่เชิงห้าม แต่แข็ง ไม่ยอม

ทำยังไงถึงชนะใจ?
ป๊อป : ต้องใช้เวลาเหมือนกันครบ ต้องขับรถให้ ทานอะไรก็จะพาแม่ไปทาน เอาใจขนาดนั้นเลยครับ

เอก : ป๊อปเขาถ่อมตัว เขาพยายามให้แม่พี่เห็นว่าเขาอยู่ด้วยแล้วพี่มีความสุข แต่เราก็มีความสุขซึ่งกันและกัน ถ้าอยากชนะใจบ้านไหนลูกเขาต้องมีความสุข ถ้ามีตรงนั้นเขาจะยอมรับได้หมด ตามประสบการณ์

ยุคพี่เอก การเป็น LGBTQ มันยากมากที่ครอบครัวจะยอมรับ ยิ่งพี่เอกมีฐานะทางสังคม แบกรับไว้หนักอึ้งมากๆ ตอนนั้นมีผลอะไรกับภาระทางใจเราบ้าง?
เอก : จริงๆ ก่อนหน้านั้นอีก ตำแหน่งการเมืองตำแหน่งแรกคือโฆษกรัฐบาล โฆษกประจำสำนักรัฐมนตรี คบกันแล้ว แล้วเขาก็เริ่มรู้แล้ว แต่สุดท้ายตัดสินใจโทรไปปรึกษาเขา อยู่บนรถเมล์ มีมือถือใหม่ๆ ถามเขาว่าพี่จะเป็นโฆษกรัฐบาล จะยังไงหรือเปล่า

ป๊อป : ตอนนั้นไม่รู้จะตัดสินใจยังไง โหนรถเมล์นะครับ (หัวเราะ) ก็บอกว่าเป็นประโยชน์เพื่อประชาชนก็เป็นครับ

ภาระทางสังคมหนักอึ้ง มีการเหยียดเพศ โดนด้วยมั้ย?
เอก : มากครับ สมัยนั้นทางการเมืองเอามาด้อยค่า โจมตี เขาจะไม่บอกว่าเป็นเกย์ไม่ดี เป็นเกย์ผิด พวกนี้จะเก่งจะบอกว่าจักรภพเหรอ อ่อนไหวเกินไป

คนรอบข้างทราบมั้ย?
เอก : จริงๆ ของแบบนี้ปิดกันไม่มิด มันรู้ ยิ่งวงการเมือง ผู้ชายชอบโชว์แมน เขาก็จะต้องโชว์ผู้หญิง โชว์แฟน เมื่อเราไม่มี เขาก็เอ๊ะ ผิดปกติหรือเปล่า เขารู้ แต่อาจไม่พูด

เส้นทางความรักจุดเริ่มต้นมาจากเป็นแฟนคลับ ไปซื้อหนังสือแล้วให้พี่เอกเซ็น?
ป๊อป : ตอนนั้นจักรภพเขียนหนังสือขอบฟ้าที่ตาเห็น เป็นการเล่าเรื่องการท่องเที่ยวต่างประเทศ เราก็เลยซื้อมาอ่าน พอดีมีงานที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ ตอนนั้นทำงานอยู่ที่นั่นก็เลยลงไปขอลายเซ็น ให้เขียนให้ที่หน้าปก ก็ไปต่อแถว ขอลายเซ็น บอกว่าชอบอ่านมากเล่มนี้

ปิ๊งเลยมั้ย?
ป๊อป : ตอนนั้นก็เริ่มชอบ

เอก : พี่ว่าพี่ปิ๊ง พี่ว่าตาเขาสวย แต่ไม่รู้ว่าความรู้สึกคืออะไร คิดว่าชอบเขา แต่มันจะเป็นไปได้เหรอ ตอนนั้นก็เหมือนทุกคน ถึงรู้ว่าชอบแต่ไม่รู้ว่าชอบแบบไหน ชอบคนอายุเท่ากัน ชอบเด็กอายุน้อยกว่า ยังไม่แน่ใจ

ปิ๊งตั้งแต่วันเขามาเซ็นหนังสือ?
เอก : ก็ชอบเลย แต่ไม่ได้ให้หนังสือฟรีนะ ยังขายให้เขา (หัวเราะ)

จากแววตาคู่นั้น ใครขอเบอร์ใคร?
ป๊อป : รู้สึกคุณจักรภพให้นามบัตรครับ

เอก : บอกว่าอยากชวนมาช่วยทำงาน สรุปเอาเองแล้วกัน ว่ามีแผนในใจหรือเปล่า (หัวเราะ) รู้ว่าเขาคล่องดี เขาหน้าตาแบบนี้ ก็เชิญมา

ป๊อป : ตอนนั้นไปกับเพื่อน เพื่อนก็แซวว่าให้นามบัตรด้วย เธอต้องโทรไปนะ

ตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีหรือยัง?
เอก : ยังครับ ตอนนั้นเป็นสื่อ อีกไม่นานก็เข้าเป็นโฆษกรัฐบาล กำลังข้ามระหว่างสื่อกับการเมือง

จากนามบัตร ติดต่อยังไง?
ป๊อป : อีกสักพักนึงถึงโทรไปบอกว่ายินดีจะไปช่วยงาน แล้วก็นัดเจอกันกินข้าว

เอก : ตอนนั้นเป็นบริษัทผลิตรายการข่าวสารคดี ก็ให้มาช่วย

พอได้กินข้าว ได้เจอกัน ความรู้สึกเริ่มชัดเจนขึ้นมั้ย?
เอก : สำหรับพี่ชัดเจนขึ้น เราอยากให้เขาตามไปนั่นนี่ มันเริ่มมากขึ้น

ป๊อป : ตอนนั้นก็เริ่มชวนไปงานสำคัญ ไปดูการทำงาน และให้ประสบการณ์ งานพระราชพิธี

ก่อนเจอพี่ป๊อป พี่เอกเคยมีแฟนมาก่อนมั้ย?
เอก : มี เคยมีแฟนทั้งผู้ชายและผู้หญิงมาก่อน อายุไม่น้อยแล้วตอนนั้น 30 กว่าแล้ว มีตั้งแต่เรียนหนังสือ

เจอพี่ป๊อป รู้สึกว่าคนนี้แหละที่มั่นใจ?
เอก : มันทำให้เราไม่มั่นใจ เพราะผู้หญิงที่เราคบเราก็รัก ผู้ชายที่เราคบเราก็รัก เราก็ถามตัวเองว่าเอ๊ะมันเป็นยังไง แบบนี้เขาเรียกว่าไบหรือเปล่า ชอบทั้งผู้หญิงและผู้ชาย จนตอนหลังเราบอกตัวเองว่ามันไม่น่าใช่ มันไม่ 50-50 มันไปทางผู้ชายมากกว่า เราเลยเรียกตัวเองว่าเกย์ ทั้งที่ไม่ได้บอกใคร บอกกับตัวเอง ป๊อปไม่ได้เผชิญปัญหารอบข้างอย่างเดียว เผชิญความไม่แน่ใจของพี่ด้วย กว่าจะคบเป็นแฟนพี่ต้องมั่นใจ ถึงจะเริ่ม

คบกัน 8 ปี เหมือนแฮปปี้ แต่อยู่ๆ มีเหตุการณ์ทำให้ห่างแบบไม่ได้ร่ำลา?
ป๊อป : มันคือวิกฤตทางการเมือง

เอก : พี่ต้องออกนอกประเทศแบบกะทันหัน ก็รู้อยู่ว่าสงสัยอยู่ไม่ไหวแล้ว แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ เราก็หลอกตัวเองนิดๆ ว่าคงไม่ เดี๋ยวดีขึ้น แต่พอมันเกิดปั๊บ มีเวลาตัดสินใจไม่ถึงครึ่งชม. เพราะการออกไปแบบนี้ต้องมีวิธี ต้องมีช่องไฟ ไม่มีเวลามานั่งระบายความรู้สึก ก็บอกว่าพี่ต้องไปแล้ว พี่ขับรถมากับเขา แล้วต้องขึ้นรถอีกคัน ก็บอกว่าฝากรถกลับด้วย จำได้เลยว่าพอพูดคำนั้นขึ้นมา ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเราจะต้องแยกกัน สุดท้ายพี่ขึ้นรถตู้ เขาขับตามรถตู้ แล้วก็โบกมือลากัน พอเลี้ยวจากกันก็ฉีกออกจากกัน

ตอนนั้นเป็นไง?
ป๊อป : ร้องไห้ กลับมาตั้งหลักที่จะอดทน รอเวลาเจอกันครับ

คิดว่าการจากกันครั้งนั้น ไม่น่ายาวนานอะไรมาก?
เอก : สุดท้าย 15 ปี แต่ในวันที่ลา นึกว่า 1 ปี 2 ปี เดี๋ยวก็เจอกัน มันก็ทนไหว ถ้ารู้ว่า 15 ปี ตอนนั้นคงแย่

รักแบบระยะไกล ทำได้ไง เห็นว่ามีข้อตกลงซึ่งกันและกัน?
ป๊อป : บอกเลยว่าถ้ามีแฟนหรือมีใครมาอยู่ด้วยให้มาบอกกัน แต่อย่าทำให้เขาเสียใจ

เอก : มันไม่แฟร์ต่อเขา ที่จะให้คอยไปไม่รู้เท่าไหร่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผู้หญิงหรือผู้ชาย เราไม่ควรให้ใครรอทั้งนั้น พี่เลยเปิดทางตรงนี้ ทั้งที่กลัวเขาจะเลือกทางนั้น แต่ตัวช่วยคือตอนนั้นเริ่มมีโซเชียลมีเดีย มีสไกป์ ก็ช่วยได้ วันนั้นเห็นหน้าครั้งแรกหลัง 3 เดือน พี่พูดไม่ออกเลย มันเป็นเรื่องใหม่ ส่วนการสัญญา สัญญาเพราะเราคิดถึงเขา ไม่ได้คิดจะทดสอบทั้งนั้น หากมีโอกาสได้อยู่ด้วยกัน คงได้มาไกลมั้ง ตอนนั้นไม่ได้คิดว่า 15 ปี ถ้ารู้ว่า 15 ปีคิดว่าคงไม่รอด ตอนนั้นพี่บอกเขาตรงๆ ว่าจากนี้สัญญาอะไรไม่ได้แล้วนะ สัญญาไม่ได้ว่าจะอยู่ด้วยกัน แต่สัญญาว่าจะรัก ฉะนั้นเขามีสิทธิ์เลือกทางอื่น แต่เขาไม่เคยปฏิเสธ ใช้การกระทำของเขาเรื่อยมาจนถึงวันนี้ เรื่องนี้อ่อนไหวเกินไปที่จะมาพูดถึงบ่อยๆ

ไม่ได้สัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันเมื่อไหร่ แต่สัญญาว่าจะรัก 15 ปีทางไกล ทำไมยังตั้งตารอ?
ป๊อป : น่าจะเป็นความรักที่ยาวนานและเป็นรักที่ทรหด ไม่เหมือนความรักปั๊ปปี้เลิฟ เป็นความรักที่ต่างชนชั้นและเป็นความรักที่เสียสละ

ทำไมไม่ว่อกแว่ก?
ป๊อป : น่าจะเห็นใจเขาครับ ที่ต้องลี้ภัยด้วย และต้องดูแลตัวเองยังไง

15 ปี มีโอกาสได้เจอกันมั้ย?
ป๊อป : เจอครับ มีโอกาสไปหากัน

เอก : พี่อยู่หลายประเทศ บางประเทศก็ง่ายที่จะไปเจอ บางประเทศก็ยาก แต่ยุคนั้นต้องวางแผนให้ดี เพราะมีอันตรายทั้งต่อเขาและต่อเรา บางประเทศก็ไม่ไปเลย

ห่างกัน 3 เดือนแรกถึงได้เห็นหน้าครั้งแรกด้วยการสไกป์?
เอก : พี่ยกมือไหว้สไกป์เลย (หัวเราะ) 3 เดือนติดต่อกันไม่ได้ เขาก็ไม่รู้เราเป็นยังไง เราก็ไม่รู้เขาเป็นยังไง เพราะติดต่อกันไม่ได้

ป๊อป : อีก 3 เดือนถึงได้เจอกัน
เอก : ครึ่งปี สำหรับการคอยนับ มันนาน (หัวเราะ)

หลายคู่รอคอยการสมรสเท่าเทียม คู่นี้ก็รอเหมือนกัน ตอนนี้ผ่านแล้ว สามารถแต่งงานจดทะเบียนได้ วางแผนแต่งงานเมื่อไหร่?

เอก : เร็วเท่าที่จะเร็วได้ครับ

ป๊อป : แพลนก็ต้องเป็นเจ้าบ่าวตัดสินใจ (หัวเราะ)

เอก : ตอนนี้ยุ่งงานนิดหน่อย พอเคลียร์งานปั๊บก็จดทะเบียนทันที ไม่มีอะไรก็เดินไปจดทะเบียนตามกฎหมาย

จะจัดงานแต่งอย่างอลังการ?
เอก : (หัวเราะ) อันนี้มีคนพูดแทนให้ ก็ไม่ได้คิดเลยครับแต่อยากให้มีเพื่อนมาเยอะๆ อลังการหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่อยากให้มาเยอะๆ

ทำไมถึงให้ความสำคัญเรื่องการแต่งงาน หรือเท่าเทียมกัน?
ป๊อป : เห็นว่าเยาวชนหรือคนรุ่นใหม่ โดนเหลื่อมล้ำทางเพศเยอะ โดนบูลลี่ โดยเหยียด ทั้งจากที่บ้าน ครอบครัว และสถานศึกษา อยากให้ในอนาคต ให้เขามีที่ยืนครับ

เอก : พี่มีภาพอยู่ในใจอันนึง คือภาพของเกย์หรือตุ๊ด หรือกะเทย ที่ต้องทำตัวเป็นตัวตลกประจำกลุ่มให้เขายอมรับ สุดท้ายชีวิตต้องอยู่ตัวคนเดียวตอนแก่ ไม่อยากให้เขาเป็นแบบนั้น อยากให้มีทางเลือกมากกว่านั้น แต่ถ้าใครจะเลือกแบบนั้นเราก็ไม่ได้ว่าอะไร

เห็นว่าคำว่า LGBTQ จะเปลี่ยนไป?
เอก : เขามีการเสนอออกมา และประชาคมทั่วโลกเขายอมรับ ว่า LGBTQ คำว่า Q มาจาก เควียร์ มีความหมายว่าตัวประหลาด มันมีความหมายลบอยู่ในนั้น เขาเลยเสนอคำว่า I หรืออินเตอร์เซ็กส์ คือคำว่าระหว่างเพศเข้ามาแทน

อยากให้บอกความในใจกัน?
เอก : ความรักมีจริง คนที่เลิกเชื่อไปแล้วก็เชื่อได้ แต่ความรักของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่างพี่ไม่รู้หรอกว่าจะมาถึงวันนี้ ความอดทนเป็นกาวใจใหญ่ที่สุด เพราะเรามาจากคนละพ่อละแม่ อยากให้เขาเป็นแบบที่เป็นนี่แหละ และแก่ไปด้วยกัน

ป๊อป : ความรักคือการแบ่งปัน เสียสละซึ่งกันและกัน มีอะไรต้องคุยกัน ถ้ามีปัญหาที่แก้ไม่ได้ ขอให้อดทน และมองไปข้างหน้า แบ่งปันให้กับสังคม อยากบอกว่าถึงอายุมาก ก็อยากให้รักษาสุขภาพ เป็นตัวอย่างให้คนอื่นด้วยครับ (ผลัดกันจุ๊บโชว์)

ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.15-14.15 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama

เปิดความหมาย "ธงไพรด์" ทำไมต้องสี "รุ้ง"...?

"Pride Month" คือเทศกาลของชาว LGBTQ+ ที่จะจัดขึ้นในช่วงเดือน "มิถุนายน" ของทุกปี ซึ่งถือเป็นเดือนแห่งความภาคภูมิใจในความหลากหลายของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศทั่วโลก ที่จะออกมาเดินขบวนพาเหรด สวมชุดสีรุ้ง หรือประดับประดาตกแต่งอาคารบ้านเรือนด้วยธงหลากสี  เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ จลาจลสโตนวอลล์ (Stonewall Riots) อันเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิและความเท่าเทียมให้แก่กลุ่มความหลากหลายทางเพศมาจนถึงปัจจุบัน

ทำไมต้องเป็นสีรุ้ง...?

"ธงไพรด์" สัญลักษณ์ความเท่าเทียมบนความหลากหลายทางเพศ มีจุดเริ่มต้นมาจาก "กิลเบิร์ต เบเกอร์" ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธงชาติของสหรัฐอเมริกา ในวาระฉลองครบรอบ 200 ปี เมื่อปี 1976 โดยสีของ "รุ้ง" เกิดจากการรวมตัวของหลายสีมาเป็นหนึ่งเดียว เพื่อสร้างสีสัน เช่นเดียวกับความหลากหลายทางเพศ ดังนี้

- สีแดง หมายถึง ชีวิต

- สีเขียว หมายถึง ธรรมชาติ

- สีส้ม หมายถึง การเยียวยา

- สีน้ำเงินม่วง หมายถึง ความสามัคคี

- สีเหลือง หมายถึง แสงอาทิตย์ ที่ส่องสว่าง

- สีม่วง หมายถึง จิตวิญญาน อันแนาวแน่

- สีชมพู (Hotpink) หมายถึง เรื่องเพศ

- สีฟ้า (Turquoise) หมายถึง เวทมนต์

แต่ในปัจจุบัน ได้ลดจำนวนของสีบนธงลงเหลือเพียง 6 สี โดยสีที่ถูกถอดออกคือ สีชมพู (Hot pink) และ สีฟ้า (Turquoise) เนื่องจากเป็นสีที่มีความพิเศษ ทำให้ยากต่อการผลิต แต่ถึงแม้ว่าจะถูกลดทอนสีลง แต่ความหมายของสีต่างๆ ยังคงเหมือนเดิม


#PrideMonth #LGBTQ+ #ธงไพรด์ #ความหลากหลายทางเพศ
 

"LGBTQ+" ทั่วอีสานร่วมขบวนพาเหรดอีสานไพรด์ที่ขอนแก่น สุดยิ่งใหญ่

"LGBTQ+" ทั่วอีสานร่วมขบวนพาเหรดอีสานไพรด์ที่ขอนแก่นสุดยิ่งใหญ่ พร้อมแห่ขบวนขันหมากฉลองกฎหมายสมรสเท่าเทียม "ธีระศักดิ์" เผย หาก มท.มอบภารกิจ พร้อมรับทุกคนจดทะเบียนสมรส-แก้ไขคำนำหน้าชื่อ ทันที

เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 23 มิ.ย.2564  ที่บริเวณหน้าตึกแก่น ริม ถ.ศรีจันทร์ เขตเทศบาลนครขอนแก่น นายไกรสร กองฉลาด ผวจ.ขอนแก่น, นายธีระศักดิ์ ฑีฆายุพันธ์ นายกเทศมนตรีนครขอนแก่น พร้อมด้วย ส.ส.จากพรรคก้าวไกล,พรรคเพื่อไทย และพรรคไทยสร้างไทย ,นายภพพล เกษมสันต์ ณ อยุธยา ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวขอนแก่น ,พ.ต.อ.ชินวัฒน์ ศรีสวัสดิ์ รอง ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น,พ.ต.ท.รัฐปิติ ประเสริฐสม สวญ.สทท.1 กก.1.บก.ทท.2, นำชาวชุมชนในเขตเทศบาล ร่วมเดินขบวนพาเหรดอีสานไพร์ดเฟสติวัล 2020 ร่วมกับกลุ่มความหลากหลายทางเพศ ในหลายจังหวัดของภาคอีสานที่มาร่วมเดินขบวนพาเหรดตามถนนศรีจันทร์ มาจนถึงลานข้าวเหนียว ศูนย์การค้าเซ็นทรัลขอนแก่น เนื่องในเทศกาลไพรด์ Pride Month LGBTQ+ ประจำปี 2567 โดยมีผู้ร่วมขบวนพาเหรดกว่า 1,000 คน

โดยขบวนพาเหรดอีสานไพรด์เฟสติวัล 2024  ซึ่งกำหนดจัดที่ จ.ขอนแก่น ในครั้งนี้ได้กำหนดรูปแบบการเดินขบวนออกเป็นกว่า 20 ขบวน โดยกลุ่มควมมหลากหลายทางเพศต่างมาประชันความสวยงามด้วยการแต่งชุดตามเพศสภาพ ที่ตนเองชื่นชอบ  และการร่วมกันออกแบบขบวนพาเหรด กว่า 20 ขบวนที่ยิ่งใหญ่อลังการและสวยงามแต่ที่ได้รับความสนใจที่สุดนอกจากขบวนพาเหรดของชาวสีรุ้งที่ต่างประชันความงามกันแบบสุดๆแล้วยังคงมีการจำลองขบวนแห่ขันหมากตามขนบธรรมเนียมประเพณีไทย โดยมีคู่สมรส ที่พร้อมที่จะจดทะเบียนจริงทันทีที่ กฎหมายสมรสเท่าเทียมตามเป็นกฎหมายทันที

นายธีระศักดิ์ ฑีฆายุพันธ์ นายกเทศมนตรีนครขอนแก่น กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับกลุ่มความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTQ+ที่วันนี้ทุกคนนั้นฝันเป็นจริงหลัง กฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่าน มติ สว.แล้วและเตรียมดำเนินการเสนอตามขั้นตอนของการตราเป็นข้อกฎหมาย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเปิดกว้างและการยอมรับกลุ่มความหลากหลายที่ทุกคนจะมีสิทธิ์ที่เท่าเทียมและแสดงออกได้อย่างเต็มที่ ภาพของการบูลลี่ หรือการไม่ยอมรับนั้นจากนี้ไปจะไม่มีอีกแล้ว

"เทศบาลฯในฐานะนายทะเบียนท้องถิ่นหากกระทรวงมหาดไทยได้ถ่ายโอนภารกิจหรือมอบภารกิจในกฎหมายใหม่ที่จะมีขึ้น ทั้งการเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อ หรือการจดทะเบียนสมรส เทศบาลฯก็พร้อมที่จะดำเนินการดังนั้นในระยะนี้เมื่อความชัดเจนในด้านกฎหมาย บทเฉพาะกาลหรืออำนาจหน้าที่ใดๆที่เทศบาลฯจะดำเนินการได้ในกฎหมายสมรสเท่าเทียมที่จะมีขึ้นเทศบาลฯพร้อมที่จะดำเนินการทันที"

"ยิ่งลักษณ์" โพสต์! ยินดี "กฎหมายสมรสเท่าเทียม" เกิดขึ้นในประเทศไทย

เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.67 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่าน X ชื่อบัญชี้ "Yingluck Shinawatra" ระบุว่า ตอนเป็นนายกฯ เราฝันเห็นภาพคู่รักทุกคู่มีสิทธิเท่ากัน รัฐบาลและสภาฯในขณะนั้นจึงเริ่มผลักดัน พ.ร.บ. คู่ชีวิต เพราะเราเชื่อว่า ถ้าเริ่มต้นนับ 1 ได้ก่อน ไม่นานจะถึงเส้นชัยได้แน่นอน 

เส้นทางการต่อสู้ยาวนานมาจนถึงวันนี้ วันที่ กฎหมายสมรสเท่าเทียม เกิดขึ้นในประเทศไทย นี่คือความร่วมมือร่วมใจกันของทุกฝ่าย ทั้งภาคประชาชน รัฐบาล และฝ่ายนิติบัญญัติ คนไทยทุกคน คู่รักทุกคู่ จะสามารถแต่งงานกันได้ และจะมีสิทธิเท่าเทียมกันโดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติ

ดิฉันดีใจมาก ที่เคยได้เป็นส่วนหนึ่งในเส้นทางสายนี้ และยินดีกับความสำเร็จของกฎหมาย ‘ความรัก’ เราเลือกได้ด้วยหัวใจ ไม่ว่าจะรูปแบบไหน ดิฉันภูมิใจกับทุกคนเสมอค่ะ


#สมรสเท่าเทียบ #ยิ่งลักษณ์ชินวัตร #LGBTQ #ข่าววันนี้