INET จับมือ AWS พลิกโฉมบริการทางการแพทย์ พัฒนา Application Telemedicine สั่งจ่ายยาอัตโนมัติ ผ่านตู้ Advance Vending

บริษัท แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มและการออกแบบพัฒนาระบบ Smart Vending Machine ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ บริษัท อินเทอร์เน็ต ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านบริการโครงสร้างพื้นฐานไอซีที และให้บริการด้าน Cloud Solution และ Digital Platform ครบวงจร โดยการลงนามความร่วมมือครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนา Local Cloud และ ดิจิทัลแพลตฟอร์มของไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับสากล ด้วยการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ทันสมัยและมีความปลอดภัยสูง รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงในยุค Digital Transformation ความร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงในโครงสร้างพื้นฐานของธุรกิจไทยเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้ธุรกิจไทยสามารถเติบโตในระดับสากล โดยไม่ต้องพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานจากต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจไทยมีความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ INET และ AWS ได้ร่วมกันพัฒนาโซลูชันที่ใช้เทคโนโลยี ระหว่างแอปพลิเคชัน Telemedicine ของ INET และ ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ Advance Vending ของ AWS เพื่อยกระดับการให้บริการทางการแพทย์ผ่านระบบอัตโนมัติ และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานในยุคดิจิทัล ทำให้การรักษาพยาบาลสะดวกขึ้น 

วันที่ 9 เมษายน 2568 ดร.วิโรจน์ ศิริรัตนรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผมต้องขอขอบคุณ คุณมรกต กุลธรรมโยธิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ ในการมุ่งเน้นเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ทันสมัย เพื่อรองรับการใช้งานที่ปลอดภัย มีเสถียรภาพ และสามารถขยายขีดความสามารถของธุรกิจไทยให้แข่งขันได้ในยุค Digital Transformation นอกจากนี้บริษัทยังได้ร่วมพัฒนาตู้ Advance Vending ที่เป็นตู้จ่ายยาอัตโนมัติ Api เชื่อมกับ แอปพลิเคชัน Telemedicine ที่จะทำให้แพทย์สามารถให้คำปรึกษาผ่านช่องทางออนไลน์ และสั่งจ่ายยาให้กับผู้ป่วยจากระยะไกล โดยระบบนี้จะทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านตู้จำหน่ายอัตโนมัติ ช่วยให้การรักษาพยาบาลรวดเร็วขึ้น”

นางมรกต กุลธรรมโยธิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ดิฉันในนามบริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ INET เป็นผู้ให้บริการ Local Cloud และ Digital Platform ของคนไทยมากกว่า 30 ปี มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมมือกับทางบริษัท แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ความร่วมมือนี้ เพื่อผลักดัน Local Cloud และแพลตฟอร์มดิจิทัลของไทยให้ก้าวสู่มาตรฐานระดับสากล และยังเป็นการส่งเสริมให้ประเทศไทยมีเทคโนโลยีคลาวด์ ลดการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานจากต่างประเทศ และช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถดำเนินงานบนแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ได้อย่างแท้จริง ในโลกดิจิทัลที่ความมั่นคงปลอดภัย และเป็นการขยายขีดความสามารถของธุรกิจไทยให้สอดคล้องกับการเข้าสู่ยุค Digital Transformation ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

โดยการร่วมมือกันในครั้งนี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจไทยปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืน พลิกโฉมบริการทางการแพทย์ด้วยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยนำช่วยปรับปรุงและพัฒนาการให้บริการทางการแพทย์มีประสิทธิภาพและทันสมัยมากยิ่งขึ้น


INET ลงนาม MOU ร่วมกับ AWS ขับเคลื่อน Local Cloud และแพลตฟอร์มไทยก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน

INET ลงนาม MOU ร่วมกับ AWS ขับเคลื่อน Local Cloud และแพลตฟอร์มไทยก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน

ดร.วิโรจน์ ศิริรัตนรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AWS และนางมรกต กุลธรรมโยธิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ INETร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อส่งเสริมและผลักดันธุรกิจ Local Cloud และ Platform ของคนไทย ณ อาคารไทยซัมมิท ทาวเวอร์ ชั้น IT เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2568 โดยความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ทันสมัยของไทย รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลที่ก้าวล้ำ เพิ่มศักยภาพด้านความปลอดภัยให้กับภาคธุรกิจไทย ทั้งยังเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีให้สอดคล้องยุค Digital Transformation อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย ให้เติบโตอย่างมั่นคง และสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไทยต่อไป นอกจากนี้ยังมีแผนการดำเนินการร่วมกัน ในการเชื่อมต่อบริการ Telemedicine ของ INET เข้ากับผลิตภัณฑ์ Vending Machine ของ AWS เพื่อยกระดับการให้บริการทางการแพทย์ผ่านระบบอัตโนมัติ เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานในยุคดิจิทัล

โดยการจับมือระหว่าง AWS และ INET ครั้งนี้ นับว่าเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัย พร้อมคลาวด์ โซลูชันและแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพสูง มั่นคง ความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

INET ปี 67 กำไร 384.96 ล้านบาท โตแรง 64.35% ตอกย้ำผู้นำ Local Cloud Service มุ่งสู่การให้บริการ Platform Service Provider    

INET โชว์ผลการดำเนินงานปี 67 กวาดรายได้จากการขายและให้บริการ 2,531.14 ล้านบาท เติบโต 21.14% พร้อมกำไรสุทธิ 384.96 ล้านบาท ตอกย้ำความสำเร็จจากบริการ Cloud Service และ Digital Platform Service ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เตรียมจ่ายเงินปันผลปี 67 ให้ผู้ถือหุ้นที่อัตรา 0.119 บาทต่อหุ้น เดินหน้าตามแผน 2568 เสริมความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำ Local Cloud Service พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลสร้างความมั่งคั่งและยั่งยืน วางเป้าหมายปี 2568 ทำรายได้เติบโต 27%

นางมรกต  กุลธรรมโยธิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ INET ผู้ให้บริการ Local Cloud Service และ Digital Platform Service เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้บรรลุเป้าหมายผลการดำเนินงานปี 2567 โดยมีรายได้จากการขายและให้บริการอยู่ที่ 2,531.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.14% และมีกำไรสุทธิ 384.96 ล้านบาท เติบโต 64.35% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่หากหักกำไรพิเศษทางบัญชีจากการตีมูลค่าราคาสินทรัพย์ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไอเน็ต (INETREIT) ราว 90 ล้านบาท จะส่งผลให้กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (Core Profit) เท่ากับ 294.96 ล้านบาท ยังคงเติบโตที่ 25.92% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยปัจจัยการเติบโตมาจากการวางกลยุทธ์ยกระดับการให้บริการเข้าสู่ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน (Digital Transformation) สร้างความยืดหยุ่นในการดำเนินงานและช่วยบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ฐานลูกค้าภาครัฐและภาคเอกชนขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ด้านการให้บริการ Digital Platform Service ยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโซลูชั่นด้านระบบการจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ การบริการแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์และโรงพยาบาลจัดการข้อมูลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนการให้บริการ Cloud Service อาทิ บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) ที่ช่วยให้องค์กรมีความยืดหยุ่นในการจัดการทรัพยากรด้านไอที ส่งผลให้จำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็น 5,030 ราย เติบโตกว่า 61.68% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และจำนวน VMIs สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้อยู่ที่ 64,303 VMIs เติบโตกว่า 78.69% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็นจำนวน VMIs ที่ปิดเป็นรายได้ในปี 2567 เท่ากับ 60,033 VMIs และ VMIs ที่เป็น Backlog ที่จะเข้าเป็นรายได้ในไตรมาส 1/2568 จำนวน 4,270 VMIs อีกทั้งยังมาจากการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ โดยต้นทุนขายและให้บริการปี 2567 อยู่ที่ 1,138.59 ล้านบาท ลดลง 12.87% จากปีก่อนหน้า

ทั้งนี้จากความสำเร็จของผลการดำเนินงานดังกล่าว ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 มีมติเห็นชอบการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการประจำปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.119 บาท เป็นจำนวนเงิน 71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากปี 2566 ที่จ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.116 บาท หรือคิดเป็น 58 ล้านบาท โดยกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 และจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 นี้ 

สำหรับแผนธุรกิจปี 2568 บริษัทฯ เดินหน้าสร้างการเติบโตตามยุทธศาสตร์ ยกระดับสู่การเป็นผู้นำด้าน Local Cloud Service และ Platform Service Provider โดยมุ่งลงทุนและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ช่วยลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ พร้อมกับพัฒนาบุคลากรดิจิทัล เพื่อสร้างแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ความต้องการของทุกภาคส่วน และเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ระดับสูง เพื่อสนับสนุนประเทศไทยให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสมและสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ โดยตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2568 เติบโต 27% จากปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจาก Cloud Service เป็นหลัก คาดว่าจำนวน VMIs จะเพิ่มขึ้นเป็น 120,000 VMIs เติบโตกว่า 86%  สะท้อนถึงความต้องการใช้งานที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

              

สสว.ร่วมกับ INET เพิ่มโอกาส SME ขยายตลาด สร้างยอดขายในช่วงมาตรการลดหย่อนภาษีปี 2568

สสว.ร่วมกับ บมจ.อินเตอร์เนตประเทศไทย ขยายโอกาส SME รับประโยชน์ในช่วงโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจจากมาตรการลดหย่อนภาษีปี 2568 เชิญชวน SME โดยเฉพาะกลุ่ม OTOP วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม เปิดร้านค้าบน Nex Gen Commerce พร้อมขึ้นทะเบียน e-Tax & e-Receipt ฟรี ตั้งแต่วันนี้-15 ก.พ.68

เมื่อวันที่ 27 ม.ค.68 นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสากิจขนาดกลางและขนาดย่อม รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า ตามที่ สสว.ได้ร่วมกับบริษัท อินเตอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) (INET) ในการให้สิทธิประโยชน์กับผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี โดยการเสริมสร้างขีดความสามารถด้วยการถ่ายทอดความรู้ ให้คำปรึกษาแนะนำการดำเนินธุรกิจ เพื่อขยายโอกาสทางการตลาดโดยเฉพาะช่องทางตลาดออนไลน์ผ่าน Nex Gen Commerce Platform รวมถึงให้บริการ เช่น E-Tax Invoice, E-Factoring พร้อมทั้งสิทธิประโยชน์ต่างๆ ซึ่งบางสิทธิประโยชน์ได้ครบกำหนดการให้บริการแล้ว แต่เพื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีโดยเฉพาะวิสาหกิจรายย่อย ทั้งที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แล้วและยังไม่ได้จด VAT มีโอกาสได้รับประโยชน์จากมาตรการ Easy E-receipt 2.0 หรือมาตรการลดหย่อนภาษีปี 2568 ของรัฐบาล พร้อมทั้งเป็นการยกระดับธุรกิจให้ก้าวสู่ยุคดิจิทัล จึงได้มีการขยายระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม

โดยสิทธิประโยชน์ดังกล่าวสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกลุ่ม OTOP วิสาหกิจชุมชนและวิสาหกิจเพื่อสังคม ที่เปิดร้านค้าบน Nex Gen Commerce ตั้งแต่บัดนี้ - วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 จะสามารถขึ้นทะเบียน e-Tax Invoice & e-Receipt ได้ง่ายๆ พร้อมรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม คือ บริการ E-Tax Invoice ฟรี 200 Transection ต่อเดือน เป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการมีโอกาสในการขายสินค้าเพิ่มมากขึ้นในช่วงโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลผ่านมาตรการ Easy E-Receipt 2.0 ตั้งแต่ 16 มกราคม-28 กุมภาพันธ์ 2568 เนื่องจากผู้บริโภคทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ต้องการซื้อสินค้าจากร้านค้าที่สามารถออกใบเสร็จรับเงินเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีประจำปี 2568 ได้ โดยค่าซื้อสินค้า OTOP วิสาหกิจชุมชนและวิสาหกิจเพื่อสังคม สามารถหักลดหย่อนภาษีได้ถึง 50,000 บาท จึงขอเชิญชวน เอสเอ็มอี กลุ่มวิสาหกิจรายย่อย ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของมาตรการลดหย่อนภาษีปี 2568 ใช้สิทธิเพื่อรับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว สำหรับกิจการที่ยังไม่มี e-Tax & e-Receipt ลงทะเบียนได้ https://forms.gle/aCoazfLE6qaTY1Fq8

นอกจากนี้ สสว. ยังมีแผนที่จะเชื่อมโยงความร่วมมือในการสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ขายสินค้าให้กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้รับสิทธิประโยชน์จากการเข้าร่วมโครงการ VAT Refund for Tourists หรือ VRT เพื่อเป็นการขับเคลื่อนและเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ในภาคการท่องเที่ยว โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาออกสิทธิประโยชน์และแพคเกจสนับสนุนเอสเอ็มอีขึ้นทะเบียน VRT เพื่อเป็นบริการภายใต้โครงการส่งเสริมผู้ประกอบการผ่านระบบ BDS (Business Development Service) ของ สสว. ซึ่งจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าว ให้กับผู้ประกอบการที่เข้ารับบริการในสัดส่วนร้อยละ 50-80 วงเงินสูงสุด 200,000 บาทต่อราย ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการเข้าสู่ระบบ

อย่างไรก็ดี สำหรับบริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หน่วยงานพันธมิตรในความร่วมมือดังกล่าว เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และ บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ เป็นผู้ถือหุ้น ดำเนินธุรกิจเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีของประเทศ ทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้าน Infrastructure และ Digital Platform รวมทั้งให้บริการด้าน IT Solution แบบครบวงจรสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการนำ IT มาเป็นเครื่องมือเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ อาทิ บริการคลาวด์ ดิจิทัลเซอร์วิส บริการ e-Tax รวมถึงบริการด้านการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้นักท่องเที่ยว e-VRT ที่มีประสิทธิภาพและมาตรฐานในระดับสากล ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำคัญในการสนับสนุนให้ SME นำเทคโนโลยี เข้ามาเป็นประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจ

#สสว #ข่าววันนี้ #INET #เอสเอ็มอี #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

INET เปิดบ้านต้อนรับนักลงทุน เยี่ยมชมศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลคอมพิวเตอร์ INET-IDC3

INET เปิดบ้านต้อนรับนักลงทุน เยี่ยมชมศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลคอมพิวเตอร์ INET-IDC3

บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ INET ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีแบบครบวงจร เปิดบ้านต้อนรับนักลงทุนเข้าเยี่ยมชมศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลคอมพิวเตอร์ INET-IDC3 ณ ศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลคอมพิวเตอร์ INET-IDC3 จังหวัดสระบุรี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2567 ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีดิจิทัล โชว์ศักยภาพศูนย์ข้อมูลที่ทันสมัย ระบบรักษาความปลอดภัยมาตรฐานสากล เดินหน้าขยายฐานลูกค้า สร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน พร้อมเยี่ยมชมศูนย์ปฏิบัติการ, อาคาร Utility INET-IDC3 และโครงการ Solar Farm นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้จัดกิจกรรม ‘นักลงทุนพบผู้บริหาร’ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 ณ ห้องประชุม INET HALL ชั้น IT อาคารไทยซัมมิท ทาวเวอร์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้ร่วมรับฟังการบรรยายแผนการดำเนินธุรกิจ และผลการดำเนินงาน พร้อมพูดคุยกับผู้บริหารอย่างใกล้ชิด สร้างความเข้าใจในศักยภาพและทิศทางการเติบโตของ INET ซึ่งจะร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้แก่ประเทศ

 

INET MOU กับ SME D BANK ร่วมโครงการ “Nex Gen Commerce” ส่งเสริม SMEs ไทยก้าวสู่ยุคดิจิทัล 4.0

INET MOU กับ SME D BANK ร่วมโครงการ “Nex Gen Commerce” ส่งเสริม SMEs ไทยก้าวสู่ยุคดิจิทัล 4.0

นางมรกต กุลธรรมโยธิน กรรมการผู้จัดการ บมจ.อินเทอร์เน็ตประเทศไทย หรือ INET พร้อมด้วย นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D BANK ผู้ให้บริการสินเชื่อ Green Productivity และสินเชื่อประเภทอื่น ๆ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการ “Nex Gen Commerce” ร่วมมือกันพัฒนายกระดับผู้ประกอบการ SMEs ใช้เทคโนโลยีภาคบริการ สู่การค้าขายยุคดิจิทัล 4.0 ตลอดจนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อขยายธุรกิจและต่อยอดธุรกิจให้เติบโตสามารถแข่งขันธุรกิจระดับประเทศได้ต่อไป โดยความร่วมมือในครั้งนี้ INET เป็นผู้ให้บริการ Nex Gen Commerce แพลตฟอร์มค้าขายออนไลน์สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ไทย ที่มีฟีเจอร์ครบครันรองรับผู้ประกอบการธุรกิจทั้ง B2B หรือ B2C ส่วน “SME D BANK” ร่วมส่งเสริมการเข้าถึงสินเชื่อได้อย่างรวดเร็ว เพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตไปพร้อมกัน ณ อาคาร SME Bank Tower

               

INET โชว์ศักยภาพพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศ มุ่งสู่ผู้นำให้บริการ Platform Service Provider รองรับดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันและ AI

บมจ.อินเทอร์เน็ตประเทศไทย หรือ INET มุ่งสู่ผู้นำให้บริการ  Platform Service Provider ชูศักยภาพพัฒนานวัตกรรมแห่งเทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศ ต่อยอดสู่การสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัล ก้าวล้ำด้วย AI ขยายฐานลูกค้าภาคเอกชน องค์กรและธุรกิจ คาดการณ์ครึ่งปีหลังดีมานด์จากการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันเติบโต เม็ดเงินลงทุนแพลตฟอร์มดิจิทัลและการสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์พุ่ง

นางมรกต  กุลธรรมโยธิน  กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ INET ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีแบบครบวงจร เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ นำจุดเด่นการเป็นผู้พัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศ รุกขยายฐานธุรกิจสู่การเป็นผู้นำให้บริการ Platform Service Provider อย่างครบวงจร โดยจะขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใหม่ผ่าน AI (Artificial Intelligence) เพื่อเชื่อมต่อและสร้างการเติบโตร่วมกับทุกภาคส่วน พร้อมทั้งมุ่งตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของแต่ละภาคธุรกิจที่ต้องการทรานส์ฟอร์เมชัน ปรับตัวการเปลี่ยนผ่านเข้ายุค AI ที่กำลังเข้ามามีบทบาทในภาคธุรกิจและการทำงานอย่างมหาศาล

“INET เป็นผู้ให้บริการไอทีแบบครบวงจรที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญให้บริการ Cloud Service มีฐานลูกค้าแข็งแกร่งโดยเป็นเอกชนกว่า 4,000 ราย โดยการขยายขอบเขตสู่ผู้พัฒนา Platform Service Provider  เพื่อรองรับดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันขับเคลื่อนประเทศรับยุค AI จะช่วยสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืน ซึ่งเราประสบความสำเร็จอย่างสูง การพัฒนาแพลตฟอร์ม “หมอพร้อม” ภายใต้โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ เป็นแพลตฟอร์มระบบการดูแลสุขภาพที่เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของคนไทยทุกสถานพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน ช่วยทำให้คนไทยเข้าถึงสาธารณสุขได้ง่ายและมีคุณภาพ ภายใต้การมีระบบการเบิกจ่ายที่โปร่งใสและรวดเร็ว เรามั่นใจด้วยศักยภาพของ INET จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลเติบโตเพิ่มขึ้น”นางมรกตกล่าว

ทั้งนี้ บริษัทฯ มุ่งขยายการให้บริการ e-tax invoice, CA (Certificate Authority) หรือการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และการออกใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ขยายสู่ลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการขยายธุรกิจ Data Center เพื่อก้าวสู่การเป็นธนาคารดาต้า (Data Hub) ของประเทศไทย โดยนำศักยภาพแหล่งการจัดเก็บข้อมูลภายในประเทศที่ควบคุมและกำกับดูแลภายใต้กฎหมายไทย  รวมถึงความปลอดภัยของศูนย์ข้อมูลที่มีการรักษาความปลอดภัยสูงสุดตามมาตรฐานสากล  ภายใต้ค่าบริการที่แข่งขันได้

นอกจากนี้เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ INET เตรียมความพร้อมด้านบุคลากรครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการสร้าง Innovation Hub ที่ จ.เชียงใหม่ จ.ขอนแก่น และ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา  โดยจะเป็นศูนย์กลางส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี อีกทั้งยังร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ ผ่านการจัดฝึกอบรมหลักสูตรเชิงปฏิบัติการ เพื่อสร้างบุคลากรของประเทศมาร่วมขับเคลื่อนระบบนิเวศนวัตกรรมและรองรับกับความต้องการตลาดในอนาคต

ส่วนภาพรวมธุรกิจ Platform Service Provider ช่วงครึ่งปีหลัง 2567 คาดการณ์ภาครัฐและภาคเอกชน ต่างเดินหน้าปรับตัวสู่การดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน (Digital Transformation) ผ่านการขับเคลื่อนด้วยข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อทำการวิเคราะห์ คาดการณ์ และบริหารจัดการ ซึ่งในแต่ละองค์กรมีเป้าหมายการทำ Digital Transformation และการขับเคลื่อนธุรกิจที่แตกต่างกัน ทำให้ดีมานด์ด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันยังเติบโต ซึ่งบริษัทฯ มีความพร้อมด้านเครื่องมือที่ครบวงจร และสามารถเข้าไปช่วยลูกค้าในการทำ Digital Transformation ที่ตอบโจทย์ และรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพในงานทำงานดีมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้คาดการณ์ว่าการลงทุนของภาครัฐและเอกชน ให้ความสำคัญด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity)  เนื่องจากภัยคุกคามบนโลกไซเบอร์มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และอาจสร้างความเสียหายให้กับหน่วยงานและธุรกิจ โดยบริษัทฯ มีบริการรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉินทางไซเบอร์แบบครบวงจร ภายใต้ CO-SCRIT (Coordinated Security Response Incident Team) ช่วยให้ลูกค้ายกระดับความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับองค์กรธุรกิจ ทั้งการป้องกัน และรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ  มั่นใจว่าด้วยแผนธุรกิจที่วางไว้อย่างแข็งแกร่ง คาดการณ์ว่ารายได้ปี 2567 ของบริษัทฯ อยู่ที่ประมาณ  2,500 ล้านบาท เติบโต 20% จากปีก่อน  โดยรายได้หลักมาจาก  Cloud Service คาดการณ์จะมีจำนวน VMIs อยู่ที่ 66,500 VMI 

INET ส่งซิก Q3/66 ผลงานดีรับ Digital Transformation เดินหน้าสู่ Trusted Platform Service Provider ต่อยอดบริการ Cloud

INET แย้มผลงานไตรมาส 3/2566 ส่งสัญญาณดีต่อเนื่องจากไตรมาส 2/2566 รับอานิสงส์นโยบายภาครัฐขับเคลื่อน Digital Transformation ฟาก“มรกต กุลธรรมโยธิน” แม่ทัพหญิงเผย ปรับบทบาทสู่ Trusted Platform Service Provider มุ่งลงทุนในบริการ Platform ต่างๆ เพื่อต่อยอดการขยายการใช้งานของบริการ Cloud แก่กลุ่มลูกค้าเดิมและขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ พร้อมบุกตลาด Local Platform เพิ่มเติม ล่าสุด เร่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีทดแทนพึ่งพาต่างประเทศ ร่วมกับแผนบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ มั่นใจดันผลงานปีนี้โตตามเป้า

นางมรกต กุลธรรมโยธิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) (INET) ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีแบบครบวงจร เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินธุรกิจในไตรมาส 3/2566 (สิ้นสุด 30 ก.ย.66) มีทิศทางที่ดีต่อเนื่องจากไตรมาส 2/2566 ที่มีรายได้จากการขายและให้บริการ จำนวน 509.28 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 44.48 ล้านบาท เนื่องจากความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ส่งผลให้ภาคธุรกิจฟื้นตัว อีกทั้งภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมการขับเคลื่อนด้าน Digital Transformation ออกมาอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ของบริษัทฯ ที่มุ่งเข้าสู่ยุค Digital Transformation และปรับเปลี่ยนบทบาทจาก Cloud Service Provider เป็น Trusted Platform Service Provider มุ่งเน้นการลงทุนในบริการ Platform ต่างๆ เพื่อต่อยอดการใช้งานของบริการ Cloud ให้ทั้งลูกค้าเดิมและขยายไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มเติม พร้อมกับมุ่งมั่นบริหารต้นทุน เช่น การทำวิจัยและพัฒนา (R&D) เทคโนโลยีเป็นของตนเอง เพื่อทดแทนเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และการสร้างโซลาร์ฟาร์มเพื่อลดต้นทุนการใช้ไฟฟ้า

“บริษัทฯ คาดว่า ผลงานในไตรมาส 3 ของปีนี้ ยังมีการเติบโตที่ดี เนื่องจากภาครัฐมีนโยบายที่ชัดเจน ประกอบกับ INET มีการลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาเอง แทนการใช้เทคโนโลยีของต่างประเทศ รวมถึงโครงการโซลาร์ฟาร์ม เฟส 1 จังหวัดสระบุรี กำลังการผลิต 2 เมกะวัตต์ เพื่อลดต้นทุนค่าไฟฟ้าของศูนย์ Data คาดว่า จะสามารถ COD ภายในปีนี้ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้ผลประกอบการในไตรมาสที่ 3/2566 ของบริษัทฯ สามารถเติบโตได้ดี ทั้งในแง่ QoQ และ YoY และมั่นใจว่า จะสามารถสนับสนุนผลงานโดยรวมในปีนี้ให้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้”

อนึ่ง ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 2566 (สิ้นสุด 30 มิถุนายน 2566) มีกำไรสุทธิ 74.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 49.68 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายและให้บริการ 1,000.16  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้จากการขายและให้บริการ 973.56 ล้านบาท

 

INET ปลื้มหุ้นกู้ 800 ล้านขายเกลี้ยง นักลงทุนเชื่อมั่นธุรกิจ หนุนอนาคตโตต่อเนื่อง ครึ่งปีหลังรุกตลาด Local Platform ดันผลงานปีนี้เข้าเป้า

บมจ.อินเทอร์เน็ตประเทศไทย (INET) สุดปลื้ม หุ้นกู้มูลค่า 800 ล้านบาท ขายหมดเกลี้ยง ตอกย้ำนักลงทุนเชื่อมั่นพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง มองเห็นศักยภาพผลักดันอนาคตเติบโตต่อเนื่อง ฟากผู้บริหาร “มรกต กุลธรรมโยธิน” เผยครึ่งปีหลังลุยตลาด Local Platform - พัฒนานวัตกรรมต่อยอดธุรกิจ Cloud เต็มเหนี่ยว มั่นใจผลงานปีนี้เติบโตได้ตามเป้าหมาย

นางมรกต กุลธรรมโยธิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) (INET) ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีแบบครบวงจร เปิดเผยว่า ผลการเสนอขายหุ้นกู้ ครั้งที่ 3 ปี 2566 มูลค่า 800 ล้านบาท ให้แก่ ผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 4-6 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา โดยเปิดจองซื้อผ่าน 4 บริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีเยี่ยม และสามารถขายหมดเกลี้ยง ซึ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนในปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ และมองเห็นศักยภาพการเติบโตในอนาคตอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ การออกและเสนอขายหุ้นกู้ไม่มีประกันของบริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 3/2566 อายุ 2 ปี 4 เดือนและครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2569 ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน มีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 5.55% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้

“ผลการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก บริษัทฯ ขอขอบคุณผู้ลงทุนทุกท่านที่ให้การสนับสนุน INET สะท้อนถึง ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในการดำเนินธุรกิจ และจะนำเงินที่ได้ไปใช้สำหรับชำระคืนตราสารหนี้ที่ครบกำหนดชำระในปี 2566 และเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับเสริมสภาพคล่องภายในบริษัทในปี 2567 และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ” นางมรกตกล่าว

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจที่เหลือของปีนี้ บริษัทฯ ยังคงดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ของบริษัทเข้าสู่ยุค Digital Transformation และปรับเปลี่ยนบทบาทจาก Cloud Service Provider เป็น Trusted Platform Service Provider มุ่งเน้นการลงทุนในบริการ Platform ต่าง ๆ เพื่อต่อยอดการขยายการใช้งานของบริการ Cloud รวมถึงยังคงดำเนินการลงทุนในการพัฒนานวัตกรรม ผ่านการศึกษา วิจัย และพัฒนาของบุคลากรไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของบริษัทอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพการให้บริการแก่ลูกค้าและการบริหารต้นทุนอย่างเป็นระบบ พร้อมมุ่งเน้นการขายและให้บริการในกลุ่มธุรกิจที่มีอัตรากำไรที่ดี จึงมั่นใจว่า จะสามารถทำผลงานในปีนี้ให้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

INET ขายสินทรัพย์เข้า INETREIT มูลค่า 2,500-3,200 ล้าน บอร์ดอนุมัติเช่าทรัพย์สินเพิ่ม "INET-IDC3 เฟส 2" ยาว 30 ปี คาดทำธุรกรรมได้ใน Q1/67

บมจ.อินเทอร์เน็ตประเทศไทย (INET) เดินหน้าขายสินทรัพย์เข้า INETREIT มูลค่าประมาณ 2,500 - 3,200 ล้านบาท และเข้าลงทุนหน่วยทรัสต์ไม่เกิน 550 ล้านบาท ล่าสุดบอร์ดอนุมัติรายการเพิ่มเติม โดยให้ทำธุรกรรมเช่าทรัพย์สินโครงการ INET-IDC3 เฟส 2 จาก INETREIT เป็นระยะเวลา 30 ปี มูลค่าประมาณ 3,285 ล้านบาท คาดธุรกรรมจะเกิดขึ้นได้ภายในไตรมาส 1/2567 ฟากผู้บริหาร "มรกต กุลธรรมโยธิน" ระบุเตรียมนำเงินที่ได้ไปลงทุนรุกขยายธุรกิจรองรับการเติบโตในอนาคต ชำระหนี้เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

นางมรกต กุลธรรมโยธิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) (INET) ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีแบบครบวงจร เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2566 มีมติอนุมัติเพิ่มเติมรายละเอียดการได้มาซึ่งสินทรัพย์ ในส่วนของเงื่อนไขธุรกรรมการเช่าทรัพย์สิน เพื่อการดำเนินการในโครงการ INET-IDC3 เฟส 2 จากทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไอเน็ต (INETREIT) 

ทั้งนี้บริษัทจะเข้าทำธุรกรรมเช่าดำเนินงานโครงการ INET-IDC3 เฟส 2 ส่วนที่ 1 จาก INETREIT เป็นระยะเวลา 30 ปี นับตั้งแต่วันที่กองทรัสต์จดทะเบียนซื้อขายและรายการทางทะเบียนอื่นที่เกี่ยวข้องกับโครงการ INET-IDC3 เฟส 2 กับบริษัทฯ เป็นต้นไป โดยมีมูลค่าปัจจุบันของค่าเช่าตลอดอายุสัญญาเช่ารวมประมาณไม่เกิน 3,144 ล้านบาท โดยให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ภายใต้สัญญาเช่าทรัพย์สินเพื่อการดำเนินการ (อาคารโครงการ INET-IDC3 เฟส 2 ส่วนที่ 1) รวมทั้งบริษัทจะเข้าทำธุรกรรมเช่าดำเนินงานโครงการ INET-IDC3 เฟส 2 เพิ่มเติม สำหรับวางตู้ Rack พร้อมอุปกรณ์การเชื่อมต่ออื่นๆที่เกี่ยวข้องเป็นระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี โดยบริษัทฯ มีสิทธิในการต่ออายุระยะเวลาการเช่าตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญา โดยมีมูลค่าปัจจุบันของค่าเช่าสำหรับระยะเวลาการเช่า 3 ปีแรกประมาณไม่เกิน 141 ล้านบาท โดยให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ภายใต้สัญญาเช่าทรัพย์สินเพื่อการดำเนินการ (อาคารโครงการ INET-IDC3 เฟส 2 ส่วนที่ 1) ซึ่งธุรกรรมเช่าดำเนินงานโครงการ INET-IDC3 เฟส 2 จะเกิดขึ้นภายหลังจากที่บริษัทฯ จำหน่ายทรัพย์สินให้แก่กองทรัสต์ตามธุรกรรมการจำหน่ายทรัพย์สิน โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 

โดยเมื่อพิจารณาขนาดธุรกรรมการซื้อหน่วยทรัสต์ที่ออกและเสนอขายเพิ่มเติมซึ่งมีขนาดรายการไม่เกิน 550 ล้านบาท และธุรกรรมเช่าดำเนินงานโครงการ INET-IDC3 เฟส 2 ซึ่งเมื่อคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันจะมีมูลค่ารวมประมาณการตลอดอายุสัญญาไม่เกิน 3,285 ล้านบาท ขนาดรวมของธุรกรรมได้มาซึ่งสินทรัพย์ดังกล่าวเมื่อคำนวณโดยเกณฑ์เปรียบเทียบมูลค่ารวมของสิ่งตอบแทน จะมีขนาดรายการประมาณ 34.09% 

อนึ่ง ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทที่ผ่านมาได้อนุมัติให้บริษัทฯ ซื้อที่ดินจากบริษัท แมนดาลา คอมมูนิเคชั่น จํากัด (ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ INET) ได้แก่ ที่ดินที่ตั้งโครงการ INET-IDC3 เฟส 2,ที่ดินอันเป็นที่ตั้งอาคารสาธารณูปโภคส่วนกลางของโครงการ INET-IDC3 และ พื้นที่ถนนส่วนกลางของโครงการ INET-IDC3 (และให้รวมถึงดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนภาระจำยอมบนทรัพย์สินส่วนกลางของโครงการ INET-IDC3) เพื่อจำหน่ายที่ดินดังกล่าวให้แก่กองทรัสต์ ซึ่งธุรกรรมการจำหน่ายทรัพย์สิน จะเกิดขึ้นภายหลังจากที่ได้มีการเสนอขายหน่วยทรัสต์แล้ว พร้อมทั้งได้อนุมัติให้จำหน่ายสินทรัพย์แก่ INETREIT โดยการขายที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง และอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับการดำเนินงานโครงการ INET-IDC3 เฟส 2 ซึ่งรวมถึงตู้ Rack พร้อมอุปกรณ์การเชื่อมต่ออื่นๆที่เกี่ยวข้อง อุปกรณ์เทคโนโลยีขั้นสูง (Core Network) และหน่วยประมวลผลข้อมูลและหน่วยจัดเก็บข้อมูล จำนวน 246 Rack รวมถึงซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ต่างๆ อีกทั้งให้ขายที่ดินอันเป็นที่ตั้งอาคารสาธารณูปโภคส่วนกลางของโครงการ INET-IDC3 และที่ตั้งอาคารควบคุมสถานีไฟฟ้าย่อยซึ่งใช้สำหรับโครงการ INET-IDC3 เฟส 1 และ 2 ให้แก่ INETREIT

สำหรับมูลค่าของทรัพย์สินที่บริษัทจะจำหน่ายให้แก่ INETREIT นั้นจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2,500 ล้านบาท และไม่เกิน 3,200 ล้านบาท หรือคิดเป็นไม่เกิน 28.44%
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าซื้อหน่วยทรัสต์ที่ออกและเสนอขายเพิ่มเติมซึ่งมีขนาดรายการไม่เกิน 550 ล้านบาท และให้บริษัทเข้าทำธุรกรรมเช่าทรัพย์สินเพื่อการดำเนินการในโครงการ INET-IDC3 เฟส 2 จาก INETREIT ด้วย

โดยวัตถุประสงค์ในการใช้เงินที่ได้รับครั้งนี้จะนำไปลงทุนในโครงการอื่นๆ เพื่อขยายธุรกิจ ชำระหนี้เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน หรือ ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน อย่างไรก็ดี วัตถุประสงค์การใช้เงินดังกล่าว เป็นแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ ณ ปัจจุบัน ซึ่งอาจมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ณ ขณะนั้น 
ส่วนผลประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดกับ INET คือจะได้รับเงินค่าตอบแทนจากการจำหน่ายทรัพย์สิน โดยสามารถนำเงินดังกล่าวไปใช้ตามแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ เช่น นำเงินไปลงทุนในโครงการอื่นๆ เพื่อขยายธุรกิจชำระหนี้เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน หรือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เป็นต้น

นอกจากนี้ภายหลังจากธุรกรรมการซื้อหน่วยทรัสต์เสร็จสมบูรณ์ บริษัทฯ จะเข้าเป็นผู้ถือหน่วยทรัสต์ของกองทรัสต์ ซึ่งจะทำให้บริษัทได้รับผลประโยชน์ตามสัดส่วนการเข้าลงทุนในกองทรัสต์ ในรูปแบบของเงินปันผลจากกองทรัสต์ และ/หรือ เงินลดทุนจากกองทรัสต์ รวมถึงโอกาสที่จะได้รับกำไรจากส่วนเกินมูลค่าหน่วยทรัสต์ในอนาคต หากราคาของหน่วยทรัสต์ในตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้น