Huawei ICT Competition 2024–2025 ชูบทบาท AI พลิกโฉมการศึกษา-พัฒนาบุคลากร ICT ทั่วโลก

การแข่งขัน Huawei ICT Competition รอบชิงชนะเลิศระดับโลก ประจำปี 2024–2025 ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ณ เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน โดยปีที่ 9 ของการแข่งขันนี้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ดึงดูดนักศึกษาและอาจารย์กว่า 210,000 คน จากสถาบันการศึกษากว่า 2,000 แห่ง ในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก หลังจากการแข่งขันในระดับประเทศและภูมิภาคอันเข้มข้น มีทีมผู้เข้ารอบสุดท้าย 179 ทีม จาก 48 ประเทศในหลายภูมิภาค มาประชันฝีมือกันในรอบชิงชนะเลิศระดับโลกครั้งนี้ จากการแข่งขันอันดุเดือดใน 3 สาขาหลัก ได้แก่ การปฏิบัติ นวัตกรรม และการเขียนโปรแกรม ในที่สุดก็มีการประกาศทีมผู้ชนะเลิศ 18 ทีม จาก 9 ประเทศ ซึ่งได้แก่ จีน แอลจีเรีย บราซิล ฟิลิปปินส์ โมร็อกโก ไนจีเรีย เซอร์เบีย แทนซาเนีย และสิงคโปร์

โดยรางวัลใหญ่ประเภทนวัตกรรมนั้น ตกเป็นของทีมผู้ชนะจากสถาบันชั้นนำ ได้แก่ มหาวิทยาลัยแห่งรัฐบูลากัน ประเทศฟิลิปปินส์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีปักกิ่ง ประเทศจีน คณะวิทยาศาสตร์และเทคนิคแห่งเมืองชาชัก มหาวิทยาลัยครากูเยวัค สาธารณรัฐเซอร์เบีย และ คณะวิทยาศาสตร์และเทคนิค มหาวิทยาลัยมูเลย์ อิสมาอิล เมืองเอร์ราชิเดีย ราชอาณาจักรโมร็อกโก

ในประเภทการแข่งขันภาคปฏิบัติ – สาขาเครือข่าย รางวัลใหญ่ ตกเป็นของทีมผู้ชนะจากสถาบันชั้นนำ ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศเซินเจิ้น ประเทศจีน สถาบันเทคโนโลยีรัฐบาลโตแคนตินส์ ประเทศบราซิล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีรัฐบาลมินนา ประเทศไนจีเรีย รวมถึงทีมร่วมจากสถาบันเทคโนโลยีดาร์เอสซาลาม มหาวิทยาลัยดาร์เอสซาลาม และมหาวิทยาลัยโดโดมา ประเทศแทนซาเนีย

สำหรับการแข่งขันภาคปฏิบัติ – สาขาคลาวด์ รางวัลใหญ่ตกเป็นของทีมผู้ชนะจากสถาบันการศึกษาชั้นนำ ได้แก่ iACADEMY จากประเทศฟิลิปปินส์ มหาวิทยาลัยบัตนา 2 และโรงเรียนวิทยาการคอมพิวเตอร์แห่งชาติแอลเจียร์ ประเทศแอลจีเรีย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและการศึกษาเทียนจิน ประเทศจีน และมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สังคม ประเทศสิงคโปร์

ในประเภทการแข่งขันภาคปฏิบัติ – สาขาการประมวนผล รางวัลใหญ่ได้มอบให้กับทีมที่มีผลงานยอดเยี่ยมจากสถาบันการศึกษาชั้นนำระดับนานาชาติ ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์กุ้ยหลิน ประเทศจีน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีรัฐบาลมินนา ประเทศไนจีเรีย มหาวิทยาลัยเบจาอา และโรงเรียนวิทยาการคอมพิวเตอร์แห่งชาติ SBA ประเทศแอลจีเรีย รวมถึง สถาบันเทคโนโลยีเซบู – มหาวิทยาลัย ประเทศฟิลิปปินส์

รางวัลใหญ่ในการแข่งขันประเภท การเขียนโปรแกรม ตกเป็นของทีมตัวแทนจาก มหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคเซินเจิ้น ประเทศจีน

นอกเหนือจากความสามารถด้านเทคนิคที่โดดเด่นแล้ว เพื่อเป็นการยกย่องความทุ่มเทในมิติอื่น ๆ ของการแข่งขัน คณะผู้จัดงานยังได้มอบรางวัลอันทรงเกียรติให้แก่ผู้มีบทบาทสำคัญในด้านต่างๆดังนี้ 1) รางวัล Women in Tech Award: มอบให้กับทีมหญิงล้วน 4 ทีมจากบราซิล ซาอุดิอาระเบีย เยอรมนี และเคนยา 2) รางวัล Green Development Award: มอบให้กับทีมจากกานา และ 3) รางวัล Most Valuable Instructor Award: มอบให้แก่อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ 18 ท่าน จาก 10 ประเทศ ได้แก่ จีน แอลจีเรีย บังกลาเทศ บราซิล อียิปต์ อินโดนีเซีย อิรัก ไนจีเรีย ฮังการี และตุรกี เพื่อเป็นเกียรติแก่ความทุ่มเทในการส่งเสริมการศึกษาด้าน ICT

ในการกล่าวปิดงาน ริทชี่ เผิง ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ ICT ของหัวเว่ย กล่าวว่า “เพื่อบรรลุเป้าหมายของการเรียนรู้ผ่านการแข่งขันและสร้างแรงบันดาลใจด้านนวัตกรรม เราได้พัฒนารูปแบบและเนื้อหาของการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง โดยการแข่งขันในภาคปฏิบัติ ได้รับการออกแบบให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ 'Intelligent World 2030' ของหัวเว่ย ซึ่งมุ่งเน้นให้นักศึกษาได้พัฒนาทักษะด้านการประมวลผล Big Data บนคลาวด์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อขับเคลื่อนความก้าวหน้าของสังคม ขณะที่การแข่งขันในประเภทนวัตกรรม มุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืนและการสร้างความเท่าเทียมทางดิจิทัล โดยสนับสนุนให้ผู้เข้าร่วมนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารไปใช้แก้ปัญหาจริงในภาคส่วนสำคัญ เช่น การเกษตร สาธารณสุข และการศึกษา”

ในยุคที่การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลทั่วโลกเป็นไปอย่างรวดเร็ว ความต้องการบุคลากรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในสาขาสำคัญ อาทิ AI ข้อมูล Big Data และความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การขาดแคลนบุคลากรในสาขาเหล่านี้กลับกลายเป็นความท้าทายที่เราต้องเร่งแก้ไข เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ Huawei ICT Competition จึงได้ออกแบบการแข่งขันเป็นหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นประเภทการปฏิบัติ นวัตกรรม และการเขียนโปรแกรม นอกจากนี้ยังส่งเสริมความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่างภาคอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษา พร้อมทั้งพัฒนาหลักสูตรที่มุ่งเน้นทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการอย่างแท้จริง เป้าหมายเพื่อเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาเสริมสร้างทักษะที่เป็นที่ต้องการสูง และผลักดันให้เกิดบุคลากรด้านเทคโนโลยีรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ พร้อมเป็นผู้นำในโลกดิจิทัลอัจฉริยะที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในอนาคต

ในการแข่งขันปีนี้ หัวเว่ยได้จัดงาน ‘AI Accelerating Education Transformation Summit’ ขึ้น เพื่อรวมรวมผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าจากหลากหลายสาขามาแลกเปลี่ยนมุมมองและวิเคราะห์บทบาทสำคัญของปัญ AI ในการพลิกโฉมระบบการศึกษาอัจฉริยะ นอกจากนี้ หัวเว่ยยังได้ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ความสามารถด้าน AI บนแพลตฟอร์มอัจฉริยะ Huawei ICT Academy อย่างเป็นทางการ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวกในการใช้งานให้ทั้งบุคลากรและนักศึกษาอย่างครอบคลุม นับเป็นอีกก้าวสำคัญที่ตอกย้ำความมุ่งมั่นของหัวเว่ยในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบการศึกษาดิจิทัลที่ทันสมัย

หัวเว่ย คลาวด์กับแนวคิด “Cloud for Good” เพื่อนำนวัตกรรมสู่ชีวิต

งาน Huawei Cloud Summit Thailand 2024 นายอาคา ได ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด หัวเว่ย คลาวด์ (Huawei Cloud) ได้กล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ "Cloud for Good: Bringing Innovation to Life" โดยได้แบ่งปันแนวคิดของหัวเว่ย คลาวด์ ในการใช้เทคโนโลยีเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และได้ประกาศโครงการ "Cloud for Good" โดยใช้เทคโนโลยีคลาวด์, ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีนวัตกรรมอื่นๆ เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน

Cloud for Good กับแนวคิดทุกสิ่งคือบริการ (Everything as a Service)

หัวเว่ย คลาวด์ มองเห็นอนาคตอันชาญฉลาดด้วยแนวคิดทุกสิ่งคือบริการ "Everything as a Service" ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปีในการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลของหัวเว่ย แทนที่จะเพียงแค่รวมทรัพยากรโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกหรือลงทุนในเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุด พันธกิจของ หัวเว่ย คลาวด์ คือการเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ให้เป็นบริการคลาวด์ที่ช่วยให้ทุกคนไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จ แต่ยังนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลได้อีกด้วย นายได (Dai) ยังระบุว่าหัวเว่ย คลาวด์ มองเห็นอนาคตในเรื่อง "Cloud for Good" และมุ่งมั่นที่จะทำให้วิสัยทัศน์นี้เป็นจริง โดยเน้นในด้านการศึกษา สิ่งแวดล้อม การดูแลสุขภาพ และการรวมกลุ่ม

โดยในงาน Huawei Cloud Summit Thailand 2024 ที่เพิ่งจบไป มีการแสดงวิสัยทัศน์ในเรื่องนี้ ผ่านเรื่องราว 4 ด้าน ดังนี้

การเกษตร: AI ช่วยเพิ่มผลผลิตเกษตรกรรม

ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในเรื่องผลไม้ โดยเฉพาะทุเรียน ในอดีตชาวสวนมักใช้ประสบการณ์ของตนในการตรวจสอบความสุกของทุเรียนโดยใช้วิธีการเคาะ ฟัง และดมกลิ่น แต่วิธีเหล่านี้ไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง กลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ในประเทศไทย, หัวเว่ย คลาวด์ และอีกหลายบริษัท ด้วยการใช้เทคโนโลยีตรวจจับอินฟราเรดใกล้ (NIR) และความสามารถ AI ของหัวเว่ย คลาวด์ ทำให้อุปกรณ์อัจฉริยะสามารถเพิ่มความแม่นยำในการทำนายความสุกของทุเรียนจาก 50% เป็น 91% ได้

“ชาวสวนสามารถรู้ถึงความสุกของทุเรียนได้ภายใน 1 ถึง 2 วินาที โดยไม่ทำลายเนื้อทุเรียน ซึ่งส่งผลให้การคัดแยกมีประสิทธิภาพมากขึ้นและคุณภาพสูงขึ้น” นายไดกล่าว

สภาพอากาศ: การพยากรณ์ภัยพิบัติทางสภาพอากาศด้วย AI เพื่อปกป้องชีวิตของประชาชน

หัวเว่ย คลาวด์ ได้พัฒนาโมเดลพยากรณ์อากาศ Pangu ซึ่งถูกฝึกฝนด้วยชุดข้อมูลการสังเกตการณ์อากาศทั่วโลกขนาดใหญ่ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา โมเดล Pangu สามารถทำนายเส้นทางพายุไต้ฝุ่นทั่วโลกในอีก 10 วันข้างหน้า ซึ่งวิธีดั้งเดิมต้องใช้เวลา 4 ถึง 5 ชั่วโมงและต้องใช้เซิร์ฟเวอร์สมรรถนะสูงถึง 3,000 เครื่อง ในช่วงฤดูน้ำท่วมปี 2023 โมเดลพยากรณ์อากาศ Pangu ได้ทำนายเส้นทางของพายุไต้ฝุ่นขนาดใหญ่ เช่น ไต้ฝุ่นซาโอลาได้อย่างแม่นยำ

นายได ยังแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับองค์กร NGO ในมาดากัสการ์ชื่อว่า Mitao Forecast ซึ่งได้นำโมเดล Pangu มาใช้ ทำให้เวลาพยากรณ์มีประสิทธิภาพจาก 3 วันเป็น 10 วัน ในการทำนายสภาพอากาศที่รุนแรง เช่น พายุไต้ฝุ่น Pangu แสดงให้เห็นถึงความได้เปรียบในการช่วยให้ชาวประมงท้องถิ่นตอบสนองต่อสภาพอากาศที่รุนแรงได้อย่างสงบยิ่งขึ้น ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนท้องถิ่น 600,000 ถึง 750,000 คน การปกป้องป่าฝนซาราวักจากการตัดไม้และการทำลายป่า ซาราวัก รัฐที่ใหญ่ที่สุดในมาเลเซียตะวันออก เป็นที่ตั้งของป่าฝนเขตร้อนที่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุดในโลก อายุกว่า 140 ล้านปี เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องนกเงือกสายพันธุ์ต่าง ๆ “เพื่อรักษาระบบนิเวศที่ล้ำค่านี้ เรากำลังสำรวจการใช้เทคโนโลยีคลาวด์และ AI โดยร่วมมือกับกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติ เราได้ติดตั้งเซ็นเซอร์เสียงในป่า” นายได กล่าว

การติดตั้งเซ็นเซอร์ที่ล้ำหน้านี้ได้ให้ผลลัพธ์ที่สำคัญ ในพื้นที่ป่าฝนขนาด 30 ตารางกิโลเมตร ระบบการตรวจสอบได้ออกการแจ้งเตือน 34 ครั้งเกี่ยวกับการตัดไม้อย่างผิดกฎหมาย การใช้แนวทางเชิงรุกนี้ไม่เพียงแต่รักษาสมบัติทางธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เทคโนโลยีและธรรมชาติดำรงอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนผ่านนวัตกรรม

AI ผู้ช่วยทางการแพทย์ ช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ทันเวลา

หัวเว่ย คลาวด์ ช่วยยกระดับอุตสาหกรรมการแพทย์ด้วยโมเดลการแพทย์ Pangu ซึ่งถูกฝึกฝนด้วยข้อมูลคุณภาพสูงจากวารสารวิชาการกว่า 16 ล้านเล่มและมีกราฟความรู้มากกว่า 1 ล้านกราฟ ทำงานเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะสำหรับแพทย์และผู้ป่วยในการตรวจสุขภาพ วินิจฉัย และการจัดการสุขภาพส่วนบุคคล

นายได กล่าวว่า “เราใช้โมเดล AI การแพทย์ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในประเทศจีน เพื่อช่วยระบุผู้ป่วย 11 รายที่เป็นโรคหายากชื่อว่า ภาวะต่อมหมวกไตทำงานน้อยกว่าปกติ จากผู้ป่วยทั้งหมด 4,268 รายภายในระยะเวลาเพียงสามเดือน ป้องกันไม่ให้พวกเขาถูกวินิจฉัยผิดและช่วยชีวิตได้ทันเวลา” Runda Medical ผู้ให้บริการด้านการแพทย์ชั้นนำในจีน ได้พัฒนาโมเดล AI ทางการแพทย์โดยใช้ Pangu ซึ่งคาดว่าจะถูกนำไปใช้ในโรงพยาบาล 4,000 แห่งสำหรับการแปลผลและวินิจฉัย ส่งเสริมการดูแลสุขภาพที่ครอบคลุม

การสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมเพื่อประเทศไทย

ในประเทศไทย หัวเว่ยได้ฝึกอบรมผู้คนมากกว่า 96,200 คน และจัดให้มีชั่วโมงฝึกอบรมมากกว่า 3,000 ชั่วโมงในด้านคลาวด์ 5G และ AI รวมถึงการปฏิบัติทางดิจิทัลล่าสุดของหัวเว่ยในหลากหลายโดเมน “เราได้จัดการแข่งขันสำหรับนักพัฒนา, โปรแกรมฝึกอบรมวิศวกรสีเขียว, การฝึกอบรมเสริมพลังสตรีในเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยี และการฝึกอบรมผู้นำดิจิทัล เป็นต้น กิจกรรมเหล่านี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ ‘Ignite Thailand 2030’ และกลยุทธ์การใช้คลาวด์เป็นหลัก (Cloud-First) ซึ่งมีส่วนช่วยในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน” นายได กล่าว

แนวคิด Cloud for Good เพื่อนำนวัตกรรมมาสู่ชีวิตในประเทศไทย

“เรื่องราวเหล่านี้ คือ เรื่องราวของการร่วมมือกันในเชิงนวัตกรรม และความเชื่อมั่นในพลังของคลาวด์” ในตอนท้าย นายได ได้เสนอแนวคิดริเริ่ม "Cloud for Good" โดยเรียกร้องให้พันธมิตรและลูกค้าในประเทศไทยร่วมมือกันเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลในประเทศไทย โดยเฉพาะในด้านการเกษตร สภาพอากาศ การดูแลสุขภาพ และการพัฒนาบุคลากร เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนมากขึ้น ฟื้นฟูธรรมชาติ และมีส่วนร่วมในการสร้างบ้านที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน

AIS และ Huawei จับมือทดสอบระบบ 5G RedCap บนคลื่นความถี่ 700MHz และ 2600MHz สำเร็จเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

AIS ผู้นำเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทยและหัวเว่ย ได้ทำการทดสอบระบบโครงข่าย 5G ในรูปแบบ RedCap เชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรกในจังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ซึ่งผลการทดสอบสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี โดยเป็นการทดสอบบนเครือข่ายพาณิชย์บนคลื่นความถี่ 700MHz และ 2600MHz และใช้อุปกรณ์เทอร์มินัลของ RedCap หลากหลายประเภท รวมถึงเครื่อง DTU (อุปกรณ์ส่งข้อมูล) และกล้องต่าง ๆ โดยมีการทดสอบการทำงานทั้งในด้านความเร็วสูงสุดในการดาวน์โหลดและอัปโหลด ประสิทธิภาพการทำงานขณะการเคลื่อนที่ การทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์ RedCap กับอุปกรณ์ eMBB ซึ่งผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าทั้งเครือข่าย 5G ของ AIS และอุปกรณ์เทอร์มินัลของ RedCap สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามที่คาดการณ์ไว้ ถือเป็นก้าวสําคัญในการนำเทคโนโลยี RedCap ไปใช้งานในเชิงพาณิชย์

5G RedCap นั้นถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อการใช้งานกับแอปพลิเคชันประเภท IoT ทั้งการใช้งานในความเร็วระดับกลางและความเร็วสูง เช่น เซ็นเซอร์ในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ และกล้องวงจรปิด โดยเป็นการลดความซับซ้อนของระบบเครือข่ายแบบ Baseband อุปกรณ์ส่งสัญญาณ และเสาอากาศ โดยเทคโนโลยี RedCap นี้มีต้นทุนที่ต่ำกว่าและใช้พลังงานน้อยกว่าอุปกรณ์ 5G ประเภท eMBB เป็นอย่างมาก ซึ่งหากนำไปเทียบกับระบบ 4G แบบ CAT4 UEs แล้ว เทคโนโลยี RedCap ยังสามารถรักษาคุณสมบัติพื้นฐานของเทคโนโลยี 5G เอาไว้ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการส่งข้อมูลจำนวนมาก และค่าความหน่วงที่ต่ำ นอกจากนี้ RedCap ยังสนับสนุนคุณสมบัติหลัก ๆ สำหรับภาคธุรกิจด้วย เช่น เทคโนโลยี Network Slicing และการระบุตําแหน่ง

นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฎิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศของ AIS กล่าวว่า “นอกจากการพัฒนาด้านการบริการเพื่อคุณภาพที่ดีที่สุด เรายังพร้อมนำนวัตกรรมใหม่ล่าสุดเข้ามายกระดับเทคโนโลยี 5G ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในพันธกิจของเราที่ต้องการช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคตอย่างยั่งยืน และนี่เองที่ทำให้เราเดินหน้าผสานความร่วมมือทำงานกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่างหัวเว่ย ในการยกระดับโครงข่าย 5G ของประเทศไทยให้มีมาตรฐานระดับโลก และเป็นไปตามวิสัยทัศน์ของเราในการก้าวไปสู่ Cognitive Tech-Co (การเพิ่มความอัจฉริยะลงไปในบริการหรือลงไปในโซลูชัน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า)"

"เราประสบความเร็จในการทดสอบความสามารถของเทคโนโลยี 5G ในหลากหลายรูปแบบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งทั้งคลื่นความถี่ 2600MHz และ 700MHz ของ AIS นั้นสามารถมอบประสบการณ์การใช้งานเหนือระดับให้แก่ผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี และ AIS ยังคงตั้งเป้าหมายพัฒนานวัตกรรมด้านเทคโนโลยีรวมถึงแอปพลิเคชันต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาภาคอุตสาหกรรมและเพิ่มประสิทธิภาพของภาคการผลิต เทคโนโลยี RedCap นั้นถือเป็นก้าวสำคัญของเทคโนโลยี 5G ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายจากอุปกรณ์ของ 5G ได้ถึงร้อยละ 70 รวมถึงจะช่วยเร่งให้เกิดการนำ 5G ไปประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรมให้รวดเร็วขึ้นอีกด้วย โดย AIS จะยังคงเดินหน้าร่วมมือกับหัวเว่ย และพันธมิตรในอุตสาหกรรม เพื่อร่วมกันหาวิธีที่จะนำเทคโนโลยี RedCap มาใช้ในการควบคุมการทำงานในภาคอุตสาหกรรม การใช้งานในภาคการผลิตพลังงาน สมาร์ทซิตี้ อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ และด้านอื่นๆในอนาคต"

หัวเว่ยกล่าวว่า “RedCap เป็นเทคโนโลยีสำคัญที่จะเพิ่มศักยภาพให้กับเครือข่าย 5G และยังสามารถนําไปประยุกต์ใช้ได้ในหลากหลายรูปแบบ โดยหัวเว่ยจะเดินหน้าร่วมมือกับ AIS ในการร่วมกันสร้างเครือข่าย 5G คุณภาพสูง ผ่านความร่วมมือทางด้านนวัตกรรม ร่วมสร้างแอปพลิเคชันด้าน 5G ใหม่ ๆ กับพาร์ทเนอร์ในอุตสาหกรรม และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของอุตสาหกรรมต่างๆในประเทศไทยต่อไป”

 

Huawei Connect 2023 เร่งสร้างโลกอัจฉริยะเพื่อความสำเร็จร่วมกัน

หัวเว่ย คอนเนกต์ ประจำปี พ.ศ.2566 (Huawei Connect 2023) ได้เปิดงานในนครเซี่ยงไฮ้แล้ววันนี้ โดยมีนักธุรกิจชั้นนำ ผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี คู่ค้า นักพัฒนา และผู้มีส่วนได้เสียภาคอุตสาหกรรมต่างๆจากทั่วโลก เข้าร่วมงานเพื่อหาโอกาสใหม่สำหรับโลกอัจฉริยะในอนาคต ภายในงาน นางสาวซาบรีนา เมิ่ง รองประธาน ประธานกรรมการหมุนเวียนตามวาระ และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของหัวเว่ย ได้ประกาศกลยุทธ์อัจฉริยะครบวงจร หรือ All Intelligence และย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการเจาะลึกเทคโนโลยีเอไอขั้นพื้นฐาน และสร้างโครงสร้างพื้นฐานคอมพิวเตอร์อันแข็งแกร่งสำหรับประเทศจีน – เพื่อเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งสำหรับทั่วโลก – เพื่อรองรับเทคโนโลยีและแอพพลิเคชั่นเอไอหลากหลายรูปแบบสำหรับทุกอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ หัวเว่ยยังได้เปิดตัวสถาปัตยกรรมอ้างอิงเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสู่โลกอัจฉริยะ ตลอดจนผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่เกี่ยวข้องอีกมากมายภายในงาน โดยรายละเอียดของสถาปัตยกรรมอ้างอิงที่ได้เปิดตัวภายในงาน ได้ถูกรวมอยู่ในสมุดปกขาวฉบับล่าสุด ในหัวข้อ การเร่งสร้างการเปลี่ยนแปลงสู่โลกอัจฉริยะ (Accelerating Intelligent Transformation) ซึ่งให้คำแนะนำในเชิงปฏิบัติและประกอบด้วยข้อมูลอ้างอิงต่าง ๆ เพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้รับประโยชน์สูงสุดจากเทคโนโลยีอัจฉริยะนี้

กลยุทธ์อัจฉริยะครบวงจรของหัวเว่ย (Huawei's All Intelligence Strategy)

กว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา หัวเว่ยได้ทำงานร่วมกับภาคอุตสาหกรรมเพื่อผลักดันเทคโนโลยีสารสนเทศและเทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารให้มีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น เริ่มจากกลยุทธ์ All IP เพื่อรองรับการใช้ข้อมูลสารสนเทศ ตามด้วยกลยุทธ์ All Cloud เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล (Digitalization)  ขณะที่ปัญญาประดิษฐ์ได้รับความสนใจมากขึ้น กอปรกับผลกระทบที่เพิ่มขึ้นต่อภาคอุตสาหกรรม กลยุทธ์อัจฉริยะครบวงจร (All Intelligence) ของหัวเว่ยจึงถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ทุกอุตสาหกรรมได้ประโยชน์สูงสุดจากโอกาสเชิงกลยุทธ์ใหม่ ๆ ที่มาพร้อมกับเอไอ

กุญแจสำคัญของกลยุทธ์นี้อยู่ที่การผนึกกำลังกันของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในปริมาณมหาศาล อันจำเป็นสำหรับการสร้างความเข้าใจและความรู้ในการใช้งานโมเดลพื้นฐานสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ  "หัวเว่ยมุ่งมั่นในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานคอมพิวเตอร์ที่แข็งแกร่งสำหรับประเทศจีน – เพื่อเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งสำหรับทั่วโลก" ดังที่คุณเมิ่งได้กล่าวไว้  "เรายังคงเสริมสร้างการประสานการทำงานร่วมกันระหว่างฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ชิป (chips) เทคโนโลยีเอดจ์ (edge) เครื่องอุปกรณ์ต่าง ๆ และเทคโนโลยีคลาวด์ (cloud) เพื่อเป็นรากฐานที่สมบูรณ์สำหรับระบบนิเวศแห่งอนาคต  เป้าหมายสุดท้ายของเราคือการตอบสนองความต้องการคอมพิวเตอร์เอไอหลากหลายรูปแบบสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ"

คุณเมิ่งยังกล่าวถึงก้าวต่อไปของหัวเว่ยด้วยว่า "หัวเว่ยจะเดินหน้าเจาะลึกต่อยอดด้านผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่เรามีความเป็นเลิศ และทำงานอย่างใกล้ชิดกับลูกค้า คู่ค้า นักพัฒนา และผู้มีส่วนได้เสียอื่นเพื่อสร้างสรรค์โซลูชันทางอุตสาหกรรมที่ล้ำสมัยและใช้งานง่าย  โดยการทำงานร่วมกัน เราจะสามารถช่วยเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยและความน่าเชื่อถือทางดิจิทัลเพิ่มขึ้น ตลอดจนเร่งสร้างโลกอัจฉริยะให้ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม"

ในช่วงท้าย คุณเมิ่งยังย้ำด้วยว่า "ความสามารถนำมาซึ่งความมั่นใจ และอนาคตคือสิ่งที่เราต้องร่วมกันสร้าง"  เพื่อให้โลกอัจฉริยะในอนาคตสัมฤทธิ์ผลขึ้นได้: "สามัคคีคือพลัง ความพยายามย่อมนำมาซึ่งความสำเร็จ"

เร่งสร้างการเปลี่ยนแปลงไปสู่โลกอัจฉริยะสำหรับทุกอุตสาหกรรม

หลังจากคุณเมิ่งกล่าวจบ เดวิด หวัง กรรมการบริหารและประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์และโซลูชันไอซี และประธานกลุ่มธุรกิจพาร์ทเนอร์ (Enterprise BG) ของหัวเว่ย ได้ประกาศเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ของหัวเว่ย ได้แก่ Atlas 900 SuperCluster ซึ่งเป็นคลัสเตอร์การคำนวณเอไอรุ่นใหม่ล่าสุดในผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ซีรีส์ แอสเซนด์ (Ascend series) ของหัวเว่ย ใช้สถาปัตยกรรมใหม่ล่าสุดที่ถูกปรับแต่งให้เหมาะสมสำหรับการสร้างการเรียนรู้ให้กับโมเดลพื้นฐานเอไอขนาดใหญ่ที่มีพารามิเตอร์กว่าหนึ่งล้านล้านพารามิเตอร์  Atlas 900 SuperCluster นี้มาพร้อมกับชุดสวิตช์ Xinghe Network CloudEngine XH16800 อันทันสมัยของหัวเว่ย  ด้วยพอร์ต 800GE ความหนาแน่นสูง เครือข่ายชุมสายสองชั้นของเครื่อง SuperCluster สามารถเชื่อมต่อได้มากถึง 2,250 โหนด (nodes) ต่อคลัสเตอร์ – เทียบเท่ากับ 18,000 NPUs – โดยไม่เกิดภาวะเครือข่ายล่ม (Oversubscription)

นอกจากนี้ หัวเว่ยสร้างความแข็งแกร่งในด้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ การจัดเก็บข้อมูล เครือข่าย และพลังงานเพื่อปรับปรุงความเชื่อถือได้ของระบบอย่างเป็นระบบ และวิธีการนี้ได้ขยายผลครอบคลุมไปถึงความสามารถของคลัสเตอร์ในการรองรับการสร้างการเรียนรู้ให้กับโมเดลอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวันไปจนถึงหลายเดือน หรือมากกว่านั้น

"การเปลี่ยนแปลงไปสู่โลกอัจฉริยะบทใหม่กำลังเกิดขึ้น" คุณหวังกล่าว "ปัจจุบัน เรากำลังก้าวไปสู่โลกอัจฉริยะใบใหม่ที่มาพร้อมกับโอกาสและความท้าทายอีกมากมายในภายภาคหน้า  เราจำเป็นต้องร่วมมือกัน เจาะลึกลงไปในรูปแบบจำเพาะแต่ละอุตสาหกรรม และสร้างโครงสร้างพื้นฐานคอมพิวเตอร์ที่แข็งแกร่งเพื่อเสริมกำลังโมเดลและแอปพลิเคชันเอไอใหม่ๆ อีกนับไม่ถ้วน  ด้วยความร่วมมือนี้ เราจะสามารถช่วยให้ทุกอุตสาหกรรมก้าวไปสู่ความเป็นอัจฉริยะ ทั้งยังช่วยสนับสนุนให้สัมฤทธิ์ผลเร็วขึ้นอีกด้วย"

ในระหว่างที่กล่าวสุนทรพจน์ คุณหวังได้เปิดตัวโซลูชันอุตสาหกรรมอัจฉริยะรูปแบบใหม่เก้าโซลูชันที่จะได้ประโยชน์จากสถาปัตยกรรมอ้างอิงเพื่อการเปลี่ยนแปลงอัจฉริยะของหัวเว่ย  จากความร่วมมือกันระหว่างหัวเว่ย ลูกค้า และคู่ค้า โซลูชันเหล่านี้ได้รับการออกแบบเพื่อตอบสนองความต้องการโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้แก่ ภาคการเงิน ภาครัฐ ภาคการผลิต ภาคพลังงานไฟฟ้า และภาคคมนาคมขนส่งระบบราง

คุณหวังยังเปิดตัวสมุดปกขาวฉบับใหม่ ในหัวข้อ การเร่งสร้างการเปลี่ยนแปลงสู่โลกอัจฉริยะ (Accelerating Intelligent Transformation) ซึ่งรวบรวมกรณีศึกษาและแนวปฏิบัติที่ดีต่าง ๆ ซึ่งมีเป้าประสงค์ในการช่วยให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ เริ่มเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยีอัจฉริยะรูปแบบใหม่

นอกจากนี้ หัวเว่ยยังร่วมมือกับกลุ่มบริษัท ไชน่า เวสท์ แอร์พอร์ต กรุ๊ป (China West Airport Group (CWAG)) เพื่อพัฒนากลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงอัจฉริยะเต็มรูปแบบ ในส่วนนี้ รองผู้จัดการใหญ่ของ CWAG คุณหลิน ปิน ได้กล่าวว่า CWAG มีการพัฒนาโซลูชันอัจฉริยะกว่า 35 โครงการทางด้านความมั่นคงปลอดภัย การดำเนินงาน การบริการ และรูปแบบอื่นที่ใช้ศักยภาพเครื่องคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง และแพลตฟอร์มอัจฉริยะแบบเปิดของหัวเว่ย ตลอดจนอัลกอริทึ่มขั้นสูงในภาคอุตสาหกรรม

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โซลูชันการบริหารจัดการภาคพื้นดินอัจฉริยะของบริษัทฯ สามารถคาดการณ์และส่งคำเตือนเกี่ยวกับสถานะเที่ยวบิน ผู้โดยสาร และทรัพยากรต่าง ๆ แบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถวางแผนด้านจำนวนพนักงานและกำหนดการเที่ยวบินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  โซลูชันนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการภาคพื้นดินให้ดีขึ้นถึง 20% ลดเวลาที่ใช้ในการปฏิบัติงานลงได้ถึง 17%  โซลูชันอัจฉริยะสำหรับการประกอบกิจการสนามบินมีการใช้โมเดลปรับแผนเที่ยวบินให้มีความเหมาะสมที่สุดระหว่างอุปสงค์และอุปทาน และรองรับการสั่งการปฏิบัติงานผ่านเอไอ

หัวข้องานหัวเว่ย คอนเนกต์ ประจำปี พ.ศ. 2566 (HUAWEI CONNECT 2023) คือ "เร่งสร้างโลกอัจฉริยะ" (Accelerate Intelligence) งานปีนี้เป็นที่รวมตัวของเหล่านักคิดระดับแนวหน้า นักธุรกิจชั้นนำ ผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี คู่ค้า นักพัฒนา และผู้มีส่วนได้เสียภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ  และเราจะช่วยกันหาวิธีเร่งสร้างความเป็นอัจฉริยะทางอุตสาหกรรมผ่านการพัฒนาธุรกิจ อุตสาหกรรม และระบบนิเวศร่วมกันต่อไป