ดันไทยขึ้นแท่น Dream Destination เปิดตัวแคมเปญ “Workation Paradise Throughout Thailand Season 3” 

ททท. จับมือ Fastwork ดันไทยขึ้นแท่น Dream Destination เปิดตัวแคมเปญ “Workation Paradise Throughout Thailand Season 3” 

วันที่ 9 กรกฎาคม 2568 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ Fastwork แพลตฟอร์มดิจิทัลชั้นนำในประเทศไทยที่ให้บริการจับคู่ระหว่างผู้ว่าจ้างกับฟรีแลนซ์ในหลากหลายสาขาอาชีพ จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ “Workation Paradise Throughout Thailand Season 3” สร้างกระแสการท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคดิจิทัล ขยายฐานกลุ่มเป้าหมายให้เข้าถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ อาทิ Digital Nomads, Expat และ Freelancers ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมีนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท.เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย Mr. CK CHEONG ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท ฟาสต์เวิร์ค เทคโนโลยีส์ จำกัด (Fastwork Technologies) ให้เกียรติเข้าร่วมงาน ณ ห้องโถงธนะรัชต์ อาคาร ททท.

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า ททท. เดินหน้าส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบ Workation อย่างต่อเนื่อง โดยโครงการ Workation Paradise Throughout Thailand Season 3 ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่ต่อยอดมาเป็นปีที่ 3 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมนักท่องเที่ยวยุคดิจิทัล ที่มองหาความยืดหยุ่นในการทำงานควบคู่ไปกับการพักผ่อนและท่องเที่ยว โดย ททท.ได้ร่วมกับพันธมิตร มอบส่วนลดกว่า 80% และสิทธิประโยชน์มากมายจากสถานประกอบการชั้นนำที่ได้รับรางวัลและมาตรฐานความปลอดภัยที่เป็นที่ยอมรับ อาทิ Thailand Tourism Awards, STAR, SHA, SHA Plus และ SHA Extra Plus กว่า 200 แห่ง ที่ครอบคลุมทั้ง 5 หมวดหมู่การท่องเที่ยว ได้แก่ โรงแรมที่พัก, ร้านอาหาร, Co-Working Space กิจกรรมท่องเที่ยวและสุขภาพและความงาม พิเศษของปีนี้คือได้ร่วมมือกับ บริษัท ฟาสต์เวิร์ค เทคโนโลยีส์ จำกัด หรือ Fastwork แพลตฟอร์มดิจิทัลชั้นนำในประเทศไทยที่ให้บริการจับคู่ระหว่างผู้ว่าจ้างกับฟรีแลนซ์ในหลากหลายสาขาอาชีพในการประชาสัมพันธ์และจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายภายใต้โครงการฯ เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมายให้เข้าถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเจาะกลุ่ม Digital Nomads/ Expat/ Freelancers และRemote Workers ซึ่งในประเทศไทยมีอยู่กว่า 14–16 ล้านคน ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีอิสระในการทำงาน ไม่จำกัดสถานที่ และมีแนวโน้มในการเดินทางท่องเที่ยวควบคู่กับการทำงาน เนื่องจากนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวส่วนใหญ่มีอิสระทางด้านเวลา อีกทั้งมีพฤติกรรมการเดินทางท่องเที่ยวควบคู่กับการทำงานไม่ยึดติดกับสถานที่ใดสถานที่หนึ่งในการทำงาน และสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ เมื่อมีอินเทอร์เน็ต 


   

ทั้งนี้ ททท. คาดหวังว่ากิจกรรมดังกล่าวจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ เพิ่มระยะเวลาการเข้าพักเฉลี่ยและเพิ่มค่าใช้จ่ายทางการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยว และเกิดรายได้หมุนเวียนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกว่า 210 ล้านบาท ตลอดจนกระตุ้นให้เกิดการเดินทางข้ามภูมิภาคและเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย เข้ากับประสบการณ์การทำงานที่ยืดหยุ่น สะท้อนถึงความพร้อมของประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง Work & Travel ระดับโลก

Mr. CK CHEONG ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท ฟาสต์เวิร์ค เทคโนโลยีส์ จำกัด (Fastwork Technologies) กล่าวว่า Workation ไม่ใช่แค่กระแส แต่คืออนาคตของการทำงานที่ตอบโจทย์ทั้งคนและองค์กร ซึ่ง Fastwork มุ่งสนับสนุนวิถีชีวิตแบบใหม่นี้ ผ่านกิจกรรม “100 เดียว เที่ยวได้งาน” ที่ร่วมมือกับ ททท. เพื่อนำเสนอไลฟ์สไตล์ที่ทำงานจากที่ไหนก็ได้ และช่วยกระจายรายได้สู่ภูมิภาคในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ Fastwork ยังเน้นย้ำวิสัยทัศน์ในการเป็น Platform Enabler ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานสามารถออกแบบการทำงานและการใช้ชีวิตได้ตามความสมัครใจ พร้อมสนับสนุนคนรุ่นใหม่ให้เข้าใจแนวคิด Work-Life Harmony หรือการผสานระหว่างงานและชีวิตอย่างกลมกลืน ซึ่งกำลังเป็นนิยามใหม่ของการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัล

สำหรับกิจกรรมภายใต้โครงการ Workation Paradise Throughout Thailand Season 3 ประกอบด้วย กิจกรรม Workation เที่ยวเป็นทีม ททท. จัดให้ กระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวผ่าน Special Deals ให้ผู้ที่สนใจชวนทีมออกไป Workation ในสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไทยโดยกดรับคูปองสิทธิพิเศษทางการท่องเที่ยวจากสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้ที่เว็บไซต์ www.tourismthailand.org/workationthailand ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2568 และจะประกาศชื่อผู้โชคดีพร้อมลุ้นรับแพ็กเกจท่องเที่ยวแบบเป็นทีมและของรางวัลสุดพิเศษ จำนวน 14 รางวัล ในวันที่ 4 กันยายน 2568 ผ่านช่องทาง Facebook Page : Amazing Thailand  ลุ้นเป็นผู้โชคดีกับรางวัลที่ 1 Macbook Air พร้อมแพ็กเกจที่พักศรีพันวา 2 วัน 1 คืน พร้อมอาหารเช้าสำหรับ 3 ท่าน รางวัลที่ 2 iPhone 16e พร้อมแพ็กเกจที่พักโรงแรม วี วิลล่า หัวหิน 2 วัน 1 คืน พร้อมอาหารเช้าสำหรับ 3 ท่าน 

นอกจากนี้ยังเสริมความพิเศษด้วย กิจกรรม 100 เดียวเที่ยวได้งาน กิจกรรมส่งเสริมการขายโดยร่วมมือกับ แพลตฟอร์ม Fastwork รวบรวมดีลสุดพิเศษในรูปแบบ Voucher ครอบคลุมหลากหลายหมวดหมู่การท่องเที่ยวจากสถานประกอบการชั้นนำ อาทิ ศรีพันวา, โรงแรมดุสิตธานี ลากูนา ภูเก็ต, โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ หัวหิน, เดอะ ซายน์ พัทยา, อาน่า รีสอร์ท แอนด์ สปา เกาะช้าง, โฮมพุเตย ริเวอร์แคว รีสอร์ท, โรงแรม เดอะ เบย์วิว พัทยา, วานา นาวา วอเตอร์ จังเกิ้ล, บาร์บีคิวพลาซ่า, โอเอซิสสปา เป็นต้น และนำมาเสนอขายบนเว็บไซต์ https://fastwork.co/ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถซื้อ Voucher ด้านการท่องเที่ยวได้ในราคา 100 บาท เท่านั้น โดยจะจัดรอบกิจกรรมทั้งหมด 2 รอบ ในทุกวันที่ 25 ของเดือนกรกฎาคม และ เดือนสิงหาคม 2568

ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.tourismthailand.org/workationthailand หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Official Line : @workationthailand #WorkationParadiseThroughoutThailandSeason3 https://youtu.be/POR_erXbwM4?si=_sbNKfkPSwyT58XB

กาง 5 เทรนด์ธุรกิจสำคัญรับมือปี 2025 “ซีเค เจิง” ซีอีโอ Fastwork แนะ SME พลิกวิธีคิด-สร้างความต่าง-เจาะ Niche Market

กาง 5 เทรนด์ธุรกิจสำคัญ รับมือปี 2025 “ซีเค เจิง” ซีอีโอ Fastwork แนะ SME พลิกวิธีคิด-สร้างความต่าง-เจาะ Niche Market

“สมมติเราเปรียบเทียบประเทศต่างๆ กับเรื่องดินสอ อเมริกาก็คือประเทศที่คิดค้นดินสอ ญี่ปุ่นคือประเทศที่คิดค้นดินสอกด เพื่อแก้ Pain Point ของดินสอที่ต้องคอยเหลา จีนผลิตดินสอได้ถูกที่สุด อิตาลีทำดินสอให้สวยที่สุด สบายที่สุด แพงที่สุด ขณะที่ไทยเราเป็นเพียง…ผู้บริโภค”

ประโยคข้างต้น คือช่วงเปิดการบรรยายพิเศษ (Special Talk) ของ ซีเค เจิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟาสต์เวิร์ค เทคโนโลยีส์ จำกัด (Fastwork) ในงานมอบรางวัล “เซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน 2025” จัดโดย บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และ 3 พันธมิตร กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อให้ความรู้แก่เอสเอ็มอีที่เข้าร่วมฟังทั้งหน้างานและช่องทางออนไลน์

โดยไทยเรามีความสามารถในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เช่น สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ChatGPT แต่เราไม่ค่อยมีวัฒนธรรมว่าเราต้องคิดค้นหรือสร้างเอง เราคุ้นชินกับการเป็นศูนย์กลางการค้า (Trading Hub) ตั้งแต่ในประวัติศาสตร์ และเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงวิธีคิดนี้ ไม่ใช่มุ่งแข่งขันการผลิตและขายสินค้าราคาถูก สิ่งที่ไทยทำได้ คือ “คิดให้แตกต่าง” พร้อมทั้งยกตัวอย่าง 5 เทรนด์ธุรกิจสำคัญ (Key Business Trends) สำหรับปี 2025

1.Niche products are winning สินค้าที่เจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม คือสินค้าที่กำลังได้รับชัยชนะ ขณะที่สินค้าที่ขายทุกคน คือสินค้าที่ขายไม่ออก เช่น แบรนด์ใหม่ๆ อย่าง Hoka ที่เลือกทำตลาดเฉพาะ เช่น การขายรองเท้าปีนเขาที่ดีที่สุด และแบรนด์ On ที่ลงมาทำตลาดแบบ Customization เป็นรองเท้าเฉพาะสำหรับแต่ละบุคคล ผ่านเทคโนโลยีการผลิตแบบล้ำๆ ก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์ดาวรุ่ง มัดใจผู้บริโภคในยุคที่พฤติกรรมเปลี่ยน และชิงส่วนแบ่งตลาดจากแบรนด์ใหญ่ๆได้

อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ แก้วเก็บอุณหภูมิแบรนด์ Stanley ที่ตอนแรกชูฟังก์ชันเก็บความเย็น เก็บความร้อนได้ พร้อมลวดลายที่ดูหนักแน่น เพื่อเจาะตลาดผู้ชายตกปลา ปีนเขา แคมปิ้ง ผจญภัย แต่พอพบว่าผู้ชายไม่ค่อยซื้อแก้ว แบรนด์ Stanley จึงปรับมาทำแก้วแบบสีพาสเทล พร้อมทั้งเปลี่ยนมุมมองจากการขายแก้ว มาเป็นการ “ขายแรงบันดาลใจให้แก่ผู้หญิงที่ต้องการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพผิวที่ดี” ด้วยการมีแก้วสวยๆ ทำให้บริษัทมีรายได้ถึง 750 ล้านเหรียญสหรัฐ พลิกวิธีการเจาะตลาดสินค้าที่ทุกคนต่างเคยมองว่าเป็น “Red Ocean” ขายยังไงก็ไม่รวย

2.Small luxury หากเทียบวันนี้กับ 50 ปีที่แล้ว คนยุคใหม่ทำงานมากขึ้น แต่มีความสามารถในการซื้อสินทรัพย์ขนาดใหญ่ เช่น บ้าน ลดน้อยลง เพราะหากจะซื้อบ้านหนึ่งหลัง ต้องเป็นหนี้ถึง 30 ปี พร้อมมีดอกเบี้ยต่อเนื่อง แต่ผู้คนยังคงต้องการแสวงหา “ของขวัญ” ที่สามารถให้เป็นรางวัลตอบแทนการทำงานหนักของตัวเองแบบเป็นชิ้นเป็นอัน เราจึงเริ่มเห็นเทรนด์ Small Luxury หรือความหรูหราที่ยังพอเข้าถึงได้ เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เช่น กระเป๋าเดินทางใบละ 60,000 บาท มื้ออาหารแบบ Fine Dining ครีมกระปุกละ 25,000 บาท ไปจนถึงน้ำยาล้างมือขวดละ 1,200 บาทในช่วง COVID-19

3.Out of the box product variation strategy เป็นการตลาดที่นอกกรอบจากสินค้าของตัวเอง เช่น กรณี AirBNB แพลตฟอร์มจองที่พัก ที่ว้าวมากในปี 2012 แต่ผู้บริโภคเริ่มไม่ว้าวเหมือนเดิม บริษัทจึงตัดสินใจนำกำไรตัวเองไปสร้างบ้านแบบว้าวๆ ปล่อยเช่าผ่าน AirBNB เช่น บ้านบาร์บี้ บ้าน Shrek ห้องเฟอร์รารี บ้านที่ลอยได้จริงๆ แบบในเรื่อง Up หรือกรณีของ Burger King ที่ทำ The Real Cheese Burger ที่มีแต่ชีสล้วนๆ ออกมาให้ลูกค้าลอง ก็สามารถสร้างกระแสการตลาดให้คนจดจำ

4.Making boring products interesting ทำให้สินค้าที่คนมองข้ามน่าสนใจมากขึ้น เช่น น้ำยาซักผ้า ที่ทุกแบรนด์มักสื่อสารแบบตะโกนด้วยสีสดๆ ฝาใหญ่ๆ เหมือนกันหมด แต่มีแบรนด์ในสหรัฐอเมริกา ชื่อ Mozi Wash ที่เลือกสร้างความแตกต่างด้วยการ “กระซิบ” บอกแค่ว่าเป็นน้ำยาซักผ้า ใช้แพ็กเกจจิ้งที่เรียบง่าย แต่พอวางอยู่บนชั้นวางสินค้าเทียบกับแบรนด์อื่นที่แข่งกันตะโกน ก็ดูกลายเป็นสินค้าที่แตกต่างและโดดเด่นขึ้นมา หรือแบรนด์น้ำดื่มในสหรัฐอเมริกา Liquid Death ขึ้นแท่นเป็นแบรนด์ยอดขายอันดับต้นๆ ด้วยการทำแพ็กเกจจิ้งเหมือนกระป๋องเบียร์สีดำ ขายความเท่ตอนดื่มน้ำให้แก่เหล่าเด็กๆ

5.Personal brand actually makes a huge difference เช่น Salt Bae ที่ขายความแตกต่างด้วยท่าโรยเกลืออันเป็นเอกลักษณ์ หรือแม้กระทั่งตัวเขาเอง ที่ปัจจุบันมียอดการเข้าถึงใน Tiktok กว่า 47 ล้าน Instagram กว่า 40 ล้าน Youtube 32 ล้าน และ Facebook กว่า 30 ล้าน โดยที่ไม่ได้ซื้อโฆษณา

“แบรนดิ้ง คือสิ่งที่สร้างความลำเอียง และคือสิ่งที่คนดูหรือลูกค้ามอบให้กับเรา ตอนขายสินค้า ต้องไม่ขายแค่ฟังก์ชันอย่างเดียว แต่ต้องขายความลำเอียงนี้ให้ได้ด้วย ความลำเอียงจะทำให้เราโดดเด่น และที่สำคัญต้องอย่าทำ  แบรนดิ้งเพื่อหวังความดัง คุณต้องมีคอนเทนท์หรือสิ่งที่อยากแก้ปัญหาบางอย่างให้คนดู ถึงจะมีโอกาสสร้างแบรนดิ้งให้ตัวเอง” ซีเค ย้ำทิ้งท้าย

การบรรยายพิเศษในงานดังกล่าว อัดแน่นด้วยการให้ความรู้สำหรับเอสเอ็มอีในการปรับตัว สร้างความต่าง รวมถึงวิธีคิดในการเจาะ Niche Market และจบลงด้วยการให้กำลังใจส่งท้ายของ ยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะเจ้าของงานว่า รางวัลเซเว่น เลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน ก็ไม่ใช่เพียงการมอบรางวัล แต่เป็นการ “มอบแรงบันดาลใจ” ให้แก่เอสเอ็มอีที่มุ่งมั่นพัฒนาตัวเอง รวมถึงเอสเอ็มอีรายอื่นๆ ในการพัฒนาศักยภาพตัวเองต่อไป