DKSH เดินหน้าขยายโมเดลศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาค ยกระดับการเข้าถึงเครื่องมือแพทย์ทั่วประเทศไทย

หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ บริษัท DKSH (ประเทศไทย) จำกัด สานต่อพันธกิจในการส่งมอบการดูแลสุขภาพที่ครอบคลุม ผ่านการขยายโมเดลศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาค (Satellite Distribution Center) เพื่อเพิ่มอัตราการเข้าถึงเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็นได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นการรองรับความต้องการด้านสาธารณสุขในปัจจุบัน จากปัจจัยต่างๆ อาทิ สังคมผู้สูงอายุ ภาวะโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนนโยบายภาครัฐที่มุ่งผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและนวัตกรรมทางการแพทย์ระดับภูมิภาค 

หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ บริษัท DKSH (ประเทศไทย) จำกัด พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ด้านโซลูชันการดูแลสุขภาพและผู้นำด้านการขยายตลาด สำหรับบริษัทผู้ผลิตเวชภัณฑ์ยา บริษัทผู้ผลิตยาจำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ (OTC) ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และเครื่องมือแพทย์ ขยายโมเดลศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาคทั่วประเทศไทย โดยได้ปรับเปลี่ยนจุดรับส่งสินค้าทั้ง 9 แห่งทั่วประเทศตามโมเดล “ศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาค” โดยเริ่มจากที่แรกในภาคเหนือ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดส่งเครื่องมือแพทย์ เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ได้รับอุปกรณ์สำหรับดูแลรักษาผู้ป่วยได้ทันท่วงที

ขยายเครือข่ายการกระจายสินค้าทั่วประเทศ
การขยายเครือข่ายการกระจายสินค้าของ DKSH สอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ในประเทศไทย ซึ่งได้รับแรงขับเคลื่อนจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของบริการสุขภาพในภาคเอกชน การฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ  และจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ต้องรับมือกับโรคเรื้อรังและส่งเสริมให้มีการป้องกันโรคมากขึ้น  นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ Medical & Wellness Hub ของภาครัฐ ซึ่งจะส่งเสริมการพัฒนาและการผลิตนวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ภายในประเทศ

ปัจจุบัน เครื่องมือแพทย์ในประเทศไทย ยังคงพึ่งพาการนำเข้าถึงกว่า 70%   การสร้างศักยภาพด้านการกระจายสินค้าในประเทศจึงเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิรูประบบสาธารณสุข DKSH ได้ผนึกความร่วมมือกับโรงพยาบาล คลินิก และผู้ให้บริการทางการแพทย์ทั่วประเทศ ผ่านเครือข่ายศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาคของบริษัทฯ ซึ่งนับเป็นบทบาทและกลยุทธ์สำคัญในการตอบสนองความต้องการด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ให้เข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล 

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา DKSH ได้เปิดศูนย์กระจายสินค้าเครื่องมือแพทย์ระดับภูมิภาคแห่งแรกในภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งสามารถลดเวลาการจัดส่งในพื้นที่เหลือเพียง 2 ชั่วโมง สร้างมาตรฐานใหม่ในการให้บริการที่รวดเร็ว และเป็นก้าวสำคัญของการสร้างเครือข่ายการจัดส่งแบบกระจายศูนย์ที่คล่องตัว ช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์จัดสรรเวลาในการดูแลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ DKSH ยังมีศูนย์กระจายสินค้าทางการแพทย์และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ทันสมัยทั่วประเทศ ได้แก่ ศูนย์กระจายสินค้าคลังศรีเพชร ศูนย์กระจายสินค้าเครื่องมือแพทย์ และศูนย์กระจายสินค้าศรีวรินทร์ ซึ่งให้บริการส่งมอบสินค้าด้านสุขภาพไปยังปลายทางกว่า 40,000 แห่งทั่วประเทศ พร้อมระบบจัดการสินค้าแบบดิจิทัลเรียลไทม์และระบบอัตโนมัติที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและได้รับการรับรองมาตรฐาน

นายแพทริค แกรนเด หัวหน้าฝ่าย Commercial Outsourcing ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และ Cluster Head DKSH Healthcare กล่าวว่า “การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้ช่วยให้สามารถรักษาผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที การขยายโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะเพื่อยกระดับศักยภาพการกระจายสินค้าในระดับภูมิภาค ช่วยให้โรงพยาบาลทั่วประเทศไทยได้รับเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็นในการรักษาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ภาครัฐที่ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และการส่งเสริมสุขภาพ (Medical & Wellness Hub) ของประเทศไทย อีกทั้งสะท้อนถึงพันธกิจของเราในการส่งมอบการดูแลสุขภาพให้แก่ประชาชนไทยทุกคน”  


เดินหน้ายกระดับการรักษาเฉพาะทางอย่างยั่งยืน
ด้วยพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมกลุ่มโรคต่างๆ ได้แก่ โรคหัวใจ จักษุวิทยา และภาวะเบาหวาน DKSH ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับโรงพยาบาลและผู้ให้บริการทางการแพทย์ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาที่ทั่วถึงและรวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล

ด้วยประสบการณ์ในประเทศไทยเกือบ 120 ปี และการดำเนินธุรกิจธุรกิจใน 16 ประเทศทั่วเอเชียแปซิฟิกและสวิตเซอร์แลนด์ DKSH คือพันธมิตรที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ผลิตเวชภัณฑ์ยา เครื่องมือแพทย์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ที่ต้องการสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน ปัจจุบันประเทศไทยกำลังจะก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมทางการแพทย์และสุขภาพ บริษัทฯ พร้อมสนับสนุนวิสัยทัศน์ดังกล่าวด้วยความรู้ ความเชี่ยวชาญ และแนวทางการดำเนินงานที่เน้นคุณค่า เพื่อเสริมสร้างระบบสาธารณสุขไทยให้แข็งแกร่งและยั่งยืนอย่างแท้จริง   

หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ DKSH คว้ารางวัล Healthcare Asia Medtech Awards 2025

บริษัท DKSH (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับรางวัล Healthcare Asia Medtech Award 2025 สาขา "Hospital Partnership of the Year – Thailand" จากนวัตกรรมบริการดูแลสุขภาพผู้ป่วยที่บ้านแบบครบวงจร หรือ โฮมเพ้าส์ (Home Pulse) ซึ่งช่วยเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของ DKSH ในการส่งเสริมการเข้าถึงบริการสุขภาพทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทย

หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ บริษัท DKSH (ประเทศไทย) จำกัด พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ด้านโซลูชันการดูแลสุขภาพและผู้นำด้านการขยายตลาด สำหรับบริษัทผู้ผลิตเวชภัณฑ์ยา บริษัทผู้ผลิตยาจำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ (OTC) ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และเครื่องมือแพทย์ ได้รับรางวัล Healthcare Asia Medtech Awards 2025 สาขา “Hospital Partnership of the Year – Thailand” ซึ่งมีพิธีมอบรางวัล ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย รางวัลอันทรงเกียรตินี้เป็นสิ่งยืนยันถึงความสำเร็จของ “Home Pulse” นวัตกรรมด้านบริการสุขภาพที่มุ่งเน้นการดูแลผู้ป่วยถึงบ้าน ช่วยยกระดับการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ในประเทศไทย 

โดยการได้รับรางวัลดังกล่าวสะท้อนถึงองค์ความรู้ ความชำนาญและเชี่ยวชาญในระบบการดูแลสุขภาพในประเทศไทยของ DKSH และเป็นผลจากความมุ่งมั่นในการพัฒนาบริการโดยให้ความสำคัญกับผู้ป่วยเป็นหลัก มีการศึกษาความต้องการของผู้ป่วย และออกแบบบริการที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยลดความจำเป็นในการเดินทางไปโรงพยาบาล ส่งผลให้ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและสะดวกสบายยิ่งขึ้น นอกจากบริการดังกล่าว DKSH ยังคงเดินหน้าพัฒนาการให้บริการสุขภาพต่างๆ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ในวงกว้างแก่ชุมชนทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง อีกด้วย

Healthcare Asia Medtech Awards ถือเป็นหนึ่งในรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการเทคโนโลยีการแพทย์และการดูแลสุขภาพของเอเชีย ซึ่งยกย่องโครงการ องค์กร และผู้นำที่มีความโดดเด่นในด้านนวัตกรรมการดูแลสุขภาพและการพัฒนาระบบดูแลสุขภาพที่ยั่งยืน ทั้งยังมุ่งเน้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการพัฒนาการดูแลผู้ป่วยที่พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมให้เติบโต

นวัตกรรมบริการดูแลสุขภาพที่บ้านแบบครบวงจร
"Home Pulse" เป็นบริการดูแลสุขภาพที่บ้านแบบครบวงจรของ DKSH ที่พลิกโฉมการให้บริการทางการแพทย์ที่บ้านในประเทศไทยด้วยการให้บริการที่มีคุณภาพได้มาตรฐานเทียบเท่าโรงพยาบาลเช่น การเก็บตัวอย่างเลือด การให้คำปรึกษาทางการแพทย์แบบออนไลน์ (Teleconsultation) การตรวจวินิจฉัย และการดูแลผู้ป่วยเรื้อรังถึงบ้านของผู้ป่วยโดยตรง ด้วยความร่วมมือกับโรงพยาบาลชั้นนำและสถาบันการแพทย์ใประเทศไทย “Home Pulse” ช่วยลดความจำเป็นในการเดินทางไปโรงพยาบาล โดยมอบประสบการณ์ที่สะดวกสบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกาย หรือการเคลื่อนไหว หรือผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงความแออัดหรือการรอคิวนานในโรงพยาบาล นับตั้งแต่เริ่มดำเนินงาน “Home Pulse” ช่วยลดอัตราการกลับเข้ามารักษาที่โรงพยาบาลได้ถึง 30% ปัจจุบันได้ขยายการให้บริการครอบคลุมในพื้นที่กรุงเทพฯ ปทุมธานี อยุธยา นครปฐม และนนทบุรี พร้อมมีแผนที่จะขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศในอนาคตอันใกล้นี้

นายแพทริค แกรนเด รองประธานฝ่ายบริหาร หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ บริษัท DKSH (ประเทศไทย) จำกัด และหัวหน้าฝ่าย Commercial Outsourcing ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก DKSH กล่าวว่า “'Home Pulse' ได้กำหนดนิยามใหม่ในการส่งมอบบริการถึงบ้านของผู้ป่วย ด้วยมาตรฐานที่เทียบเท่ากับโรงพยาบาล DKSHรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ โดยความสำเร็จของ Home Pulse ในครั้งนี้เกิดจากความมุ่งมั่นของ DKSH ในการพัฒนาแนวทางการสนับสนุนบริการทางการแพทย์ที่ให้ความสำคัญกับผู้ป่วยเป็นหลัก และการสร้างระบบนิเวศสุขภาพที่ยั่งยืน  และจะเป็นแรงบันดาลใจให้เรายังคงเดินหน้าขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านการดูแลสุขภาพในเอเชีย ตามพันธกิจในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีขึ้นสำหรับทุกคนของเรา" 

นอกจากรางวัลสาขา "Hospital Partnership of the Year – Thailand" แล้ว DKSH ยังได้รับรางวัลสาขา "ESG Program of the Year – Asia" จากโครงการ "Patient Purpose Day" ซึ่งเป็นโครงการในระดับภูมิภาคเอเชียที่มุ่งเน้นการพัฒนาแนวทางการดูแลสุขภาพอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อสังคม เกี่ยวกับ DKSH  
วัตถุประสงค์ของ DKSH คือการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ตลอดระยะเวลาเกือบ 160 ปี DKSH ได้ส่งเสริมการเติบโตของบริษัทต่างๆ ในเอเชียและทั่วโลก ผ่านหน่วยธุรกิจหลักทั้ง 4 ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ สินค้าอุปโภคบริโภค วัสดุขั้นสูง และเทคโนโลยี ในฐานะผู้ให้บริการขยายตลาดชั้นนำ DKSH ให้บริการด้านการจัดหา ข้อมูลเชิงลึกของตลาด การตลาดและการขาย อีคอมเมิร์ซ การจัดจำหน่ายและโลจิสติกส์ รวมถึงบริการหลังการขาย DKSH เป็นผู้เข้าร่วมโครงการ United Nations Global Compact และปฏิบัติตามแนวทางการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ DKSH จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สวิส (SIX Swiss Exchange) และดำเนินธุรกิจใน 36 ประเทศด้วยบุคลากรกว่า 28,060 คน สร้างยอดขายสุทธิ 11.1 พันล้านฟรังก์สวิสในปี 2567 หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของ DKSH จัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ยา สินค้าเพื่อสุขภาพผู้บริโภค และผลิตภัณฑ์ที่ไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ รวมถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ ด้วยทีมงานกว่า 7,940 คน หน่วยธุรกิจได้สร้างยอดขายสุทธิ 5.7 พันล้านฟรังก์สวิสในปี 2567 

DKSH ร่วมกับ FrontierView เผยผลการศึกษาตลาดสุขภาพของไทย ชี้โอกาสและความท้าทายเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

บริษัท DKSH (ประเทศไทย) จำกัด พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ด้านโซลูชันการดูแลสุขภาพและผู้นำด้านการขยายตลาด สำหรับบริษัทผู้ผลิตเวชภัณฑ์ยา บริษัทผู้ผลิตยาจำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ (OTC) ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และเครื่องมือแพทย์ ได้ร่วมมือกับ FrontierView บริษัทที่ปรึกษาและให้บริการด้านข้อมูลชั้นนำ จัดทำเอกสารการศึกษา (Whitepaper) ในหัวข้อ “ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โอกาสแห่งการเติบโตของธุรกิจดูแลสุขภาพ” ซึ่งนำเสนอเกี่ยวกับโอกาสและความท้าทายของตลาดสุขภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งมีการเติบโตสูงและได้รับความสนใจจากบริษัทผู้ผลิตเวชภัณฑ์ยาทั่วโลกเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันก็ยังมีความท้าทายที่หลายฝ่ายต้องหาแนวทางจัดการบริหารร่วมกัน เพื่อให้คนไทยสามารถเข้าถึงระบบการดูแลสุขภาพได้มากขึ้น 

อุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพของไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยได้รับปัจจัยบวกจากการขยายตัวของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การขยายธุรกิจการดูแลสุขภาพของภาคเอกชน และความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPPs) อย่างไรก็ตามการเติบโตนี้มาพร้อมกับความท้าทายหลายประการ ตั้งแต่การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ความต้องการด้านงบประมาณ และข้อจำกัดด้านนโยบายและกฎระเบียบต่างๆ หากสามารถบริหารจัดการความท้าทายเหล่านี้ได้ จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและสามารถแข่งขันในระดับภูมิภาคได้

นายแพทริค แกรนเด รองประธานฝ่ายบริหาร และหัวหน้าฝ่าย Commercial Outsourcing ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก DKSH กล่าวว่า “เอกสารการศึกษานี้ช่วยยืนยันในความเชื่อมั่นที่เรามีต่อตลาดในประเทศไทย ซึ่งยังคงเป็นหนึ่งในตลาดที่มีศักยภาพสูงที่สุดในภูมิภาค สำหรับบริษัทผู้ผลิตเวชภัณฑ์ยา สินค้าสุขภาพ และอุปกรณ์การแพทย์ การขยายตัวของชนชั้นกลางอย่างต่อเนื่องและการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ ส่งผลให้ความต้องการบริการด้านสุขภาพจากภาคเอกชนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาคส่วนต่างๆ ในอุตสาหกรรมนี้จึงต้องร่วมมือกันเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยและผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพในประเทศไทยทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษาและการดูแลที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมกัน”

ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนคือกลยุทธ์สำคัญสำหรับการเติบโตในระยะยาว

เมื่อความต้องการด้านสุขภาพในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ภาครัฐจึงสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPPs) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้ป่วยในระบบสุขภาพภาครัฐ ตัวอย่างที่เด่นชัดคือ โครงการโรงพยาบาลปลวกแดง 2 ที่ภาครัฐและเอกชนทำร่วมกัน ความร่วมมือเช่นนี้จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพ ภายใต้ทรัพยากรที่ภาครัฐมีอยู่ นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนยังนำเอาความเชี่ยวชาญ ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และนวัตกรรมที่จำเป็น มาช่วยจัดการกับความต้องการด้านสุขภาพที่ซับซ้อนมากขึ้นของประเทศไทยอีกด้วย

ความท้าทายในตลาดสุขภาพของประเทศไทย

แม้ว่าอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพในประเทศไทยจะเติบโตอย่างมาก แต่ยังมีความท้าทายที่ต้องบริหารจัดการร่วมกันเพื่อความยั่งยืน

·การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์คือความท้าทายที่สำคัญประการหนึ่ง แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ มีแนวโน้มจะย้ายไปยังภาคเอกชน ทำให้การกระจายตัวของบุคลากรทางการแพทย์ไม่สมดุล ส่งผลให้ภาครัฐต้องรับมือกับความต้องการในด้านการดูแลสุขภาพที่เพิ่มมากขึ้น
·ระบบประกันสังคมของประเทศไทย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการจัดหาทุนสำหรับการดูแลสุขภาพของประชาชน กำลังเผชิญกับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากรายได้ในระบบลดลง ในขณะที่ความต้องการบริการสุขภาพโดยเฉพาะในโรงพยาบาลภาครัฐเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การเพิ่มการลงทุนในประกันสุขภาพเอกชนอาจเป็นแนวทางหนึ่งในการจัดการกับสถานการณ์นี้

·ข้อจำกัดด้านกฎระเบียบควบคุมดูแลระบบสุขภาพส่งผลต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม แม้ว่าจะมีการออกมาตรการต่างๆ เช่น แนวทางการประเมินร่วมของอาเซียน (The ASEAN Joint Assessment pathway) การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และการส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ แต่การผลิตเวชภัณฑ์ยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ในประเทศก็ยังไม่เพิ่มมากนัก ไทยยังคงนำเข้าสินค้าทางการแพทย์จำนวนมาก และหากบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนผลิตในประเทศ ก็อาจทำให้การแข่งขันเพิ่มสูงขึ้นอีก

·ธุรกิจสุขภาพภาคเอกชนในประเทศไทยเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้โรงพยาบาลเอกชนจัดหาเงินทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้ยากขึ้น โรงพยาบาลหลายแห่งจึงเลือกที่จะเช่าอุปกรณ์การแพทย์แทนการซื้อขาด ซึ่งสะท้อนถึงต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น

การบริหารจัดการโอกาสและความท้าทาย

ตลาดสุขภาพของประเทศไทยมีโอกาสมหาศาล โดยเฉพาะการเติบโตที่ต่อเนื่องของภาคเอกชนและการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ อย่างไรก็ตาม เพื่อรักษาทิศทางที่ดีนี้ เอกสารการศึกษาได้ระบุว่า ประเทศไทยจะต้องบริหารจัดการเรื่องการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ การจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอ และข้อจำกัดจากกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้ได้ การแสวงหาความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเป็นทางแก้ปัญหาที่ดี แต่ก็ต้องให้ความสำคัญกับการร่วมมือกันระหว่างรัฐบาล ภาคเอกชน และบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่ระบบการดูแลสุขภาพ

“DKSH ยังคงเดินหน้าสนับสนุนอุตสาหกรรมสุขภาพในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ผ่านความเชี่ยวชาญด้านการขยายตลาดเชิงพาณิชย์ การปฏิบัติตามกฏระเบียบต่างๆ และการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงการดูแลสุขภาพได้มากขึ้น ด้วยประสบการณ์กว่า 100 ปี ในการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เคียงข้างคู่ค้าของเราในการดำเนินธุรกิจในภูมิภาคเอเชีย เราได้สะสมองค์ความรู้มากมายและมีความภาคภูมิใจและยินดีอย่างยิ่งที่ได้แบ่งปันองค์ความรู้ของเราเพื่อเป็นข้อมูลในการดำเนินธุรกิจในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ผ่านเอกสารการศึกษาฉบับนี้” นายแพทริคกล่าวเพิ่มเติม

โดยผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความท้าทายและโอกาสในอุตสาหกรรมดูแลสุขภาพของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย จากเอกสารการศึกษาฉบับเต็มได้ที่ https://bit.ly/hecwhitepaper.

 

DKSH ร่วมกับ MSD ผนึกกำลังขยายการเข้าถึงวัคซีน HPV ในประเทศไทย

DKSH ได้รับความไว้วางใจจากบริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จำกัด ในการขยายโอกาสเติบโตทางธุรกิจในประเทศไทย โดยความร่วมมือในครั้งนี้ DKSH จะเดินหน้าส่งเสริมการเข้าถึงผลิตภัณฑ์วัคซีนและโซลูชันด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องของ MSD ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ต่อสู้กับโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส HPV ในประเทศไทย

หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ บริษัท DKSH (ประเทศไทย) จำกัด พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ด้านโซลูชันการดูแลสุขภาพและผู้นำด้านการขยายตลาด สำหรับบริษัทผู้ผลิตเวชภัณฑ์ยา บริษัทผู้ผลิตยาจำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ (OTC) ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และเครื่องมือแพทย์ ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับบริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นสาขาในประเทศไทยของบริษัทวิจัยและผลิตชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก ภายใต้ความร่วมมือนี้ DKSH จะดูแลการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัคซีน HPV (Human Papillomavirus) ให้สามารถเข้าถึงได้มากขึ้น    ส่งเสริมการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันให้แก่ผู้ป่วยในประเทศไทยอีกด้วย

ความร่วมมือในครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้และเพิ่มอัตราการฉีดวัคซีน HPV ในประเทศไทย ซึ่งยังคงเผชิญกับความท้าทายในการเข้าถึงการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน การศึกษาวิจัยเรื่อง "นโยบายและแผนการผลิตและพัฒนาวัคซีนในประเทศไทย” ระบุว่าประเทศไทยยังคงประสบปัญหาการจัดหาวัคซีนให้เพียงพอสำหรับจำนวนประชากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤตสุขภาพและโรคระบาด เป็นอุปสรรคต่อความพยายามในการส่งเสริมให้เกิดความเท่าเทียมในการเข้าถึงการรักษาและการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะในประชากรกลุ่มเปราะบาง

ภายใต้ข้อตกลงนี้ DKSH จะให้บริการจัดจำหน่ายแบบครบวงจร (Contract Sales Organization) และบริการโซลูชันสำหรับผู้ป่วย (Patient Solutions) เพื่อขยายการเข้าถึงวัคซีน HPV ในช่องทางต่างๆ ให้ได้มากที่สุด ทั้งทางโรงพยาบาล คลินิก และพันธมิตรผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพทั่วประเทศไทย

ดร.แมรี เสรฐภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ความร่วมมือกับ DKSH ในครั้งนี้ จะส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงวัคซีนของเราได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้อัตราการฉีดวัคซีนมีความครอบคลุมเพิ่มมากขึ้น ด้วยประสบการณ์การดำเนินธุรกิจของ DKSH ในประเทศไทยที่มียาวนานกว่าร้อยปี ผนวกกับความเชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์ทางการตลาดที่โดดเด่น บริษัทฯ จึงมีความมั่นใจในความร่วมมือในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง”

นายแพทริค แกรนเด รองประธานฝ่ายบริหาร และหัวหน้าฝ่าย Commercial Outsourcing ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก DKSH กล่าวเพิ่มเติมว่า  “ความร่วมมือกับ MSD ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกด้านเวชภัณฑ์ยาและวัคซีน จะช่วยให้เราสามารถส่งมอบวัคซีนผ่านนวัตกรรมโซลูชันที่ครบวงจรของเราให้แก่ประชาชนทั่วไปได้ดียิ่งขึ้น ความร่วมมือครั้งนี้ยังตอกย้ำพันธกิจที่สำคัญในการกำหนดกลยุทธ์การเข้าถึงตลาดที่เหมาะสมให้กับพันธมิตรทางธุรกิจของเรา ด้วยเครือข่ายและผู้เชี่ยวชาญในการดำเนินงาน DKSH จึงพร้อมที่จะส่งเสริมการเข้าถึงวัคซีน HPV ของ MSD ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น” 

โดยความร่วมมือในครั้งนี้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของ DKSH ในการตอบสนองความต้องการด้านสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย ในฐานะพันธมิตรด้านสุขภาพที่ได้รับความไว้วางใจมาอย่างยาวนาน DKSH ยืนหยัดที่จะพัฒนาการเข้าถึงนวัตกรรมโซลูชันต่างๆ และส่งเสริมสุขภาพของคนไทยให้ดียิ่งขึ้น

 

 

DKSH เดินหน้ายกระดับการกระจายสินค้าเพื่อสุขภาพในประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงและโครงสร้างพื้นฐานเชิงกลยุทธ์

DKSH พร้อมนำเทคโนโลยีด้านการขนส่งที่ก้าวหน้าและโครงสร้างพื้นฐานเชิงกลยุทธ์ เสริมความแข็งแกร่งในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจที่ได้รับความน่าเชื่อถือและไว้วางใจในอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพของไทย  ครอบคลุมศูนย์กระจายสินค้าทั้ง 3 แห่ง เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจากผู้ผลิตทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ตอบความต้องการผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่เพิ่มมากขึ้นในประเทศ

หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ บริษัท DKSH (ประเทศไทย) จำกัด พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ด้านโซลูชันการดูแลสุขภาพและผู้นำด้านการขยายตลาดสำหรับบริษัทผู้ผลิตเวชภัณฑ์ยา บริษัทผู้ผลิตยาจำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ (OTC) ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และเครื่องมือแพทย์  เดินหน้ายกระดับศักยภาพด้านการบริหารและการกระจายสินค้าเพื่อสุขภาพในประเทศไทย ด้วยเทคโนโลยีนวัตกรรมในการขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานเชิงกลยุทธ์ ครอบคลุมศูนย์กระจายสินค้าทางการแพทย์และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ทันสมัยทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ ศูนย์กระจายสินค้าคลังศรีเพชร (SPDC)  ศูนย์กระจายสินค้าเครื่องมือแพทย์ (MDDC) และศูนย์กระจายสินค้าศรีวรินทร์ (SVDC) โดยศูนย์กระจายสินค้าทั้ง 3 แห่งนี้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการส่งมอบผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วทั้งประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
DKSH มีบทบาทที่สำคัญในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานในการดูแลสุขภาพในสภาวะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างประชากรและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของประชากรไทย เช่น โรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่ยังคงเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตและการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร (ก่อนอายุ 70 ปี) ในอัตราสูงถึงร้อยละ14 นอกจากนี้ ยังมีความ  ท้าทายจากการก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยระดับสุดยอด (Super Aged Society) ภายในปี 2574  ซึ่งประเทศไทยอยู่ในอันดับ 4 ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อความต้องการด้านสาธารณสุขที่เพิ่มมากขึ้น.


ศูนย์กระจายสินค้าศรีเพชร - ศูนย์กระจายสินค้าด้านสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดของ DKSH ในประเทศไทย
ศูนย์กระจายสินค้าศรีเพชร (SPDC) เป็นศูนย์กระจายสินค้าด้านสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดของ DKSH ในประเทศไทย ตั้งอยู่ใกล้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นทำเลเชิงกลยุทธ์ มีอาคารและโครงสร้างพื้นฐานอันทันสมัย ด้วยขนาดพื้นที่กว่า 52,000 ตารางเมตร นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2550 ศูนย์กระจายสินค้าแห่งนี้ ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสุขภาพระดับสากลสูงสุด โดยดูแลพันธมิตรทางธุรกิจมากกว่า 200 ราย และส่งมอบบริการให้แก่คู่ค้ามากกว่า 40,000 รายทั่วประเทศ ครอบคลุมโรงพยาบาล คลินิก ร้านขายยา โมเดิร์นเทรด และช่องทางการจำหน่ายดั้งเดิม รวมถึงช่องทางอีคอมเมิร์ซทั่วประเทศ ศูนย์กระจายสินค้าศรีเพชร จัดเก็บสินค้า (SKUs) กว่า 35,000 รายการและกระจายสินค้า 750,000 กล่องต่อเดือน

นายแพทริค แกรนเด รองประธานฝ่ายบริหาร และหัวหน้าฝ่าย Commercial Outsourcing ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก DKSH เปิดเผยว่า “ด้วยการลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง เราจึงมั่นใจว่า ผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพที่สำคัญจะส่งถึงมือผู้ป่วยชาวไทยอย่างรวดเร็วและอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด DKSH มุ่งมั่นที่จะขยายการดำเนินงานให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย เพื่อส่งมอบยาในการรักษาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ช่วยชีวิต และเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยชาวไทยให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงมอบการดูแลสุขภาพที่ดีให้แก่ทุกคนอย่างทั่วถึง”  

การลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อเพิ่มความรวดเร็ว ความแม่นยำ และรองรับการเติบโตของธุรกิจเพื่อสุขภาพ
ศูนย์กระจายสินค้าศรีเพชร รองรับเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในปัจจุบัน โดยได้ผนวกระบบอัตโนมัติและ AI ขั้นสูง เพื่อลดขั้นตอนกระบวนการบรรจุภัณฑ์และกระจายสินค้าให้รวดเร็ว แม่นยำ และยืดหยุ่น ในขณะเดียวกันก็มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์จะปลอดภัยและได้รับการดูแลจนกว่าจะถึงมือลูกค้า ภายในศูนย์ยังมีเทคโนโลยีขั้นสูงอื่น ๆ ได้แก่ D-Pack โซลูชันการบรรจุหีบห่ออัตโนมัติเต็มรูปแบบ ที่ช่วยเพิ่มผลผลิตในการดำเนินงานได้ถึงร้อยละ 20 ช่วยปกป้องบรรจุภัณฑ์ได้ดีขึ้น ลดการใช้พลาสติกลงร้อยละ 15 และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พื้นที่บนรถบรรทุกสินค้า นอกจากนี้ ยังใช้แอปพลิเคชัน ReSnap ที่ออกแบบมาเพื่อบันทึกการคืนสินค้าและส่งอีเมลแจ้งเตือนรายวันให้กับคู่ค้า อำนวยความสะดวกให้กระบวนการตรวจสอบสินค้ารวดเร็วขึ้นและลดความจำเป็นในการเดินทางมาที่คลังสินค้า

นายวรพงษ์ สุรชัยกุลวัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโส แผนก Supply Chain Management หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ บริษัท DKSH (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เทคโนโลยีขั้นสูงที่ศูนย์กระจายสินค้าศรีเพชรช่วยให้เราสามารถบริหารจัดการกระบวนการขนส่งผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพในทุกขั้นตอนได้อย่างแม่นยำ และมั่นใจว่าสามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพให้ถึงผู้รับปลายทางได้ทันท่วงที เกือบ 120 ปีที่ DKSH ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย บริษัทฯ ยังคงลงทุนในโซลูชันด้านโลจิสติกส์ที่เป็นนวัตกรรมที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของพันธมิตรทางธุรกิจ บุคลากรและผู้ให้บริการทางการแพทย์ และที่สำคัญ เพื่อผู้ป่วยทั่วทั้งประเทศ” 
ด้วยบทบาทที่เพิ่มขึ้นของ AI และการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในอุตสาหกรรมสุขภาพ DKSH ยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงการดูแลสุขภาพได้อย่างทั่วถึง เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยจะได้รับการดูแลและได้รับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ ผ่านกระบวนการจัดการสินค้าที่ได้รับการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ

ผู้นำด้านโลจิสติกส์ที่ยั่งยืนและการปฏิบัติตามมาตรฐานสากล
เครือข่ายการกระจายสินค้าทั่วประเทศของ DKSH ซึ่งประกอบด้วย จุดกระจายสินค้า (cross-docking) จำนวน 9 แห่ง และรถขนส่งสินค้ากว่า 400 คัน สร้างความเชื่อมั่นในการจัดส่งสินค้าที่ตรงเวลาทั่วประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการในการรับบริการของผู้คนนับล้าน ด้วยประสบการณ์เกือบ 160 ปี ในภูมิภาคเอเชีย และการทำงานอย่างยาวนานในประเทศไทย DKSH เดินหน้าในฐานะผู้นำด้านโลจิสติกส์ยั่งยืน ผ่านการขนส่งด้วยรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่ศูนย์กระจายสินค้าศรีเพชร และใช้นวัตกรรมโซลูชันบรรจุภัณฑ์ B-Box ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ 100% สำหรับเวชภัณฑ์ที่มีการควบคุมอุณหภูมิ 

นอกจากนี้ ศูนย์กระจายสินค้าศรีเพชรของ DKSH ยังได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล ได้แก่ ISO 9001:2015, ISO 13485:2016, WHO GMP, GDP/GSDP และ PICS GMP&GDP การดำเนินการและการได้รับมาตรฐานรับรองเหล่านี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของ DKSH ในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ คุณภาพ และความยั่งยืน ด้วยการรักษามาตรฐานสูงสุด DKSH มั่นใจว่าการดำเนินงานของบริษัทตรงตามมาตรฐานที่รัดกุมของอุตสาหกรรมสุขภาพ มอบโซลูชันการดูแลสุขภาพที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพให้กับคู่ค้าและพันธมิตรในประเทศไทยและทั่วโลก

  

"DKSH" ร่วมกับ "ฮาสเทน ไบโอฟาร์มาซูติคอล" ผนึกกำลังเดินหน้าสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนในประเทศไทย

DKSH ได้รับความไว้วางใจจาก ฮาสเทน ไบโอฟาร์มาซูติคอล บริษัทนวัตกรรมชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำจากประเทศจีน ที่มีความเชี่ยวชาญด้านโรคเรื้อรังและการดูแลผู้ป่วยวิกฤต เพื่อร่วมกันขยายโอกาสและสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งให้กับฮาสเทนในภูมิภาคเอเชีย ความร่วมมือในครั้งนี้เริ่มจากตลาดหลักในประเทศไทยพร้อมความมุ่งหวังให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาที่มีคุณภาพสำหรับโรคเรื้อรัง อาทิ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน เป็นต้น

เมื่อวันที่ 30 ส.ค.67 หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ บริษัท DKSH (ประเทศไทย) จำกัด พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ด้านโซลูชันการดูแลสุขภาพและผู้นำด้านการขยายตลาดสำหรับบริษัทผู้ผลิตเวชภัณฑ์ยา บริษัทผู้ผลิตยาจำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ (OTC) ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และเครื่องมือแพทย์ได้ลงนามในข้อตกลงพิเศษร่วมกับ เอชพี บิดโค 2 จำกัด (HP Bidco 2 Limited) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ ฮาสเทน ไบโอฟาร์มาซูติคอล (Hasten Biopharmaceutical Co., Ltd.) ในการขยายตลาดในประเทศไทย ภายใต้ข้อตกลงนี้ DKSH จะขยายช่องทางการจัดจำหน่ายและการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของฮาสเทนให้ครอบคลุมทั้งในโรงพยาบาล คลินิก และร้านขายยา ผ่านบริการการกระจายสินค้า โลจิสติกส์ การตลาดและการขาย

ฮาสเทน มีพันธกิจสำคัญในการสร้างความเติบโตทางธุรกิจเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงสามารถเข้าถึงยาในกลุ่ม โรคเรื้อรัง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และกลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะวิกฤตได้มากขึ้น เมื่อไม่นานมานี้ บริษัทเป็นผู้รับอนุญาตผลิต หรือนำหรือสั่งยาเข้ามาในราชอาณาจักรและได้รับสิทธิ์ในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จำนวน 14 รายการจากเซลล์เทรียน (Celltrion) ใน 8 ตลาด รวมถึงประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย

จากการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยด้วยการตรวจร่างกาย โดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ในปี 2564 พบว่าคนไทยประมาณ 14 ล้านคน มีภาวะความดันโลหิตสูง   ในขณะที่ กรมควบคุมโรค ระบุว่ามีผู้ป่วยโรคเบาหวานรายใหม่ประมาณ 300,000 รายในประเทศไทยในปี 2565 ซึ่งเพิ่มขึ้นสูงเป็นสองเท่าจากปี 2564 สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการในการเข้าถึงยาคุณภาพสูงที่เพิ่มมากขึ้นเพื่อดูแลผู้ป่วยในกลุ่มโรคเหล่านี้

แฮนสัน เจิ้ง รองประธานอาวุโส หัวหน้าฝ่ายความเป็นเลิศทางการค้าบริษัท ฮาสเทน ไบโอฟาร์มาซูติคอล จำกัด กล่าวว่า “ความร่วมมือกับ DKSH ในครั้งนี้ จะช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ทางการรักษาที่ดีขึ้น  พร้อมด้วยโซลูชันการดูแลสุขภาพที่ก้าวหน้าเพื่อรองรับการให้บริการของบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ นอกจากนี้ การร่วมงานกับ DKSH ยังช่วยให้เรามุ่งเน้นไปที่การนำเสนอผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่เพิ่มประสิทธิภาพให้กับกลุ่มยาของเราได้ เพื่อเดินหน้าไปสู่การเพิ่มศักยภาพด้านการวิจัยและการผลิตอย่างต่อเนื่อง ท้ายที่สุด เรามีความเชื่อมั่นในการทำงานของ DKSH ที่มีความเชี่ยวชาญและการทำงานที่มีประสิทธิภาพ การันตีได้จากผลงานที่ DKSH ช่วยสร้างการเติบโตให้แก่บริษัทต่างๆ ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว”

แพทริค แกรนเด รองประธานฝ่ายบริหาร หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ บริษัท DKSH (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ฮาสเทน เป็นบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงและมีศักยภาพในการเติบโตสูง การที่ DKSH ได้รับเลือกให้เป็นพันธมิตรสำคัญเพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความเชี่ยวชาญของเราในการสร้างแบรนด์ที่มีความรู้ความเข้าใจในแต่ละกลุ่มโรค ที่ DKSH เรามีแพลตฟอร์มการให้บริการแบบบูรณาการที่เป็นเลิศ ซึ่งครอบคลุมถึงความเชี่ยวชาญในโรคต่างๆ อาทิ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไต มะเร็งวิทยาและภูมิคุ้มกันวิทยา ประสาทวิทยาศาสตร์-อาการปวด โรคผิวหนัง เวชภัณฑ์ยา จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ (OTC) ผ่านเครือข่ายที่กว้างขวาง ด้วยข้อมูลเชิงลึกและความสามารถด้านการจัดจำหน่าย การตลาดทางการแพทย์ โซลูชันสำหรับผู้ป่วย และการตลาดดิจิทัล ซึ่งเป้าหมายสูงสุดของ DKSH คือ การเพิ่มศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยในประเทศไทยให้สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของฮาสเทนได้ในวงกว้าง"  

สำหรับ DKSH ประเทศไทย เรามีความภูมิใจที่ได้เป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่ครบวงจรอย่างแท้จริง ผ่านการเชื่อมโยงธุรกิจบริการด้านสุขภาพทั้งหมดเข้าด้วยกัน เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลสุขภาพที่ดีขึ้น และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ซึ่งความร่วมมือกับฮาสเทนในครั้งนี้ ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นต่อค่านิยมและวิสัยทัศน์ของเราในการส่งมอบบริการด้านการดูแลสุขภาพที่เหนือระดับ