ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เดินหน้ากลยุทธ์ CRM จับมือพันธมิตร เสริมไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ สร้างความสุขให้ลูกบ้านอย่างยั่งยืน

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เดินหน้าตอกย้ำพันธกิจภายใต้แนวคิด ‘บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี’ ด้วยการยกระดับกลยุทธ์การบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจชั้นนำของไทย เพื่อส่งมอบคุณค่าอย่างรอบด้าน ทั้งด้านสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ และการบริการ สู่การสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่ได้อย่างแท้จริง

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี’ เปิดเผยว่า ลลิล พร็อพเพอร์ตี้เราไม่ได้เพียงส่งมอบบ้านที่มีคุณภาพให้ลูกค้าแต่เราต้องการสร้างประสบการณ์อยู่อาศัยที่ลูกค้าได้รับความพึงพอใจสูงสุดการสร้างความสัมพันธ์กับลูกบ้านไม่ควรสิ้นสุดลงหลังจากส่งมอบบ้าน แต่ควรเป็นจุดเริ่มต้นของการดูแลกันในระยะยาว ส่งผลให้กลยุทธ์ CRM ของ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้มุ่งเน้นการสร้าง ‘คุณค่าร่วม’ ด้วยการเชื่อมโยงเครือข่ายแบรนด์พันธมิตรที่หลากหลายมาเติมเต็มการใช้ชีวิตของลูกบ้านในทุกมิติ ภายใต้กลยุทธ์ดังกล่าว บริษัทฯ ได้ผนึกกำลังกับพันธมิตรชั้นนำ อาทิ กลุ่มสุขภาพ โรงพยาบาลเปาโลและโรงพยาบาลพญาไท กลุ่มชอปปิ้งไลฟ์สไตล์ The1 , TOPS , Jubilee , HomePro , Index  และกลุ่มบริการ B-Quik , kkday เป็นต้น

ทั้งนี้ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกพันธมิตรที่มีแนวคิดเดียวกันในการส่งมอบ ‘ความสุข’ ให้ลูกบ้าน ไม่ใช่แค่ในแง่ของมูลค่าโปรโมชันหรือสิทธิประโยชน์ แต่ต้องเป็นประสบการณ์ที่ยกระดับคุณภาพชีวิตได้จริง สำหรับปี 2568 แนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่และคนรุ่น Gen Y ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน เทคโนโลยี และสุขภาพ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้จึงพัฒนาแบบบ้านและบริการต่างๆให้ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ดังกล่าว ทั้งในด้านการจัดสรรพื้นที่ใช้สอยอย่างยืดหยุ่น ระบบบ้านอัจฉริยะเพื่อความสะดวกสบาย และการออกแบบเพื่อสนับสนุนสุขภาวะที่ดี

“เป้าหมายของเราคือการสร้างบ้านที่เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย แต่เป็นพื้นที่ที่สนับสนุนการใช้ชีวิตในแบบที่แต่ละครอบครัวต้องการ พร้อมมอบความคุ้มค่าทั้งในแง่ของราคา ทำเล ฟังก์ชัน และบริการหลังการขาย ซึ่งทั้งหมดล้วนสะท้อนความตั้งใจที่ดีของเรา” นายชูรัชฏ์ กล่าวสรุป

กลยุทธ์ CRM ที่ผสานความร่วมมือกับพันธมิตรของ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ นั้น ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าในระยะสั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานเพื่อความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาองค์กรในระยะยาว และตอกย้ำจุดยืนของแบรนด์ในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ความสำคัญกับ “ความสุขที่แท้จริงของผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง”

แอสเซทไวส์ รุกกลยุทธ์ CRM ชูแนวคิด “AssetWise Club 360° of Happiness” ดูแลลูกบ้านกว่า 2 หมื่นครอบครัว สร้างคอมมูนิตี้แห่งความสุข

“แอสเซทไวส์” เปิดกลยุทธ์ CRM เชื่อมแบรนด์กับลูกบ้านตามแนวคิด “AssetWise Club 360° of Happiness” จับมือหลากพันธมิตร สร้างคอมมูนิตี้แห่งความสุข เติมเต็มประสบการณ์ลูกบ้านกว่า 20,000 ครอบครัว ผ่านกิจกรรม สิทธิพิเศษ และธุรกิจไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์ทุกมิติของชีวิตครบทั้งดูแลบ้าน-กิน-ช้อป-เที่ยว-สุขภาพ พร้อมกิจกรรมส่งต่อความสุขสู่สังคมและสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดูแลคุณภาพชีวิตและสร้างความสุขตลอด 20 ปี

วันที่ 24 เมาายน 2568 นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness” กล่าวว่า นอกเหนือจากความมุ่งมั่นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพมาตลอด 20 ปีแล้ว บริษัทยังให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ CRM สร้างความสัมพันธ์ระหว่างลูกบ้านกับแบรนด์ และสร้าง Customer Loyalty ภายใต้แนวคิด “AssetWise Club 360° of Happiness” ด้วยการคัดสรรบริการและกิจกรรมพิเศษที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อย่างรอบด้าน เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัย และสร้างคอมมูนิตี้แห่งความสุข แทนคำขอบคุณให้กับลูกบ้านกว่า 20,000 ครอบครัวที่ไว้วางใจในโครงการของแอสเซทไวส์

ทั้งนี้ แอสเซทไวส์ได้จัดทำโปรแกรม “AssetWise Club” เปิดประสบการณ์พิเศษให้ลูกบ้าน 3 รูปแบบ ประกอบด้วย

1.กิจกรรม (Activities) มอบความสุขให้ลูกบ้านตลอดทั้งปี ทั้ง The Moment of Happiness เช่น Happy Movie Day ดูหนังรอบพิเศษ และ Happy Good Day Trip ล่องเรืองทานอาหาร ชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา ไหว้พระ 9 วัด ซึ่งได้เสียงตอบรับจากลูกบ้านเป็นอย่างดี, Happiness on Site มอบความสุขถึงโครงการ อาทิ Fit Day วัดค่า BMI และแนะนำการดูแลรูปร่าง Workshop DIY สอนทำงานประดิษฐ์ รวมถึงจับมือพาร์ทเนอร์จัดกิจกรรมมอบของและบริการให้กับลูกบ้าน หมุนเวียนตามแต่ละโครงการในทุกเดือน, Happiness Delivery จัดส่งของขวัญตามเทศกาล อาทิ ของขวัญวันปีใหม่ ชุดสรงน้ำพระวันสงกรานต์ ขนม Trick or Treat วันฮาโลวีน

2.สิทธิพิเศษ (Privileges) แอสเซทไวส์ร่วมกับหลากพันธมิตรคัดสรรสินค้าและบริการที่ครอบคลุมทุกมิติการใช้ชีวิต พร้อมมอบส่วนลดพิเศษสำหรับลูกบ้าน ได้แก่ กลุ่ม Service บริการล้างแอร์ราคาพิเศษจาก AirMate, บริการขนย้าย Goodmove ส่วนลด 20% กลุ่ม Home เช่น Quattro Design ลดทันที 15% เมื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านจาก SARABARN กลุ่ม Health เช่น รพ.สมิติเวช กับการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพฟรี, ร้านยากรุงเทพ รับส่วนลดค่าส่ง 30 บาท พร้อมปรึกษาผ่านไลน์กับเภสัชกรได้ตลอด 24 ชั่วโมง, ลด 15% เมื่อใช้บริการ Let’s Relex Spa กลุ่ม Food and Beverage เช่น ส่วนลด 10% จากร้านอาหารและเครื่องดื่มที่ร่วมรายการ, บริการ Personal Shopper พร้อมส่วนลด 5% จาก Tops และกลุ่ม Travel ส่วนลดโรงแรมชื่อดัง อาทิ ลด 10% เมื่อเข้าพัก La Cocotte Villa & Farm Khao Yai, Royal Cliff Hotel Group มอบส่วนลด 15% พร้อมอาหารเช้า

3.ธุรกิจไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Business) แอสเซทไวส์ยังเดินหน้าขยายธุรกิจใหม่ เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์และความต้องการที่หลากหลายของลูกบ้านกว่า 20,000 ครอบครัว โดยมีทั้ง Mingle Mall คอมมูนิตี้มอลล์ที่รวมร้านค้า ร้านอาหาร และบริการต่างๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกบ้านใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นในบรรยากาศสบายๆ ใกล้บ้าน, Rocket Fitness ฟิตเนสทางเลือกใหม่ในราคาและทำเลเข้าถึงง่าย ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ พร้อมอุปกรณ์ครบครันและคลาสออกกำลังกายหลากหลายรูปแบบ และ Vitala คลินิกกายภาพบำบัดและฟื้นฟูร่างกาย ให้บริการการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือที่ทันสมัย ตั้งแต่การฟื้นฟูร่างกายจากการออกกำลังกาย ไปจนถึงลดอาการปวด Office Syndrome เพื่อให้ลูกบ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน โดยบริษัทได้อำนวยความสะดวกให้ลูกบ้านสามารถร่วมกิจกรรมและรับสิทธิพิเศษได้ง่ายขึ้นผ่าน Line OA: AssetWise Club ซึ่งจะอัปเดตสินค้าและบริการต่างๆ ให้กับลูกบ้านทุกเดือน

นายกรมเชษฐ์ กล่าวอีกว่า นอกจากดูแลความสุขของลูกบ้านผ่านโปรแกรม AssetWise Club แล้ว บริษัทยังให้ความสำคัญกับการสร้างความสุขที่ยั่งยืนให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ลูกบ้านและบุคคลทั่วไปได้ร่วมทำสิ่งดีๆ เพื่อสังคม อาทิ GrowGreen ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า รวมถึงปลูกต้นไม้การเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในโครงการที่อยู่อาศัยและชุมชนโดยรอบ, Punn by Assetwise เชิญชวนลูกบ้านและพาร์ทเนอร์ทำกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ รวมถึงบริจาคสิ่งของสภาพดี เพื่อนำไปจำหน่ายแล้วเป็นทุนการศึกษาให้กับเยาวชน และ Beauty Run งานวิ่งการกุศลที่นำรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายมอบให้กับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ส่งต่อกำลังใจให้กับผู้ป่วยมะเร็ง โดยแอสเซทไวส์ตั้งใจสร้างสรรค์ทุกกิจกรรม เพื่อสร้างคอมมูนิตี้แห่งความสุขอย่างยั่งยืน ครอบคลุมทั้งการอยู่อาศัย คุณภาพชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับแนวคิด “We Build Happiness” หรือ “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ”

Round 2 Solutions เปิดมุมมองเชิงลึก พร้อมโอกาสเติบโตของตลาด ERP และ CRM พลังขับเคลื่อนธุรกิจไทยสู่อนาคต

ปี 2025 เทคโนโลยีที่ทันสมัยและตอบโจทย์ธุรกิจองค์กรต่างๆ ยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตไปข้างหน้า ธุรกิจองค์กรใดสามารถนำข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Data Analytics) มาผสานเข้ากับเทคโนโลยี AI และ Automation ในระบบ ERP และ CRM ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างแต้มต่อที่เหนือคู่แข่ง เพราะสามารถใช้ข้อมูลมาช่วยตัดสินใจปรับปรุงกระบวนการทำงาน แก้ปัญหาด้านต้นทุน และสร้างประสบการณ์ที่ดีและรวดเร็วขึ้นให้กับลูกค้ารวมถึงวิเคราะห์รูปแบบการตลาดและการเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ แต่ในทางกลับกันหากธุรกิจองค์กรใดยังไม่มีความพร้อม อาจต้องเผชิญกับความท้าทายที่ยากขึ้นในยุคนี้ที่รูปแบบการแข่งขันและการดำเนินธุรกิจในทุกอุตสาหกรรมกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

วันที่ 18 เมษายน 2568 นายวิเชียร ลัญฉนะวณิชย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ราวด์ ทู โซลูชั่นส์ จำกัด (Round 2 Solutions) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบริษัท จีเอเบิล จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการด้านระบบไอทีและดิจิทัลโซลูชันแบบครบวงจร (Tech Enabler) ชั้นนำของประเทศไทย ที่มีฐานลูกค้าระดับองค์กร Enterprise ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ได้เผยว่า “ปัจจุบันเทคโนโลยีที่กำลังเป็นที่ต้องการในช่วงเปลี่ยนผ่านธุรกิจองค์กรสู่ Digital Transformation สำหรับทุกแวดวงอุตสาหกรรมต่างๆ ในเวลานี้ คือ ระบบ Cloud ERP ที่สามารถนำมาใช้ในการจัดการและวางแผนการใช้ทรัพยากรต่างๆ ขององค์กรได้แบบเรียลไทม์  ทำให้ธุรกิจเห็นภาพรวมการบริหารงานตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ รวมถึงระบบการบริหารงานลูกค้าแบบครบวงจร (CRM) ตั้งแต่การหากลุ่มเป้าหมายศักยภาพที่มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าหรือบริการในอนาคต (Prospect) มีระบบติดตามการขายที่รวมถึงเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ความคิดเห็นของลูกค้า (Sentiment Analysis)ว่ามีความสนใจในสินค้าและบริการมากน้อยขนาดไหน จนกระทั่งกลุ่มเป้าหมายตัดสินใจเป็นลูกค้าจริง

โดยจากข้อมูลของ SAP Thailand (Press Room) ระบุว่าในปี 2025 ทิศทางแนวโน้ม การใช้ระบบ ERP ในธุรกิจองค์กรในประเทศไทยมีมากขึ้น 51% เพราะการเชื่อมต่อระบบ ERP เข้ากับระบบ CRM จะทำให้เห็นข้อมูลทั้งหมดในกระบวนการตั้งแต่การสร้างฐานลูกค้า การนำเสนอผลิตภัณฑ์ การวางแผนผลิต กระบวนการผลิต ไปจนถึงการดูแลลูกค้าแบบครบวงจร เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดจากการใช้สินค้าและบริการจนเกิด เป็นความจงรักภักดีที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty)

สำหรับปัจจัยที่ขับเคลื่อนตลาด ERP และ CRM ในไทยมาจาก 3 มิติหลักได้แก่ 1.ธุรกิจไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มธุรกิจครอบครัวดั้งเดิมและองค์กรขนาดใหญ่ ส่งผลให้เกิดความต้องการระบบที่มีมาตรฐานมารองรับการขยายตัว 2.การเติบโตของดิจิทัลอีโคซิสเต็ม ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดีย มาร์เก็ตเพลส หรือซัพพลายเชน ล้วนเปลี่ยนมาอยู่ในระบบออนไลน์ ทำให้ต้องมีการเชื่อมต่อระบบต่างๆมากขึ้น 3.การพัฒนาของตัวโซลูชัน ERP และ CRM ที่มีการอัปเกรดเวอร์ชันใหม่ ฟีเจอร์ที่ทันสมัย และมีการปรับไปสู่ระบบ Enterprise Cloud ทำให้ช่วยผลักดันการเติบโตของตลาดโดยรวม

“ในเวลานี้ ธุรกิจองค์กรชั้นนำขนาดใหญ่ที่มีเครือข่ายโรงงานในหลายจังหวัดหรือมีฐานการผลิตในหลายประเทศ ได้เริ่มใช้เทคโนโลยีที่มีการเชื่อมโยงระบบ ERP และ CRM ที่ผสานเทคโนโลยี Process Automation และ Enterprise AI ขึ้นมา หากธุรกิจมีการวางพื้นฐาน (Fundamentals) ที่เหมาะสมอย่างการวาง Business Process ที่ดีและเป็นมาตรฐาน, มีข้อมูลที่มีคุณภาพ (Good Data Quality) รวมถึงการเชื่อมต่อระบบที่มีประสิทธิภาพ (Systems Integration) ธุรกิจนั้นก็จะสามารถใช้ประโยชน์จาก Process Automation และ Enterprise AI ได้ในกระบวนการขององค์กรที่มีหลายขั้นตอนได้อย่างชาญฉลาด เพราะระบบเหล่านี้สามารถประมวลผลและดำเนินงานตั้งแต่ต้นจนจบขั้นตอนได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วขึ้นมาก” นายวิเชียรกล่าว

ทั้งนี้การที่ธุรกิจองค์กรจะเลือกใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ หนึ่งสิ่งสำคัญที่ธุรกิจองค์กรต่างๆ ควรจะต้องศึกษาอย่างละเอียดคือ การเฟ้นหาพาร์ทเนอร์ผู้เชี่ยวชาญที่รู้ลึกรู้จริงในระบบ Business Application ดังกล่าวในระดับที่สามารถออกแบบกระบวนการทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงดำเนินการสร้างมาตรฐานของข้อมูลที่ดีที่เชื่อมต่อระบบต่างๆ เช่น ERP และ CRM เข้าด้วยกันได้อย่างไร้รอยต่อ เพื่อที่จะสามารถมองเห็นภาพรวมในการดำเนินธุรกิจปัจจุบัน และเห็นถึงช่องโหว่งที่รอการแก้ไขอย่างเร่งด่วน พร้อมการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลในการพัฒนาธุรกิจให้เท่าทันกระแสความเร็วในโลกธุรกิจปัจจุบัน ไปจนถึงสร้างการเติบโตด้านผลกำไรให้แก่ธุรกิจองค์กรได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว