BDI ผนึก สปสช. รุกขยายเครือข่าย Health Link สู่ภาคเหนือ หนุนระบบสาธารณสุขไร้รอยต่อ

BDI ผนึกกำลัง สปสช. เดินหน้าขยายเครือข่ายโครงการ Health Link ต่อเนื่อง เพื่อยกระดับศักยภาพการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสถานพยาบาลทั่วประเทศ สามารถเชื่อมโยงหน่วยบริการสุขภาพได้แล้วกว่า 2,237 แห่ง ล่าสุดได้ขยายพื้นที่การดำเนินงานสู่ภาคเหนือ โดยนำร่องพื้นที่ สปสช. เขต 3  ครอบคลุมหน่วยนวัตกรรมกว่า 550 แห่ง พร้อมเดินหน้าพัฒนาแพลตฟอร์มตามยุทธศาสตร์ “3 Healths” ได้แก่ บริการด้านสุขภาพ (Health Service), การเงินการคลังด้านสุขภาพ (Health Financing) และการวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพและปัญญาประดิษฐ์ (Health Analytics & AI) เพื่อมุ่งสู่การวางรากฐานระบบสุขภาพดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Health System) ตั้งเป้าขยายเครือข่ายครอบคลุมหน่วยบริการในพื้นที่จังหวัดอื่น ๆ อีกกว่า 15,000 แห่งทั่วประเทศภายในปี 2569

วันที่ 8 กันยายน 2568 นพ.ธนกฤต จินตวร รองผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) ด้านบริหารกิจการพิเศษ กล่าวว่า BDI ให้ความสำคัญกับการขยายเครือข่ายบริการด้านสุขภาพสู่ระดับภูมิภาค โดยการลงพื้นที่ ที่ชาตรีคลินิก การพยาบาลและการผดุงครรภ์ จังหวัดนครสวรรค์ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของโครงการ Health Link ในการกระจายเครือข่ายการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งนี้เป็นการต่อยอดจากการดำเนินงานในพื้นที่นำร่องก่อนหน้านี้ เริ่มจากกรุงเทพมหานคร และจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากการใช้งานแพลตฟอร์ม Health Link ในการยกระดับคุณภาพการดูแลรักษาและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ เนื่องจากระบบสามารถลดความซ้ำซ้อนในการตรวจวินิจฉัย เพิ่มความแม่นยำในการรักษา และสนับสนุนการประสานงานระหว่างหน่วยบริการสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการ โดยเฉพาะในกลุ่มประชาชนที่มีการย้ายถิ่นฐานหรือเปลี่ยนสถานพยาบาลบ่อยครั้ง ทำให้สามารถได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น

ปัจจุบัน มีสถานพยาบาลและหน่วยบริการที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ Health Link แล้วรวมกว่า 2,237 แห่ง แบ่งเป็นในเขตกรุงเทพมหานครจำนวน 1,592 แห่ง และในต่างจังหวัดจำนวน 645 แห่ง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างไร้รอยต่อ ครอบคลุมตั้งแต่ระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ จนถึงตติยภูมิ เพื่อให้การรักษามีความปลอดภัย ครบถ้วน และลดภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น อีกทั้งยังสอดรับกับนโยบาย “30 บาทรักษาทุกที่” ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้ารับบริการจากหน่วยบริการที่เชื่อมโยงข้อมูลได้ทุกแห่ง โดยไม่จำกัดเฉพาะโรงพยาบาลตามสิทธิ

พร้อมกันนี้ BDI ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาโครงการ Health Link อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการและครอบคลุมทุกมิติของระบบสุขภาพ ภายใต้กลยุทธ์หลัก 3 Healths ได้แก่

- บริการด้านสุขภาพ (Health Service) มุ่งเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยบริการสาธารณสุขทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่มีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าบูรณาการข้อมูลสำคัญ อาทิ ข้อมูลสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (Prevention and Promotion-PP), ระบบที่ใช้ในการจัดเก็บรูปภาพทางการแพทย์ (PACS), ข้อมูลการระบาดของโรค (Epidemic) และข้อมูลสุขภาพที่เกี่ยวข้อง ควบคู่กับการพัฒนาแพลตฟอร์มเสริม เช่น PHR (Personal Health Record), บริการตรวจทางห้องปฏิบัติการนอกหน่วยบริการ (Lab Anywhere) และบริการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้อย่างสะดวก ทั่วถึง และมีประสิทธิภาพในทุกพื้นที่ โดยตั้งเป้าขยายการเชื่อมต่อครอบคลุมกว่า 15,000 หน่วยบริการทั่วประเทศภายในปี 2569

- การเงินการคลังด้านสุขภาพ (Health Financing) ดำเนินการบูรณาการข้อมูลจาก 3 กองทุนสุขภาพหลักของภาครัฐ เพื่อป้องกันความซ้ำซ้อนของสิทธิการรักษา และสร้างความเป็นธรรมในการเข้าถึงบริการ พร้อมนำข้อมูลมาวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อสนับสนุนการกำหนดนโยบายที่ตรงจุด สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน และช่วยให้ผู้มีสิทธิสามารถเข้าถึงและใช้บริการสาธารณสุขได้อย่างเต็มที่ ครอบคลุม และทั่วถึง

- การวิเคราะห์สุขภาพด้วยข้อมูลและ AI (Health Analytics & AI) มุ่งสนับสนุนการวางแผนบริการและกำหนดนโยบายด้านสาธารณสุขบนฐานข้อมูลที่ถูกต้อง ครอบคลุม และเชื่อถือได้ จากทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อนำมาประมวลผลเชิงลึกและสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ Health Link ยังพัฒนาแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพที่สามารถเชื่อมโยงและประมวลผลจากหลากหลายแหล่งข้อมูล (Data Source) เพื่อสร้างภาพรวมด้านสุขภาพของประชาชนที่แม่นยำ ครอบคลุม และสามารถใช้วางแผนเชิงรุกได้ในระยะยาว

“การเดินหน้าขยายการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพให้ครอบคลุมหน่วยบริการทั่วประเทศ สะท้อนบทบาทเชิงรุกของ BDI ในการวางรากฐานสู่การเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Nation) โดยบูรณาการข้อมูลจากหลากหลายภาคส่วน เพื่อรองรับการวางแผน จัดสรรทรัพยากร และกำหนดนโยบายได้อย่างแม่นยำ มีประสิทธิภาพ และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง” นพ.ธนกฤต กล่าวสรุป           

ด้าน นพ.ปฏิภาคย์ นมะหุต ผู้แทนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 3 จังหวัดนครสวรรค์ กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่าง สปสช. และ BDI ในครั้งนี้ ถือเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับระบบสาธารณสุขของประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่เขต 3 ซึ่งครอบคลุมหน่วยบริการสุขภาพใน 5 จังหวัด ได้แก่ กำแพงเพชร นครสวรรค์ ชัยนาท พิจิตร และอุทัยธานี โดยปัจจุบันมีหน่วยบริการกว่า 550 แห่ง คาดว่าในอนาคตจะเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพผ่านระบบ Health Link ให้มากที่สุด เพื่อใช้เป็นเครื่องมือหลักในการส่งต่อข้อมูลระหว่างสถานพยาบาลอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบ

“การดำเนินงานดังกล่าว ไม่เพียงช่วยยกระดับการให้บริการเชิงปฏิบัติในระดับพื้นที่เท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบสุขภาพที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Health System) ซึ่งจะช่วยให้ภาครัฐสามารถวิเคราะห์แนวโน้มด้านสุขภาพของประชาชนในแต่ละพื้นที่ วางแผนการจัดสรรทรัพยากรได้อย่างตรงจุด และยกระดับคุณภาพบริการให้ครอบคลุมทั้งการป้องกันและการรักษาได้อย่างยั่งยืน” นพ.ปฏิภาคย์ กล่าว

สำหรับประชาชนที่สนใจสมัคร Health Link ฟรีผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” หรือ “ThaID” ศึกษารายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่: https://healthlink.go.th และสามารถติดตามอัปเดตข้อมูลและกิจกรรมต่าง ๆ ของสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ได้ทางเว็บไซต์ https://bdi.or.th/ และ Facebook: BDI - Big Data Institute

คปภ. ประชุมร่วม BDI ธุรกิจประกันภัย หารือเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพผ่านแพลตฟอร์ม Health Link

คปภ. ประชุมร่วม BDI ธุรกิจประกันภัย หารือเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพผ่านแพลตฟอร์ม Health Link


สำนักงาน คปภ. ประชุมร่วม สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) และผู้แทนภาคประกันภัย หารือแนวทางเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพผ่านแพลตฟอร์ม Health Link ยกระดับการพิจารณารับประกัน-เคลมสินไหม พร้อมเตรียมนัดพูดคุยเพิ่มเติมถึงประเด็นสิทธิการเข้าถึงข้อมูล-การจัดเก็บข้อมูล หวังให้สอดคล้องกับข้อกำหนดทางกฎหมาย

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานการประชุมร่วมกับสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI เพื่อหารือแนวทางการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพผ่านแพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของคนไทย (Health Link) ที่พัฒนาโดย BDI โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วยนายอาภากร ปานเลิศ รองเลขาธิการด้านกำกับธุรกิจประกันภัย นางมยุรินทร์ สุทธิรัตนพันธ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงาน คปภ.นายแพทย์ธนกฤต จินตวร ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา และนักบริหารกิจการพิเศษ สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) แพทย์หญิงปฐมพร ศิรประภาศิริ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิด้านเวชกรรม นางสาวน้ำฝน ประโพธิ์ศรี ผู้อำนวยการโครงการ  Health Link

รวมถึง คุณสาระ ล่ำซำ ประธานสภาธุรกิจประกันภัยไทย และผู้แทนจากสมาคมประกันชีวิตไทย ผู้แทนสมาคมประกันวินาศภัยไทย และผู้แทนบริษัทประกันภัย เข้าร่วมประชุมจำนวน 68 ราย เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ณ สำนักงาน คปภ.

การประชุมในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อหารือแนวทางการกำหนดมาตรฐานในการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพที่เหมาะสม    เพื่อให้สามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย การประเมินความเสี่ยง และการให้บริการที่ตอบโจทย์ประชาชนผู้เอาประกันภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับแพลตฟอร์ม Health Link เป็นแนวคิดของระบบเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ (Health Information Exchange: HIE) มีจุดเด่นคือการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพอย่างปลอดภัย โปร่งใส และต้องผ่านการให้ความยินยอมของคนไข้ (Consent-based) ซึ่งเป็นที่ยอมรับและมีการนำไปใช้จริงในต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มหรือเครือข่ายโรงพยาบาลที่ใช้ระบบสารสนเทศโรงพยาบาล (Hospital Information System : HIS) แบบเดียวกัน 

 

แพลตฟอร์มนี้เป็นระบบแพลตฟอร์มกลางที่พัฒนาขึ้นเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของคนไข้ระหว่างสถานพยาบาลต่าง ๆ    ซึ่งปัจจุบัน Health Link เชื่อมโยงข้อมูลกับสถานพยาบาลไปแล้ว 2,305 แห่ง โดยหน่วยงานที่เชื่อมโยงส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลรัฐและคลินิก ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกและเกิดประโยชน์กับทั้งกับโรงพยาบาล แพทย์ และคนไข้ ดังนี้
1. ประโยชน์สำหรับโรงพยาบาลคือ การส่งข้อมูลการรักษาจากโรงพยาบาลต่าง ๆ เมื่อมีการเข้ารับการรักษาพยาบาล ข้อมูลการรักษาจะถูกจัดส่งเข้าสู่ระบบ Health Link ตามมาตรฐานกลาง (Health Link Data Standard) ที่กำหนดไว้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา และบริการ ติดตามอาการและการส่งระหว่างโรงพยาบาลในระดับประเทศ ลดความซ้ำซ้อนในการจ่ายยาและการรักษาอื่น ๆ ระหว่างโรงพยาบาล ทั้งนี้การเข้าถึงข้อมูลจะกระทำได้เฉพาะในกรณีที่คนไข้ได้ให้ความยินยอมไว้ล่วงหน้า  


2. ประโยชน์สำหรับแพทย์คือ แพทย์สามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพที่จำเป็นของคนไข้ และประวัติการรักษาจากต่างโรงพยาบาลได้อย่างครบถ้วน โดยช่วยประหยัดเวลาในการวินิจฉัยคนไข้ และสามารถตัดสินใจหรือวินิจฉัยอาการได้รวดเร็วและถูกต้องแม่นยำขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและช่วยชีวิตคนไข้ได้ โดยการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของคนไข้จะต้องได้รับการลงทะเบียนในระบบ Health Link และยืนยันตัวตนผ่านระบบของแพทยสภา จากนั้นจึงสามารถเข้าใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน หรือระบบสารสนเทศโรงพยาบาลได้ เช่นเดียวกันการเข้าถึงข้อมูลจะกระทำได้เฉพาะในกรณีที่คนไข้ได้ให้ความยินยอมไว้ล่วงหน้า
3. ประโยชน์สำหรับคนไข้คือ คนไข้สามารถดูข้อมูลประวัติการรักษาต่าง ๆ ของตนเองได้ โดยต้องมีการลงทะเบียนและให้ความยินยอมผ่านช่องทางดิจิทัลทั้งหมด 4 ช่องทาง ประกอบด้วย 1. แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” 2. แอปพลิเคชัน ThaID Rama         3. ระบบเวชระเบียน e-PHIS และ 4. เว็บไซต์ Health Link เพื่อให้ความยินยอมในการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของตนเองผ่าน    แอปพลิเคชัน ThaID ซึ่งทำให้สะดวกและประหยัดเวลา เพราะไม่ต้องไปขอข้อมูลจากโรงพยาบาล

นอกจากนี้คนไข้ยังสามารถกำหนดขอบเขตการเข้าถึงข้อมูลของตนเองได้ตามความสมัครใจ
โดยจากการหารือร่วมกัน ที่ประชุมมีความเห็นตรงกันว่า แพลตฟอร์ม Health Link จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการนำมาใช้งานร่วมกับภาคธุรกิจประกันภัย โดยบริษัทประกันภัยสามารถใช้ข้อมูลสุขภาพในกระบวนการสำคัญต่าง ๆ เช่น  การพิจารณารับประกันภัย การจัดการเคลม และการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการลูกค้าได้ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งทางสถาบันข้อมูล      ขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) แจ้งว่ามีบริษัทประกันภัยหลายแห่งแสดงความต้องการที่จะเชื่อมโยงข้อมูลด้านสุขภาพ   ผ่านแพลตฟอร์มนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นความท้าทายอีกหลายส่วนที่ต้องหารือเพิ่มเติม อย่างเช่น การเข้าถึงข้อมูล   โดยบริษัทประกันภัย เนื่องจากแพลตฟอร์ม Health Link เป็นระบบ Consent-based บริษัทประกันภัยจะต้องขอความยินยอมจากลูกค้าในการเข้าถึงข้อมูลเพื่อพิจารณารับประกันภัยหรือเคลม การจัดเก็บข้อมูลโดยบริษัทประกันภัย เนื่องจากปัจจุบันแพลตฟอร์ม Health Link ไม่อนุญาตให้ดาวน์โหลดหรือบันทึกข้อมูลประวัติการรักษา รวมถึงยังไม่มีการกำหนดค่าธรรมเนียมการเข้าถึงข้อมูล และยังไม่มีระบบข้อมูลค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล


เลขาธิการ คปภ. ได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า สำนักงาน คปภ. จะเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมหารือในรายละเอียดเชิงลึกกับสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) และภาคธุรกิจประกันภัยต่อไป เพื่อให้การนำแพลตฟอร์ม Health Link ไปใช้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและตอบโจทย์ความต้องการของทุกฝ่าย
“Health Link ถือเป็นแพลตฟอร์มข้อมูลสุขภาพที่มีศักยภาพสูงในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาพยาบาลและ   ลดภาระของคนไข้ และมีประโยชน์อย่างมากต่อธุรกิจประกันภัยในการพิจารณารับประกันและเคลม อย่างไรก็ตามการนำมาใช้งานเต็มรูปแบบในภาคประกันภัย ยังคงต้องมีการหารือและพัฒนารูปแบบการให้ความยินยอมและการเข้าถึงข้อมูลให้สอดคล้องกับข้อกำหนดทางกฎหมายและวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ” เลขาธิการ คปภ. กล่

BDI เผย "บิ๊กดาต้า-เอไอ"แไทยเติบโต 3.78 หมื่นล้าน Big Data Services ครองแชมป์

BDI รายงานมูลค่าตลาด “บิ๊กดาต้า-เอไอ” ไทย 2 ปี ทะลุ 3.78 หมื่นล้าน บริการด้าน “Big Data Services” ครองแชมป์มาร์เก็ตแชร์สูงสุด

วันที่ 30 มิ.ย.68 สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI เผยผลสำรวจวิเคราะห์สภาพแวดล้อม (Environmental Scanning) ด้านอุตสาหกรรม Big Data และ AI ในประเทศไทยย้อนหลัง 2 ปี พบว่ามูลค่ารวมสูงถึง 37,814 ล้านบาท โดยกลุ่มอุตสาหกรรมครองแชมป์ส่วนแบ่งตลาด (Market Share) สูงสุดได้แก่ Big Data Services คิดเป็นร้อยละ 52.7 ของมูลค่ารวมทั้งหมด สะท้อนถึงความต้องการบริการวิเคราะห์และจัดการข้อมูลเชิงลึกที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ด้านกำลังคน พบประเทศไทยมีบุคลากรในอุตสาหกรรม Big Data และ AI รวมกว่า 32,000 คน ชี้มูลค่าตลาดยังมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 7-8 ต่อปี พร้อมแนะ 4 แนวทางส่งเสริมตลาด Big Data และ AI สู่การวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับอนาคต ภายใต้แผนยุทธศาสตร์หลักระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2568 -2570) โดยมุ่งเน้นการผลักดันองค์กรและหน่วยงานให้เร่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เป็นแต้มต่อทางธุรกิจ เสริมศักยภาพการแข่งขัน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรม

ติดตามอัปเดตข้อมูลและกิจกรรมต่าง ๆ ของสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ได้ทางเว็บไซต์ https://bdi.or.th/ และ Facebook: BDI - Big Data Institute

BDI ขยายแพลตฟอร์ม “Travel Link” เจาะลึก 22 จว. ครบหัวเมืองหลักด้านการท่องเที่ยว เสริมศักยภาพ SMEs

วันที่ 11 มิถุนายน 2568 สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI เร่งขับเคลื่อนการใช้ “Travel Link” แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลด้านการท่องเที่ยวอัจฉริยะ เพื่อยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยในการเข้าถึงอินไซต์นักท่องเที่ยวเชิงลึกด้วย Big Data และ AI พร้อมเสริมแกร่งศักยภาพ SMEs เตรียมขยายการวิเคราะห์เจาะลึกพฤติกรรมนักท่องเที่ยวครบ 22 จังหวัดหัวเมืองหลัก คาดแล้วเสร็จภายในปี 2569 รองรับการวางแผนเชิงกลยุทธ์ของทั้งภาครัฐและเอกชน สอดรับนโยบายรัฐในการกระตุ้นการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี และกระจายรายได้สู่เมืองรองอย่างยั่งยืน

รศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) กล่าวว่า จากข้อมูลในแดชบอร์ดบนแพลตฟอร์มข้อมูลอัจฉริยะด้านท่องเที่ยวแห่งชาติ หรือ Travel Link พบว่า ในช่วงต้นปี 2568 ตั้งแต่เดือนมกราคม - พฤษภาคม มีผู้โดยสารชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยจากทุกช่องทาง (ด่านอากาศ, ด่านบก และด่านน้ำ) มากกว่า 17 ล้านคน สะท้อนถึงสถานการณ์การท่องเที่ยวที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดนิ่ง ดังนั้น การวางนโยบายและแผนการดำเนินงาน จึงไม่อาจอ้างอิงเพียงประสบการณ์ หรือการคาดการณ์ดังเช่นในอดีต การขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที จึงเป็นหัวใจหลักในการบริหารองค์กร และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน

แพลตฟอร์ม Travel Link จึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญ ที่จะช่วยผู้ประกอบการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ได้เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมนักท่องเที่ยวในแต่ละภูมิภาค พร้อมกับคาดการณ์ฤดูกาลท่องเที่ยวทั้งช่วงไฮซีซันและโลว์ซีซัน รวมถึงการวางแผนขยายบริการ หรือสื่อสารการตลาดไปยังพื้นที่ที่มีศักยภาพใหม่ ๆ ด้วยข้อมูลที่ถูกถ่ายทอดผ่านฟีเจอร์สำคัญซึ่งออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของผู้ประกอบการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบ ผ่าน 4 ไฮไลท์ ได้แก่

สถิติจำนวนชาวต่างชาติขาเข้ารายเดือน ระบบจะแสดงจำนวนผู้โดยสารต่างชาติที่เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยจากทุกด่าน โดยสามารถกรองข้อมูลตามสัญชาติหรือทวีป เพื่อระบุพฤติกรรมการเดินทางของนักท่องเที่ยวกลุ่มต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน

การเปรียบเทียบจำนวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้ การนำเสนอข้อมูลการเปรียบเทียบระหว่างจำนวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการท่องเที่ยวของแต่ละจังหวัดในช่วงเวลาต่าง ๆ ทั้งแบบรายเดือนและรายปี

ภาพรวมผู้เยี่ยมเยือนรายภาคและรายจังหวัด สรุปข้อมูลจำนวนผู้เยี่ยมเยือน รายได้รวม และรายได้เฉลี่ยต่อนักท่องเที่ยวในแต่ละจังหวัด พร้อมฟังก์ชันการกรองตามสัญชาติ หรือประเภทนักท่องเที่ยว เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนบริการได้ตรงจุด

การวิเคราะห์รีวิวจาก TripAdvisor เชิงลึก นำความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวจากแพลตฟอร์มชั้นนำมาวิเคราะห์ทั้งเชิงเนื้อหาและอารมณ์ (Sentiment Analysis) เพื่อทำความเข้าใจจุดแข็ง จุดอ่อน ความพึงพอใจ และความคาดหวังของนักท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่

“โดย BDI ตั้งเป้าขยายแพลตฟอร์ม Travel Link เจาะลึกการวิเคราะห์พฤติกรรมนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ครอบคลุม 22 จังหวัด ครบหัวเมืองหลักด้านการท่องเที่ยว คาดแล้วเสร็จภายในปี 2569
Travel Link ไม่ได้เป็นเพียงแพลตฟอร์มด้านข้อมูล แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยข้อมูล ที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน เสริมศักยภาพในการวางแผนและตัดสินใจให้กับผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยอย่างรอบด้าน เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในระยะยาว อีกทั้งยังสอดรับกับนโยบายภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นโครงการ ‘เที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568’ หรือ ‘เมืองน่าเที่ยว’ ที่มุ่งกระตุ้นการท่องเที่ยวช่วงโลว์ซีซัน เพื่อกระจายรายได้สู่เมืองหลักและเมืองรองทั่วประเทศ” รศ. ดร.ธีรณี อจลากุล กล่าว

สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการ Travel Link ได้ทางเว็บไซต์ https://www.travellink.go.th/ พร้อมติดตามอัปเดตข้อมูลและกิจกรรมต่าง ๆ ของสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ได้ทางเว็บไซต์ https://bdi.or.th/ และ Facebook: BDI - Big Data Institute

BDI เปิดหลักสูตร LEAD รุ่นที่ 2 เข้มข้น ขับเคลื่อนผู้นำยุคใหม่ด้วย Big Data และ AI จากทฤษฎี-สู่การลงมือทำ มุ่งพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน

สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI เดินหน้าจัดอบรมหลักสูตรผู้บริหาร “LEAD: Big Data and AI for Sustainable Future” รุ่นที่ 2 ณ โรงแรมสวิสโซเทล กรุงเทพฯ รัชดา หลังจากประสบความสำเร็จในการพัฒนาผู้นำรุ่นแรก โดยมุ่งหวังเสริมสร้างศักยภาพผู้นำระดับสูงในภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ให้สามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน โดยได้รับเกียรติจาก ศ.(พิเศษ) วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวเปิดหลักสูตร พร้อมกล่าวบรรยายพิเศษในหัวข้อ “Government Policies and Thailand’s Digital Competitive Edge” เพื่อถ่ายทอดวิสัยทัศน์ และแนวทางยกระดับการพัฒนาดิจิทัลอย่างยั่งยืนในบริบทประเทศไทย

รศ.ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ กล่าวว่า หลักสูตร “LEAD: Big Data and AI for Sustainable Future” รุ่นที่ 2 ได้ปรับเนื้อหาเข้มข้นยิ่งขึ้น ครอบคลุมการใช้ Big Data และ AI อย่างรอบด้าน ไม่เพียงแค่การวิเคราะห์ข้อมูลหรือปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเน้นการปรับกระบวนการทำงาน การสร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานอย่างตรงเป้า และแนวทางในการจัดการทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุด ผสานเข้ากับเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
การจัดอบรมหลักสูตร LEAD รุ่นที่ 2 ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้นำองค์กรได้รับทักษะและแนวทางในการใช้ Big Data และ AI ในการยกระดับการตัดสินใจและเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจ ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ของ BDI ในการผลักดันผู้นำไทยให้สามารถประยุกต์ใช้ข้อมูล และเทคโนโลยี ในการบริหารจัดการ ขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืน เตรียมพร้อมสำหรับความท้าทายใหม่ ๆ ในศตวรรษที่ 21

สำหรับหลักสูตร LEAD รุ่นที่ 2 ผู้เข้าร่วมอบรมจะได้ยกระดับองค์ความรู้ด้าน Big Data และ AI พร้อมสัมผัสกิจกรรมการถอดบทเรียนจากองค์กรชั้นนำระดับโลกที่มีความก้าวหน้าด้านดิจิทัลสู่ความยั่งยืน เช่น Tencent Holdings Ltd., Huawei Technologies Co., Ltd., BYD Company Limited และ True Digital Park ซึ่งช่วยเปิดมุมมองใหม่ให้กับผู้บริหารในการออกแบบนโยบายและกลยุทธ์ที่บูรณาการข้อมูลและเทคโนโลยี เพื่อขับเคลื่อนสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals) นอกจากนี้หลักสูตรดังกล่าว จะได้พบกับวิทยากรผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 20 ท่าน ที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์และแนวคิดเชิงลึก พร้อมกับกิจกรรมพิเศษเพื่อส่งเสริมทักษะ Soft Skills ตลอดจนการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้นำรุ่นใหม่ผ่านกระบวนการเวิร์กชอป และกิจกรรมกลุ่ม เช่น Team Engagement, Roundtable Discussion ตลอดระยะเวลาอบรมกว่า 3 เดือน ผสานองค์ความรู้จากภาคทฤษฎี สู่การลงมือคิด วิเคราะห์ และออกแบบแนวทางพัฒนาองค์กรด้วยมุมมองแห่งข้อมูลสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง

สำหรับผู้บริหารที่ต้องการก้าวสู่ผู้นำองค์กรแห่งอนาคต ที่พร้อมใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอย่างยั่งยืน BDI ขอเชิญชวนร่วมสมัครเข้าอบรมในหลักสูตร “LEAD รุ่นที่ 3” ซึ่งจะจัดขึ้นในปี 2569 โดยเปิดรับผู้บริหารระดับสูงจากทุกภาคส่วนที่ต้องการพัฒนาทักษะเชิงลึก เสริมสร้างวิสัยทัศน์ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็งกับผู้นำระดับประเทศ 

 

BDI ชวน SMEs ปลดล็อกธุรกิจด้วยข้อมูล ผ่านโครงการ "The UP 2025"

BDI ชวนผู้ประกอบการ SMEs ร่วมโครงการ The UP 2025 ปลดล็อกศักยภาพธุรกิจด้วยพลังของข้อมูล

วันที่ 13 พ.ค.68 สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ขอเชิญผู้ประกอบยุคใหม่เข้าร่วมโครงการ “The UP 2025: Unlock Potential with Data – Scaling up Business Program” ปีที่ 2 โอกาสครั้งสำคัญสำหรับ SMEs ที่ต้องการเปลี่ยนข้อมูลให้เป็นพลังในการเติบโต เพื่อสร้างรายได้ ลดต้นทุน พร้อมยกระดับศักยภาพของ SMEs ไทย ให้ก้าวสู่ยุคของธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล สำหรับโครงการดังกล่าว ผู้ประกอบการจะได้รับคำปรึกษาด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจากที่ปรึกษาธุรกิจเฉพาะทาง พร้อมให้คำแนะนำแบบ 1:1 เวิร์กช็อปเจาะลึก เทคนิคการใช้ข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขยายตลาด พร้อมเครือข่ายธุรกิจที่แข็งแกร่ง ที่ใช้ข้อมูลสร้างโอกาสใหม่ เรียนรู้แนวทางการปรับใช้ข้อมูลจริง เพื่อเพิ่มรายได้ ลดต้นทุน และเติบโตอย่างยั่งยืน และที่สำคัญจะได้รับโอกาสในการประชาสัมพันธ์ธุรกิจให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

รายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฟรีได้ที่ www.bdi.or.th/theup2025 เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่วันนี้-14 พฤษภาคม 2568 เริ่มให้คำปรึกษาและพัฒนาแผนกลยุทธ์ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม-30 กันยายน 2568 

ติดตามอัปเดตข้อมูลและกิจกรรมต่างๆ ของสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ได้ทางเว็บไซต์ https://bdi.or.th/ และ Facebook: BDI - Big Data Institute

IT SPU จับมือ BDI เปิดหลักสูตร ‘Intermediate Data Science’ รุ่น 1 อัปสกิลสู่มืออาชีพด้านวิเคราะห์ข้อมูล

IT SPU จับมือ BDI เปิดหลักสูตร ‘Intermediate Data Science’ รุ่น 1 อัปสกิลสู่มืออาชีพด้านวิเคราะห์ข้อมูล

คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ร่วมกับสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) : Big Data Institute (Public Organization)(BDI) เปิดรับสมัครหลักสูตรวิทยาศาสตร์ข้อมูลระดับกลาง Intermediate Data Science รุ่นที่ 1 ภายใต้โครงการเสริมสร้างและยกระดับทักษะระดับกลาง ด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science) และการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI)

หลักสูตรนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นฐานด้าน Data Science และต้องการพัฒนาองค์ความรู้เพิ่มเติม ผ่านการอบรมเข้มข้นในรูปแบบ Hybrid เป็นเวลา 5 วันเต็ม ระหว่างวันที่ 16 - 20 มิถุนายน 2568 โดยแบ่งการเรียนการสอนเป็นออนไลน์ 2 วัน ผ่าน Zoom Meeting และ Onsite 3 วัน ณ มหาวิทยาลัยศรีปทุม บางเขน

คุณสมบัติของผู้สมัคร

ต้องเคยผ่านการอบรมหลักสูตรวิทยาศาสตร์ข้อมูลระดับต้น (Basic Data Science) หรือมีประสบการณ์พื้นฐานด้านการวิเคราะห์ข้อมูล, การเขียนโปรแกรม และ AI ระดับมหาวิทยาลัยหรือเทียบเท่า สามารถสมัครแบบเดี่ยวหรือรวมทีมได้

กำหนดการรับสมัคร

เปิดรับสมัคร : 1 - 30 เมษายน 2568

สัมภาษณ์และสอบคัดเลือก : 15 - 16 พฤษภาคม 2568

ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าอบรม : ภายใน 26 พฤษภาคม 2568

พิเศษ! อบรมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมรับใบประกาศนียบัตร เมื่ออบรมครบตามกำหนด

รายละเอียดการอบรม   https://bit.ly/DataScienceCourse-ITSPU

ลงทะเบียน   https://bit.ly/Register-DataScience

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : อ.มาลิวรรณ บุญพลอย ผู้ประสานงานโครงการ (โทร  062-353-9693)

 

 

BDI จับมือ สปสช.เขต 9 ลุย 4 จ. เชื่อมระบบ Health Link ยกระดับสุขภาพแบบไร้รอยต่อ ตั้งเป้าหมื่นแห่งทั่วปท. ภายในปี 68

สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ร่วมกับ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 9 นครราชสีมา ลงพื้นที่หน่วยบริการสุขภาพโฮมคลินิกการพยาบาลและการผดุงครรภ์ และอรพินท์คลินิกทันตกรรม อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา เพื่อติดตามผลการดำเนินงานโครงการระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ (Health Information Exchange: Health Link) และเยี่ยมชมการสาธิตการใช้ระบบ Health Link โดยมี นพ.ธนกฤต จินตวร ผู้บริหารกิจการพิเศษ BDI ภก.สายชล พิมพ์เกาะ รักษาการผู้อำนวยการ สปสช. เขต 9 นครราชสีมา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พร้อมแถลงความร่วมมือขยายการเชื่อมโยงข้อมูลหน่วยนวัตกรรม ในพื้นที่ สปสช. เขต 9 ณ ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราช

นพ.ธนกฤต จินตวร ผู้บริหารกิจการพิเศษ BDI กล่าวว่า Health Link เป็นโครงการสำคัญที่ช่วยยกระดับบริการสาธารณสุขโดยเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพระหว่างสถานพยาบาลทั่วประเทศ ทำให้แพทย์สามารถเข้าถึงข้อมูลประวัติการรักษาของผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว ลดภาระการตรวจซ้ำซ้อน และช่วยให้การรักษามีความต่อเนื่องแม้เปลี่ยนสถานพยาบาล พร้อมมีระบบการเชื่อมโยงข้อมูลด้วยกลไกการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มข้น โดยยืนยันตัวตนของประชาชน และแพทย์ การเข้ารหัสข้อมูลและระหว่างจัดส่งข้อมูล รวมถึงมีการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วยอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ โดยปัจจุบัน Health Link มีสถานพยาบาลทั้งภาครัฐนอกกระทรวงสาธารณสุขและเอกชนภายใต้การขึ้นทะเบียนกับ สปสช. เข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1,500 แห่งในพื้นที่ กทม. พร้อมตั้งเป้าขยายให้ครอบคลุมหน่วยบริการกว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศภายในปี 2568 ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนได้รับบริการทางการแพทย์อย่างทั่วถึงและสะดวกขึ้นกว่าเดิม

“ปัจจุบันจังหวัดนครราชสีมา ได้ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลแล้ว ได้แก่ โรงพยาบาลค่ายสุรนารี สังกัดกองทัพบก กระทรวงกลาโหม ร้านยา 6 แห่ง พร้อมตั้งเป้าขยายการเชื่อมต่อระบบ Health Link ในพื้นที่ ให้ครอบคลุม 7 หน่วยนวัตกรรม (คลินิกเวชกรรม ทันตกรรม กายภาพ ร้านยา เทคนิคการแพทย์ แพทย์แผนไทย พยาบาลและการผดุงครรภ์) ที่ขึ้นทะเบียนในระบบ สปสช. ซึ่งมีมากกว่า 300 แห่ง เพื่อรองรับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ช่วยให้ชาวโคราชเข้าสู่ระบบสาธารณสุขได้ทุกรูปแบบ ตั้งแต่ระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ ทำให้บุคลากรทางการแพทย์เข้าถึงข้อมูล โดยต้องได้รับการอนุญาตจากผู้ป่วยเท่านั้น ข้อมูลดังกล่าวจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ทำให้แพทย์สามารถดูประวัติการรักษาข้ามสถานพยาบาลนอกสังกัด ลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยในการตรวจวินิจฉัยซ้ำซ้อน และสามารถได้รับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง ทันท่วงที” นพ.ธนกฤต กล่าวเพิ่มเติม

ภก.สายชล พิมพ์เกาะ รักษาการผู้อำนวยการ สปสช. เขต 9 นครราชสีมา กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่าง สปสช. และ BDI ในครั้งนี้ จะช่วยยกระดับการบริการทางการแพทย์ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้สะดวกยิ่งขึ้น ผ่านการใช้งานแพลตฟอร์ม Health Link เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพแบบไร้รอยต่อ โดยในอนาคตจะขยายการเชื่อมต่อระบบ Health Link ไปยังสถานพยาบาลระดับปฐมภูมิ ที่มีมากกว่า 900 แห่ง ในพื้นที่ สปสช. เขต 9 ประกอบด้วย 4 จังหวัด คือ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ เชื่อว่า จะช่วยลดภาระของโรงพยาบาลหลักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การรักษาและการส่งตัวผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลเป็นไปอย่างราบรื่น สอดรับตามนโยบายบัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่อีกด้วย

สำหรับโครงการ Health Link คือ แพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพระหว่างสถานพยาบาลทั่วประเทศ ช่วยให้แพทย์ สามารถดูประวัติการรักษาได้ทันที สะดวก ง่าย ปลอดภัย พร้อมมีระบบการเชื่อมโยงข้อมูลด้วยกลไกการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มข้น โดยยืนยันตัวตนของประชาชน และแพทย์ การเข้ารหัสข้อมูลและระหว่างจัดส่งข้อมูล รวมถึงมีการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วยอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจสามารถสมัคร Health Link ฟรีผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” หรือ “ThaID” ศึกษารายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่: https://healthlink.go.th/

BDI พัฒนาผู้บริหารยุคดิจิทัลต่อเนื่อง เปิดหลักสูตร LEAD#2: Big Data and AI for Sustainable Future ขับเคลื่อนธุรกิจด้วย Big Data และ AI สู่อนาคตที่ยั่งยืน

สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ประกาศเปิดรับสมัครหลักสูตรผู้บริหาร LEAD รุ่นที่ 2 ต่อยอดความสำเร็จจากรุ่นที่ 1 เดินหน้าพัฒนาผู้บริหารยุคดิจิทัลต่อเนื่อง ภายใต้หัวข้อ “Big Data and AI for Sustainable Future” สำหรับผู้บริหารที่ต้องการก้าวสู่การเป็นผู้นำที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้วย Big Data และ AI มุ่งเน้นเสริมศักยภาพในการนำข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ มาสร้างสรรค์กลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อสร้างความยั่งยืนและความสำเร็จขององค์กรในทุกมิติ เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่วันนี้ พร้อมรับส่วนลดสุดพิเศษก่อนใคร

รศ.ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ กล่าวว่า หลักสูตร LEAD รุ่นที่ 2 จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ Big Data and AI for Sustainable Future ซึ่งได้ปรับเนื้อหาเข้มข้นยิ่งขึ้น ครอบคลุมการใช้ Big Data และ AI อย่างรอบด้าน ไม่เพียงแค่การวิเคราะห์ข้อมูลหรือปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นการปรับกระบวนการทำงาน การสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ตลาด และแนวทางในการจัดการทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุด พร้อมผสานเข้ากับเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้นำองค์กรได้เสริมทักษะและปรับแนวทางในการใช้ Big Data และ AI เพื่อยกระดับการตัดสินใจและเพิ่มศักยภาพของธุรกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด

สำหรับหลักสูตร LEAD รุ่นที่ 2 เตรียมมอบสิทธิประโยชน์ให้กับผู้เข้าอบรมอย่างครบครัน ทั้งการสร้างเครือข่ายกับผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐและเอกชน การศึกษาดูงานบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกทั้งในและต่างประเทศ พร้อมเนื้อหาที่เข้มข้นและครอบคลุมทุกมิติ โดยมีกรณีศึกษาจากองค์กรที่ประสบความสำเร็จสามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญกว่า 20 ท่าน ที่พร้อมถ่ายทอดประสบการณ์และแนวคิดเชิงลึก อีกทั้งผู้เรียนหลักสูตร LEAD จะได้รับสิทธิพิเศษ "Leadership Mentorship Session" พบกับโค้ช หรือที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการแบบส่วนตัว และยังมี Workshop อีกมากมาย ที่มุ่งเน้นเสริมสร้างทักษะผู้นำเพื่อนำพาองค์กรสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน

โดยหลักสูตรดังกล่าว เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ พร้อมรับโปรโมชั่น Early Bird ในราคาพิเศษเพียง 189,900 บาท จากราคาปกติ 209,900 บาท อบรม 7 วัน ทุกวันพฤหัสบดี ระหว่างวันที่ 5 มิถุนายน - 7 สิงหาคม 2568 รวมการศึกษาดูงานทั้งในประเทศ 3 วัน และต่างประเทศ 4 วัน (ฮ่องกง-เซินเจิ้น) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ที่นั่งมีจำนวนจำกัด! ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: https://bdi.or.th/executive-course/ ติดตามอัปเดตข้อมูลและกิจกรรมต่างๆของสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ได้ทางเว็บไซต์ https://bdi.or.th/ และ Facebook: BDI - Big Data Institute
 

BDI แนะ 3 สกิลปลดล็อกศักยภาพธุรกิจ SMEs ยุคดิจิทัลด้วยพลังข้อมูล เปิดรับสมัครผู้ประกอบการร่วมโครงการ The UP : Unlock Potential with Data

สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI แนะ 3 สกิลเสริมแกร่งศักยภาพธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อส่งเสริมให้เกิดการประยุกต์ใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพื่อการเติบโต ค้นพบโอกาสใหม่ในตลาด และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่เหมาะสม ได้แก่ 1.การบริหารจัดการข้อมูล (Data Management)  2.การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis) และ 3. การใช้เทคโนโลยีและ AI (Technical & AI Skill) พร้อมเดินหน้าเปิดรับสมัครผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการ The UP : Unlock Potential with Data ปลดล็อกศักยภาพธุรกิจยุคดิจิทัลด้วยพลังข้อมูล ผ่านการให้คำปรึกษาเชิงลึกเป็นรายกิจการ และพัฒนาโรดแมปการใช้ข้อมูลที่ตอบโจทย์ธุรกิจร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ เปิดรับสมัครเข้ารับการคัดเลือกแล้วตั้งแต่วันนี้ - 31 สิงหาคม 2567

เมื่อวันที่ 27 ส.ค.67 รศ.ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ กล่าวว่า “บทบาทของสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ BDI ที่นอกจากจะเชื่อมโยงและวิเคราะห์ข้อมูลด้วย Big Data และ AI แล้ว ยังมีหน้าที่สำคัญในการส่งเสริมหน่วยงานภาครัฐและเอกชนให้เกิดการใช้ข้อมูลในการตัดสินใจอย่างมีทิศทาง นำไปสู่การสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เข้มแข็ง การดำเนินงานที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจ SMEs ซึ่งเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของประเทศที่ภาครัฐเร่งให้ความสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาธุรกิจให้เท่าทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีในยุคดิจิทัล ดิสรัปชัน การเตรียมความพร้อมให้กับธุรกิจ SMEs จึงมีความสำคัญโดยเฉพาะการสนับสนุนองค์ความรู้เกี่ยวข้อมูลซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจในยุคปัจจุบัน”

“หากมองในภาพรวมของธุรกิจ SMEs ซึ่งเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมพบว่าผู้ประกอบการยังขาดการบริหารจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ และยังไม่สามารถดึงศักยภาพของข้อมูลที่มีมาใช้กับธุรกิจได้อย่างเต็มที่ในทุกประเภทกลุ่มธุรกิจ อาทิ กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม กลุ่มค้าปลีก กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร กลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพ กลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ กลุ่มธุรกิจด้านการบริการ ดังนั้น BDI ในฐานะหน่วยงานที่มีบทบาทส่งเสริม ประสาน และให้บริการแก่ทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ จากข้อมูลขนาดใหญ่ ในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานรวมถึงการให้บริการ จึงได้เร่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs ไทย ผ่าน 3 สกิลสำคัญที่ผู้ประกอบการยุคดิจิทัลควรมีและนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อก่อให้เกิดการต่อยอดของธุรกิจได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนได้แก่ 

• การบริหารจัดการข้อมูล (Data Management) หนึ่งในสกิลที่ผู้ประกอบการทั้งในปัจจุบันและอนาคตควรมี คือการบริหารจัดการข้อมูลเพื่อให้เกิดศักยภาพการดำเนินงาน และสามารถนำข้อมูลไปใช้กับธุรกิจให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่การรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ นำไปสู่การจัดเก็บได้อย่างเหมาะสม และตรงตามเป้าหมายของธุรกิจ เช่น ข้อมูลลูกค้าและพฤติกรรมการใช้บริการ ข้อมูลคลังสินค้า ข้อมูลการขาย และข้อมูลความพึงพอใจของลูกค้า เป็นต้น 
• การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis) สิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างขีดความสามารถการแข่งขันของธุรกิจในยุคนี้คือการการวิเคราะห์และเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อหาข้อสรุปที่สามารถนำมาใช้ในการคาดการณ์ และตัดใจสินใจต่างๆ เชิงธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ  รวมถึงนำผลลัพธ์ที่ได้ไปใช้ในการวางแผนงาน พัฒนา และต่อยอดธุรกิจ เพื่อสร้างความพึงพอใจ และตอบโจทย์ผู้ใช้บริการและผู้บริโภคมากที่สุด
• การใช้เทคโนโลยีและ AI (Technical & AI Skill) อาวุธลับที่ใช้ในการเอาตัวรอดในยุคที่ดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในชีวิตของทุกคนบนโลก คือการเรียนรู้และเลือกใช้เทคโนโลยีและ AI ให้เป็น แต่เมื่อใช้เป็นแล้วจะใช้อย่างไรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งโครงการนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการได้รู้จักกับการเลือกใช้เครื่องมือและทรัพยากรต่างๆ ที่เหมาะสมกับโจทย์ปัญหา เพื่อเป็นตัวช่วยสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลให้แม่นยำ รวดเร็ว รวมถึงลดต้นทุน และความซ้ำซ้อนในการทำงานอีกด้วย

ขณะเดียวกันเพื่อการขับเคลื่อนและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ BDI จึงได้จัดโครงการ The UP : Unlock Potential with Data ปลดล็อกศักยภาพธุรกิจยุคดิจิทัลด้วยพลังข้อมูล เปิดรับสมัครผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs เข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันนี้ - 31 สิงหาคม 2567 เพื่อให้คำปรึกษาแบบรายกิจการเชิงลึกทั้ง Onsite และ Online ครอบคลุมตั้งแต่การตรวจสอบ Pain points ของกิจการ และพัฒนาแผนงานด้านข้อมูลเพื่อให้สามารถดำเนินการนำข้อมูลไปใช้ได้อย่างเหมาะสม พร้อมด้วยกิจกรรมออนไลน์ Open House ที่เชิญชวนผู้ประกอบการ SMEs รับฟังรายละเอียดกิจกรรมในวันอังคารที่ 20 สิงหาคม 2567 Live สดผ่านทาง Facebook: BDI - Big Data Institute

“โครงการดังกล่าวฯ มุ่งส่งเสริมทักษะสำคัญเพื่อปลดล็อกการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ SMEs ประเทศไทยผ่านการใช้ข้อมูลที่เหมาะสมเพื่อตอบโจทย์และสามารถนำไปต่อยอดธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงเป็นอีกหนึ่งกำลังหลักในการส่งเสริมการพัฒนาประเทศ และผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Nation) ตอบรับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ” ผู้อำนวยการ BDI กล่าวสรุป