AWC มุ่งมั่นเดินหน้าสร้างการเติบโต ด้วยผลประกอบการ Q2/2568  กำไรสุทธิที่ 1,404 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.7%

AWC ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568 เติบโตต่อเนื่อง รายได้รวมแตะ 5,211 ล้านบาท เติบโต 7.7% (YoY) มีกำไรจากดำเนินงาน 2,723 ล้านบาท เติบโต 9.3% (YoY) และกำไรสุทธิ 1,404 ล้านบาท เติบโต 12.7% (YoY) ด้วย Growth-Led Strategy รับรู้รายได้ของทรัพย์สินใหม่ และการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอ ทั้งยังรักษาโครงสร้างการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ในระดับดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม กลุ่มโรงแรมสร้างรายได้รวมที่ 2,612 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จากการรับรู้รายได้จาก ทรัพย์สินใหม่ รวมทั้งการเติบโตของโรงแรมในกลุ่มรีสอร์ทระดับลักชัวรี และรายได้ที่เติบโตโดดเด่นของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม พร้อมเปิดตัวโรงแรม พัทยา แมริออท รีสอร์ท แอนด์ สปา เสริมพอร์ตโฟลิโอที่เติบโตก้าวกระโดดมากกว่า 2 เท่านับตั้งแต่ IPO รวมมูลค่าทรัพย์สินสิ้นไตรมาส 2/2568 ที่ 212,616 ล้านบาท กลุ่มธุรกิจคอมเมอร์เชียลสร้างกระแสเงินสดอย่างมั่นคง จากการเสริมกลยุทธ์พัฒนาศูนย์การค้าและอาคารสำนักงานตามแนวคิด AWC’s Lifestyle Destination พร้อมเปิดตัว Jurassic World: The Experience และ หลากหลายประสบการณ์พิเศษใน Hatch Dome ที่เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น สร้างปรากฏการณ์ระดับโลกสนับสนุนกลยุทธ์ดึงดูดนักท่องเที่ยวตลอดทั้งวัน เพิ่มการเติบโตของรายได้และผู้เช่า พร้อมสนับสนุนกรุงเทพฯ และประเทศไทยเป็นศูนย์กลางความบันเทิงและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนระดับโลก

วันที่ 11 ส.ค.68 นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น หรือ AWC เผยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568 สร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 5,211 ล้านบาท เติบโตขึ้นร้อยละ 7.7 (YoY) และมีกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) อยู่ที่ 2,723 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 (YoY) ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,404 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.7 (YoY) พร้อมเดินหน้าขยายพอร์ตโฟลิโอคุณภาพเพื่อเสริมศักยภาพการท่องเที่ยวยั่งยืนของประเทศ อาทิ โรงแรม มีเลีย พัทยา โฮเต็ล ประเทศไทย โรงแรม พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา โรงแรม สวิสโซเทล กรุงเทพ รัชดา (เตรียมรีแบรนด์เป็นโรงแรม เจดับบลิว แมริออท แบงก์ค็อก รัชดาภิเษก) และล่าสุดได้เปิดตัว “Jurassic World: The Experience” และ “Hatch Dome” แลนด์มาร์กระดับโลกแห่งใหม่ที่โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น สร้างปรากฏการณ์ความสนุกสุดยิ่งใหญ่ต้อนรับทุกคนในครอบครัว สนับสนุนกลยุทธ์การดึงดูดนักท่องเที่ยวตลอดทั้งวัน เพื่อเพิ่มการเติบโตของรายได้และจำนวนผู้เช่าก้าวกระโดด รวมถึงการเติบโตของรายได้จากโรงแรมในกลุ่มรีสอร์ท ระดับลักชัวรี ซึ่งยังคงดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรงแรมในเกาะสมุย  และรายได้จากธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่เติบโตสูงขึ้น รวมถึงการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งและมั่นคงของกลุ่มธุรกิจคอมเมอร์เชียล ซึ่งสามารถเพิ่มอัตราการเช่าพื้นที่และรายได้ค่าเช่าที่เพิ่มขึ้น จากการเสริมกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อสร้าง  AWC’s Lifestyle Destination ที่โดดเด่นสะท้อนถึงความสำเร็จของกลยุทธ์ Growth-Led Strategy ที่ให้ความสำคัญกับการขยายทรัพย์สินดำเนินงานคุณภาพทั้งจาก Organic Growth และ Inorganic Growth และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้โครงสร้างการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 0.92 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม รวมถึงกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอที่ช่วยสร้างกระแสเงินสดให้กับบริษัทได้อย่างมั่นคงท่ามกลางความท้าทายของสถานการณ์การท่องเที่ยวในประเทศ พร้อมเดินหน้าสร้างการเติบโตด้วยการเพิ่มพอร์ตโฟลิโอคุณภาพเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก ตามพันธกิจ “Building Better Future For All” เพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้ทุกคน”

กลุ่มธุรกิจโรงแรมเติบโตแข็งแกร่ง แม้อยู่นอกฤดูกาลท่องเที่ยว
ในไตรมาส 2 ปี 2568 กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการมีรายได้รวมอยู่ที่ 2,612 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ขับเคลื่อนด้วยการรับรู้รายได้ของทรัพย์สินใหม่ เช่น โรงแรม มีเลีย พัทยา โฮเต็ล ประเทศไทย โรงแรม พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา และโรงแรม สวิสโซเทล กรุงเทพ รัชดา รวมทั้งรายได้ที่เติบโตจากโรงแรมในกลุ่มรีสอร์ท ระดับลักชัวรี  ซึ่งยังคงดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงได้ต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้ของโรงแรมกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.9 (YoY) จากอัตราการเข้าพักและรายได้เฉลี่ยต่อวัน (ADR) ที่เพิ่มขึ้น และมีรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) เติบโตร้อยละ 7.1 (YoY) โดยเฉพาะในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวอย่างเกาะสมุยที่มีผลประกอบการที่โดดเด่น เช่นเดียวกับโรงแรมในจังหวัดเชียงใหม่ที่ยังสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) เติบโตร้อยละ 8.4 (YoY) โดยพอร์ตโฟลิโอโรงแรมของ AWC ยังคงแข็งแกร่งด้วยดัชนีการสร้างรายได้ (Revenue Generation Index หรือ RGI) เฉลี่ยอยู่ที่ 102 โดยเฉพาะโรงแรมในกลุ่มรีสอร์ท ระดับลักชัวรี และโรงแรมในกรุงเทพฯ ที่มี RGI สูงถึง 118 และ 109 ตามลำดับ นอกจากนี้ รายได้จากพอร์ตโฟลิโออาหารและเครื่องดื่มยังขยายตัวร้อยละ 8.7 (YoY) โดยเฉพาะจากโครงการ “เอ-ญ่า” รูฟทอป แอท ดิ เอ็มไพร์ นอกจากนี้ ด้วยศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพผ่านกลยุทธ์การร่วมมือกับพันธมิตรทั้งระดับประเทศและระดับโลก และการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้โรงแรมของบริษัทสามารถสร้างอัตราส่วนกำไรขั้นต้นในระดับที่สูง เช่น บันยันทรี สมุย มีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 46 และโรงแรม แบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค มีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 45 รวมทั้งบริษัทยังได้รับประโยชน์จากมาตรกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศของรัฐบาล ซึ่งโรงแรมสำคัญๆ ของบริษัทหลายแห่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะ โรงแรม หัวหิน แมริออท รีสอร์ท และ สปา และโรงแรม พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา ที่ได้รับยอดจองห้องพักในระดับสูง 

นอกจากนี้ AWC ยังนำ อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง โฮเทล ได้รับรางวัล LEED Gold ตามมาตรฐานเวอร์ชัน 4BD+C : Hospitality เป็นโรงแรมแห่งแรกของประเทศไทย พร้อมเดินหน้าสร้างความโดดเด่นให้กับการท่องเที่ยวของเมืองพัทยา ด้วยการเพิ่มพอร์ตโฟลิโอคุณภาพเพื่อสร้างกระแสเงินสดต่อเนื่องผ่านการเปิดโรงแรม พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา ในไตรมาสที่ผ่านมา และสามารถรับรู้รายได้จากโรงแรม มีเลีย พัทยา โฮเต็ล ประเทศไทย และโรงแรม สวิสโซเทล กรุงเทพ รัชดา ในโครงการ จูบิลี่ เพรสทีจ ทาวน์เวอร์ ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 2 บริษัทมีจำนวนโรงแรมทั้งสิ้น 24 แห่ง รวม 6,834 ห้องพัก ซึ่งสูงที่สุดในตลาดนับตั้งแต่ IPO โดยเป็นการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 3 โรงแรม รวม 930 ห้องพัก 

กลุ่มธุรกิจคอมเมอร์เชียลสร้างกระแสเงินสดแข็งแกร่ง เสริมความหลากหลายให้พอร์ตโฟลิโอคุณภาพเปิดประสบการณ์ระดับโลก Jurassic World: The Experience และ Hatch Dome สู่การเป็นจุดหมายปลายทางแห่งไลฟ์สไตล์สำหรับอนาคต กลุ่มธุรกิจคอมเมอร์เชียล ยังคงสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงและแข็งแกร่งต่อเนื่อง ในไตรมาส 2/2568  ซึ่งเป็นผลสำเร็จจากการเสริมกลยุทธ์ทางการตลาดตามแนวคิด  AWC’s Lifestyle Destination โดยศูนย์การค้ามีการเติบโตของรายได้ค่าเช่าร้อยละ 11.6 (YoY) ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราการเช่าพื้นที่ที่สูงขึ้นร้อยละ 8.4 (YoY) โดยเฉพาะศูนย์การค้าที่ได้รับการปรับตำแหน่งทางการตลาด อาทิ พันธุ์ทิพย์ แอท งามวงศ์วาน พันธุ์ทิพย์ 
ไลฟ์สไตล์ ฮับ เชียงใหม่ และโครงการ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ขณะที่กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงานยังมีการเติบโตของรายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 (YoY) จากการรับรู้ผลการดำเนินงานของอาคารสำนักงานใหม่ “จูบิลี่ เพรสทีจ ทาวน์เวอร์” ซึ่งเป็นโครงการอาคารสำนักงานคุณภาพใจกลางย่านรัชดา พร้อมเดินหน้าพัฒนาอาคารสำนักงานในเครือภายใต้แนวคิด Lifestyle Workplace ด้วยการเปิดตัว The Empire Food Lounge ณ อาคาร “เอ็มไพร์” ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองยุคใหม่ ที่ช่วยสนับสนุนให้ อาคาร “เอ็มไพร์” สามารถคงรักษาอัตราการเช่าพื้นที่ได้อย่างโดดเด่น โดยมีอัตราการรักษาผู้เช่า (Retention Rate) สูงถึงร้อยละ 99 แสดงถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของอาคารสำนักงานคุณภาพระดับโลก ด้วยกลยุทธ์ของกลุ่มธุรกิจคอมเมอร์เชียลที่มุ่งเน้นการสร้างการเติบโตรายได้อย่างต่อเนื่องผ่านการพัฒนาและปรับตำแหน่งทางการตลาด ส่งผลให้บริษัทมีอัตราส่วน

กำไรจากการดำเนินงานต่อรายได้อยู่ที่ร้อยละ 85 สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ ในส่วนของอาคารบริษัทยังมุ่งพัฒนาอาคารสำนักงานให้ได้รับการรับรองตามมาตรฐานอาคารสีเขียว และการมีสุขภาวะที่ดีของผู้ที่มาใช้บริการ โดยล่าสุดได้รับการรับรองมาตรฐาน FITWEL ระดับ 2 ดาว สำหรับอาคารสำนักงาน 4 แห่ง ได้แก่ อาคาร "เอ็มไพร์" อาคาร แอทธินี ทาวเวอร์ อาคาร 208 แบงค๊อก และอาคาร อินเตอร์ลิ้งค์ ทาวเวอร์ บางนาพร้อมตั้งเป้านำอาคารทั้ง 4 แห่งผ่านการรับรองมาตรฐาน LEED สำหรับอาคารสีเขียวภายในปีนี้ 

ด้านศูนย์การค้า AWC เดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งให้กับทุกโครงการ โดยมีการเปิด “Food Lounge” แห่งใหม่ที่ศูนย์การค้าเกตเวย์ เอกมัย ในขณะที่ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ ไลฟ์สไตล์ ฮับ เชียงใหม่ และพันธุ์ทิพย์ แอท งามวงศ์วาน มีผลการดำเนินงานดีเยี่ยม ทั้งในด้านอัตราการเช่าและค่าเช่าพื้นที่ที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับโครงการ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ได้สร้างปรากฏการณ์ระดับโลกด้วยการเปิดตัว “Jurassic World: The Experience” สุดยอดประสบการณ์เสมือนจริงแบบอิมเมอร์ซีฟที่ยิ่งใหญ่ใหม่ล่าสุดของโลกครั้งแรกในประเทศไทย ร่วมด้วย “Jurassic World: The Experience Fossil & Flame Restaurant” ห้องอาหารธีม Jurassic World แห่งแรกของโลกที่อยู่นอกสวนสนุก และโซน “Hatch Dome” ซึ่งรวบรวมประสบการณ์ด้านการเรียนรู้และความบันเทิงไว้ในที่เดียวในรูปแบบ Edutainment อาทิ “Better World Better Future”, “Fossil Park” และ “Snake Garden” ที่สนับสนุนกลยุทธ์การเติบโตโดยสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าสู่โครงการได้ตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เพิ่มการเติบโตของรายได้และผู้เช่า พร้อมสนับสนุนกรุงเทพฯ และประเทศไทยเป็นศูนย์กลางความบันเทิงและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนระดับโลก นอกจากนี้ ทางโครงการฯ ยังได้รับรางวัล “Mall of the Year – Thailand” จากเวที Retail Asia Awards 2025 ตอกย้ำศักยภาพของเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ในการเป็นต้นแบบศูนย์การค้าระดับโลก ที่ผสานการท่องเที่ยว การเรียนรู้ และความบันเทิงเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว สะท้อนวิสัยทัศน์ของ AWC ในการสร้างจุดหมายปลายทางด้านไลฟ์สไตล์และการท่องเที่ยวเชิงยั่งยืนให้กับประเทศไทย 

มุ่งหน้าสู่ครึ่งปีหลังอย่างมั่นคง ด้วยกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นและแข็งแกร่ง
AWC เดินหน้าขยายพอร์ตโฟลิโอคุณภาพสร้างความโดดเด่นให้การท่องเที่ยวของไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเตรียมเปิดตัวโครงการคุณภาพในช่วงครึ่งปีหลัง ได้แก่ Lannatique Kalare จุดหมายปลายทางแห่งศิลปวัฒนธรรมล้านนารูปแบบใหม่ใจกลางเชียงใหม่ ควบคู่กับการบริหารโครงสร้างทางการเงินอย่างแข็งแกร่ง และการควบคุมต้นทุนทางการเงินอย่างมีวินัย โดยคงความเป็นผู้นำด้านโครงสร้างทางการเงินที่มั่นคงที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรม พร้อมรักษาวินัยทางการเงินในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยง เสริมความยืดหยุ่นในการลงทุน และรองรับการเติบโตระยะยาวอย่างมั่นคง

ทั้งนี้ บริษัทยังได้รับแรงสนับสนุนเชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ซึ่งช่วยกระตุ้นดีมานด์ของนักท่องเที่ยวในประเทศ โดยเฉพาะโรงแรมในหัวหินและพัทยาที่ได้รับความนิยมสูงสุด ขณะเดียวกัน ความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกที่มีเครือข่ายนักท่องเที่ยวคุณภาพกว่า 710 ล้านคนทั่วโลก ยังช่วยเพิ่มสัดส่วนการจองตรง (Direct Booking) สูงถึงร้อยละ 70 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการสร้างการเติบโตให้กับยอดจองของโรงแรมในเครือ โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ เชียงใหม่ สมุย กระบี่ และพัทยา ที่มียอดจองล่วงหน้าเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ Building Better Future For All ขับเคลื่อนอนาคตอย่างยั่งยืนเพื่อทุกภาคส่วน

AWC ยังคงมุ่งมั่นในพันธกิจ “Building Better Future For All” ผ่านการพัฒนาโครงการที่สร้างคุณค่าอย่างรอบด้านให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยบริษัทได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในลิสต์ Fortune Southeast Asia 500 เป็นครั้งแรก สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจในระดับภูมิภาค พร้อมทั้งได้รับคะแนนความยั่งยืนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรม รีสอร์ท และเรือสำราญ จากการจัดอันดับของ S&P Global และได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของ Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) กลุ่มตลาดเกิดใหม่ FTSE4Good Index Series และ SET ESG Ratings ระดับ AA ประจำปี 2567 โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในด้านธรรมาภิบาล AWC ได้รับการรับรองมาตรฐานธรรมาภิบาลระดับอาเซียนต่อเนื่องเป็นปีที่สอง ด้วยรางวัล ASEAN Asset Class และได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในกลุ่ม Top 50 ASEAN Public Listed Companies in 2024 จากการประเมิน ASEAN Corporate Governance Scorecard (ACGS) ภายใต้โครงการ ASEAN Capital Markets Forum (ACMF) นอกจากนี้ ยังได้รับคะแนนเต็ม 100% จากการประเมิน AGM Checklist ประจำปี 2568 โดยสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย ต่อเนื่องเป็นปีที่สี่ ย้ำบทบาทผู้นำด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับโลก และความมุ่งมั่นของ AWC ในการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสและยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลเพื่อสร้างคุณค่าระยะยาวอย่างยั่งยืนให้กับทุกภาคส่วน
 

เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น คว้ารางวัล Mall of the Year-Thailand จากเวที Retail Asia Awards 2025 ด้วยวิสัยทัศน์ AWC ร่วมขับเคลื่อน

เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น คว้ารางวัล Mall of the Year - Thailand จากเวที Retail Asia Awards 2025 ด้วยวิสัยทัศน์ AWC ร่วมขับเคลื่อน

ประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก22 กรกฎาคม 2568, กรุงเทพฯ – แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร ตอกย้ำความสำเร็จบนเวทีระดับภูมิภาคอีกครั้ง ด้วยการนำ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น (Asiatique The Riverfront Destination) คว้ารางวัล Mall of the Year - Thailand (รางวัลศูนย์การค้าแห่งปี – ประเทศไทย) จากงาน Retail Asia Awards 2025 สำหรับโครงการภายใต้ AWC’s Lifestyle Destination โมเดลที่โดดเด่นในฐานะรีเทล-เทนเม้นท์ (Retail-Tainment’) ริมแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดของไทย รวมที่สุดของทุกกิจกรรมการท่องเที่ยวเช้าจรดค่ำสำหรับทุกคนในครอบครัวภายใต้แนวคิด “All Day Everyday Happiness” นำเสนอประสบการณ์ที่หลากหลายทั้งด้านการช้อปปิ้ง มรดกทางวัฒนธรรม และนวัตกรรมด้านอาหาร ผสานประสบการณ์ความบันเทิงระดับโลก เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวยุคใหม่

ขณะเดียวกันพร้อมเตรียมสร้างความตื่นเต้นต่อเนื่องกับการเปิดตัวโครงการ Jurassic World: The Experience อย่างเป็นทางการในวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ควบคู่กับ Jurassic World: The Experience Hatch Dome ที่นำเสนอประสบการณ์เรียนรู้ด้านความยั่งยืน “Better World, Better Future” ผ่านเทคโนโลยี 4D เสมือนจริง โดยแหล่งท่องเที่ยวใหม่เหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนกรุงเทพฯ ให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านรีเทล-เทนเม้นท์ระดับโลก สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ AWC ในการสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนผ่านการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก

มร.ไมเคิล ฮาริท หัวหน้าคณะกลุ่มธุรกิจคอมเมอร์เชียล แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “AWC รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัล ‘Mall of the Year – Thailand’ และขอขอบคุณท่านลูกค้า ผู้เช่าทุกท่าน รวมถึงพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ให้การสนับสนุนทางโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น มาโดยตลอดจนได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในวันนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการพัฒนาโครงการในรูปแบบ AWC’s Lifestyle Destination ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างจุดหมายปลายทางอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งขับเคลื่อนด้วยประสบการณ์ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเสริมสร้างภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวให้กับประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านรีเทล-เทนเม้นท์ชั้นนำของประเทศ โดย AWC มุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์ระดับโลกแก่ผู้มาเยือนผ่านการสร้างสรรค์ 3 ประสบการณ์สำคัญ ได้แก่ การนำเสนอประสบการณ์ระดับโลกภายใต้แนวคิด Festival Village อาทิ Jurassic World: The Experience และประสบการณ์ 4D ด้านความยั่งยืน ‘Better World, Better Future’ รวมถึงการสร้างความโดดเด่นในฐานะจุดหมายปลายทางด้านอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุด โดยมีไฮไลต์ใหม่ล่าสุดอย่างห้องอาหารภายใต้ธีม Jurassic World แห่งแรกของโลกนอกสวนสนุก รวมถึงการสร้างสรรค์ Lifestyle Market ที่คัดสรรแบรนด์ชั้นนำและร้านค้าท้องถิ่นหลากหลาย ภายใต้พันธกิจของเราที่จะ ‘Building Better Future For All’ เพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้ทุกคน”

รางวัล Retail Asia Awards จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีโดยนิตยสาร Retail Asia ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องมากว่า 20 ปี เพื่อยกย่องความเป็นเลิศขององค์กรชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่มีบทบาทโดดเด่นในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมค้าปลีก ทั้งในด้านนวัตกรรม ประสบการณ์ลูกค้า ความยั่งยืน และการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อสังคมและเศรษฐกิจ โดยการคว้ารางวัล Mall of the Year - Thailand สะท้อนถึงความสำเร็จของ AWC ในการพัฒนาโครงการ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ให้เป็นแลนด์มาร์กสำคัญระดับโลก โดยโครงการนี้ยังถือเป็นส่วนหนึ่งของ AWC River Journey Project ที่เชื่อมโยงแลนด์มาร์กทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวริมสายน้ำเจ้าพระยา โดยตั้งอยู่บนพื้นที่ประวัติศาสตร์ซึ่งเดิมเป็นท่าเรือขนส่งสินค้าแห่งแรกของประเทศไทยในยุครัชกาลที่ 5 ซึ่ง AWC ได้พลิกโฉมพื้นที่แห่งนี้ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง พร้อมผสานประสบการณ์และการบริการทันสมัย ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทุกไลฟ์สไตล์ตามคอนเซปต์ “All Day Everyday Happiness” นำเสนอกิจกรรมหลากหลาย ตั้งแต่ร้านอาหารริมแม่น้ำ ประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม การช้อปปิ้ง ไปจนถึงความบันเทิงระดับโลก 

นอกจากนี้ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ยังสร้างความตื่นเต้นอย่างต่อเนื่องในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวระดับโลก ด้วยการเตรียมเปิดตัว “Jurassic World: The Experience” ประสบการณ์ความบันเทิงรูปแบบอิมเมอร์ซีฟครั้งยิ่งใหญ่ใหม่ที่สุดในโลกสำหรับครอบครัวและนักท่องเที่ยวทุกวัย เคียงคู่กับ Jurassic World: The Experience Hatch Dome ที่นำเสนอ “Better World, Better Future” ประสบการณ์เรียนรู้ด้านความยั่งยืนของ AWC ผ่านเทคโนโลยี Liminal 4D Experience ผ่านเรื่องราวการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์เข้ากับการตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ธรรมชาติในปัจจุบัน

ขณะเดียวกัน AWC ยังได้ขยายความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับหลากหลายพันธมิตร ทั้งหน่วยงานภาครัฐ พันธมิตรระดับโลก และเครือโรงแรมชั้นนำมากมาย เพื่อนำเสนอประสบการณ์ด้านอาหารและการบริการริมแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านการคัดสรรร้านอาหารคุณภาพเยี่ยมที่หลากหลาย อาทิ Jurassic World: The Experience Fossil & Flame Restaurant ห้องอาหารธีม Jurassic World แห่งแรกของโลกนอกสวนสนุก ที่ผสานเรื่องราวจากภาพยนตร์เข้ากับประสบการณ์การรับประทานอาหารในรูปแบบอิมเมอร์ซีฟ ห้องอาหาร “เอเชียทีค แอนเชี่ยนท์ ที เฮ้าส์”  ร้านติ่มซำที่บอกเล่าเรื่องราวเชื่อมโยงระหว่างราชอาณาจักรสยามและนานาชาติบนพื้นที่ประวัติศาสตร์ ห้องอาหาร “เดอะ คริสตัลล์ กริลล์ เฮาส์” ร้านสเต็กเฮาส์และซีฟู้ดกริลล์สุดพิเศษ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากประวัติศาสตร์การค้าขายของสยามกับนานาประเทศในช่วงรัชกาลที่ 5 เชื่อมโยงกับ “เรือสิริมหรรณพ” ที่สร้างจากต้นแบบเรือใบสามเสาลำสุดท้ายในราชนาวีไทยที่นำพาความรุ่งเรืองจากโพ้นน้ำตะวันตกมาสู่ผืนดินสยาม รวมถึง “โอกุระ ครุซ” เรือไคเซกิและเทปันยากิสุดหรูลำแรกของโลกโดยโอกุระ ที่มอบประสบการณ์ระดับไฟน์ไดนิ่งหรูหราไม่ซ้ำใคร ผสานประเพณีการทำอาหารญี่ปุ่นดั้งเดิมเข้ากับเรื่องราวแบบร่วมสมัย ซึ่งล้วนแต่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ

ด้วยวิสัยทัศน์ในการพัฒนาโครงการภายใต้แนวคิด AWC’s Lifestyle Destination เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ AWC มุ่งมั่นสร้างสรรค์โครงการแลนด์มาร์กที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก ด้วยพันธกิจ Building Better Future For All หรือ สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้ทุกคน

AWC ผนึก ธ.กรุงไทย ลงนามสินเชื่อ Green Loan มูลค่า 7,904 ล. ส่งเสริมไทยเป็นหนึ่งในผู้นำการสร้างจุดหมายปลายทางยั่งยืนระดับโลก

 AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร ร่วมกับธนาคารกรุงไทย ลงนามในสัญญาสินเชื่อระยะยาวประเภท Green Loan มูลค่า 7,904 ล้านบาท (เทียบเท่า 208 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)  ด้วยวิสัยทัศน์ร่วมกันด้านความยั่งยืน เพื่อสนับสนุนประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำการสร้างจุดหมายปลายทางยั่งยืนระดับโลก โดยความร่วมมือด้านสินเชื่อ Green Loan ครั้งสำคัญนี้จะใช้ในการพัฒนาโครงการแฟลกชิปอัลตร้าลักชัวรีแบรนด์ระดับโลก ‘โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ นิวยอร์ก’ (Hotel Plaza Athénée Nobu New York) ณ มหานครนิวยอร์ก ซึ่งนับเป็นตลาดที่มีเสถียรภาพและศักยภาพสูง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของพอร์ตการลงทุนควบคู่กับ ‘เดอะ โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ แบงคอก’ มอบประสบการณ์การท่องเที่ยวระดับอัลตร้าลักชัวรีของแบรนด์ Plaza Athénée ที่จะเชื่อมสองมหานครจากนิวยอร์กสู่กรุงเทพฯ  เชื่อมต่อความพิเศษและศักยภาพของการท่องเที่ยวยั่งยืนของไทยสู่เวทีโลก โครงการ “โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ นิวยอร์ก” ได้รับการพัฒนาในอาคารประวัติศาสตร์อายุกว่าศตวรรษ ใจกลางย่าน Upper East Side หนึ่งในทำเลศักยภาพสูงสุดของมหานครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรม ความหรูหรา และไลฟ์สไตล์ระดับโลก โครงการการลงทุนบนทำเลพิเศษที่เป็นทรัพย์สิน Freehold นี้จะพัฒนาเพื่อสร้างคุณค่าระยะยาวที่ยั่งยืนด้วยมาตรฐานอาคารสีเขียวระดับสากล โดยมุ่งผสานการอนุรักษ์มรดกทางสถาปัตยกรรมเข้ากับนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้การลงทุนและพัฒนาโครงการนี้อยู่ภายใต้โมเดล AWC Growth Fund ซึ่งเป็นกลยุทธ์การลงทุนของ AWC ที่ช่วยให้สามารถพัฒนาโครงการได้โดยไม่ต้องลงทุนเต็มจำนวนในระยะเริ่มต้น และไม่เกิดภาระหนี้สินจากการพัฒนาต่อ นับเป็นความยืดหยุ่นในการเข้าถือครองกรรมสิทธิ์ทั้งหมดในช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยการเข้าถือครองกรรมสิทธิ์ทั้งหมดเมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จจะช่วยให้สามารถรับรู้รายได้ทันที สร้างกระแสเงินสดเป็นบวก และเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางการเงิน พร้อมรักษาวินัยทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท สะท้อนด้วยโครงสร้างทางการเงินที่มั่นคงที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรม

30 มิถุนายน 2568 นายสุรธันว์ คงทน ประธานผู้บริหารสายงาน Wholesale Banking ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ธนาคารกรุงไทย ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) พร้อมนำเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ข้อ 13 เรื่องการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมาปรับใช้  ทั้งในมิติการเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจ และการสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม ล่าสุด ธนาคารได้สนับสนุนสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) ให้กับบริษัทในกลุ่มบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน)  AWC เพื่อลงทุนบูรณะ ‘โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ นิวยอร์ก’ ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในโรงแรมที่ดีที่สุดในนครนิวยอร์ก โดยกำหนดตัวชี้วัดด้านความยั่งยืน เป็นกรอบในการพัฒนาโครงการให้เป็นโรงแรมสีเขียว (Green Building) ตามมาตรฐาน Leadership in Energy and Environmental Design (LEED ) หรือมาตรฐานอาคารสีเขียวระดับสากลอื่นๆ  โดยเชื่อมั่นว่า โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ นิวยอร์ก จะเป็นต้นแบบของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ผสานความหรูหราเข้ากับหลัก ESG ได้อย่างกลมกลืนและเป็นรูปธรรม ความร่วมมือครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทั้งสององค์กรในการขับเคลื่อนเป้าหมายด้านความยั่งยืนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมถึงบทบาทของธนาคารกรุงไทยในฐานะพันธมิตรทางการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Financial Partner) ที่พร้อมส่งเสริมและสนับสนุนลูกค้าในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่การเติบโตอย่างสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามวิสัยทัศน์ “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า AWC ขอขอบคุณธนาคารกรุงไทยสำหรับความเชื่อมั่นและการสนับสนุน การพัฒนาโครงการแฟลกชิปอัลตร้าลักชัวรีแบรนด์ระดับโลก ‘โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ นิวยอร์ก’ (Hotel Plaza Athénée Nobu New York) โดยนับเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญที่เชื่อมศักยภาพของการท่องเที่ยวไทยสู่เวทีโลก และร่วมสนับสนุนประเทศไทยให้เป็นหนึ่งในผู้นำการสร้างจุดหมายปลายทางยั่งยืนระดับโลก นอกจากนั้น การให้สินเชื่อ Green Loan ในครั้งนี้ได้ส่งเสริมกลยุทธ์ของ AWC ภายใต้โมเดลการลงทุน AWC Growth Fund ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน  และมีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง

“โครงการ ‘โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ นิวยอร์ก’ เป็นความร่วมมือระหว่าง AWC และ Nobu Hospitality ที่ผสานจุดแข็งของแบรนด์โรงแรมระดับตำนาน Plaza Athénée เข้ากับความเชี่ยวชาญด้านการบริการระดับลักชัวรีของ Nobu เพื่อพัฒนา Lifestyle Destination ที่มีเอกลักษณ์และมาตรฐานระดับโลก โดยตั้งอยู่ในอาคารประวัติศาสตร์อายุกว่า 100 ปี ซึ่งเป็นทรัพย์สิน Freehold ในย่าน Upper East Side ของแมนฮัตตัน ใกล้ Central Park และแหล่งช้อปปิ้งระดับไฮเอนด์ โดยมีแผนยื่นขอการรับรองมาตรฐาน LEED หรือมาตรฐานอาคารสีเขียวระดับสากลอื่นๆ เพื่อยืนยันถึงคุณภาพด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของ AWC ในด้าน ‘Better Planet’ ด้วยแนวคิดการออกแบบที่ทันสมัยและยั่งยืน และจะพัฒนาไปพร้อมกับ ‘เดอะ โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ แบงคอก’ เชื่อมประสบการณ์อัลตร้าลักชัวรีจากนิวยอร์กสู่กรุงเทพฯ ได้อย่างลงตัว พร้อมเปิดบริการในปีหน้า” 
 
การพัฒนาโครงการด้วยมาตรฐานความยั่งยืนระดับสากลเป็นหัวใจหลักในการสร้างโครงการคุณภาพของ AWC โดยล่าสุดโครงการ ‘อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง โฮเทล’ ได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED ระดับ Gold เวอร์ชั่น 4 BD+C : Hospitality สำหรับโรงแรมเป็นแห่งแรกของไทย สะท้อนถึงแนวทางการออกแบบและการดำเนินงานที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง ในขณะเดียวกัน โรงแรม INNSiDE by Meliá Bangkok Sukhumvit ยังได้รับการรับรองมาตรฐาน EDGE (Excellence in Design for Greater Efficiencies) มาตรฐานอาคารสีเขียวจาก International Finance Corporation แห่งกลุ่มธนาคารโลก ซึ่งสะท้อนถึงการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และขณะนี้ยังมีทรัพย์สินอื่นๆ ของ AWC อีกหลายแห่งที่อยู่ระหว่างกระบวนการขอรับรองมาตรฐาน LEED และมาตรฐานอาคารเขียวระดับสากลอื่นๆ ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการพัฒนาอย่างยั่งยืนครอบคลุมทั่วทั้งพอร์ตโฟลิโอ

AWC ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาโครงการอย่างยั่งยืนทุกมิติ โดยผู้บริหารและทีมงานได้ร่วมภาคภูมิใจที่ AWC ได้รับคะแนนความยั่งยืนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรม รีสอร์ท และเรือสำราญ จากการจัดอันดับของ S&P Global รวมถึงได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกดัชนี Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) กลุ่มตลาดเกิดใหม่ และ FTSE4Good Index Series นอกจากนี้ ยังได้รับการจัดอันดับอยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ระดับ AA ในปี 2567 โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ AWC ในการสร้างคุณค่าองค์รวมระยะยาวให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน

“ความร่วมมือกับธนาคารกรุงไทยด้วยวิสัยทัศน์ร่วมกันของทั้งสององค์กรในครั้งนี้ เพื่อสร้างคุณค่าระยะยาวผ่านโครงการคุณภาพระดับโลกที่ผสานมาตรฐานความยั่งยืนไว้ในทุกมิติ นับเป็นพลังความร่วมมือในการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นหนึ่งในผู้นำการสร้างจุดหมายปลายทางยั่งยืนระดับโลก และร่วม ‘Building Better Future For All’ เพื่อคุณค่าองค์รวมที่ยั่งยืน” นางวัลลภา กล่าว

AWC จับมือบิ๊กซี เปิด “บิ๊กซี ฟีนิกซ์ ประตูน้ำ” โมเดลใหม่ไฮเปอร์มาร์เก็ตใจกลางกรุงเทพฯ

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร และ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ Big C ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี ร่วมเปิดตัว “บิ๊กซี สาขาฟีนิกซ์ ประตูน้ำ” ไฮเปอร์มาร์เก็ตแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ บนพื้นที่รวมกว่า 3,000 ตารางเมตร ณ โครงการฟีนิกซ์ ย่านประตูน้ำ หนึ่งในทำเลยุทธศาสตร์กลางเมือง ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของการสร้างประสบการณ์ด้านการค้าปลีกและอัตลักษณ์ด้านอาหารใจกลางกรุงเทพ ด้วยความมุ่งมั่นสู่การเป็น “Foods Destination For All” สำหรับทุกคน ซึ่งผสานอาหาร การท่องเที่ยว และค้าปลีกที่ครบวงจรได้อย่างกลมกลืน ครอบคลุมทั้งลูกค้ากลุ่ม B2C และ B2B โดยมีสินค้าอุปโภคบริโภคมากกว่า 50,000 รายการ เสริมศักยภาพโครงการสู่การเป็นศูนย์กลางการจัดจำหน่ายอาหารทั้งในรูปแบบค้าปลีกและค้าส่ง รองรับความต้องการของทั้งลูกค้าทั่วไปและกลุ่มลูกค้าองค์กรอย่างครบวงจร โดยวันนี้ AWC ได้ร่วมอุดหนุนวัตถุดิบอาหารและสินค้าต่างๆ ในโอกาสฤกษ์มงคลเปิดสาขาใหม่  พร้อมเสริมกลยุทธ์การจัดซื้ออย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต

คุณวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า “รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ในการเปิดตัว “บิ๊กซี สาขาฟีนิกซ์ ประตูน้ำ” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญของโครงการแฟลกชิปบนทำเลศักยภาพใจกลางย่านประตูน้ำ ความร่วมมือนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ร่วมของเราในการพัฒนาจุดหมายปลายทางด้านไลฟ์สไตล์ที่บูรณาการประสบการณ์ด้านอาหาร การชอปปิง และการท่องเที่ยวไว้ในที่เดียวด้วยสินค้ามากกว่า 50,000 รายการ  “บิ๊กซี สาขาฟีนิกซ์ ประตูน้ำ” จะมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งองค์รวมให้กับอุตสาหกรรมอาหาร เชื่อมโยงผู้ผลิต ผู้ซื้อ ผู้บริโภค และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งค้าปลีกและค้าส่ง โดยความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนบทบาทของโครงการฟีนิกซ์ในการเป็นศูนย์กลางด้านอาหารชั้นนำ สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐในการสนับสนุนกรุงเทพมหานครสู่จุดหมายปลายทางด้านอาหารระดับโลก พร้อมทั้งมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการเติบโตของชุมชนอย่างยั่งยืน”

คุณฐาปณี เตชะเจริญวิกุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี เปิดเผยว่า บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ เดินหน้าเสริมทัพค้าปลีกอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เปิดสาขาใหม่ “บิ๊กซี สาขาฟีนิกซ์ ประตูน้ำ” อย่างเป็นทางการ เพื่อตอบรับดีมานด์จากลูกค้าทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ บนทำเลศักยภาพใจกลางกรุงเทพฯ บริเวณประตูน้ำ ซึ่งเป็นที่พักอาศัย โรงแรม และคอนโดมิเนียม แวดล้อมด้วยแหล่งท่องเที่ยวและการคมนาคมสะดวกใกล้รถไฟฟ้า BTS และ Airport Rail Link      

บิ๊กซี สาขาฟีนิกซ์ ประตูน้ำ เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 – 22.00 น. โดยตั้งอยู่บริเวณชั้น G ของโครงการฟีนิกซ์ ครอบคลุมพื้นที่ชอปปิงรวมขนาดใหญ่กว่า 3,000 ตารางเมตร พร้อมเติมเต็มประสบการณ์ “กิน เที่ยว ช้อป” อย่างครบวงจรในจุดเดียว ด้วยการออกแบบพื้นที่ให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ พร้อมไฮไลท์คือ “Live Promotion Corner” พื้นที่รองรับการไลฟ์สดแบบเรียลไทม์ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น TikTok และ Instagram Live เพื่อเชื่อมโยงประสบการณ์การชอปปิงในร้านกับโลกออนไลน์แบบเรียลไทม์ ตอบสนองความคาดหวังของผู้บริโภครุ่นใหม่ และตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล นอกจากนี้ บิ๊กซี สาขาฟีนิกซ์ ประตูน้ำ ยังคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่ทั้งนักท่องเที่ยวและผู้บริโภคชาวไทยมองหา ไม่ว่าจะเป็นขนมไทย ผลไม้อบแห้ง 

โดยการผนึกกำลังระหว่าง AWC และ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ในครั้งนี้ สะท้อนความมุ่งมั่นร่วมกันของทั้งสององค์กร ในการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และค้าปลีกของประเทศไทย ผ่านการส่งเสริมผู้ประกอบการท้องถิ่นและการพัฒนาแนวทางค้าปลีกที่ทันสมัย พร้อมสนับสนุนโครงการฟีนิกซ์ให้เป็นจุดหมายด้านอาหารแบบครบวงจรระดับโลก ที่ไม่เพียงตอบโจทย์นักท่องเที่ยวจากทั่วโลก แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารและค้าปลีกค้าส่งของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

AWC ร่วมกับ แมริออท เปิดตัว “พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา” บนหาดจอมเทียน

AWC ร่วมกับ แมริออท เปิดตัว “โรงแรม พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา” ล่าสุดบนหาดจอมเทียน พร้อมประสบการณ์ความสนุกกับ Waterplay สุดพิเศษ ร่วมสนับสนุนพัทยาสู่จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนสำหรับทุกคนในครอบครัว

“โรงแรม พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา” โรงแรมแรกของเมืองพัทยาจากเครือแมริออท เชนโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมกิจกรรม Waterplay สุดพิเศษ ทั้งสระว่ายน้ำเด็ก สระว่ายน้ำแบบอินฟินิตี้พูล และสไลเดอร์ที่เห็นวิวทะเลที่สวยที่สุด มอบประสบการณ์สุดประทับใจสำหรับทุกคนในครอบครัว

โรงแรมขนาด 289 ห้องพัก ได้รับการออกแบบด้วยแนวคิด “Sugar Palm Trees Paradise” ที่ผสานกลิ่นอายวัฒนธรรมท้องถิ่นเข้ากับดีไซน์ทรอปิคอลร่วมสมัย ภายใต้กลยุทธ์การพัฒนาอย่างยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อมุ่งสู่มาตรฐาน LEED สากลระดับโลก พร้อมเปิดพื้นที่หลากหลายรับวิวทะเลแบบพาโนรามา กิจกรรมเวลเนส และประสบการณ์การรับประทานอาหารที่โดดเด่นจากห้องอาหาร Goji Kitchen Grill & Bar, ห้องอาหาร La Familiare รวมถึง Sunbird Bar และห้องอาหารญี่ปุ่นที่มองเห็นวิวหาดจอมเทียนแบบ 180 องศา

ภายใต้กลยุทธ์การเติบโตของ AWC ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาเพื่อเป็นจุดหมายปลายทางริมทะเลสำหรับครอบครัวที่เปี่ยมด้วยความสนุกอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าระยะยาวด้วยโครงสร้างและวินัยทางการเงินที่แข็งแกร่ง ควบคู่การสนับสนุนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และร่วมเป็นส่วนหนึ่งให้เมืองพัทยาเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนในระดับโลก

AWC คว้ารางวัล “Thailand’s Top Corporate Brands 2024” ต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน มุ่งมั่นสร้างการเติบโตให้อุตฯ-ท่องเที่ยว

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร คว้ารางวัล “Thailand’s Top Corporate Brands 2024” จากงาน ASEAN and Thailand’s Top Corporate Brands 2024 ที่จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 15 โดยหลักสูตรปริญญาโทสาขาการจัดการแบรนด์และการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย AWC ถือเป็นบริษัทที่มีมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุดของประเทศไทย ประจำปี 2567 หมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ด้วยมูลค่าแบรนด์องค์กรโดดเด่นกว่า 53,084 ล้านบาท ผ่านความสำเร็จในการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่โดดเด่นหลากหลายแห่งตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการที่สร้างแรงบันดาลใจและตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างครบวงจร พร้อมทั้งแสดงถึงศักยภาพในการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและความเป็นผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย

เมื่อวันที่ 7 ก.พ.68 นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) (AWC) กล่าวว่า “AWC ภูมิใจที่ได้ร่วมสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้กับประเทศไทยและภูมิภาค ผ่านการพัฒนาโครงการระดับแลนด์มาร์กที่โดดเด่นในรูปแบบของ AWC’s Lifestyle Destination มากมาย พร้อมนำความเป็นเอกลักษณ์หรือ Brand DNA ของ AWC ถ่ายทอดผ่านโครงการคุณภาพที่ได้เปิดตัวตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา ร่วมสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับลูกค้า พร้อมสร้างความยั่งยืนให้กับคู่ค้า พันธมิตร ชุมชน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย การได้รับรางวัล Thailand’s Top Corporate Brands ต่อเนื่องอีกครั้งในปีนี้ จึงเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของเราในการให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าและส่งต่อความสุขให้นักท่องเที่ยวทั้งในไทยและทั่วโลก พร้อมสะท้อนวิสัยทัศน์ของ AWC ในการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยว เพื่อร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลก และสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับทุกคน”

โดยความสำเร็จของ AWC ตลอดปี 2567 เกิดขึ้นจากการให้ความสำคัญในการสร้างสรรค์โครงการระดับแลนด์มาร์กอันมีเอกลักษณ์ ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ที่มุ่งเน้นตอบสนองทั้งไลฟ์สไตล์ของคนเมืองและนักท่องเที่ยวทั่วโลก รวมถึงการเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอสังหาริมทรัพย์ของไทย อาทิ การเปิดตัว ‘เอ-ญ่า รูฟทอป แอท ดิ เอ็มไพร์’ จุดหมายปลายทางไลฟ์สไตล์รูฟทอปที่ใหญ่และสูงที่สุดใจกลางเมืองที่รวบรวม Top-Cuisine หลากหลายประสบการณ์ด้านอาหารและเครื่องดื่ม การร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกอย่าง NEON และ Universal Live Events & Location Based Entertainment ในการนำประสบการณ์ ‘Jurassic World: The Experience’ มาสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีกำหนดเปิดตัวที่โครงการ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ในไตรมาส 2 ปี 2568 การเปิดตัว ‘โอกุระ ครุซ’ เรือไคเซกิและเทปันยากิสุดหรูลำแรกของโลก ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมต่อโครงการในแผนงานกว่า 10 โครงการของ AWC ภายใต้แนวคิด ‘AWC River Journey Project’ เสนอประสบการณ์ท่องเที่ยวและการบริการระดับพรีเมียมผสานบรรยากาศงดงามเป็นเอกลักษณ์ของแม่น้ำเจ้าพระยา รวมทั้งการสร้างสรรค์สร้างโมเดลใหม่ให้กับอุตสาหกรรมด้านอาหารกับการเปิดตัวโครงการ Phenix (ฟีนิกซ์) แหล่งรวมอาหารและสุดยอดความอร่อยใจกลางเมืองบนพื้นที่ยุทธศาสตร์ย่านประตูน้ำ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางและจุดหมายปลายทางด้านอาหารระดับโลก และการเปิดร้านอาหารอีกหลายแห่งทั้งในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่

สำหรับรางวัล “ASEAN and Thailand’s Top Corporate Brands 2024” จัดขึ้นติดต่อกันมาเป็นปีที่ 15 เพื่อมอบให้แก่องค์กรที่มีมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุดของประเทศไทยและในอาเซียน จัดขึ้นโดยหลักสูตรปริญญาโทสาขาการจัดการแบรนด์และการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งร่วมกันวิจัยและพัฒนาเครื่องมือการวัดมูลค่าแบรนด์องค์กร “CBS Valuation” (Corporate Brand Success Valuation) ที่ใช้หลักเกณฑ์การวัดมูลค่าแบรนด์จากงบการเงินของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ในการคำนวณค่าเฉลี่ยติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 ปี เพื่อชี้วัดความสำเร็จในการพัฒนาแบรนด์ขององค์กรของประเทศไทยและในอาเซียน

นอกจากรางวัล “ASEAN and Thailand’s Top Corporate Brands 2024” ที่ได้รับในครั้งนี้ AWC ยังได้รับรางวัลแห่งความภูมิใจอื่นๆ ซึ่งตอกย้ำถึงแบรนด์องค์กรที่แข็งแกร่งและความมุ่งมั่นในการดำเนินงานเพื่อส่งมอบคุณค่าและสร้างความยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยในปี 2567 AWC ได้คะแนนการประเมินความยั่งยืนจาก S&P Global เป็นอันดับ 1 ของโลกในอุตสาหกรรมโรงแรม รีสอร์ทและเรือสำราญ และยังติดอันดับ Top 1% จากการประเมินและจัดอันดับของ S&P Global ใน The Sustainability Yearbook 2024 ทั้งยังได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) ในกลุ่มดัชนีตลาดเกิดใหม่ (DJSI Emerging Markets Indices) ติดต่อกันเป็นปีที่สอง และได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของ FTSE4Good Index Series ซึ่งถูกจัดอันดับโดย FTSE Russell ครอบคลุมการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสังคม และด้านธรรมาภิบาล ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 นอกจากนี้ AWC ยังได้รับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ที่ระดับ ‘AA’ ในกลุ่มของอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในขณะที่โครงการด้านการท่องเที่ยวของบริษัทได้รับประกาศนียบัตร STAR “ดาวแห่งความยั่งยืน” จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กว่า 25 แห่ง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ AWC ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวทั่วโลก พร้อมดำเนินธุรกิจตามแผนกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนเพื่อร่วม ‘สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า’ ให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย

AWC และ Hotel Okura พัฒนาสองโรงแรมสุดพิเศษในเชียงใหม่-กรุงเทพฯ นำเสนอความสง่างามในแบบญี่ปุ่นผสานมรดกวัฒนธรรมไทย

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร ลงนามข้อตกลงในการพัฒนาและบริหารโรงแรมจำนวน 2 แห่ง กับ Hotel Okura Co., Ltd. เครือโรงแรมระดับโลกที่ผสมผสานวัฒนธรรมการบริการชั้นเลิศแบบญี่ปุ่นเข้ากับที่พักชั้นหนึ่ง และอาหารเลอรส โดยความร่วมมือครั้งนี้เกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ที่มีร่วมกัน รวมถึงความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนานของทั้งสององค์กร สู่การพัฒนาโครงการสำคัญแห่งใหม่ 2 แห่งในประเทศไทยได้แก่ โรงแรม โอกุระ รีสอร์ท เชียงใหม่ (Okura Resort Chiang Mai) ซึ่งเป็นโรงแรมภายใต้แบรนด์โอกุระแห่งแรกในภาคเหนือของประเทศไทย นำเสนอประสบการณ์เรียวกังสุดหรูภายใต้แบรนด์โอกุระนอกประเทศญี่ปุ่นเป็นแห่งแรกของโลก และโรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ สุขุมวิท กรุงเทพ โฮเทล และ สปา (The Okura Prestige Sukhumvit Bangkok Hotel and Spa) ใจกลางย่านทองหล่อ ด้วยบริการการดูแลสุขภาพองค์รวม พร้อมองค์ประกอบสไตล์ญี่ปุ่นในบรรยากาศลอยฟ้าอันเป็นเอกลักษณ์ใจกลางทองหล่อ หนึ่งในย่านที่มีชีวิตชีวาที่สุดในกรุงเทพฯ โครงการพัฒนาโรงแรมทั้งสองแห่งนี้สะท้อนถึงการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างความสง่างามแบบญี่ปุ่นและมรดกทางวัฒนธรรมไทย เพื่อกำหนดนิยามใหม่ของการบริการระดับลักชัวรีและการให้บริการด้านสุขภาพในประเทศ โดยความร่วมมือเพื่อพัฒนาโรงแรมใหม่นี้มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 7,600 ล้านบาท สอดคล้องกับกลยุทธ์การเติบโต (GROWTH-LED Strategy) ของบริษัท เพื่อสนับสนุนประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก

โดยความร่วมมือระหว่าง AWC และ Hotel Okura ในครั้งนี้ สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ร่วมกันในการพัฒนาโรงแรมอันเป็นเอกลักษณ์ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของความยั่งยืน ทั้งยังตอบโจทย์ความต้องการเทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่เพิ่มขึ้น โดยความร่วมมือในครั้งนี้ได้ผสานจุดแข็งอันโดดเด่นของทั้งสองฝ่ายเพื่อสร้างคุณค่าร่วมกันในฐานะผู้นำด้านการให้บริการระดับลักชัวรี โดยมุ่งนำเสนอประสบการณ์เหนือระดับที่ผสมผสานการบริการอันเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจในแบบญี่ปุ่นเข้ากับความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมของไทยเพื่อต้อนรับนักเดินทางจากทั่วโลก

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สานต่อความร่วมมือที่มีมาอย่างยาวนานกับ Hotel Okura และขยายพอร์ตโฟลิโอโรงแรมอันโดดเด่นของเราสู่สองเมืองท่องเที่ยวที่มีสีสันที่สุดของประเทศไทย โดยโรงแรม โอกุระ รีสอร์ท เชียงใหม่ จะสร้างนิยามใหม่ให้กับทางการท่องเที่ยวลักชัวรีและยั่งยืนในประเทศ พร้อมผสมผสานมรดกทางศิลปะและวัฒนธรรมอันงดงามของเชียงใหม่ เข้ากับกลิ่นอายการออกแบบและการให้บริการแบบญี่ปุ่นต้นตำรับ ทั้งยังจะเชื่อมต่อกับ โครงการไลฟ์สไตล์เดสทิเนชั่นของ AWC อย่าง “ลานนาทีค เดสทิเนชั่น” เพื่อเสนอประสบการณ์น่าประทับใจ กับการถ่ายทอดความงดงามของอาณาจักรล้านนาอันเป็นเอกลักษณ์เคียงคู่กับความสง่างามในแบบฉบับญี่ปุ่นเพื่อมอบประสบการณ์ประทับใจไม่รู้ลืม ในขณะที่โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ สุขุมวิท กรุงเทพ โฮเทล และ สปา ในย่านทองหล่อจะถูกพัฒนาเป็นโอเอซิสแห่งการพักผ่อนใจกลางเมือง ด้วยบริการด้านสุขภาพองค์รวมและการเข้าพักแบบระยะยาว นำเสนอประสบการณ์การดูแลสุขภาพสไตล์ญี่ปุ่นที่เป็นเอกลักษณ์ในย่านที่มีชีวิตชีวาที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ พร้อมนำเสนอประสบการณ์แบบรีสอร์ทในเมืองด้วยกลิ่นอายแบบบญี่ปุ่นและประสบการณ์เหนือระดับแบบหาที่ไหนไม่ได้ โครงการพัฒนาโรงแรมอันโดดเด่นแห่งใหม่ทั้งสองนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพจากทั่วโลก แต่จะยังช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศและสนับสนุนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกอีกด้วย”

มร.โทชิฮิโระ โอกิตะ ประธานและกรรมการผู้แทน Hotel Okura Co., Ltd., กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้บรรลุอีกหนึ่งความร่วมมือครั้งสำคัญกับ AWC ผ่านการพัฒนาโรงแรมใหม่ในประเทศไทย ต่อเนื่องจากความสำเร็จของ โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ และรู้สึกตื่นเต้นที่ได้นำแบรนด์โอกุระมาสู่เชียงใหม่และภาคเหนือของประเทศไทยเป็นครั้งแรก ด้วยความมุ่งมั่นของเราในการมอบบริการที่พักระดับโลก ที่ผสมผสานความสง่างามของวัฒนธรรมญี่ปุ่นเข้ากับเสน่ห์ท้องถิ่น ด้วยเครือข่ายโรงแรมลักชัวรีที่ตั้งอยู่ทั่วโลก ทำให้เราสามารถผสมผสานความงดงามและความละเอียดอ่อนของวัฒนธรรมญี่ปุ่นเข้ากับความสะดวกสบายและฟังก์ชันการใช้งานได้อย่างลงตัว และเชื่อมั่นว่าความร่วมมือครั้งใหม่นี้กับ AWC จะช่วยมอบประสบการณ์พิเศษและบริการที่ยอดเยี่ยมให้แก่ทั้งแขกชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้อย่างแน่นอน”

โรงแรม โอกุระ รีสอร์ท เชียงใหม่ จะเป็นโรงแรมภายใต้แบรนด์โอกุระแห่งแรกในภาคเหนือของประเทศไทย ตั้งอยู่บนถนนช้างคลานซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ โดดเด่นด้วยตลาดและศูนย์การค้า อาหารท้องถิ่น และสีสันยามค่ำคืน ประกอบด้วยห้องพักที่ออกแบบอย่างพิถีพิถันกว่า 200 ห้อง ผสมผสานความหรูหราสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมเข้ากับวัฒนธรรมล้านนาร่วมสมัย พร้อมห้องพักแบบเรียวกังที่ครบครันด้วยเสื่อทาทามิ ชุดยูกาตะ และออนเซ็นส่วนตัว ที่แขกจะสามารถดื่มด่ำไปกับประสบการณ์การพักผ่อนที่ผสมผสานวัฒนธรรมญี่ปุ่นเข้ากับมรดกทางประเพณีของภาคเหนือ ตั้งแต่สถาปัตยกรรมไปจนถึงอาหารเลิศรส ทั้งนี้ โรงแรม โอกุระ รีสอร์ท เชียงใหม่ มีกำหนดเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 1 ของปี 2571 โดยจะมาพร้อมกับห้องอาหารญี่ปุ่น-ล้านนาอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ผสานวัตถุดิบท้องถิ่นเข้ากับเทคนิคการทำอาหารแบบญี่ปุ่น เตรียมมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารชั้นเลิศแบบโอมากาเสะและล้านนาไคเซกิ ยิ่งไปกว่านั้น แขกยังจะได้เพลิดเพลินไปกับหลากหลายสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ออนเซ็น สปา ห้องอาหารแบบ All Day Dining คาเฟ่และห้องอาหาร เลานจ์ รูฟท็อปบาร์ และสระว่ายน้ำ

ขณะที่โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ สุขุมวิท กรุงเทพ โฮเทล และ สปา จะนำเสนอประสบการณ์ด้านสุขภาพแบบองค์รวมและบริการเข้าพักแบบระยะยาวในพื้นที่ทองหล่อ ซึ่งเป็นหนึ่งในย่านที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ นำเสนอการเข้าพักอันเป็นเอกลักษณ์และการต้อนรับอย่างอบอุ่น กับล็อบบี้ลอยฟ้าและรูฟท็อปบาร์สไตล์ญี่ปุ่นที่มาพร้อมสวนกลางแจ้ง ผสมผสานการดูแลสุขภาพเข้ากับทัศนียภาพอันงดงามของเส้นขอบฟ้าของกรุงเทพ เพื่อมอบพื้นที่ให้แขกผู้เข้าพักได้ผ่อนคลายและเติมเต็มทั้งร่างกายและจิตใจ มาพร้อมกับบริการและฟีเจอร์บนชั้นดาดฟ้าอื่นๆ อาทิ ห้องอาหารแบบ All Day Dining ห้องอาหารพิเศษต่างๆ  และรูฟท็อปบาร์ที่มอบวิวเมืองแบบพาโนรามา นอกจากนี้ แขกยังสามารถพักผ่อนหย่อนใจได้ที่บริเวณคาบานาสุดหรูริมสระว่ายน้ำ ลิ้มรสหนึ่งในเมนูอาหารเพื่อสุขภาพเพื่อสร้างสมดุลที่ดี รวมไปถึงเมนูซิกเนเจอร์ในรูปแบบของ โอกุระ เพรสทีจ อีกด้วย

โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ สุขุมวิท กรุงเทพ โฮเทล และ สปา ยังนำเสนอห้อง Onsen Suite แบบต้นตำรับ และสัมผัสเสน่ห์เหนือกาลเวลาของห้องพักสไตล์เรียวกังอันเป็นเอกลักษณ์ หรือเลือกพักในห้องแบบตะวันตกที่ความสะดวกสบาย โดยโรงแรมยังมาพร้อมโปรแกรมสุขภาพเฉพาะบุคคลที่ผสมผสานศาสตร์การดูแลสุขภาพแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมเข้ากับเทรนด์สุขภาพสมัยใหม่ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษโดยนักโภชนาการมืออาชีพ พร้อมสัมผัสการดูแลสุขภาพด้วยวารีบำบัด (Hydrotherapy) และการเจริญสติ (Mindfulness) เพื่อคืนพลังให้กับทั้งร่างกายและจิตใจ ทั้งนี้ โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ สุขุมวิท กรุงเทพ โฮเทล และ สปา มีกำหนดเปิดให้บริการในปี 2571 ด้วยห้องพักกว่า 200 ห้อง ผสมผสานองค์ประกอบการออกแบบร่วมสมัยที่นำธรรมชาติมาประยุกต์เพื่อส่งเสริมสุขภาวะที่ดี (Biophilic) ควบคู่กับสุนทรียะแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม นอกจากนี้ โรงแรมยังให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืน ด้วยการออกแบบเพื่อประหยัดพลังงาน ลดความร้อนจากภายนอกอาคาร และการติดตั้งระบบจัดการน้ำอีกด้วย

“โรงแรมทั้งสองแห่งจะช่วยเสริมพอร์ตโฟลิโอระดับลักชัวรีของ AWC และสานต่อความสำเร็จของโรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ และเรือโอกุระ ครุซ เพื่อร่วมสร้างมาตรฐานใหม่ในด้านการบริการและเวลเนสให้กับประเทศไทย AWC หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ต้อนรับแขกเข้ามาสัมผัสกับการบริการชั้นเลิศ ความรุ่มรวยทางวัฒนธรรม และการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่โรงแรมภายใต้แบรนด์โอกุระแห่งใหม่ทั้งสองนี้ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก” นางวัลลภา กล่าวปิดท้าย

"วัลลภา ไตรโสรัส" ซีอีโอ AWC รับรางวัลนักธุรกิจสตรีดีเด่นประจำปี 2567 จากหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

คุณวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC  ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร ได้รับรางวัลนักธุรกิจสตรีดีเด่นประจำปี 2567 จากหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ซึ่งมอบให้แก่สตรีนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในการประกอบธุรกิจและการดำเนินชีวิตเป็นแบบอย่าง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้แก่สตรี พร้อมทั้งส่งเสริมบทบาทสตรีในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

พิธีมอบรางวัลนักธุรกิจสตรีดีเด่นประจำปี 2567 จัดขึ้นภายในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 42 เพื่อเชิดชูเกียรติสตรีผู้มีผลงานดีเด่นจากหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย 2567 โดยได้รับเกียรติจากคุณสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นประธานในพิธี รวมถึงคุณหญิงณัฐิกา วัธนเวคิน อังอุบลกุล ที่ปรึกษาคณะกรรมการตัดสินรางวัล ร่วมในพิธีมอบรางวัลฯ ณ NICE HALL สวนนงนุช พัทยา จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2567

คุณวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า “รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งและขอขอบคุณหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยสำหรับรางวัลนักธุรกิจสตรีดีเด่นประจำปี 2567 และขอแสดงความยินดีกับนักธุรกิจหญิงที่ได้รับรางวัลนี้ร่วมกันในวันนี้ รางวัลอันทรงเกียรตินี้จะเป็นกำลังใจให้นักธุรกิจสตรีทุกคนมุ่งมั่นร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างคุณค่าให้อุตสาหกรรม สังคมองค์รวม และประเทศชาติ เพื่อการเติบโตร่วมกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน”

คุณวัลลภา ไตรโสรัส เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC  โดยพาบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2562 สร้างประวัติศาสตร์กับการเสนอขายหุ้น IPO ที่ใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และใหญ่ที่สุดของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในโลกในรอบ 5 ปี นับเป็นเกียรติประวัติของกลุ่มบริษัท AWC ที่ได้รวบรวมโครงการคุณภาพรางวัลระดับโลกเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมสร้างประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก

ทั้งนี้ความมุ่งมั่นของกลุ่มบริษัท AWC ในการร่วมสร้างการเติบโตให้อุตสาหกรรมด้วยการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ในวิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมา AWC มีโอกาสได้ดูแลผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย รวมทั้งดูแลเพื่อนพนักงานอย่างเต็มที่ และแม้ในช่วงสถานการณ์ที่ท้าทายเรายังเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างงานและคุณค่าองค์รวมให้เศรษฐกิจและสังคมด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมของ AWC เพิ่มขึ้นจากมูลค่ากว่า 90,000 ล้านสู่มูลค่ากว่า 195,200 ล้านบาทในช่วงปี 2563 ถึง 2567 ในปัจจุบัน และเรายังคงเชื่อมั่นในการรวมพลังร่วมกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชนและชุมชนเพื่อร่วมเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

นอกจากนั้น วิสัยทัศน์ “สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า” หรือ “Building a Better Future” ที่คุณวัลลภาริเริ่มที่ AWC มุ่งเน้นการเติบโตโดยสร้างคุณค่าองค์รวมให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนตลอดห่วงโซ่คุณค่า ผ่านกรอบการดำเนินงาน 3BETTERs คือ Better Planet กลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม Better People ร่วมสร้างความยั่งยืนให้ชุมชน และ Better Prosperity การกำกับดูแลกิจการและการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียม สนับสนุนประเทศไทยสู่จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก  ทำให้ AWC ได้รับการยอมรับระดับโลก เช่น การจัดอันดับเป็นที่ 1 ในกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรม รีสอร์ท และเรือสำราญจาก S&P Global ตลอดจนติดอันดับ Top 1% (Gold Class) จากการประเมินและจัดอันดับของ S&P Global ที่ประกาศใน The Sustainability Yearbook 2024 และได้รับเชิญเป็นสมาชิกใน Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ของ S&P Global ในปี 2023

 

AWC จับมือ SMBC ร่วมสนับสนุนไทยสู่เป้าหมายการเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก จัดสรรสินเชื่อยั่งยืนเริ่มต้น 3 พันล้านบาท

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร และ ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น หรือ SMBC ร่วมลงนามความร่วมมือสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Linked Loan) จำนวน 3,000 ล้านบาท ด้วยความมุ่งมั่นร่วมกันในการสร้างความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรมให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทย เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าผ่านการพัฒนาโครงการคุณภาพตามมาตรฐานสากลด้านความยั่งยืน ที่รวมถึงการส่งเสริมการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และ ธรรมาภิบาล (ESG) ขององค์กรภายใต้กรอบการพัฒนาที่ยั่งยืน 3BETTERs ของบริษัทฯ คือ Better Planet กลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม Better People ร่วมสร้างความยั่งยืนให้ชุมชน และ Better Prosperity การกำกับดูแลกิจการและการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียม เพื่อสร้างคุณค่าองค์รวมแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ร่วมสร้างประเทศไทยสู่จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก

มร.ราจีฟ คานนาน Managing Executive Officer, Co-Head of Asia Pacific Division ธนาคาร ซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น หรือ SMBC กล่าวว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ AWC ในการจัดสินเชื่อในครั้งนี้ ด้วยวิสัยทัศน์ที่มีร่วมกันด้านความยั่งยืน เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับ AWC ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มีมาตรฐานการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนระดับโลก ด้วยศักยภาพในการพัฒนาโครงการคุณภาพที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน และมีความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ในขณะที่เราได้กำหนดเป้าหมายเพื่อมอบสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนทั่วโลกเอาไว้สูงถึงกว่า 11 ล้านล้านบาท (50 ล้านล้านเยน) ภายในปี 2573 การสนับสนุนพันธมิตรที่สำคัญของเราอย่าง AWC นับเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความมุ่งมั่นของเราต่อการสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับสิ่งแวดล้อม ประเทศไทย และการเติบโตอย่างยั่งยืนของภูมิภาคนี้”

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า “AWC ประทับใจในความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ของ SMBC กลุ่มการเงินชั้นนำระดับโลก ที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการเติบโตให้กับอุตสาหกรรมของประเทศอย่างยั่งยืน โดยความร่วมมือผ่านสินเชื่อด้านความยั่งยืนในครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นครั้งสำคัญในการร่วมสร้างคุณค่าให้สิ่งแวดล้อม ชุมชน สังคม อุตสาหกรรม และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย และเป็นไปตามแผนกลยุทธ์การเติบโตของบริษัทฯ ที่มุ่งดำเนินงานตามมาตรฐานความยั่งยืนระดับสากล ซึ่ง AWC มีความเชื่อมั่นว่าการร่วมรวมพลังกับ SMBC ในฐานะพันธมิตรทางการเงินที่มีความสัมพันธ์กันยาวนานจะเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก”

AWC จะนำสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในครั้งนี้ไปใช้ในการพัฒนาการดำเนินงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของบริษัทฯ และสร้างคุณค่าองค์รวมแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนตลอดห่วงโซ่คุณค่า ผ่านโครงการแลนด์มาร์กระดับโลกต่างๆ ที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมของประเทศไทย จากการพัฒนาโครงการโรงแรมที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED และ WELL เป็นแห่งแรกของภาคเหนือมาแล้วในปีที่ผ่านมา AWC ยังเดินหน้าสร้างสรรค์โครงการขนาดใหญ่โดยผสานแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนระดับท็อปของอุตสาหกรรม อาทิ โครงการ “Lannatique” ในจังหวัดเชียงใหม่ โครงการ “Aquatique” ในพัทยา และโครงการ “Woeng Nakornkasem Yaowaraj” ในกรุงเทพฯ ที่มุ่งเน้นการลดการใช้ทรัพยากร ส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในทุกมิติ เพื่อสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพตามเป้าหมาย (Sustainability Performance Targets หรือ SPTs) โดยการวัดผลการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ  และมาตรฐานดัชนีความยั่งยืน MSCI ESG Rating

ปัจจุบัน AWC ได้รับการจัดสรรวงเงินสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน และสินเชื่อสีเขียวระยะยาว จากสถาบันการเงินชั้นนำทั้งในและต่างประเทศเป็นสัดส่วนร้อยละ 100 ของสินเชื่อระยะยาวทั้งหมดเพื่อมุ่งสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศ โดยขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กรอบการพัฒนาที่ยั่งยืนในสามเสาหลัก หรือ 3BETTERs ประกอบด้วย Better Planet, Better People และ Better Prosperity  

AWC ยังคงมุ่งมั่นและให้ความสำคัญในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยในที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) ในกลุ่มดัชนีตลาดเกิดใหม่ (DJSI Emerging Markets Indices) ด้วยคะแนนความยั่งยืนจากการประเมินผล Corporate Sustainability Assessment (CSA) โดย S&P Global สูงสุดเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรม รีสอร์ท และเรือสำราญ (Hotels, Resorts & Cruise Lines) รวมถึงได้รับการจัดอันดับในรายงานความยั่งยืน S&P Global Sustainability Yearbook 2024 และได้รับการประเมินจาก MSCI ESG Ratings ในระดับ “AA” โดย MSCI ESG Research รวมถึงกลุ่มโรงแรมและศูนย์การค้าในเครือ AWC ก็มุ่งมั่นร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “ดาวแห่งความยั่งยืน” หรือ STAR (Sustainable Tourism Acceleration Rating) จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก

 

AWC เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องใน Q1/67 ด้วยกลยุทธ์ขยายพอร์ตทรัพย์สินคุณภาพ

AWC เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องใน Q1/67 ด้วยกลยุทธ์ขยายพอร์ตทรัพย์สินคุณภาพ

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เผยผลประกอบการ ไตรมาส 1 ปี 2567 ดีที่สุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องด้วยผลกำไรจากการดำเนินงานเติบโตก้าวกระโดดตามกลยุทธ์การขยายพอร์ตโฟลิโอทรัพย์สินคุณภาพ โดยเฉพาะทรัพย์สินดำเนินงานใหม่ของกลุ่มโรงแรมและการบริการที่เติบโตต่อเนื่อง ทำสถิติเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์แข็งแกร่งเหนือกว่าปี 2562 ด้วยผลกำไรจากการดำเนินงาน (HOTEL EBITDA) ตามผลประกอบการซึ่งไม่รวมมูลค่ายุติธรรมเติบโตอย่างแข็งแกร่งสูงสุดอยู่ที่ 1,401 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 83 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 และเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดร้อยละ 43 จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) จากการดำเนินงานที่โดดเด่นต่อเนื่องด้วยความสามารถในการสร้างรายได้เฉลี่ยต่อวัน (Average Daily Rate: ADR) ที่เติบโตสู่ระดับสูงสุดที่ 6,298 บาทต่อคืน เช่นเดียวกับรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) เติบโตสู่ระดับสูงสุดที่ 4,711 บาท

นอกจากนี้ยังมีการเติบโตของจำนวนการจองห้องพักล่วงหน้าที่ 753,841 คืนในการเข้าพัก สูงที่สุดตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา  โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิรายไตรมาสเติบโตสู่ระดับสูงสุดที่ 1,604 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.1 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) จากรายได้รวม 5,440 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และรวมกำไรจากการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจ (BU EBITDA) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 AWC ยังเดินหน้าสร้างการเติบโตตามกลยุทธ์การเติบโต (GROWTH-LED Strategy) โดยสามารถเพิ่มผลตอบแทนส่วนของผู้ถือหุ้นย้อนหลัง 12 เดือน ณ ไตรมาส 1 ปี 2567 ขึ้นร้อยละ 76 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเสริมกลยุทธ์เพิ่มความแข็งแกร่งเพื่อพัฒนาเป็น Retail Destination ให้กับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า และเปิดประสบการณ์ Co-Living Collective: Empower Future ให้กับกลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงาน รวมถึงเพิ่มศักยภาพของทรัพย์สินในช่วงดำเนินงานเริ่มต้น (RAMP UP) มาสู่ระดับดำเนินงานปกติ (BAU) ด้วยการร่วมเพิ่มพลังกับพันธมิตรระดับโลกในการเข้าถึงฐานลูกค้าจาก 400 ล้านคน เป็น 600 ล้านคนทั่วโลก และสร้างมูลค่าทรัพย์สิน Freehold ถึงร้อยละ 94 ที่ช่วยสร้างการเติบโตของกระแสเงินสดอย่างแข็งแกร่ง เพื่อคุณค่าที่ยั่งยืนให้ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยในไตรมาส 1 ปี 2567 บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดอยู่ที่ 149,550 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 55.0 เมื่อเทียบกับปี 2562 โดยคิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินดำเนินงาน 109,526 ล้านบาท

สำหรับในไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 AWC มีผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการที่โดดเด่น ซึ่งช่วยเพิ่มสัดส่วนรายได้ของกลุ่มให้เติบโตเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 61 จากภาพรวมการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่มีการเพิ่มขึ้นของทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวคุณภาพ (High-to-Luxury) ซึ่งถือเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักของบริษัทที่สนับสนุนการเติบโตให้กับทุกกลุ่มโรงแรมของ AWC โดยเฉพาะกลุ่มรีสอร์ทระดับลักชัวรี โรงแรมในกรุงเทพ และโรงแรมอื่นๆ นอกกรุงเทพ สามารถสร้างรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) และรายได้เฉลี่ยต่อวัน (Average Daily Rate: ADR) ได้อย่างโดดเด่นเติบโตสู่ระดับสูงสุด ซึ่งอัตราการเข้าพักเฉลี่ย (Occupancy Rate) ในไตรมาสนี้เท่ากับร้อยละ 74.8 และมีอิบิทดาต่อรายได้ของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและบริการ (HOTEL EBITDA MARGIN) เท่ากับร้อยละ 42.1 เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 จากไตรมาสก่อนหน้า และเติบโตกว่าปี 2562 จากความสามารถในการดำเนินงานอันโดดเด่น รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพที่ส่งผ่านออกมาเป็นอิบิทดา (Flow Through) ของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการซึ่งมีสัดส่วน Flow Through เท่ากับร้อยละ 86 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) โดยโรงแรมที่มีดัชนีการสร้างรายได้ (Revenue Generation Index หรือ RGI) ในภาพรวมสูงกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับโรงแรมในกลุ่มเดียวกันที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง อาทิ โรงแรม คอร์ทยาร์ด แมริออท ภูเก็ต ทาวน์ มีค่า RGI เท่ากับ 194 โรงแรม แบงค็อกแมริออท เดอะ สุรวงศ์ มีค่า RGI เท่ากับ 175 และโรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพ ที่มีค่า RGI เท่ากับ 146

ทั้งนี้ AWC มุ่งพัฒนา ปรับปรุง และเพิ่มศักยภาพให้กับทรัพย์สินคุณภาพอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเพิ่มมูลค่าของทรัพย์สินดำเนินงานผ่านการเปิดห้องอาหารและคาเฟ่ชั้นนำระดับโลกในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ อาทิ “หงส์ ไชนีส เรสเตอรองท์ แอนด์ สกาย บาร์” ห้องอาหารจีนบนชั้นดาดฟ้าแห่งแรกของเชียงใหม่ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง โฮเทล และ “คาเฟ เดอ เพทาย” คาเฟ่สไตล์ยุโรป ณ อาคารแอทธินี ทาวเวอร์ นอกจากนี้ ยังได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน “Pikul” ที่อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการโรงแรม ห้องอาหาร และบริการด้านไลฟ์สไตล์ในเครือ AWC และจากพันธมิตรชั้นนำในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอีกด้วย โดยในไตรมาส 1 ปี 2567 AWC มีจำนวนโรงแรมที่เปิดดำเนินการทั้งหมด 22 โรงแรม รวมจำนวน 6,029 ห้อง และห้องอาหาร (Restaurant Outlet) อีกกว่า 80 แห่งที่ตั้งอยู่ในโรงแรมและจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวในประเทศไทย

สำหรับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ AWC ได้วางกลยุทธ์เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์และความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละพื้นที่ ในขณะที่กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงานยังคงสามารถรักษาระดับรายได้ของธุรกิจได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่องจากความต้องการเช่าพื้นที่สำนักงานเกรดเอที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันตอบรับเทรนด์การทำงานแบบไฮบริด นอกจากนี้ AWC ได้เตรียมเปิดโครงการ “Phenix” (ฟีนิกซ์) ศูนย์กลางด้านอาหารที่ประกอบด้วยฮับค้าส่งอาหารระดับโลก (World’s Food Wholesale Hub) ตั้งอยู่บนพื้นที่ยุทธศาสตร์ย่านประตูน้ำ ใจกลางกรุงเทพฯ เชื่อมต่อทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ครั้งแรกของโลก ที่จะเปิดตัวในวันที่ 26 มิถุนายน 2567 นี้ ผ่านการผนึกกำลังกับหลากหลายพันธมิตรระดับโลก รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมโครงการ EA ROOFTOP AT THE EMPIRE (เอ-ย่า รูฟทอป แอท ดิ เอ็มไพร์) ซึ่งประกอบไปด้วย EA GALLERY แหล่งรวมร้านอาหารนานาชาติชั้นนำมากมายท่ามกลางทัศนียภาพที่ดีที่สุดของกรุงเทพฯ EA CHEF'S TABLE แหล่งรวมร้านอาหารสร้างสรรค์โดยเชฟระดับมิชลินสตาร์จำนวน 3 แห่ง และห้องอาหาร Nobu Bangkok แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย และยังเป็นห้องอาหาร Nobu ที่สูงและใหญ่ที่สุดในโลก ณ อาคาร “เอ็มไพร์” อาคารสำนักงานเกรดเอ ใจกลางย่านสาทร ที่มุ่งพัฒนากรุงเทพสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านอาหารและเครื่องดื่มบนรูฟทอปที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ขณะเดียวกัน AWC ยังคงเดินหน้าตามกลยุทธ์การเติบโต (GROWTH-LED Strategy) โดยมุ่งเน้นการดำเนินกลยุทธ์สร้างการเติบโตของ EBITDA ด้วยโมเดลธุรกิจอย่างเป็นเอกลักษณ์ ผ่านการผลักดันศักยภาพในการเติบโตของทรัพย์สินที่อยู่ในช่วงดำเนินงานเริ่มต้น (Ramp Up) และทรัพย์สินที่อยู่ในช่วงการปรับกลยุทธ์ทางการตลาด (Repositioning) รวมมูลค่ากว่า 88,339 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 ให้มาอยู่ในระดับทรัพย์สินดำเนินงานปกติ (BAU) เพิ่มมากขึ้น และการเร่งแปลงทรัพย์สินระหว่างพัฒนา (Developing  Asset) มูลค่ากว่า 40,024 ล้านบาท ให้เป็นทรัพย์สินดำเนินงาน (Operating  Asset) และการลงทุนโครงการตามแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ด้วยงบประมาณการลงทุนรวมกว่า 126,000 ล้านบาท โดยความสามารถในการจัดหาเงินทุน (Debt Capacity) ที่แข็งแกร่งและโมเดลลงทุนเพื่อการเติบโต (Growth Fund Model) เพื่อเสริมสร้างพอร์ตโฟลิโอคุณภาพและคุณค่าในระยะยาว

โดยในปี 2567 ทางบริษัทฯ มีแผนที่จะเดินหน้าพัฒนา “ลานนาทีค เดสทิเนชั่น” (Lannatique) โครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพเพื่อสร้างจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับโลกใจกลางเมืองเชียงใหม่ ซึ่งมีการเข้าลงทุนในทรัพย์สินบนพื้นที่ยุทธศาสตร์ย่านช้างคลานเพิ่มเติม เพื่อพัฒนาเป็นโรงแรมภายใต้แบรนด์ระดับลักชัวรี และสร้างสวนน้ำในโรงแรมแห่งแรกของจังหวัดเชียงใหม่

“AWC เชื่อมั่นในคุณค่าศิลปวัฒนธรรมอันโดดเด่นของไทยและศิลปะล้านนาที่พิเศษและทรงคุณค่ามาอย่างยาวนาน โดยล่าสุดได้รับมติเห็นชอบจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทอนุมัติเข้าลงทุนในทรัพย์สินแปลงกลางเมืองบนพื้นที่ยุทธศาสตร์ของย่านช้างคลานในโครงการ “เชียงใหม่ ไนท์ บาร์ซา” โครงการ “กาแล ไนท์ บาร์ซา” และโครงการ “เดอะ พลาซ่า เชียงใหม่” ที่จะได้รับการพัฒนาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ‘ลานนาทีค เดสทิเนชั่น’ ซึ่งจะเริ่มเปิดให้บริการเฟสแรกในปลายปี 2567 นี้ ต่อด้วยการเปิดโครงการเฟสต่างๆ ต่อเนื่องในช่วง 5 ปี เพื่อสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว และส่งเสริมการสร้างงานและเศรษฐกิจในพื้นที่ ด้วยงบลงทุนและพัฒนาที่จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้จังหวัดเชียงใหม่ รวมมูลค่ากว่า 11,950 ล้านบาท รวมถึงการเข้าลงทุนเพิ่มในโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพบนพื้นที่ระดับไพรม์โลเคชั่นในอีก 2 จุดหมายสำคัญของกรุงเทพฯ ประกอบไปด้วย โครงการโอพี การ์เด้น ย่านบางรัก เพื่อเชื่อมต่อกับโครงการแฟลกชิป โรงแรม เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ส่งเสริมจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวริมสายน้ำ คาดว่าจะเปิดดำเนินการประมาณไตรมาสที่ 4 ปี 2570 และโครงการโรงแรมในพื้นที่ถนนสุขุมวิท 38 เพื่อพัฒนาโครงการโรงแรมด้านเวลเนส คาดว่าจะเปิดดำเนินการประมาณไตรมาสที่ 3 ปี 2571 เพื่อสนับสนุนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนระดับโลก” นางวัลลภา กล่าวเสริม

โดยในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 AWC ยังได้สร้างปรากฏการณ์ด้านความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยสู่มาตรฐานโลกครั้งสำคัญ ด้วยความสำเร็จในการได้รับคะแนนด้านความยั่งยืนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรม รีสอร์ท และเรือสำราญ และยังติดอันดับ Top 1% (Gold Class) จากการประเมินและจัดอันดับของ S&P Global ที่ประกาศอย่างเป็นทางการใน The Sustainability Yearbook 2024 นอกจากนี้ AWC ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรสถาบันการเงินชั้นนำในการจัดหาวงเงินสินเชื่อระยะยาวที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน และสามารถเพิ่มสัดส่วนวงเงินดังกล่าวเป็นร้อยละ 100 ได้สำเร็จเป็นที่เรียบร้อย เปรียบเสมือนเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตามพันธกิจ “สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า” เพื่อร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก