LifeDee เปิดฟังก์ชันใหม่ แจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงไข้เลือดออกและดัชนีความร้อน

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จัดงานเปิดตัวแอปพลิเคชัน LifeDee V.2 เพิ่มฟังก์ชันการใช้งาน โดยการนำเอาเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศประยุกต์ใช้ด้านสุขภาพ หรือ GeoHealth แจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงโรคไข้เลือดออกและการติดตามดัชนีความร้อน” ณ ห้องมิราเคิล แกรนด์ C ชั้น 4 โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร 

ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่า แอปพลิเคชัน Life Dee ถือเป็นหนึ่งในความก้าวหน้าสำคัญของ GISTDA ในการนําเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเข้ามาประยุกต์ใช้ร่วมกับข้อมูลด้านสาธารณสุขเชิงพื้นที่ หรือ Geo-Health โดย Life Dee Version 2 ได้รับการพัฒนาต่อยอดจากเวอร์ชันแรก เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพเข้ากับข้อมูลเชิงพื้นที่ได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 

GISTDA ได้เพิ่มขีดความสามารถของแอปพลิเคชัน คือ 1.การวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงของโรคไข้เลือดออก ซึ่งเป็นการบูรณาการข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมที่สกัดจากข้อมูลจากดาวเทียมและข้อมูลด้านสาธารณสุข เพื่อให้ประชาชนสามารถติดตามและป้องกันความเสี่ยงด้านสุขภาพที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการแพร่ระบาดของโรคต่างๆ รวมถึงไข้เลือดออก 2.การติดตามดัชนีความร้อนเพื่อแจ้งเตือนประชาชน ที่เป็นการบูรณาการข้อมูลจากเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศร่วมกับข้อมูลจากสถานีตรวจวัดอากาศภาคพื้นดิน พัฒนาระบบแจ้งเตือนดัชนีความร้อน (Heat Index) เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันผลกระทบจากสภาพอากาศร้อน โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวเนื่องกับความร้อน

โดยในปี 2569 Life Dee จะต่อยอดการพัฒนาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตในการเข้าถึงบริการสาธารณะให้แก่ผู้สูงอายุ และผู้พิการให้สามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมและปลอดภัยในที่สาธารณะ ตามมาตรฐานสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการขั้นพื้นฐาน ได้แก่ ที่จอดรถ ทางลาด ป้ายและสัญลักษณ์ การให้บริการข้อมูล และห้องน้ำ 

การเปิดตัวแอปพลิเคชันครั้งนี้มีทั้งการบรรยายพิเศษ ตลอดจนการนำเสนอผลงานและตัวอย่างการประยุกต์ใช้จริงของ Life Dee Version 2 พร้อมการเสวนาจากผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิสารสนเทศและด้านสาธารณสุข เพื่อร่วมกันผลักดันการใช้ประโยชน์จาก Geo-Health ให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางสุขภาพและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยในทุกภูมิภาคต่อไป ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าว

ด้าน นายแพทย์ธิติ แสวงธรรม รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวเพิ่มเติมว่า “การพัฒนา Life Dee Version 2 เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการเฝ้าระวัง ป้องกัน และตอบสนองต่อภัยสุขภาพจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะดัชนีความร้อนและโรคไข้เลือดออกที่จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูล มีความรู้ในการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ถือเป็นการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพระดับบุคคล และเพิ่มศักยภาพของระบบสาธารณสุขของประเทศไทยให้เข้มแข็งและพร้อมรับมือกับสถานการณ์ในอนาคต”

นวัตกรรมภูมิสารสนเทศเพื่อสุขภาพ (Geo-Health) เป็นการบูรณาการเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เพื่อพัฒนางานด้านสาธารณสุขเชิงพื้นที่ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและการเข้าถึงบริการสาธารณะของประชาชนไทย พร้อมการรับมือภัยสุขภาพจากสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ผ่านแอปพลิเคชัน Life Dee ภายใต้แนวคิด “สุขภาพดี เริ่มต้นที่แอปไลฟ์ดี” ซึ่งเป็นการผลักดันการใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่ร่วมกับข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อเฝ้าระวัง ป้องกัน และรับมือกับโรคภัยต่าง ๆ โดยเฉพาะในยุคที่การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพประชาชน “Life Dee” คือ ก้าวสำคัญของประเทศไทยในการก้าวสู่ยุค GeoHealth ซึ่งเป็นการผสานองค์ความรู้ด้านภูมิสารสนเทศเข้ากับข้อมูลทางการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชนในเชิงลึก ข้อมูลดังกล่าวช่วยสะท้อนให้เห็นถึงการกระจายตัวของโรค ปัจจัยเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ ซึ่งสามารถนำไปใช้วิเคราะห์และกำหนดนโยบายที่ตอบโจทย์พื้นที่ได้อย่างตรงจุด

กระทรวงสาธารณสุขและพันธมิตร Dengue-zero เตือนยอดผู้ป่วยไข้เลือดออกพุ่ง ย้ำต้องป้องกันแบบองค์รวมเพื่อหยุดไข้เลือดออก

กระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค กรมอนามัย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ร่ว มด้วยแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กรุงเทพมหานคร สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย สมาคมนักบริหารโรงพยาบาลประเทศไทย สมาคมโรงพยาบาลเอกชนแห่งประเทศไทย ในนามกลุ่มความร่วมมือ Dengue-zero จัดงานแถลงข่าว “ยอดไข้เลือดออกพุ่ง หยุดข่าวร้ายด้วยการป้องกัน” กระตุ้นให้ประชาชนร่วมป้องกันโรคไข้เลือดออกแบบเชิงรุก เพื่อลดความสูญเสียจากโรคที่ป้องกันได้ เร่งเดินหน้าใช้ 4 มาตรการ รับมือการระบาดในทุกพื้นที่ และย้ำเตือนประชาชนว่าไข้เลือดออกเกิดขึ้นได้ตลอดปีและทุกคนมีความเสี่ยง ไม่จำกัดเพศหรือวัย โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวอาจจะเสี่ยงอาการรุนแรงสูงหากป่วย พร้อมแนะนำการฉีดวัคซีนซึ่งเป็นมาตรการส่วนบุคคลที่ได้ผลดีที่สุดในการป้องกันและลดความรุนแรงของโรคไข้เลือดออก ที่ทำควบคู่กับมาตราการต่างๆ เกี่ยวกับยุงพาหะเพื่อป้องกันโรคในชุมชน 

นพ. สมฤกษ์ จึงสมาน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ในนามผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า “การป้องกันโรคไข้เลือดออกไม่ใช่แค่การตอบโต้เมื่อเกิดการระบาด แต่คือการลงทุนระยะยาวในสุขภาพของคนไทย และนี่คือจุดยืนของกระทรวงสาธารณสุข ที่ยึดมั่นในพันธกิจของการ “พัฒนาและอภิบาลระบบสุขภาพอย่างมีส่วนร่วมและยั่งยืน” ถึงแม้เราจะไม่สามารถป้องกันโรคได้ 100% แต่เราสามารถลดความรุนแรง และปกป้องประชาชนและกลุ่มเสี่ยงจากโรคไข้เลือดออกได้ กระทรวงสาธารณสุขมุ่งมั่นทำงานกับทุกภาคส่วนในการให้คนไทยปลอดภัยจากโรคที่สามารถป้องกันได้อย่างไข้เลือดออก เพื่อการมีสุขภาพที่ดีอย่างถ้วนหน้า”

พญ.วรยา เหลืองอ่อน ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า “สถานการณ์โรคไข้เลือดออกของประเทศไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565 – 2571) พบผู้ป่วยปีละ 45,145 – 158,620 ราย1 โดยมีจำนวนผู้เสียชีวิต 29 – 181 ราย1 และปี 2568 นี้สถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง เนื่องจากพบจำนวนผู้ป่วยเพิ่มสูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องขณะที่ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 30 กรกฎาคม 2568 พบผู้ป่วยสะสมแล้ว 32,244 ราย และมีผู้เสียชีวิตสะสม 32 ราย2 อีกทั้งตัวเลขการเสียชีวิตจากไข้เลือดออกในปีนี้กลับพุ่งสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านๆ มา ขอให้ประชาชนอย่าชะล่าใจ เพราะไข้เลือดออกไม่เลือกเวลาระบาด ทุกคนสามารถติดเชื้อไข้เลือดออกได้ตลอดปี ควรตระหนักรู้การป้องกันตนเองอย่างต่อเนื่อง ควรพบแพทย์ทันทีหากมีไข้รุนแรงโดยไม่เจ็บคอหรือไอ นอกจากนี้กองโรคติดต่อนำโดยแมลงเพิ่มเกราะป้องกันโรคให้แก่ประชาชน ด้วยการสื่อสารความเสี่ยงของโรคผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เพื่อให้ประชาชนได้รับข่าวสารของการระบาดและจำนวนผู้ป่วยในพื้นที่อย่างทันท่วงที และเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือให้อาสาสมัครสาธารณสุขเฝ้าระวังการระบาดในพื้นที่ของตนเอง พร้อมย้ำเตือนให้ชุมชนตระหนักถึงการป้องกันตนเองและครอบครัวจากโรคไข้เลือดออก”

ทั้งนี้เพื่อให้ประเทศไทยหยุดข่าวร้ายจากไข้เลือดออกไปด้วยกัน กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดแนวทางการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออกผ่าน 4 มาตรการหลัก ได้แก่  1.เฝ้าระวังเข้มทุกพื้นที่: สำรวจและกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ ใช้มาตรการ 3-7 วันเมื่อพบผู้ป่วย พร้อมประสานหน่วยงานท้องถิ่นและสาธารณสุขทันที 2.ควบคุมยุงร่วมกับชุมชน: ทำกิจกรรม “ถังแตก” ทุกสัปดาห์ ร่วมกับ อปท. อสม. อสส. และจิตอาสา พร้อมพ่นสารเคมีในบ้านผู้ป่วยเพื่อกำจัดยุงพาหะ 3.ตรวจรักษาเร็ว: กระจายชุดตรวจ NS1 ให้ สถานพยาบาล เพื่อวินิจฉัยไว ช่วยลดอัตราเสียชีวิต 4.สื่อสารสร้างการมีส่วนร่วม: ทำแคมเปญผ่านสื่อท้องถิ่นให้ความรู้ประชาชน พร้อมประชุมวางแผนควบคุมโรคทันทีเมื่อเกิดการระบาด และเน้นให้สถานพยาบาลหลีกเลี่ยงการใช้ยา ต้านการอักเสบกลุ่ม NSAIDs ในผู้ป่วยต้องสงสัยไข้เลือดออก

รศ. ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “กรุงเทพมหานครมีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาเมืองให้เป็น Healthy City ที่ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสุขภาพที่แข็งแรง เราจึงให้ความสำคัญกับการควบคุมโรคไข้เลือดออกเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ด้วยมาตรการเฝ้าระวังและควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในชุมชน เช่น การสำรวจแหล่งน้ำขัง การปรับปรุงภูมิทัศน์แวดล้อม และการจัด Big Cleaning Day ลงพื้นที่ร่วมกับภาคประชาชนอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งกำหนดพื้นที่ปลอดลูกน้ำยุงลาย เพื่อสร้างเป้าหมายที่ชัดเจนให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้ตรงจุด ขณะเดียวกัน เราให้ความสำคัญกับการสื่อสารและสร้างความตระหนักรู้ร่วมกับชุมชนผ่านเครือข่าย อาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) ปลูกฝังพฤติกรรมป้องกันโรคให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนในกลุ่มนักเรียนและครูผ่านโครงการ Dengue-zero School Project ภายใต้ความร่วมมือ Dengue-zero ซึ่งช่วยลดดัชนีลูกน้ำยุงลายในโรงเรียนได้ตามเป้าหมาย เพราะโรคไข้เลือดออกสามารถระบาดได้ตลอดทั้งปี การควบคุม การป้องกัน และการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องตระหนักและปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง กรุงเทพมหานครจะเดินหน้าทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นฟันเฟืองในการช่วยหยุดข่าวร้ายจากโรคไข้เลือดออกให้ได้อย่างยั่งยืน”

ศ.เกียรติคุณ นพ. อมร ลีลารัศมี ประธานพันธมิตร Dengue-zero กล่าวว่า “การดำเนินงานของกลุ่มพันธมิตร Dengue-zero ได้เริ่มเข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว ผ่านความร่วมมือเชิงรุกจากพันธมิตร 11 องค์กรที่มุ่งมั่นผลักดันให้ทุกภาคส่วนผนึกกำลังป้องกันและควบคุมการระบาดของไข้เลือดออก ถึงแม้วันนี้ ไข้เลือดออกยังคงเป็นข่าวร้ายของครอบครัวกว่าแสนราย แต่เราเชื่อว่าจะหยุดข่าวร้ายจากไข้เลือดออกได้ ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นการผนึกกำลังของทุกภาคส่วนอย่างเข้มแข็งจึงจะสามารถขับเคลื่อนการป้องกันไข้เลือดออกได้อย่างยั่งยืน ปัจจุบัน สิ่งที่น่ากังวลคือผู้เสียชีวิตจากไข้เลือดออก 80% อยู่ในกลุ่มผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคอ้วน เบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต ซึ่งมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนและอาการรุนแรงสูง และนำมาซึ่งการเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม โรคนี้ไม่ได้ส่งผลเฉพาะกับผู้ที่ติดเชื้อเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบให้กับคนใกล้ชิดหรือผู้ที่ดูแลผู้ป่วย ที่เรียกว่า ‘ไข้เลือดออกมือสอง’ คือการที่ต้องทรมานจากการเห็นหรือต้องดูแลคนใกล้ชิดต้องเผชิญภาวะวิกฤต การป้องกันจึงเป็นหัวใจสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ทายากันยุง ปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันและเลือกเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีน ควบคู่กันไปเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ที่สำคัญเมื่อมีไข้แล้วอย่าซื้อยารับประทานเอง ควรไปพบแพทย์ และรับคำปรึกษาเรื่องการดูแลรักษา และป้องกันเมื่อหายป่วยให้คนในครอบครัว”

ศ. พญ. กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ นายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ช่วยป้องกันโรคและลดความเสี่ยงจากโรครุนแรงที่อาจทำให้เสียชีวิต การฉีดวัคซีนจึงเป็นทางเลือกด้านสุขภาพที่คุ้มค่า ลดอัตราการนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลและลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว เด็กในช่วงวัยเรียนเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรค หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาช้า อาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ภาวะช็อก และเสียชีวิตได้โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัว แต่แม้ผู้ที่แข็งแรงดีมาก่อนก็สามารถป่วยแบบรุนแรงได้ ปัจจุบันโรคไข้เลือดออกยังไม่มียาต้านไวรัสเฉพาะ มีเพียงการเฝ้าติดตามรักษาตามอาการ การป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ฉีดวัคซีนควบคู่กับมาตรการอื่นๆ วัคซีนที่มีใช้ในปัจจุบัน ฉีดได้ตั้งแต่อายุ 4 ปีขึ้นไปทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน ไม่ต้องตรวจเลือดก่อนฉีด ช่วยป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ทั้ง 4 สายพันธุ์ ลดความรุนแรงของโรคและอัตราการนอนโรงพยาบาลได้ 80-90%3  วัคซีนมีความปลอดภัย โดยมีการขึ้นทะเบียนกว่า 40 ประเทศ และใช้แล้วทั่วโลกกว่า 15 ล้านโดส การฉีดวัคซีนร่วมกับมาตรการจัดการกับยุงและสิ่งแวดล้อมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันโรค ควรปรึกษาแพทย์หรือสถานพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อวางแผนป้องกันอย่างเหมาะสมทั้งครอบครัว และควรจัดการให้มีการเข้าถึงวัคซีนให้มากขึ้นจากทั้งภาครัฐและเอกชน”

 

อบจ.เพชรบูรณ์ ส่งมอบวัสดุอุปกรณ์ในการป้องกันโรคไข้เลือดออก และอบรมพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุข

อบจ.เพชรบูรณ์ ส่งมอบวัสดุอุปกรณ์ในการป้องกันโรคไข้เลือดออก และอบรมพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุข ภาคีเครือข่าย ภายใต้โครงการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกจังหวัดเพชรบูรณ์ ประจำปี พ.ศ. 2568

ที่หอประชุมโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ (วังชมภูวิทยาคม) นายอัครเดช ทองใจสด นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)เพชรบูรณ์   พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ และ  ภาคีเครือข่าย   ร่วมส่งมอบวัสดุอุปกรณ์ในการป้องกันโรคไข้เลือดออก ตามโครงการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกจังหวัดเพชรบูรณ์ ปี พ.ศ.2568 เพื่อเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกในจังหวัดเพชรบูรณ์ และจัดหาวัสดุอุปกรณ์สนับสนุนให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับใช้ในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชน ในการร่วมมือกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย อันจะส่งผลให้ลดการเกิดโรคไข้เลือดออกและโรคติดต่อนำโดยแมลงอื่นๆ อีกด้วย

โดยได้ดำเนินการจัดหาผลิตภัณฑ์ป้องกัน และกำจัดลูกน้ำยุงลายชนิดเม็ด สารเคมีพ่นกำจัดยุงตัวแก่ ผลิตภัณฑ์ไล่ยุงชนิดฉีดพ่นสเปรย์ และป้ายไวนิลเพื่อใช้ประชาสัมพันธ์ในชุมชน สนับสนุนให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบูรณ์ มูลนิธิชมรมอาสาสมัครสาธารณสุขจังหวัดเพชรบูรณ์ และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ นำไปใช้ดำเนินการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อนำโดยยุงในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมีนายศรัณยู มีทองคำ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นประธาน และได้มอบนโยบายพร้อมให้กำลังใจบุคลากรสาธารณสุขและประธานอาสาสมัครสาธารณสุขในการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกในจังหวัดเพชรบูรณ์อีกด้วย

รพ.เด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล ชวนคนไทยเสริมเกราะป้องกันไข้เลือดออกทั้งครอบครัว อยากเห็นเด็กโตไปสุขภาพดี #โตไปไม่ป่วย

รพ.เด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล จัดงาน “Family Love & Protection ไข้เลือดออก ยิ่งไม่รู้ ยิ่งต้องป้องกัน” ชวนคนไทยป้องกันไข้เลือดออกกันทั้งครอบครัว พร้อมให้ความรู้ไข้เลือดออกในทุกมิติ ตั้งแต่อาการ การรักษา การป้องกัน และทางเลือกในการป้องกันด้วยการฉีดวัคซีน พร้อมเชิญ คุณตู่-ภพธร สุนทรญาณกิจ และครอบครัว มาร่วมสนทนาแนวทางป้องกันไข้เลือดออก ส่งเสริมให้ทั้งผู้ปกครองและลูกน้อยเสริมเกราะป้องกันไข้เลือดออกกันทั้งครอบครัว

พญ.สุรางคณา เตชะไพฑูรย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มรพ.สมิติเวชและรพ.บีเอ็นเอช และผู้อำนวยการโรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล  กล่าวว่า  เรามีความมุ่งมั่นที่อยากเห็นเด็กโตไปสุขภาพดี #โตไปไม่ป่วย ให้เด็กทุกคนเติบโตอย่างแข็งแรง และมีสุขภาพดีตั้งแต่เกิด โดยการผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยของ Smart Hospital กับความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์ พร้อมการดูแลที่ครบวงจรและเหมาะสมกับทุกช่วงวัย โดยเน้นย้ำในเรื่องการทำ Early Care ไม่ป่วยเพราะรู้ทันก่อนเกิดโรค และการ Prevention ลดความเสี่ยงการเกิดโรคต่างๆ เพราะเราเชื่อว่าการป้องกัน ดีกว่าเสียเงินเพื่อการรักษา 

ปัจจุบัน โรคติดเชื้อที่เกิดขึ้นกับเด็กมีหลายโรคด้วยกัน หรือแม้กระทั่งโรคที่เป็นกันได้ทุกเพศทุกวัยอย่าง ไข้เลือดออก เป็นโรคที่มีอัตราการระบาดทุกปีและสร้างความสูญเสียทั้งทางสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคมอย่างมากมาย กลุ่มเด็กอายุไม่เกิน 14 ปี เป็นกลุ่มที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดจากข้อมูลของกรมควบคุมโรค การป้องกันไม่ให้เกิดโรคจึงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเพราะเราไม่รู้ว่าเราได้รับเชื้อมาตอนไหน ยิ่งเราไม่รู้เราจึงยิ่งต้องป้องกัน การเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีน เป็นหนึ่งในทางเลือกของการป้องกันที่สามารถลดความรุนแรงและอัตราการนอนโรงพยาบาลได้ สร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กๆ ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง เพราะเราอยากให้เด็กทุกคน #โตไปไม่ป่วย”

พญ. วิริยาภรณ์ จันทร์รัชชกูล กุมารแพทย์ด้านโรคติดเชื้อ  โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวถึงโรคไข้เลือดออกในเด็กและวิธีการป้องกันตนเองและลูกน้อยให้ห่างไกลไข้เลือดออกว่า “ไข้เลือดออกเป็นโรคที่พบได้บ่อยในเด็ก อาการแสดงของโรคมีตั้งแต่ ไม่มีอาการผิดปกติ ไปจนถึงมีไข้สูงลอย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เด็กเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ผู้ปกครองจึงต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันเป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะเป็นการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย การป้องกันยุงกัดด้วยสเปรย์กันยุง และอีกหนึ่งทางเลือกคือที่สามารถทำควบคู่กับไปได้การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ที่สามารถลดความรุนแรงของโรคและอัตราการนอนโรงพยาบาลได้ 80-90%* นอกจากตัวเด็กเองแล้ว ผู้ปกครอง วัยผู้ใหญ่ทำงาน และผู้สูงอายุควรป้องกันตนเองเช่นกัน เพราะไข้เลือดออกสามารถเป็นได้ทุกวัย การสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องโรคและการป้องกันจะช่วยให้ทั้งครอบครัวห่างไกลจากไข้เลือดออกได้”

ด้าน คุณตู่-ภพธร สุนทรญาณกิจ กล่าวว่า “แม้ว่าเราเป็นครอบครัวที่ใส่ใจการดูแลสุขภาพ ตรวจสุขภาพเป็นประจำ แต่กับเรื่องไข้เลือดออกยอมรับว่ารู้สึกว่ามันไกลตัว แต่จริงๆ แล้วมันใกล้ตัวและน่ากลัวกว่าที่คิดมาก คุณแม่ของภรรยาก็เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน อาการรุนแรง นอนโรงพยาบาลอยู่หลายวัน เราไม่รู้เลยว่าจะเป็นโรคนี้เมื่อไร ยุงที่กัดเราจะทำให้เราเป็นไข้เลือดออกไหม เพราะฉะนั้นเราต้องหันมาป้องกันไว้ก่อน เลี่ยงไม่ให้ยุงกัด จัดบ้านไม่ให้รก สอนลูกเสมอว่าต้องรักษาความสะอาด การเอาขยะไปทิ้งทุกวัน และอีกหนึ่งทางเลือกคือการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างเกราะป้องกันให้แน่นหนายิ่งขึ้น เพราะเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้ยุงกัดเราได้ การเสริมภูมิคุ้มกันตัวเองจึงเป็นทางเลือกที่ดี เพราะยิ่งไม่รู้ เรายิ่งต้องป้องกัน”

*คำแนะนำการให้วัคซีนป้องกันโรคสำหรับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ โดยสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2568

โปรแกรมวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก 4 สายพันธุ์ ชนิด 2 เข็ม ฉีดได้ตั้งแต่อายุ 4-17 ปี ราคา 4,400 บาท ราคาดังกล่าวไม่รวมค่าแพทย์ แต่รวมค่าบริการโรงพยาบาล

-ฉีดได้ตั้งแต่เด็กอายุ 4 ปีขึ้นไป

-ฉีด 2 เข็ม โดยฉีดห่างกัน 3 เดือน

-ฉีดได้ทั้งในคนที่เคยและไม่เคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อนโดยไม่ต้องทำการตรวจเลือด

-ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร และผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง

-สำหรับผู้ที่เคยเป็นไข้เลือดออกแล้ว แนะนำให้รับวัคซีนหลังจากหายแล้วอย่างน้อย 6 เดือน

-สำหรับผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่ไม่ใช่แหล่งระบาดของไข้เลือดออก มายังแหล่งระบาดบ่อยรวมถึงประเทศไทย หรืออยู่ในแหล่งระบาดเป็นเวลานานตั้งแต่ 4 สัปดาห์ขึ้นไป พิจารณาให้ฉีดวัคซีนไข้เลือดออกชนิด 2 เข็ม ควรได้รับเข็มแรกอย่างน้อย 14 วัน ก่อนเดินทางและรับให้ครบ 2 เข็ม

-ภูมิจากการฉีดวัคซีนจะขึ้นสูงสุด หลังฉีด 4 สัปดาห์ และคงอยู่ได้นานอย่างน้อย 4.5 ปี หลังฉีดครบ 2 เข็ม

รับบริการได้ที่ รพ.เด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล (ศรีนครินทร์) ชั้น 3 โทร. 02-378-9430-1, 02-378-9436 รพ.เด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล (สุขุมวิท) ชั้น 2 โทร. 02-022-2236-40 หรือโทรสอบถาม Call center โทร. 02-022-2222

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.samitivejhospitals.com/th/package/detail/dengue-vaccine-for-...  

กลุ่มโรงพยาบาลในเครือเกษมราษฎร์ ชวนดูแลสุขภาพทั้งครอบครัว ไข้เลือดออก ยิ่งไม่รู้ ยิ่งต้องป้องกัน

กลุ่มโรงพยาบาลในเครือเกษมราษฎร์ จัดงาน “ไข้เลือดออก ยิ่งไม่รู้ ยิ่งต้องป้องกัน” สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก ณ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล รัตนาธิเบศร์ ซึ่งยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญของประเทศไทย โดยเชิญนายแพทย์ฐากูร วิริยะชัย แพทย์ผู้ชำนาญการด้านกุมารแพทย์โรคติดเชื้อในเด็ก ให้ความรู้เกี่ยวกับอาการไข้เลือดออกในเด็ก วิธีป้องกัน และการดูแลให้ทั้งครอบครัวปลอดภัยจากไข้เลือดออก และคุณเอมี่ กลิ่นประทุมมาเล่าเหตุการณ์การติดเชื้อไข้เลือดออกของตนเอง และการดูแลตัวเองและครอบครัวเมื่ออยู่ในสถานที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไข้เลือดออก

นายแพทย์ฐากูร วิริยะชัย แพทย์ผู้ชำนาญการด้านกุมารแพทย์โรคติดเชื้อในเด็กกล่าวว่า “ไข้เลือดออก เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี 4 สายพันธุ์ มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ยุงลายกัดคนที่เป็นโรคไข้เลือดออกก่อนแล้วจึงไปกัดคนที่อยู่ใกล้เคียงก็จะเป็นการแพร่เชื้อให้คนอื่นๆ ต่อไป ดังนั้น เราจึงไม่มีทางรู้เลยว่ายุงที่กัดเราเป็นพาหะไข้เลือดออกหรือไม่ ทั้งผู้ใหญ่หรือเด็กสามารถติดเชื้อไข้เลือดออกได้ทั้งหมด ซึ่งอาการแสดงของโรคไข้เลือดออกในเด็ก มีตั้งแต่ ไม่มีอาการผิดปกติ ไปจนถึงมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน ผู้ติดเชื้อไข้เลือดออกหากไข้สูงนานตั้งแต่ 3-7 วัน จะอยู่ในระยะวิกฤติ อาจเกิดภาวะช็อก หมดสติ หัวใจหยุดเต้น และอาจเสียชีวิตได้ อีกทั้ง เชื้อไวรัสเดงกีทั้ง 4 สายพันธุ์ และคนเราสามารถติดเชื้อไวรัสเดงกีได้มากกว่า 1 ครั้ง กรณีติดเชื้อครั้งที่ 2  อาจมีอาการรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ผู้ปกครองจึงต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันไม่ใช่แค่ป้องกันแค่ลูกหรือเด็กเล็ก แต่ต้องดูแลและป้องกันทั้งครอบครัว ไม่เพียงแค่ระวังยุงกัด ควรจะเก็บบ้านไม่ให้มีซอกมืด ดูแลบริเวณบ้านไม่ให้มีน้ำขัง รวมไปถึงการป้องกันอย่างการเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีน ซึ่งสามารถช่วยลดความรุนแรงและการนอนโรงพยาบาลได้”

คุณเอมี่ กลิ่นประทุม กล่าวว่า “เมื่อก่อนคิดว่าไข้เลือดออกไม่ใช่โรคที่ใครๆก็เป็นได้ง่ายๆ พอเห็นข่าวเกี่ยวกับคนดังในวงการบันเทิงเป็นไข้เลือดออกกันเยอะมากและหลายคนมีอาการรุนแรง อีกทั้งยังเห็นข่าวจากทีวีและในโซเชียลที่มีการรายงานอัตราการติดเชื้อไข้เลือดออกในประเทศไทย รวมทั้ง อัตราการเสียชีวิตจำนวนไม่น้อย ยิ่งพอเจอกับตัวเองยิ่งรู้เลยว่า ไข้เลือดออกไม่ใช่เรื่องไกลตัวค่ะ ตอนที่ติดเชื้อมี่ต้องนอนโรงพยาบาลอยู่หลายวัน และไม่ได้เป็นแค่รอบเดียวนะคะ มี่เป็นไข้เลือดออกทั้งหมด 3 รอบ ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าโดนยุงกัดตอนไหน ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ในที่ร่ม หรือในห้องแอร์ ทำให้รู้สึกเลยว่ายุงมีอยู่ทุกที่และเป็นเรื่องใกล้ตัว ของทุกคนจริงๆ ใครๆก็เสี่ยงเป็นไข้เลือดออกได้ ดังนั้น ยิ่งเราไม่รู้ เรายิ่งต้องป้องกันตัวเราเอง และทุกคนในครอบครัวค่ะ การฉีดวัคซีน เป็นการสร้างเกราะป้องกันเพิ่มขึ้นอีกขั้นที่สามารถทำควบคู่กันไปกับการที่เราดูแลสภาพแวดล้อม ไม่เอาตัวเองไปอยู่ในที่ๆ เสี่ยง แต่ในเมื่อเราหลีกเลี่ยงไม่ให้ยุงกัดเราไม่ได้ การเสริมภูมิคุ้มกันตัวเองอย่างการฉีดวัคซีนจึงเป็นหนึ่งในทางเลือกของการป้องกัน”

สำหรับประชาชนที่สนใจรายละเอียดเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนไข้เลือดออก สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ช่องทางการติดต่อของโรงพยาบาล ดังนี้ โรงพยาบาล เกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล รัตนาธิเบศร์,โรงพยาบาล เกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อรัญประเทศ,โรงพยาบาล เกษมราษฎร์ บางแค,โรงพยาบาล เกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศร์,โรงพยาบาล เกษมราษฎร์ ประชาชื่น,โรงพยาบาล เกษมราษฎร์ รามคำแหง,โรงพยาบาล เกษมราษฎร์ ฉะเชิงเทรา,โรงพยาบาล เกษมราษฎร์ ปราจีนบุรี,โรงพยาบาล เกษมราษฎร์ ปทุมธานี,โรงพยาบาล การุญเวช อยุธยา

 

สงครามล่าค่าหัวยุง

เห็นจะจริงอย่างคำเขาว่า “ยุงร้ายกว่าเสือ”

เพราะยุงมากัดเราโดยไม่รู้ตัว และก็ทำให้ล้มป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ซึ่งมีหลายรายด้วยกันที่ถูกภัยจากโรคร้ายที่มาจากยุง หรือมียุงเป็นพาหะ คร่าชีวิตไปเป็นจำนวนมากในแต่ละปี

ไม่ว่าจะเป็นไข้เลือดออก ไข้มาลาเรีย ชิคุนกุนยา ไข้สมองอักเสบ ไข้ซิการ์ และโรคเท้าช้าง

แถมมิหนำซ้ำ เหยื่อที่เจ็บไข้ได้ป่วยและเสียชีวิจจากโรคร้ายที่มียุงเป็นพาหะเหล่านี้ แต่ละปีก็ทวีจำนวนเพิ่มขึ้น

ส่งผลให้ทางการที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสาธารณสุขของแต่ละประเทศ ต้องมีมาตรการสำหรับกำจัดยุงและแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ซึ่งต่างก็มีวิธีที่แตกต่างกันไป

ไม่ว่าจะเป็นการพ่นยาฆ่ายุง ประเภทดีดีที การใช้ทรายอะเบทเทลงในแหล่งน้ำที่มีน้ำท่วมขัง หรือภาชนะที่มีน้ำขัง เช่น ภาชนะใส่น้ำกันมดที่ขาตู้อาหาร เพื่อไม่ให้แหล่งน้ำเหล่านั้นเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง รวมไปถึงการขุดลอกคูคลอง ที่ยุงร้ายเหล่านั้น ใช้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ เป็นต้น

ทว่า สำหรับที่ “หมู่บ้านแอดดิชันฮิลส์” ในเมืองมันดาลูยอง ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของชานกรุงมะนิลา เมืองหลวงของฟิลิปปินส์ ได้ผุดมาตรการในการปราบยุง ที่แปลกแหวกแนวอย่างไม่มีใครเหมือน และก็ไม่เหมือนใคร

โครงการนำยุงมาแลกเป็นเงิน ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นรางวัลค่าหัวยุง ตามมาตรการกวาดล้างยุงลาย เพื่อลดการแพร่ระบาดของไข้เลือดออกในชุมชนแอดดิชันฮิลส์ ประเทศฟิลิปปินส์ (Photo : AFP)

นั่นคือ “การตั้งค่าหัวยุง” ด้วยการให้รางวัลแก่ผู้ที่จับยุงได้ ไม่ว่าจะ “จับเป็น” หรือ “จับตาย” หรือแม้กระทั่ง “ตัวอ่อนของยุง” และ “ไข่ยุง” หากจับมันมาได้ เป็นต้องได้ “เงินรางวัล” ติดไม้ ติดมือ กลับบ้านไป ซึ่งมาตรการที่ว่า เป็นไอเดียบรรเจิดของ “นายคาร์ลิโต เซอร์นัล” ซึ่งมีตำแหน่งเป็น “ผู้นำชุมชนแอดดิชันฮิลส์”

เหตุปัจจัยที่ทำให้นายเซอร์นัล ผุดมาตรการดังกล่าวขึ้นมา หลังเกิดการแพร่ระบาดของไข้เลือดออกที่กำลังอาละวาดชุมชนแอดดิชันฮิลส์อย่างหนักในปีนี้ นั่นเอง

นายคาร์ลิโต เซอร์นัล หัวหน้าหมู่บ้านแอดดิชันฮิลส์ ในฟิลิปปินส์ นับยุงที่ชาวบ้านนำมาแลกเป็นเงินรางวัล  (Photo : AFP)

โดยปี 2025 (พ.ศ. 2568) เพิ่งผ่านมาได้ไม่พ้นสองเดือนด้วยซ้ำ แต่ปรากฏว่า มีชาวชุมชนต้องล้มป่วยด้วยไข้เลือดออกไปแล้วถึง 44 ราย ในจำนวนนี้ก็เสียชีวิตไป 2 ราย เป็นเด็กนักเรียน ซึ่งในชุมชนแห่งนี้มีผู้อยู่อาศัยราวกว่า 100,000 คน ทั้งนี้ ตามรายงานระบุว่า แม้ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่อาศัยอยู่ตามตึกคอนโดฯสูงๆ แต่ก็ยังไข้เลือดออกพิษร้ายจากยุงลายเล่นงานจนน่าเป็นห่วง

ส่วนการแพร่ระบาดของไข้เลือดในพื้นที่ต่างๆ โดยรวมของฟิลิปปินส์ในปีนี้ ตามตัวเลขทางการ “กระทรวงสาธารณสุข” เปิดเผยเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ระบุว่า ล้มป่วยไปแล้วถึง 28,234 ราย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันนี้ของเมื่อปีที่แล้ว คือ 2024 (พ.ศ. 2567) ถึงร้อยละ 40

ทั้งนี้ ในบางเขตเมือง เช่น เมืองเคซอน ปรากฏว่า ทางการท้องถิ่น ต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในวิกฤติการแพร่ระบาดของไข้เลือดออก เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เลยทีเดียว หลังพบผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจำนวนมากถึง 1,769 ราย และมีผู้ป่วยเสียชีวิต 10 ราย ด้วยกัน

กล่าวถึงเมืองเคซอนแห่งนี้ ก่อนหน้านั้น ทางการได้เคยพิจารณามาตรการ “ปล่อยกบ” เพื่อให้ไปกินยุง หวังช่วยลดประชากรยุง ที่ชุมเสียยิ่งกว่าอะไร ในเมืองดังกล่าวมาแล้วอีกด้วย

สำหรับ มาตรการตั้งค่าหัวยุง ในสงครามต่อต้านการแพร่ระบาดของไข้เลือดออกในชุมชนแอดดิชันฮิลส์นั้น ก็กำหนดให้ผู้ที่นำตัวยุง ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่ หรือว่าตายไปแล้ว มามอบให้แก่ทางการของทางชุมชนฯ ก็จะได้รับเงินเป็นรางวัลทันที โดยกำหนดเงินรางวัล 1 เปโซต่อยุง 5 ตัว ซึ่งถ้าเทียบเป็นเงินไทย ก็ประมาณ 0.58 สตางค์

นายคาร์ลิโต เซอร์นัล หัวหน้าหมู่บ้านแอดดิชันฮิลส์ จ่ายเงินรางวัลแก่ชาวบ้านที่นำยุงมาแลก (Photo : AFP)

นอกจากยุงที่เป็นตัวๆ ไม่ว่าจะมีชีวิต หรือตายไปแล้ว แม้กระทั่งตัวอ่อนของยุง หรือไข่ของยุง ก็จะได้เงินรางวัลเป็นค่าหัวนี้ด้วยเช่นกัน

รายงานข่าวระบุว่า มีชาวชุมชน ซึ่งสวมบทกลายเป็น “นักล่ายุง” จำนวนหลายสิบคน พากันเดินทางมายังสำนักงานของหมู่บ้านชุมชนแอดดิชันฮิลล์กันทุกวัน เพื่อมารับค่าหัวยุง ได้เงินกลับบ้านไปหลายเปโซ ซึ่งก็พอได้ค่าขนมเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน

ลูกน้ำ หรือตัวอ่อนของยุง ที่ชาวบ้านนำมาแลกเป็นเงินรางวัลกับสำนักงานหมู่บ้านแอดดิชันฮิลส์ (Photo : AFP)

ยกตัวอย่างในรายของนายมิเกล ลาบัค อายุ 64 ปี นำยุงลายจำนวน 45 ตัว มายังสำนักงานของหมู่บ้านฯ เพื่อแลกเป็นเงินรางวัล ก็ได้ไป 9 เปโซ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 5 บาท ซึ่งนายลาบัค กล่าวอย่างมีรอยยิ้มว่า วันนี้ได้ค่ากาแฟแล้วหล่ะ

ลูกน้ำ หรือตัวอ่อนของยุง ที่ถูกคัดแยกเป็นตัวๆ เพื่อรับเงินรางวัล (Photo : AFP)

อย่างไรก็ดี แม้โครงการตั้งค่าหัวยุง เพื่อทำสงครามปราบยุง ได้รับเสียงชื่นชมจากทางการอยู่ไม่น้อย แต่ทว่า ก็มีข้อติติงจากประชาชนหลายภาคส่วนอยู่เหมือนกัน โดยเป็นข้อติติงในลักษณะกล่าวเตือนกันว่า โครงการที่ว่าอาจจะยิ่งทำให้ยุงชุมกว่าเก่าก็เป็นได้ จากการที่มีคนหวังได้เงินรางวัลมากๆ แล้วถึงขั้นเพาะเลี้ยงยุงขึ้นมา ซึ่งไม่ได้ยากเย็นอะไร เพียงแค่ทำน้ำให้ขังไว้ ก็จะกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง แล้วนำยุงมารับเงินรางวัล โดยหากมีคนทำเช่นนั้นหลายๆคน ก็ทำให้สถานการณ์แพร่ระบาดของไข้เลือดออกจากยุงเป็นพาหะในชุมชนเลวร้ายหนักขึ้นไปอีกจนน่าเป็นห่วง

ตู้ที่ติดตั้งอุปกรณ์ฉายรังสียูวีไฟฟ้า ซึ่งจะใช้เป็นที่กำจัดยุงและตัวอ่อนของยุง ที่ชาวบ้านนำมาแลกเป็นเงินรางวัล (Photo : AFP)

สคร.12 สงขลา เตือน ปชช. ภาคใต้ตอนล่าง เฝ้าระวังฝนตกน้ำท่วมขัง เสี่ยงป่วยด้วยโรคเลปโตสไปโรสิส-เมลิออยโดสิส-ไข้เลือดออก

สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 จังหวัดสงขลา (สคร.12 สงขลา) เตือนประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง เฝ้าระวังฝนตกหนักในหลายพื้นที่ อาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและมีน้ำท่วมขัง เสี่ยงป่วยด้วยโรคเลปโตสไปโรสิส โรคเมลิออยโดสิส และโรคไข้เลือดออก อันตรายถึงชีวิต  

นายแพทย์เฉลิมพล โอสถพรมมา ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 จังหวัดสงขลา กล่าวว่า เนื่องด้วยขณะนี้บางพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง มีฝนตกหนัก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและอาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมขัง สคร.12 สงขลา ห่วงใยพี่น้องประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง ขอให้เตรียมความพร้อมหากเกิดน้ำท่วมฉับพลัน ด้วยการติดตามข้อมูลข่าวสาร ข้อมูลสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำท่วมอย่างสม่ำเสมอ พร้อมเน้นย้ำให้ระวังป่วยด้วย โรคเลปโตสไปโรสิส โรคเมลิออยโดสิส และโรคไข้เลือดออก ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงหน้าฝนและมีน้ำท่วมขัง

โรคเลปโตสไปโรสิส (Leptospirosis) หรือโรคไข้ฉี่หนู เชื้อโรคนี้อยู่ในแหล่งน้ำ พื้นดินชื้นแฉะที่ปนเปื้อนปัสสาวะสัตว์ที่เป็นแหล่งโรค โดยเฉพาะน้ำที่ท่วมขัง หากประชาชนเดินลุยน้ำ ย่ำดินโคลน ด้วยเท้าเปล่า อาจทำให้เชื้อเข้าสู่ร่างกาย โดยหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 1-2 สัปดาห์ ผู้ป่วยจะเริ่ม มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตัว ปวดกล้ามเนื้อโดยเฉพาะ ที่น่องหรือโคนขา ต่อมาอาจมีตาแดง ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะออกน้อย ไอเป็นเลือด หากไม่ได้รับการรักษาหรือเข้ารับการรักษาล่าช้าจะทำให้เกิดอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้

โรคเมลิออยโดสิส (Melioidosis) หรือโรคเมลิออยด์ พบเชื้อในดิน ฝุ่นดิน และแหล่งน้ำตามธรรมชาติ สามารถติดเชื้อผ่านทางเยื่อบุตา-จมูก-ปาก บาดแผลผิวหนัง ผิวหนังที่แช่น้ำเป็นเวลานาน การดื่มน้ำจากแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด หรือการหายใจเอาฝุ่นดินที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไป สัตว์อาจติดเชื้อป่วยและตายจากโรคเมลิออยโดสิสได้ แต่คนจะติดเชื้อจากสัตว์ได้น้อยมาก เช่น สัมผัสสารคัดหลั่ง หรือรับประทานเนื้อ นมจากสัตว์ที่เป็นโรคโดยไม่ผ่านการปรุงสุก ทั้งนี้ หากมีไข้สูง เป็นเวลานานเกิน 3 วัน หรือเกิดแผลฝีหนองตามร่างกาย ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง ให้รีบไปพบแพทย์พร้อมแจ้งประวัติเสี่ยง

ทั้งสองโรคดังกล่าว สามารถป้องกันได้ ดังนี้ 1.หลีกเลี่ยงการแช่น้ำเป็นเวลานาน หรือเดินลุยน้ำย่ำโคลนด้วยเท้าเปล่า หากจำเป็นต้องเดินลุยน้ำควรสวมรองเท้าบูท กรณีมีบาดแผลควรปิดด้วยพลาสเตอร์กันน้ำ และรีบทำความสะอาดร่างกายทันทีหลังจากลุยน้ำ 2.ล้างมือล้างเท้าด้วยน้ำและสบู่บ่อยๆ 3.รับประทานอาหารที่สะอาดปรุงสุกใหม่ อาหารที่ค้างมื้อควรอุ่นให้เดือดก่อนนำมารับประทาน 4.ดูแลทำความสะอาดที่พักให้สะอาด  5.หากมีไข้สูง ร่วมกับปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อที่น่อง หลังจากสัมผัสพื้นที่น้ำขัง หรือดินที่มีโอกาสปนเปื้อนปัสสาวะหนู วัว ควาย หมู สุนัข และแพะ ห้ามซื้อยามารับประทานเอง ให้รีบไปพบแพทย์และแจ้งประวัติเสี่ยงให้ทราบ เพื่อพิจารณาการรักษาได้อย่างถูกต้อง                                                                                                                                                                                                                                                                                              สำหรับโรคไข้เลือดออก พบผู้ติดเชื้อมากในช่วงหน้าฝน และโดยเฉพาะหลังน้ำลด ซึ่งอาจมีน้ำขังตามภาชนะต่างๆ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ขอให้ประชาชนกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ปรับปรุง สิ่งแวดล้อมให้ปลอดโปร่ง สะอาด ไม่ให้เป็นที่เกาะพักของยุง และป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงกัด โดยการทายากันยุงหรือนอนกางมุ้ง หากประชาชนมีอาการไข้สูงร่วมกับอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระบอกตา หรือมีจุดเลือดออกที่ลำตัว และแขน ขา เป็นต้น ให้รีบไปพบแพทย์ ห้ามซื้อยามารับประทานเอง ซึ่งยาลดไข้ในกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน ไดโครฟีแนก และแอสไพริน รวมถึงยาชุด มีผลทำให้เลือดออกในช่องทางเดินอาหารและยากต่อการรักษา เสี่ยงต่อการเสียชีวิต

สำหรับโรคไข้เลือดออก ป้องกันด้วย “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” ดังนี้ 1.เก็บบ้าน ให้สะอาด 2.เก็บขยะที่อยู่บริเวณรอบบ้าน และ 3.เก็บน้ำ ปิดฝาให้มิดชิด ไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย ป้องกันไม่ให้ยุงลายวางไข่ สามารถป้องกันได้ทั้ง 3 โรค (โรคไข้เลือดออก, โรคไข้ปวดข้อยุงลาย และโรคติดเชื้อไวรัสซิกา)

"หมอมนูญ"ชี้ปีนี้ไข้เลือดออก แต่มีแนวโน้มกำลังจะเพิ่มขึ้น

วันที่ 9 ต.ค. 67 นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าห้องไอซียูเฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ ผู้ป่วยหนัก และโรคผู้สูงอายุ ประจำโรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์คลิป พร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC ระบุว่า...


ติดตามข้อมูลระบาดวิทยา รู้ทันว่ามีโรคไวรัสอะไรระบาดบ้าง

เดือนกันยายน 2567 ที่ผ่านมา ข้อมูลของโรงพยาบาลวิชัยยุทธที่ติดตามโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ไวรัสไข้หวัดใหญ่ อาร์เอสวี (RSV) ฮิวแมนเมตะนิวโมไวรัส Human metapneumovirus (hMPV) และไรโนไวรัส (Rhinovirus) เดือนที่แล้วพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดลดลงเหลือ 107 ราย (ดูกราฟ) พบผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ยังสูง 141 ราย (ดูกราฟ) เชื้ออาร์เอสวี (RSV) พบ 67 ราย (ดูกราฟ) เชื้อฮิวแมนเมตะนิวโมไวรัส (hMPV) เพิ่มขึ้นเป็น 84 ราย (ดูกราฟ) เชื้อไรโนไวรัส (Rhinovirus) พบ 9 ราย (ดูกราฟ)

พบโรคไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี่พบ 14 ราย (ดูกราฟ) ไม่พบโรคชิคุนกุนยาหรือไข้ปวดข้อยุงลาย  โรคไวรัสโนโร (Noro) และโรตา (Rota) ทำให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรงทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เดือนที่แล้วพบโนโรไวรัส 6 ราย พบโรตาไวรัส 3 ราย (ดูกราฟ) 

ขณะนี้กำลังอยู่ในฤดูฝน ไวรัสทางเดินหายใจที่พบบ่อยได้แก่ ไข้หวัดใหญ่ โควิด-19, hMPV และ RSV  ไวรัสไข้หวัดใหญ่ยังแซงหน้าไวรัสโควิด-19  ไวรัส hMPV เพิ่มขึ้นใกล้กับไวรัสโควิด-19 ไวรัส RSV ยังพบบ่อย ปีนี้ไข้เลือดออกมาช้า แต่มีแนวโน้มกำลังจะเพิ่มขึ้น

ทุกคนควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปี ปีละ 1 เข็ม คนอายุ 75 ปีขึ้นไปทุกคนควรฉีดวัคซีน lป้องกัน RSV เข็มเดียวตลอดชีวิต สำหรับคนอายุ 60 -74 ปี ให้ฉีดเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคระบบทางเดินหายใจ โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไตเรื้อรัง โรคอ้วน โรคภูมิคุ้มกันต่ำ 

สำหรับคนกลุ่ม 608 ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโควิดแม้แต่เข็มเดียว หรือยังไม่เคยติดเชื้อไวรัสโควิดแม้แต่ครั้งเดียว ควรฉีดวัคซีนป้องกันโควิดรุ่นใหม่ ป้องกันสายพันธุ์ย่อย JN.1 ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เพื่อลดความรุนแรงของโรค 1 เข็ม

เดือนตุลาคม 2567 สถานการณ์ไวรัสโควิด-19  ไข้หวัดใหญ่ และไวรัสอื่นๆจะเป็นอย่างไร ติดตามรายงานเดือนหน้าครับ

ชุมพร สาธารณสุขอำเภอท่าแซะ รณรงค์ป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก

ชุมพร สาธารณสุขอำเภอท่าแซะ รณรงค์ป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก

วันที่ 29 ก.ย.67.ที่ บริเวณหน้าศาลพ่อตาหินช้าง หมู่ที่  2 ต.สลุย อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร  นายสิทธิชัย ชูจีน สาธารณสุขอำเภอท่าแซะเป็นประธานจัดกิจกรรมจิตอาสารณรงค์ป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก โดยมีนายชัยยุทธ ไชโย ผู้อำนวยการ รพ.สต.สลุย เป็นผู้ดำเนินงานร่วมกับ ฝ่ายปกครองท้องถิ่นปกครองท้องที่ ทหารตำรวจ  กองอาสารักษาดินแดน(อส.) สังกัด กองร้อยอาสารักษาดินแดน จังหวัดชุมพรที่ 1 อาสาสมัครสาธารณสุข จิตอาสา บริษัท cpi และเด็กนักเรียน โรงเรียนต่างๆ เข้าร่วม กิจกรรมจำนวนประมาณ 400 คน

สาธารณสุขอำเภอท่าแซะ  กล่าวว่า เพื่อดำเนินการเฝ้าระวังและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออก การเตรียมรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไข้เลือดออก ในช่วงฤดูฝน และให้มีการทำงางานอย่างต่อเนื่องมีประสิทธิภาพ ตลอดจนกระตุ้นเตือนให้ประชาชนในชุมชน วัด โรงเรียนตลอดจนทุกภาคส่วน ร่วมมือผนึกพลังความคิดความร่วมมือแก้ไขปัญหาโรคไข้เลือดออกร่วมกัน 

นายชัยยุทธ ไชโย ผอ.รพ. สต.สลุย กล่าวว่า โรคไข้เลือดออกนับเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทยตลอดมา เพราะไข้เลือดออกเป็นโรคติดต่อโดยมียุงลายเป็นพาหะ ที่สร้างความสูญทั้งเสียชีวิต ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลและความสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากโรคนี้มีแนวโน้มการระบาดในช่วงฤดูฝนของทุกปี และ พบว่าประชากรที่ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มเด็กวัยเรียนที่มีอายุตั้งแต่ 5-14 ปี แต่ปัจจุบันยังพบผู้ป่วยไข้เลือดออกในผู้ใหญ่และมีการเกิดโรคตลอดทั้งปีอีกด้วย ดังนั้นการดำเนินงานควบคุมป้องกันโรคไข้เลือดออก จำเป็นต้องระดมความร่วมมือจากทุกฝ้ายที่เกี่ยวข้องในการกาจัดลูกน้ำยุงลายที่เป็นพาหะนำโรคและรณรงค์ให้ชุมชนตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาโรคไข้เลือดออก และร่วมมือกันเฝ้าระวังป้องกันการแพร่ระบาดของโรคนี้ รพ.สต.สลุย จึงร่วมกับ รพ.สต.พรุตะเคียน จัดกำลัง อสม.และ หลายหน่วยงานร่วมกันรณรงค์ในครั้งนี้

สุพรรณบุรี ดารานักแสดงนักเรียนร่วมเดินรณรงค์ป้องกันและควบคุมไข้เลือดออก

สาธารณสุข และดารานักแสดง ร่วมรณรงค์ การป้องกันและควบคุมไข้เลือดออก จังหวัดสุพรรณบุรี 2567 "สุพรรณบุรี รวมพลังกำจัดยุงลาย ลดการป่วยตายไข้เลือดออก"เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ พิษภัยโรคไข้เลือดออกให้กับนักเรียนและประชาชน

นายสรชัด สุจิตต์ สส.สุพรรณบุรี  พร้อมด้วย หลุยส์ เฮสดาร์ซัน  แชป วรากร  ศวัสกร และ ไอซ์ อธิชนัน  ศรีเสวก ดารานักแสดง นางสาวศิริพร วิศิษฏ์ยิ่งเจริญ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดวรจันทร์ นายพัทธพงศ์ ตั้งสะสม ผู้ช่วยนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสุพรรณบุรี นางพัชรินทร์ มณีพงศ์ หัวหน้ากลุ่มงานอนามัยสิ่งแวดล้อมและอาชีวอนามัย เจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุพรรณบุรี โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองสุพรรณบุรี อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน นักเรียน ร่วมกันจัดกิจกรรมรณรงค์ การป้องกันและควบคุมไข้เลือดออก จังหวัดสุพรรณบุรี 2567  "สุพรรณบุรี รวมพลังกำจัดยุงลาย ลดการป่วยตายไข้เลือดออก" ณ โรงเรียนวัดวรจันทร์ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ พิษภัยโรคไข้เลือดออกให้กับนักเรียนและประชาชน โดยพิธีเปิดใช้ไฟเอฟเฟคลูกหนูพุ่งไปยิงที่ ตัวยุงลายยักษ์จำลอง เพื่อเป็นการกำจัดยุงลาย ป้องกันและควบคุมไข้เลือดออก "สุพรรณบุรี รวมพลังกำจัดยุงลาย ลดการป่วยตายไข้เลือดออก"

สำหรับการจัดกิจกรรมรณรงค์ ครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วม จากสำนักงามสาธารณสุขจังหวัดสุพรรณบุรี โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองสุพรรณบุรี อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน โรงเรียนวัดวรจันทร์ เทศบาลตำบลโพธิ์พระยา ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อนำโดยแมลงที่ 5.1 จังหวัดกาญจนบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 300 คน เข้าร่วมกิจกรรมรณรงค์ การป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก จังหวัดสุพรรณบุรี ปี 2567 ภายใต้แนวคิด "สุพรรณบุรี รวมพลังกำจัดยุงลาย ลดการป่วยตายไข้เลือดออก" 

พร้อมกับได้เดินถือป้ายรณรงค์ การป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ที่ตลาดโพธิ์พระยา อำเมืองสุพรรณบุรี เพื่อประชาสัมพันธ์ ให้พ่อค้า แม่ค้า และประชาชน ที่มาจับจ่ายซื้อของในตลอดโพธิ์พระยา ได้ช่วยกันป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก พร้อมกับร่วมกันปล่อยพันธุ์ปลาลงในแม่ท่าจีน  

สำหรับโครงการ "สุพรรณบุรี รวมพลังกำจัดยุงลาย ลดการป่วยตายไข้เลือดออก"  เนื่องจากโรคไข้เลือดออก เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ โดยมีแนวโน้มการระบาดสูงขึ้น ในช่วงฤดูฝนของทุกปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึง 4 สิงหาคม 2567 พบผู้ป่วย จำนวนทั้งสิ้น 806 ราย อัตราป่วย 100.29 ต่อประชากรแสนคน เสียชีวิต จำนวน 2 ราย กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุดคือ อายุ 15-24 ปี รองลงมาคือ 10-14 ปี, 25-34 ปี และ 5-9 ปี ตามลำดับ ส่วนใหญ่เป็น นักเรียน นักศึกษาและกลุ่มวัยทำงาน อำเภอที่มีอัตราป่วยสูงสูงสุด คือ อำเภอบางปลาม้า สามชุก และเมืองสุพรรณบุรี ตามลำดับหลายครั้ง ที่จังหวัดสุพรรณบุรี เผชิญกับการระบาดของโรคไข้เลือดออก 

จากการเหตุดังกล่าวพบว่าการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการสื่อสารกับประชาชน ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ที่ถูกวิธีและเหมาะสม เป็นกลไกการรับมือที่มีความสำคัญ นำไปสู่ความสำเร็จ ในการลดอัตราป่วย และอัตราตาย จากโรคไข้เลือดออก ดังนั้น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุพรรณบุรี จึงจัดกิจกรรมรณรงค์ฯ ขึ้น เพื่อบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชน ทำให้เกิดพฤติกรรมในการทำลายแหล่งเพาะพันธ์ยุงลายอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ