SINO ปิดดีลรับออเดอร์ขนส่งสินค้า 1,000 ตู้จากลูกค้าสหรัฐฯ 

วันที่ 11 กันยายน 2568 มีข่าวดีสร้างความมั่นใจแก่ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากเดินทางไปพบกับคู่ค้าในสหรัฐอเมริกา ‘นันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์’ ซีอีโอหนุ่มไฟแรง บมจ.ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SINO ส่งข่าวความสำเร็จข้ามทวีปมาว่าล่าสุด SINO ประสบความสำเร็จปิดดีลสัญญาให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศจากไทยไปยังสหรัฐฯ จำนวน 1,000 ตู้คอนเทนเนอร์ หรือคิดเป็นมูลค่างานประมาณ 85 ล้านบาท

สะท้อนความเชื่อมั่นการใช้บริการโลจิสติกส์ของลูกค้า และยังตอกย้ำว่าหลังจากสหรัฐฯ เริ่มใช้อัตราภาษีการค้าใหม่ แต่ความต้องการนำเข้าสินค้าจากไทยยังมีอย่างต่อเนื่อง แบบนี้แนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังน่าจะเติบโตตามเป้าหมายได้ไม่ยาก…

“บขส.” เปิดบริการใหม่ “ส่งพัสดุถึงบ้าน” นำร่อง 4 จ. กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ยกระดับบริการโลจิสติกส์  

“บขส.” เปิดบริการใหม่ “ส่งพัสดุถึงบ้าน” นำร่อง 4 จังหวัด กรุงเทพฯ – ปริมณฑล เพิ่มความสะดวกประชาชน ยกระดับบริการโลจิสติกส์  

วันที่ 20 สิงหาคม 2568 นายอรรถวิท รักจำรูญ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยว่า บขส. ได้เดินหน้ายกระดับการให้บริการรับ – ส่งพัสดุภัณฑ์ โดยได้เปิดช่องทางการบริการใหม่ “ส่งพัสดุถึงบ้าน” เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนผู้ใช้บริการ ไม่จำเป็นต้องเดินทางมารับสินค้าที่ ศูนย์รับ – ส่งพัสดุภัณฑ์ สถานีเดินรถของ บขส. เพียงแจ้งปลายทางก็สามารถรอรับพัสดุได้ที่บ้านอย่างสะดวก ปลอดภัย และรวดเร็ว ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการพัฒนาด้านโลจิสติกส์ของ บขส. และเป็นไปตามแผนพัฒนาธุรกิจรับ – ส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ เพื่อเพิ่มศักยภาพ รองรับความต้องการจัดส่งพัสดุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นของประชาชนให้ได้รับความสะดวกในการใช้บริการ และสร้างรายได้ให้กับองค์กร ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม

สำหรับบริการใหม่ “ส่งพัสดุถึงบ้าน” บขส. ได้นำร่องให้บริการในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 4 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ โดยให้บริการทุกวัน เริ่มตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ส่วนอัตราค่าบริการขนส่งจะคำนวนตามระยะทางที่ไปส่งถึงบ้าน ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถส่งสินค้าได้หลากหลาย เช่น สินค้าเกษตร และสินค้าอุปโภค – บริโภค โดยไม่รับฝากวัตถุอันตราย วัตถุไวไฟทุกชนิด สิ่งของผิดกฎหมาย และสารเสพติด ทั้งนี้ในอนาคต บขส. มีแผนจะขยายผล “ส่งพัสดุถึงบ้าน” ไปยังพื้นที่ภูมิภาคต่อไป 

ผู้ใช้บริการสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์รับ – ส่งพัสดุภัณฑ์ (จตุจักร) หรือหมอชิต 2 โทร. 02 – 537 – 8480 หรือ 02 – 537 – 8732 (ขาเข้า)

///////////////////

กองสื่อสารองค์กรและการตลาด
สำนักอำนวยการ
บริษัท ขนส่ง จำกัด

NOSTRA LOGISTICS เร่งเกมขนส่งครึ่งปีหลัง ดัน TMS แพลตฟอร์มจัดการโลจิสติกส์ ลดต้นทุนสูงสุด 15% ต่อปี

บริษัท จีไอเอส จำกัด ผู้นำด้านระบบภูมิสารสนเทศแบบครบวงจร ในกลุ่มบริษัทซีดีจี ส่งเทคโนโลยี “นอสตร้า โลจิสติกส์” (NOSTRA LOGISTICS) ลงสนามสนับสนุนกลุ่มธุรกิจแก้เกมต้นทุนอุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์ครึ่งปีหลัง 2568 โดยปรับกลยุทธ์ไปที่กลุ่มธุรกิจการผลิตสินค้า ผู้นำเข้า-ส่งออกและผู้ให้บริการขนส่งสินค้าทางถนน พร้อมรับมือกับวิกฤตรอบด้านด้วย NOSTRA LOGISTICS TMS Platform ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเชิงระบบ รองรับการบริหารจัดการขนส่งที่ชาญฉลาด พร้อมเปลี่ยนผ่านสู่ยุค Smart Logistics อย่างแท้จริง ตอกย้ำบทบาทผู้นำด้านแพลตฟอร์มเทคโนโลยีขนส่งโลจิสติกส์ของไทย พร้อมเดินหน้าสนับสนุนภาคเอกชนในการยกระดับธุรกิจด้วยข้อมูลและระบบอัจฉริยะต่อไป คาดลดต้นทุนขนส่งให้ธุรกิจได้มากกว่า 15% ต่อปี 

ดร.ธนพร ฐิติสวัสดิ์ ประธานบริษัท จีไอเอส จำกัด เปิดเผยว่า “แนวโน้มอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังคงเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากต้นทุนขนส่งต่อ GDP ของไทยที่สูงถึง 14.1% ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของหลายประเทศในภูมิภาค ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดความสามารถในการแข่งขัน ยิ่งไปกว่านั้น คาดการณ์รายได้ของผู้ให้บริการโลจิสติกส์โดยรวมในปีนี้คาดว่าจะเติบโตเพียง 3.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน สวนทางกับภาคธุรกิจการผลิต (1PL) ที่มีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปี ระหว่างปี 2024–2029 โดยหนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญคือ ภาคการผลิตเล็งเห็นว่าเทคโนโลยีคือแต้มต่อในการเพิ่มประสิทธิภาพ บริหารความเสี่ยงและซัพพลายเชน เพิ่มความยืดหยุ่นให้ธุรกิจ เพื่อตอบรับต้นทุนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะการขนส่งทางถนนซึ่งเป็นภาระหลักของธุรกิจ จึงกลายเป็นจุดที่องค์กรต้องเร่งจัดการ”

ทั้งนี้เพื่อตอบรับกับความผันผวนและต้นทุนการขนส่งทางถนนที่อยู่ในระดับสูง คิดเป็นสัดส่วนกว่า 40% ของการขนส่งรวม ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันโดยตรง ดังนั้น NOSTRA LOGISTICS TMS Platform ที่รวมเอาศักยภาพของ TMS (Transportation Management System) หรือระบบบริหารจัดการขนส่งอัจฉริยะ ผนวกกับความสามารถในการติดตามสถานะขนส่งแบบเรียลไทม์ของโมบายแอปพลิเคชัน ePOD (Electronic Proof of Delivery) เป็นโซลูชันสำคัญที่จะมาช่วยภาคธุรกิจพลิกเกมในครึ่งปีหลัง ยกระดับบริหารการขนส่ง ลดค่าใช้จ่ายกล่องจีพีเอส ควบคุมต้นทุน ลดรอบวิ่งรถซ้ำซ้อน วางแผนเส้นทางให้เหมาะสมรวมถึงรองรับการเชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็น ERP หรือ WMS ให้เป็น IT Ecosystem พร้อมปรับแต่งให้สอดคล้องกับแต่ละธุรกิจ ครอบคลุมทั้งผู้ผลิตสินค้า (1PL) ผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจร (3PL) และผู้รับจ้างขนส่ง (Subcontractor)

ด้วยแพลตฟอร์มที่รองรับการใช้งานผ่าน Web และ Mobile Application ผสานพลังของเทคโนโลยี GIS และ AI ที่ใช้วางแผนเส้นทางอัจฉริยะ (VRP) ช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลและวางแผนการขนส่งรวดเร็วและแม่นยำ บริหารจัดการฟลีทรถขององค์กรหรือจากผู้รับจ้างขนส่งได้ผ่านแพลตฟอร์มเดียวกัน ผลักดันการใช้รถให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพิ่มความโปร่งใสในการบริหารจัดการ และควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 บริษัทมีแผนเร่งต่อยอดการใช้งานระบบ TMS ในกลุ่มลูกค้าเดิมที่เป็นพันธมิตรธุรกิจมาอย่างยาวนาน ทั้งในกลุ่มผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค ผู้ผลิตวัตถุดิบและเชื้อเพลิง ตลอดจนกลุ่มผู้ให้บริการขนส่งข้ามพรมแดน ควบคู่ไปกับการขยายฐานลูกค้าใหม่ในภาคการผลิตอื่น ๆ โดยตั้งเป้าเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานระบบ TMS ให้เติบโตขึ้น 100%เพื่อสนับสนุนการยกระดับภาคการผลิตไทยด้วยเทคโนโลยีขนส่งอัจฉริยะ ที่ออกแบบมาให้ปรับใช้ได้จริงในบริบทของแต่ละธุรกิจ และสร้างผลลัพธ์ที่วัดได้ทั้งด้านต้นทุนและประสิทธิภาพ

สำหรับความกังวลในครึ่งปีหลังถึงปัจจัยต่างๆ ดร.ธนพร มองว่านี่คือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของทุกองค์กร การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันจึงไม่ใช่เป็นเพียงทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็นต้องใช้เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่การบริหารจัดการการขนส่งแบบอัจฉริยะ เพื่อควบคุมการขนส่งให้มีประสิทธิภาพและลดต้นทุนในระยะยาว ซึ่งหากดูจากมูลค่าธุรกิจบริการขนส่งสินค้าทางถนนปี 2567-2569 มีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 2.0-3.0% ต่อปี   สะท้อนว่าอุตสาหกรรมนี้ยังมีศักยภาพจึงควรเร่งนำระบบบริหารจัดการอัจฉริยะมาใช้อย่างจริงจัง เพื่อรองรับการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมรายได้และกำไรให้แก่ธุรกิจ

“ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี บริษัท จีไอเอส ไม่ได้เป็นเพียงผู้พัฒนาเทคโนโลยี แต่เป็นพันธมิตรที่เข้าใจปัญหาและความต้องการของภาคธุรกิจ หนึ่งในนั้นคือการพัฒนาโซลูชันสำหรับภาคขนส่งและโลจิสติกส์ผ่านประสบการณ์ทำงานมามากกว่า 200 องค์กร เราจึงตระหนักดีว่าการเปลี่ยนผ่านในอุตสาหกรรมนี้ต้องอาศัยมากกว่านวัตกรรม นั่นคือการสร้างระบบที่ยืดหยุ่น เชื่อมโยง ปรับใช้ได้จริงในบริบทของแต่ละธุรกิจ  และนอกจากเพื่อลดต้นทุน ยังเป็นปัจจัยสำคัญในกลไกขับเคลื่อนความสามารถในการแข่งขันระยะยาว และหากทุกภาคส่วนก้าวไปพร้อมกัน ความเปลี่ยนแปลงนี้จะกลายเป็นรากฐานสำคัญของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไทยที่ยั่งยืน” ดร.ธนพร กล่าวปิดท้าย

"รมว.คมนาคม" ดันรถไฟทางคู่เฟส 2 กว่า 2.9 แสนล้าน ลดต้นทุนโลจิสติกส์-เสริมไทยฮับขนส่ง

"รมว.คมนาคม" ดันรถไฟทางคู่เฟส 2 กว่า 2.9 แสนล้าน ลดต้นทุนโลจิสติกส์-เสริมไทยฮับขนส่ง

วันที่ 23 มิถุนายน 2568 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว. คมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 จำนวน 6 เส้นทาง ระยะทางรวม 1,249 กิโลเมตร (กม.) มูลค่ารวมประมาณ 297,924 ล้านบาทว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้นำเสนอโครงการฯ ต่อสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) เพื่อประกอบการพิจารณาอนุมัติ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของโครงการในการยกระดับการขนส่งและโลจิสติกส์ของประเทศให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น และทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อระบบการขนส่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ได้อย่างแท้จริง

ทั้งนี้ รฟท. ได้จัดลำดับความสำคัญตามคำแนะนำของสภาพัฒน์ฯ โดยพิจารณาจากปัจจัยหลัก 5 ด้าน คือ ความต้องการขนส่งผู้โดยสาร, ความต้องการขนส่งสินค้า, ความจุทาง, เศรษฐศาสตร์และการเงิน, และยุทธศาสตร์และนโยบาย รวมถึงปัจจัยรองอีก 11 ด้าน เช่น ข้อมูลผลการคาดการ์จำนวนผู้โดยสาร, ข้อมูลสถิติผู้โดยสารปัจจุบัน, ข้อมูลผลการคาดการณ์ปริมาณสินค้า, การเชื่อมโยงโครงข่ายภายในประเทศและระหว่างประเทศ, ความพร้อมในการดำเนินโครงการ เป็นต้น

โดย รฟท. ได้แบ่งความสำคัญของการดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 จำนวน 6 เส้นทาง ออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

-กลุ่ม 1 ความสำคัญอันดับต้น จำนวน 3 เส้นทาง คือ เส้นทางสุราษฎร์ธานี-หาดใหญ่-สงขลา ระยะทาง 321 กม. วงเงิน 66,270 ล้านบาท, เส้นทางปากน้ำโพ-เด่นชัย ระยะทาง 218 กม. วงเงินประมาณ 81,143 ล้านบาท, เส้นทางชุมพร-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 168 กม. วงเงินประมาณ 30,422 ล้านบาท

-กลุ่ม 2 ความสำคัญอันดับกลาง จำนวน 2 เส้นทาง คือ เส้นทางชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี ระยะทาง 308 กม. วงเงินประมาณ 44,095 ล้านบาท, เส้นทางเด่นชัย-เชียงใหม่ ระยะทาง 189 กม. วงเงินประมาณ 68,222 ล้านบาท

-กลุ่ม 3 ความสำคัญอันดับท้าย คือ หาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 45 กม. วงเงินประมาณ 7,772 ล้านบาท

นอกจากนี้ จากข้อสังเกตของสภาพัฒน์ฯ นั้น รฟท. ยังได้ปรับปรุงข้อมูลและข้อสมมติฐานที่ใช้ในการคาดการณ์ปริมาณผู้โดยสารและสินค้า รวมถึงการวิเคราะห์แผนการเดินรถและความจุทางให้เป็นปัจจุบันเรียบร้อยแล้ว รวมถึงยังได้จัดส่งบัญชีแสดงปริมาณงานและราคา (BOQ) ของทุกโครงการที่สามารถแจกแจงรายละเอียดรายการลงทุนตามการออกแบบโครงสร้างทาง, งานสถานี, จุดตัดทางรถไฟและถนนเสมอระดับ, และสิ่งอำนวยความสะดวก

ทั้งนี้ในส่วนของแนวทางการใช้ประโยชน์สถานีรถไฟขนาดใหญ่และย่านกองเก็บตู้สินค้า รฟท. ได้ชี้แจงแผนการเพิ่มรายได้และแผนธุรกิจที่ชัดเจน ขณะเดียวกัน รฟท. ยังได้ทบทวนแผนการแก้ไขปัญหาจุดตัดทางรถไฟและถนนเสมอระดับของแต่ละโครงการให้เป็นปัจจุบัน เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังได้มีการวิเคราะห์ผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของ รฟท. ทั้งในกรณีมีโครงการและไม่มีโครงการที่สอดคล้องกับการจัดลำดับความสำคัญของโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 แล้ว

สำหรับโครงการรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 มีเป้าหมายหลักคือการเปลี่ยนการขนส่งสินค้าจากทางถนนมาสู่ทางราง นอกจากนี้ ยังจะช่วยลดระยะเวลาการเดินทางลงได้ถึง 30% เนื่องจากไม่ต้องรอหลีกขบวนรถ ทำให้ขบวนรถตรงต่อเวลามากขึ้น พร้อมทั้งยังช่วยลดอุบัติเหตุ ลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศ และเพิ่มทางเลือกในการเดินทางให้กับประชาชน สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และมีราคาสมเหตุสมผล รวมถึงยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของประเทศไทยให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

#รถไฟทางคู่ #ข่าววันนี้ #โลจิสติกส์ #ฮับขนส่ง #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

‘ทริพเพิลไอ’ ส่งเสริมโอกาสทางการศึกษา มอบทุนแก่นักศึกษาด้านโลจิสติกส์

‘ทริพเพิลไอ’ ส่งเสริมโอกาสทางการศึกษา มอบทุนแก่นักศึกษาด้านโลจิสติกส์

นางดรุณี รักพงษ์พิบูล กรรมการบริษัท บริษัท ทริพเพิลไอ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ III เป็นตัวแทนบริษัทฯ มอบทุนการศึกษาจำนวน 14 ทุน รวมมูลค่า 70,000 บาท ให้แก่นักศึกษาระดับปริญญาตรี วิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ซึ่งเป็นผู้มีผลการเรียนดี มีความประพฤติดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาและสร้างแรงจูงใจในการพัฒนาตนเอง  ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมภายใต้กรอบความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) เพื่อร่วมพัฒนาศักยภาพของนักศึกษา และสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยมี ดร.สันติพงศ์ จิโรจน์กุลกิจ รองคณบดีฝ่ายบริหาร ของวิทยาลัยฯ ให้การต้อนรับและร่วมแสดงความยินดีกับนักศึกษาที่ได้รับทุน ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา วิทยาเขตนครปฐม

 

SPU สุดครีเอท เรียนโลจิสติกส์ผ่านบอร์ดเกมและ VR รายแรก เอาใจคนรุ่นใหม่เรียนไม่น่าเบื่อ มีงานรองรับ รายได้สูง

เปิดประสบการณ์ใหม่ วิทยาลัยโลจิสติกส์ ม.ศรีปทุม นำบอร์ดเกมและ VR ยกระดับการเรียนการสอน เสริมทักษะนักศึกษา ตอบโจทย์ตลาดแรงงานอนาคต อุตสาหกรรมโลจิสติกส์มูลค่ากว่า 3.1 ล้านล้านบาท โตต่อเนื่อง งานมั่นคง รายได้สูง พร้อมรองรับแรงงานกว่า 6.6 ล้านคน เพิ่มโอกาสเติบโตในสายงานโลจิสติกส์ ยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางซัพพลายเชนระดับโลก เผยที่ผ่านมามีบัณฑิตเรียนจบแล้วกว่า 4,000 คน มีอัตราการได้งานทำสูงถึง 98.2% 

วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ผศ.ดร.ธรินี มณีศรี คณบดีวิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน มหาวิทยาลัยศรีปทุม เปิดเผยว่า คณะได้เดินหน้ายกระดับการเรียนการสอนด้วยนวัตกรรมสมัยใหม่ นำ "บอร์ดเกม" และ "เทคโนโลยี VR" มาใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน เพื่อให้นักศึกษาได้สัมผัสประสบการณ์จริง เรียนรู้แนวคิดเชิงลึกอย่างสนุกสนาน พร้อมเตรียมความพร้อมสู่ตลาดแรงงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบันพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักศึกษามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก การนำบอร์ดเกมเข้ามาประยุกต์ใช้จึงเป็นแนวทางที่ช่วยให้นักศึกษาสามารถเรียนรู้แนวคิดโลจิสติกส์ได้อย่างเป็นระบบและเข้าใจง่ายขึ้น บอร์ดเกมที่พัฒนาขึ้นใช้ระยะเวลากว่า 6 ปี ร่วมกับคณะดิจิทัลมีเดีย  เพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาการและสามารถนำไปใช้จริงในอุตสาหกรรมซึ่งบอร์ดเกม เปลี่ยนความรู้ทฤษฎีให้เป็นประสบการณ์จริง

"บอร์ดเกมของเราถูกออกแบบมาให้เสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์และการตัดสินใจ โดยนักศึกษาจะได้ทดลองวางแผนและแก้ไขปัญหาเชิงลึกในซัพพลายเชน ทำให้พวกเขาไม่เพียงแค่เข้าใจทฤษฎี แต่ยังสามารถประยุกต์ใช้ได้จริงในโลกของธุรกิจ" ผศ.ดร.ธรินี กล่าว

นอกจากนี้ยังมีการออกแบบบอร์ดเกมให้เหมาะกับนักเรียนระดับมัธยมต้นถึงมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะการใช้แผนที่ประเทศไทยเป็นฐานข้อมูลสำหรับการเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดวางตำแหน่งคลังสินค้า การกระจายสินค้า และการบริหารโซ่อุปทานในบริบทของประเทศไท

นอกจากบอร์ดเกมแล้ว เทคโนโลยี VR ยังถูกนำมาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อให้นักศึกษาได้สัมผัสประสบการณ์จริงในโลกเสมือน เช่น การจัดการคลังสินค้า การวางแผนเส้นทางขนส่ง และการจำลองสถานการณ์ในซัพพลายเชนแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความเข้าใจและทักษะที่จำเป็นในสายงานโลจิสติกส์ยุคใหม่ เป็นการนำเทคโนโลยี VR สัมผัสประสบการณ์โลจิสติกส์เสมือนจริง

นอกจากการออกแบบการเรียนให้ไม่น่าเบื่อตอบโจทย์คนยุคใหม่  ในสายงานนี้ยังมีโอกาสในการได้งานสูงเนื่องจากแนวโน้มอุตสาหกรรมที่เติบโต ตลาดโลจิสติกส์ของไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 2.3 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.1 ล้านล้านบาทภายในปี 2569 ควบคู่ไปกับจำนวนแรงงานที่คาดว่าจะเพิ่มจาก 5.7 ล้านคน เป็น 6.6 ล้านคน ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสในการทำงานที่กว้างขวางและมั่นคง

อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ยังต้องการแรงงานที่มีทักษะสูงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในด้านการบริหารซัพพลายเชน การวิเคราะห์ข้อมูล และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การเรียนการสอนที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะเชิงปฏิบัติผ่านเทคโนโลยีล้ำสมัยนี้ จึงช่วยให้นักศึกษามีความพร้อมสำหรับการทำงานจริง และสามารถปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

"คณะต้องการสร้างบัณฑิตที่มีความสามารถรอบด้าน พร้อมรับมือกับความท้าทายของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์สมัยใหม่ เทคโนโลยีที่เรานำมาใช้จะช่วยให้นักศึกษาสามารถพัฒนาทักษะได้อย่างลึกซึ้งและตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน" ผศ.ดร.ธรินี กล่าวเสริม

มหาวิทยาลัยศรีปทุมมุ่งมั่นพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมการเรียนการสอนให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงาน และพร้อมเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของประเทศไทยไปสู่ระดับสากล

"เราต้องการสร้างบัณฑิตที่มีความสามารถรอบด้าน พร้อมรับมือกับความท้าทายของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์สมัยใหม่ เทคโนโลยีที่เรานำมาใช้จะช่วยให้นักศึกษาสามารถพัฒนาทักษะได้อย่างลึกซึ้งและตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน" ผศ.ดร.ธรินี กล่าวเสริม

ทั้งนี้ที่ผ่านมามีนักศึกษาสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน มหาวิทยาลัยศรีปทุมแล้วกว่า 4,000 คน ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา โดยมีอัตราการได้งานทำสูงถึง 98.2% บางคนสามารถเรียนและทำงานควบคู่กับสถานประกอบการ มีรายได้ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ปัจจุบันวิทยาลัยเปิดสอนทั้งหมด 3 หลักสูตร ครอบคลุมทั้งระดับปริญญาตรี โท และเปิดการเรียนการสอนใน 3 แห่ง ในภูมิภาคสำคัญด้านโลจิสติกส์ของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพ ชลบุรี และขอนแก่น  ซึ่งมหาวิทยาลัยศรีปทุมมุ่งมั่นพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมการเรียนการสอนให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงาน และพร้อมเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของประเทศไทยไปสู่ระดับสากล

เปิดรับสมัครนักศึกษาใหม่แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่   โทร.0988969790 หรือเว็บไซต์ https://www.spu.ac.th/fac/logistics/

SINO เปิดผลงานโค้งแรกกำไร 27 ล้าน พุ่ง 440% ชี้ Q2 รับผลเชิงบวกจากสหรัฐฯ เร่งนำเข้าสินค้าก่อนครบ 90 วัน เลื่อนขึ้นภาษีตอบโต้ 

“บมจ.ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น” หรือ SINO เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 ทำกำไรสุทธิ 27 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 440% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มธุรกิจ Sea Freight และบริการสนับสนุนงานบริการโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นผลมาจากการชนะการประมูลงานสำคัญ ส่วนแนวโน้มไตรมาส 2 คาดว่าเติบโตต่อเนื่องหรือรักษาผลงานอยู่ในระดับเดียวกับไตรมาสแรกที่ผ่านมา หลังผู้ประกอบการในสหรัฐฯ เร่งนำเข้าสินค้าก่อนครบกำหนดเลื่อนขึ้นภาษีตอบโต้ 90 วัน และลูกค้าส่วนหนึ่งอยู่ในกลุ่มสินค้าที่ได้รับยกเว้นจากการขึ้นภาษีฯ ครั้งนี้

วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 นายนันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SINO เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 (มกราคม - มีนาคม) ว่าสามารถสร้างการเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้รวม 819 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 27  ล้านบาท ซึ่งรวมกำไรพิเศษจากการขายทรัพย์สินที่ไม่ใช่ทรัพย์สินหลัก (non-core asset) เพิ่มขึ้น 5% และ 440%  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ แม้มีปริมาณการขนส่งสินค้า 11,617 ตู้ ชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มธุรกิจขนส่งสินค้าทางทะเล (Sea Freight) ที่เป็นพอร์ตธุรกิจหลักมีรายได้ 756 ล้านบาท เติบโต 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกลุ่มธุรกิจบริการสนับสนุนงานบริการโลจิสติกส์ มีรายได้ 47 ล้านบาท เติบโต 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยการเติบโตในไตรมาสแรกที่ผ่านมา สะท้อนถึงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุน และการเดินหน้าตามแผนเชิงรุกของบริษัทฯ โดยเฉพาะการขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศ การชนะงานประมูลสำคัญ และการเตรียมพร้อมในการให้บริการล่วงหน้าในเส้นทางที่มีความต้องการสูงอย่างไทย-สหรัฐฯ ทั้งนี้ แม้ค่าระวางเรือเฉลี่ยยังใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่บริษัทฯ ได้รับประโยชน์จากการวางแผนล่วงหน้าเพื่อใช้ระวางเรืออย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงความต้องการขนส่งในเส้นทางไทย-สหรัฐฯ ที่ยังคงมีต่อเนื่อง เนื่องจากผู้ประกอบการในสหรัฐฯ มีความกังวลเกี่ยวกับราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น จากความไม่แน่นอนของการประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ในช่วงก่อนหน้านี้ จึงเร่งนำเข้าสินค้าล่วงหน้า

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SINO กล่าวว่า ส่วนสถานการณ์การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศบนเส้นทางไทย-สหรัฐฯ ล่าสุดในเดือนเมษายนที่ผ่านมา มี 4 ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบ ได้แก่ 1) การเตรียมปรับขึ้นค่าธรรมเนียมจอดเรือขนส่งสินค้าที่สร้างจากประเทศจีนหรือสายเรือสัญชาติจีน อย่างไรก็ตามพบว่าผู้ประกอบการเรือขนส่งสินค้าเตรียมแผนรับมือด้วยการจัดหาเรือสัญชาติอื่นมาวิ่งทดแทนในเส้นทางสหรัฐฯ 2) การปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม 25% ของสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา 3) การปรับเพิ่มอัตราภาษีพื้นฐาน 10% กับการนำเข้าสินค้าจากประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา และ 4) การเลื่อนขึ้นภาษีตอบโต้รายประเทศ 90 วัน ซึ่งจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคมนี้  

อย่างไรก็ตาม ลูกค้าของบริษัทฯ ส่วนหนึ่งอยู่ในกลุ่มสินค้าที่ได้รับการยกเว้นจากการปรับขึ้นอัตราภาษีครั้งนี้ เช่น สารเคมี, ชิ้นส่วนยานยนต์บางรายการ เป็นต้น ขณะที่สถานการณ์ปัจจุบันพบว่าผู้ประกอบการในสหรัฐฯ ได้เร่งนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นก่อนครบกำหนดเลื่อนขึ้นภาษีตอบโต้ 90 วัน อาทิ อาหาร, ยางล้อ, เคมีภัณฑ์, แผงโซลาร์เซลล์ ฯลฯ ส่งผลให้เกิดการจองระวางเรือล่วงหน้าจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2568 รวมถึงสายการเดินเรือได้ปรับขึ้นค่าระวางแล้วประมาณ 20% นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ดังนั้น จึงคาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 2 จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง หรืออยู่ในระดับเดียวกับไตรมาสแรกที่ผ่านมาได้

ปริญญาตรีมีเฮ! กรมพัฒน์รับสมัครฝึกอบรมโลจิสติกส์ ฝึกฟรี มีงานรอ รายได้เริ่มต้น 18,000-40,000 บาท 

รมพัฒนาฝีมือแรงงานร่วมกับสมาคมผู้ประกอบธุรกิจวัตถุอันตรายเปิดรับสมัคร อบรม หลักสูตร การจัดการโลจิสติกส์สินค้าอันตราย เพื่อการขนส่งข้ามแดนในอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง จำนวน 50 คนฟรี จบแล้วรับเข้าทำงานทันที รายได้เริ่มต้น 18,000 – 40,000 บาท

วันที่ 20 เมษายน 2568 นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เปิดเผยว่า นโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ ที่ต้องการให้แรงงานมีความรู้ มีคุณภาพ มีฝีมือ และมีความปลอดภัยในการทำงาน  โดยเฉพาะด้านโลจิสติกส์สินค้าอันตราย ซึ่งอาชีพนี้จำเป็นต้องมีความรู้ และมีความปลอดภัยอย่างมาก จึงจำเป็นที่จะต้องพัฒนาทักษะให้มีความรู้ ความชำนาญ ปฏิบัติตามกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับตลาดแรงงานยังขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้  กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จึงได้จัดตั้ง สถาบันพัฒนาบุคลากรเทคโนโลยีชั้นสูงด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน (LoSA) เพื่อดำเนินการผลิตบุคลากรเทคโนโลยีชั้นสูงด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา สถาบันได้ร่วมกับสมาคมผู้ประกอบธุรกิจวัตถุอันตราย Hazardous Substances Logistics Association (HASLA)  ดำเนินการผลิตแรงงานด้านนี้ และได้เข้าทำงานกับบริษัทในเครือของสมาคม อาทิเช่น บริษัท ฮาซเคม โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด  บริษัท ศรีไทย กรุ๊ป จำกัด  มีรายได้เริ่มต้น ตั้งแต่ 18,000 ถึง 40,000 บาท ขึ้นอยู่กับตำแหน่งงานและประสบการณ์ในการทำงาน และหากมีทักษะด้านภาษาต่างประเทศก็จะได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้นอีกด้วย นับเป็นการบูรณาการร่วมกันที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่งในการผลิตแรงงานที่มีคุณภาพ และสามารถมีงานทำได้ 100% 

สำหรับปี 2568 ร่วมกันดำเนินโครงการพัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์ รองรับธุรกิจขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ จัดฝึกอบรมหลักสูตรการจัดการโลจิสติกส์สินค้าอันตรายเพื่อการขนส่งข้ามแดนในอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง (CLMVT) ผู้สมัครจะต้องเป็นผู้ที่กำลังว่างงาน สัญชาติไทย อายุไม่เกิน 28 ปี จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี ทุกสาขา และต้องไม่อยู่ในระหว่างอบรมหรือศึกษาต่อ การฝึกอบรมจะมีภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ ตั้งแต่วันจันทร์ – ศุกร์ เริ่มอบรมภาคทฤษฎี ตั้งแต่ วันที่ 15 พฤษภาคม - 7 กรกฎาคม 2568 และภาคปฏิบัติในสถานประกอบกิจการ วันที่ 15 กรกฎาคม - 15 สิงหาคม 2568 ผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมในหลักสูตรดังกล่าว ยังสามารถต่อยอด สอบเป็นบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่ง ด้านการรับผิดชอบการเก็บวัตถุอันตราย ตำแหน่งผู้ควบคุม GPS ผู้ควบคุมและบริหารการขนส่ง นักวางแผนการขนส่ง เจ้าหน้าที่ความปลอดภัย ผู้ควบคุมคลังสินค้าและสินค้าคงคลัง กับบริษัทผู้ประกอบการในเครือข่ายของสมาคม 

ทั้งนี้รับสมัครตั้งแต่วันนี้-4 พฤษภาคม 2568 จำนวน 50 คน ผ่านทางเว็บไซต์ของ HASLA : www.hasla.or.th เบอร์โทร  06 1026 2426 หรือ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันพัฒนาบุคลากรเทคโนโลยีชั้นสูงด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน (LoSA) เบอร์โทร 0-2248-4782 ต่อ 2508 

#ปริญญาตรี #มีงานทำ #ข่าววันนี้ #โลจิสติกส์ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #สมัครงาน

 

 

SJWD ลุยขยายพอร์ตธุรกิจ ตปท.เซ็นสัญญาคว้างานใหม่ 2 รายในเวียดนาม มูลค่ารวมกว่า 450 ล้านบาท บริการโลจิสติกส์

SJWD รุกขยายพอร์ตธุรกิจต่างประเทศ ปิดดีลงานใหม่จากลูกค้า 2 รายในเวียดนาม มูลค่ารวมกว่า 450 ล้านบาท เซ็นสัญญา ‘Vina Kraft Paper’ ขยายบริการโลจิสติกส์ต่อเนื่องอีก 4 ปี และความร่วมมือโครงการใช้ยานพาหนะพลังงานไฟฟ้าเพื่อมุ่งสู่ Net Zero ส่วนอีกรายเซ็นสัญญา ‘เอ.เจ.พลาสท์ (เวียดนาม)’ ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรแบบ End-to-End Supply Chain & Financial Solution ให้บริการขนย้ายเครื่องจักรจากไทยมายังเวียดนามพร้อมบริการติดตั้งรองรับการขยายโรงงานเฟส 2 และผสานความร่วมมือ Transimex Corporation พาร์ทเนอร์ด้านโลจิสติกส์ในเวียดนามร่วมให้บริการ เดินหน้าเจรจาขยายโอกาสรับงานก่อสร้างและบริหารคลังสินค้าหลังใหม่

วันที่ 10 เมษายน 2568 นายบรรณ เกษมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD  ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า จากแผนธุรกิจของบริษัทฯ ในปี 2568 ที่มุ่งเน้นการขยายธุรกิจต่างประเทศเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลัก โดยมีเวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่โฟกัสการขยายธุรกิจ เนื่องจากเศรษฐกิจมีศักยภาพเติบโตสูงและมีแนวโน้มได้รับผลบวกจากการเคลื่อนย้ายและขยายฐานการผลิตจากจีนมายังภูมิภาคอาเซียน เพื่อลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้า บริษัทฯ จึงวางแผนรุกขยายการให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน รวมถึงต่อยอดความเชี่ยวชาญสู่การให้บริการแบบ End-to-End Supply Chain & Financial Solution แก่ลูกค้าผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในเวียดนามทั้งที่อยู่ในเครือ SCG และลูกค้าทั่วไปอย่างต่อเนื่องในปีนี้

โดยล่าสุด บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ (เวียดนาม) จำกัด หรือ SCGJWD Logistics (Vietnam) Co., Ltd. (เดิมชื่อ SCG International Vietnam) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ SJWD ถือหุ้น 100% ได้เซ็นสัญญารับงานใหม่จากลูกค้า 2 รายในประเทศเวียดนาม ได้แก่ (1) Vina Kraft Paper Co., Ltd. (VKPC) ใน SCGP ผู้ผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ชั้นนำในประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท สยามคราฟท์อุตสาหกรรม จำกัด ใน SCGP และ Rengo Company Limited ประเทศญี่ปุ่น และ (2) บริษัท เอ.เจ.พลาสท์ (เวียดนาม) จำกัด ผู้ผลิตแผ่นฟิล์มพลาสติกสำหรับบรรจุภัณฑ์ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ และ บมจ.เอ.เจ.พลาสท์ โดยมีมูลค่างานรวมกันกว่า 450 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นคงแก่ผลการดำเนินงานและเพิ่มรายได้ในเวียดนาม

สำหรับ เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ (เวียดนาม) ได้เซ็นสัญญาให้บริการโลจิสติกส์แก่ Vina Kraft Paper ต่อเนื่องอีก 4 ปี (ปี 2025 – 2028) เพื่อให้บริการขนส่งกระดาษรีไซเคิลมายังโรงงานของ Vina Kraft Paper และความร่วมมือในโครงการปรับเปลี่ยนมาใช้ยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าภายในโรงงานและคลังสินค้าของ Vina Kraft Paper เช่น การทยอยเปลี่ยนรถโฟลค์ลิฟท์ดีเซล เป็นรถโฟลค์ลิฟท์ไฟฟ้า (EV Forklift) เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero และศึกษาความคุ้มค่าในการลดต้นทุนโลจิสติกส์

นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม SJWD กล่าวว่า ขณะที่การเซ็นสัญญากับ เอ.เจ.พลาสท์ (เวียดนาม) จะขยายบริการแบบ End-to-End Supply Chain & Financial Solution เพื่อรองรับการขยายโรงงานเฟส 2 โดยจะให้บริการขนย้ายเครื่องจักรจากโรงงาน เอ.เจ.พลาสท์ ในประเทศไทยมายังเวียดนามด้วยการขนส่งทางเรือ บริการติดตั้งเครื่องจักร รวมถึงเป็นผู้บริหารคลังสินค้าในโรงงานเฟส 2 หลังจากติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จและเริ่มการผลิต โดยมี Transimex Corporation พาร์ทเนอร์ด้านโลจิสติกส์ของบริษัทฯ ในเวียดนาม ร่วมให้บริการเคลื่อนย้ายเครื่องจักรออกจากตู้คอนเทนเนอร์และการขนส่งในเวียดนาม

นอกจากนี้ เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ (เวียดนาม) มีแผนเจรจาเพื่อขยายการให้บริการแก่ เอ.เจ.พลาสท์ (เวียดนาม) ที่มีแผนก่อสร้างคลังสินค้าหลังใหม่ โดยจะเป็นผู้ลงทุนและก่อสร้างคลังสินค้าแห่งใหม่ในรูปแบบ Built-to-Suit ตามความต้องการของลูกค้า เพื่อส่งมอบหรือให้เช่าระยะยาว พร้อมรับบริหารคลังสินค้าและให้บริการโลจิสติกส์

“บริษัทฯ กำลังรุกขยายบริการในรูปแบบ End-to-End Supply Chain & Financial Solution ในเวียดนาม เพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละราย ช่วยเพิ่มรายได้ต่อโปรเจกต์ นอกจาก เอ.เจ.พลาสท์ (เวียดนาม) ที่ได้รับงานใหม่ กำลังเจรจากับลูกค้าอีกรายในเวียดนาม คาดว่าจะได้ข้อสรุปครึ่งปีหลังของปีนี้” นายชวนินทร์ กล่าว

"ท่าเรือยูนิไทย" เปิดตัวอุปกรณ์ปั้นจั่นพลังงานไฟฟ้ายกตู้สินค้าชุดใหม่ ยกระดับอุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์

บริษัท ยูไนเต็ด ไทย ชิปปิ้ง จำกัด หรือ ท่าเรือยูนิไทย ได้รับมอบอุปกรณ์ปั้นจั่นพลังงานไฟฟ้ายกตู้สินค้าชุดใหม่หน้าท่า (New Ship-To-Shore Crane) จาก Wuxi HuaDong Heavy Machinery Co.,Ltd (HDHM) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงในอุตสาหกรรมเครื่องจักรสำหรับท่าเรือ เชี่ยวชาญในการผลิตปั้นจั่นหลายประเภท พร้อมยกระดับมาตรฐานการให้บริการที่มีความรวดเร็วและแม่นยำในการยกและเคลื่อนย้ายตู้สินค้า เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของท่าเรือ บริการขนส่ง ระบบโลจิสติกส์ และการจัดการคลังสินค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เดินหน้าผู้นำอุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์

สำหรับพิธีเปิดอุปกรณ์ปั้นจั่นพลังงานไฟฟ้ายกตู้สินค้าชุดใหม่หน้าท่า (New Ship-To-Shore Crane) ได้รับเกียรติจาก คุณชิรพงค์ ก่อกิจสัมมากุล Head of Thailand Shipping and Logistics  บริษัท ยูไนเต็ด ไทยชิปปิ้ง จำกัด, คุณวศะ จันทร์แสงสุก ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป ท่าเรือยูนิไทย (Unithai Container Terminal),คุณจรรย์จิรา พนิตพล Head, Corporate office Thailand , คุณสุภารัตน์ เอกจิตราอมร Country Finance Head of Unithai Group , และ Ms. Faye Liu Senior Vice President (Port Equipment Business) เข้าร่วมพิธีตัดริบบิ้นเปิดตัวอย่างเป็นทางการ และได้มีการสาธิตการใช้งานอุปกรณ์ปั้นจั่นพลังงานไฟฟ้าให้แขกผู้เกียรติได้รับชมประสิทธิภาพการทำงาน

นายชิรพงค์ ก่อกิจสัมมากุล Head of Thailand Shipping and Logistics  บริษัท ยูไนเต็ด ไทย ชิปปิ้ง จำกัด  กล่าวว่า “ท่าเรือยูนิไทย ไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาศักยภาพการให้บริการอย่างต่อเนื่อง การนำเทคโนโลยีอันทันสมัย และ AI  มาช่วยในการทำงาน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และการขนส่ง ด้วยประสิทธิภาพที่ล้ำหน้าของเครนใหม่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของท่าเรือยูนิไทย ให้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น  ช่วยควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ  การประหยัดพลังงานด้วยการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน มุ่งเน้นพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว ลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม สอดรับกับการขยายช่องทางการค้าสู่ตลาดใหม่ และการเติบโตของตลาดออนไลน์ การพัฒนาเส้นทางขนส่งที่เชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งระบบธุรกิจขนส่งทางน้ำมีบทบาทสำคัญต่อภาคการค้าระหว่างประเทศ ทั้งด้านการส่งออก การขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุน เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันทางการค้าของประเทศ”

นายวศะ จันทร์แสงสุก ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป ท่าเรือยูนิไทย (Unithai Container Terminal) กล่าวเสริมว่า “ปั้นจั่นยกตู้สินค้าหน้าท่าชุดใหม่นี้ มีขนาดใหญ่กว่าเดิม สามารถรองรับเรือขนส่งสินค้าด้วยระยะจับยกตู้ 14 แถว และเพิ่มประสิทธิภาพในการยกตู้สินค้าได้ถึง 5 ชั้น นอกจากนี้ยังสามารถยกตู้สินค้าได้สูงสุดถึง 40 ตัน ปั้นจั่นยกตู้สินค้าหน้าท่าชุดใหม่นี้ ไม่เพียงแต่เพิ่มความรวดเร็วและความแม่นยำในการยกและเคลื่อนย้ายตู้สินค้า ยังสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเรือได้เป็นอย่างมาก ท่าเรือยูนิไทยยึดมั่นในการพัฒนาและปรับปรุงการให้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การขนส่งสินค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การพัฒนาในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการให้บริการของท่าเรือยูนิไทย ที่จะช่วยให้สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น”

ทั้งนี้ ท่าเรือยูนิไทย ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน ISO 9001:2015 และ ISO 45001:2018 และปฏิบัติตามข้อบังคับว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยของเรือและท่าเทียบเรือระหว่างประเทศ (ISPS CODE) เป็นท่าเรือมาตรฐานระดับสากลที่มีเครื่องมือสำหรับขนถ่ายสินค้าครบวงจร และสถานที่ตั้งเข้าถึงง่าย ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2540 บนทำเลดีเยี่ยมริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาในจังหวัดสมุทรปราการ ทางตะวันออกของกรุงเทพมหานคร สร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ ในการเทียบเรือตู้คอนเทนเนอร์เพื่อขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ให้บริการด้วยเครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับจัดการขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์ที่ทันสมัย ระบบบริหารจัดการท่าเรือที่มีประสิทธิภาพ ลดระยะเวลาการรอรับตู้คอนเทนเนอร์ภายในท่าเรือ (Truck Turn Around Time) บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูง เพื่อนำเสนอบริการที่มีคุณภาพตอบสนองตรงความต้องการของลูกค้า ท่าเรือยูนิไทยมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาศักยภาพและขยายบริการด้านการขนส่งทางน้ำให้มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าและการเติบโตของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์อย่างยั่งยืนในอนาคต