10 วัน จัดเต็ม ร่วมดูแลโลกไปด้วยกัน ที่งาน SX2025

เพราะทุกการกระทำ มีพลังที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้โลกใบนี้ ถึงเวลาเปลี่ยนจากความตั้งใจ ให้กลายเป็นการลงมือทำจริง Sustainability Expo 2025 (SX2025) มหกรรมด้านความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ปี 6 ชวนคุณมาปรับตัว และร่วมมือสู่ทางรอดในวิกฤตโลกรวน เตรียมพร้อมรับมือกับ ภัยพิบัติ และความเปลี่ยนแปลงที่ท้าทายอย่างสุดขั้วที่ทั่วโลกกำลังเผชิญจากการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และสภาพภูมิอากาศของโลก พบกับ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมิติต่างๆ ทั้งด้านสุขภาพ อาหาร และที่อยู่อาศัย รวมถึงเวิร์กชอปที่ส่งเสริมการเรียนรู้ และวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืนกว่า 750 ท่านจากทั่วโลก เต็มอิ่มตลอด 10 วัน กับ 10 กิจกรรม ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน – 5 ตุลาคม 2568  เวลา 10.00 - 20.00  น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 

- รวมงานสัมมนา และเครือข่ายธุรกิจเพื่อความยั่งยืน (B2B) เจาะลึกแนวทางธุรกิจยั่งยืนที่จะสร้างความเชื่อมโยง และความร่วมมือทุกภาคส่วนตั้งแต่ในประเทศไปจนถึงระดับโลก เพื่อค้นหาคำตอบแห่งการอยู่รอดในยุคโลกรวน

- กินเพื่อรักษ์โลก SX FOOD FESTIVAL สัมผัสโลกแห่งอาหารไปกับเชฟและร้านอาหารชื่อดัง ตะลุยมื้ออร่อยพร้อมเสิร์ฟที่ดีต่อสุขภาพและโลก

- สนุกคิด สนุกทดลอง SX KIDS ZONE พื้นที่แห่งการเรียนรู้และจิตนการ เสริมสร้างทักษะ                การปรับตัวเพื่ออยู่รอด และจิตสำนึกรักษ์โลก

- ชอปกระจาย SX MARKETPLACE รวมสินค้าและนวัตกรรมรักษ์โลกสำหรับชีวิตประจำวัน สายกรีน สายอาร์ต และสายคราฟต์ โดยธุรกิจยั่งยืนจากชุมชน และองค์กรชั้นนำ

- ลงมือทำ SX IDEALAB เรียนรู้ ลงมือทำจริง เวิร์คชอปแลกเปลี่ยนไอเดียสร้างสรรค์ไปด้วยกัน

- สนุกกับกิจกรรมสะสมคะแนน SX SHAPER POINT ผ่านแอพพลิเคชั่น SX เพื่อรับของที่ระลึกรักษ์โลก

- เปิดโอกาสพลัง YOUTH เยาวชน ENACTUS WORLD CUP 2025 จากกว่า 30 ประเทศทั่วโลก เวทีแห่งอนาคตคนรุ่นใหม่หัวใจรักษ์โลก ประลองไอเดีย โชว์พลังแห่งการสร้างสรรค์ ที่ร่วมสร้างสมดุลที่ดีให้โลก

- เรียนรู้ค้นพบวิธีปรับตัวเพื่ออยู่รอดของตัวเองในสังคม และโลกอย่างยั่งยืน ผ่าน 5 โซน นิทรรศการหลักภายในงาน SEP INSPIRATION, BETTER ME, BETTER LIVING, BETTER COMMUNITY และ BETTER WORLD

- ถอดรหัสคนทำจริง SX TALK STAGE เวทีที่แบ่งปันประสบการณ์และส่งต่อแรงบันดาลใจที่ทำได้จริงจากองค์กรต้นแบบและนักลงมือทำจากหลากหลายาวงการ

- นิทรรศการ Immersive Multimedia เปิดโลกนิทรรศการมัลติมีเดีย กระตุกต่อมความคิดของการมองโลกในมุมมองใหม่ ปรับตัวให้พร้อมรับมือทุกสถานการณ์

งานเดียวที่ได้อัพเดทเทรนด์ด้านความยั่งยืนทุกมิติ เพื่อก้าวตามให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว พบกับคำตอบของการปรับตัวอย่างชาญฉลาดที่เริ่มต้น และลงมือทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวคุณ เพราะการปรับตัวไม่ใช่แค่การอยู่รอด แต่คือการสร้างทางรอดที่มีความสมดุลบนโลกใบนี้ได้ยั่งยืนอย่างแท้จริง งาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน - วันที่ 5 ตุลาคม 2568  เวลา 10.00-20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC)

AI เปลี่ยนโลกเร็วเกินคาด! สจล. แนะ ไทยต้องรู้เท่าทัน กล้ารับมือและมองเห็นโอกาส

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ชี้คนไทยต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้ใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI)  มาเป็นนักวางกลยุทธ์ และต้องเรียนรู้ว่าอะไรควรป้อนให้ AI และออกแบบโมเดลธุรกิจให้ตอบโจทย์การทำงานในอนาคต เนื่องจาก AI กำลังเปลี่ยนโลกเร็วกว่าที่หลายคนคาดคิด เพราะไม่ใช่แค่เครื่องมืออัจฉริยะ แต่คือพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ศักยภาพเชิงยุทธศาสตร์  โดยจะเห็นว่ามีหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ในปัจจุบันทุ่มเงินลงทุนมหาศาลเพื่อแย่งชิงความได้เปรียบด้านข้อมูลและเทคโนโลยี ดังนั้น AI ในวันนี้จึงไม่ใช่แค่ข้อมูล (Data) แต่คือการถ่ายทอดองค์ความรู้ของมนุษย์ในทุกมิติ

วันที่ 15 กรกฎาคม 2568 รองศาสตราจารย์ ดร.ศิริเดช บุญแสง อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และกรรมการสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย กล่าวว่า  ในปัจจุบัน AI มีขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีไปไกลมากเทียบเท่าคนที่จบวุฒิการศึกษาสูงๆ ที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปี และกำลังทำหน้าที่แทนผู้เชี่ยวชาญในหลายอาชีพไม่เว้นแม้แต่แพทย์หรือวิศวกร ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะภายในเวลาไม่ถึง 5 ปีข้างหน้า จะเริ่มเห็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าเกิน 1,000 ล้านดอลลาร์ แต่มีพนักงานเพียงคนเดียว ที่เหลือเป็นหุ่นยนต์หรือระบบ AI ทั้งหมด และในปัจจุบันเริ่มเห็นเค้าโครงแล้วในบางธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในปัจจุบันที่เน้นนำระบบอัตโนมัติมาทำงานเป็นหลักแทนแรงงานคน

ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าสงคราม AI จึงไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่คืออำนาจเชิงโครงสร้าง และการแข่งขันของมหาอำนาจ เช่น สหรัฐฯ และจีน ที่ทุ่มเงินระดับมหาศาล โดยบางบริษัทลงทุนสูงถึง 3 - 5 เท่าของ GDP ประเทศไทย ยกตัวอย่างล่าสุดการที่ Meta ซื้อผู้เชี่ยวชาญด้าน AI อย่าง Alexandr Wang และ Google ที่ลงทุนซื้อโรงงานไฟฟ้าเพื่อรองรับระบบประมวลผล AI 

AI ในปัจจุบันสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์มนุษย์ผ่านการจัดลำดับข้อมูล เช่น ระบบ RLHF (Reinforcement Learning with Human Feedback) โดยผู้พัฒนา AI ระดับโลกอย่าง OpenAI, Scale AI และบริษัทจากจีน ต่างถือข้อมูลขนาดใหญ่และมีทีมทำข้อมูลไลเบอริ่งเพื่อป้อน AI เสมือนว่า AI ไม่ได้แค่คิดได้ แต่มันดูดซับความรู้มนุษย์ ซึ่ง AI ไม่ใช่แค่ Data แต่คือการถ่ายโอนความรู้ทุกแขนง ดังนั้น คนไทยต้องเปลี่ยนจากการใช้ AI ตามใจมาเป็นการใช้ AI อย่างมีกลยุทธ์ และต้องรู้ว่าข้อมูลแบบไหนควรป้อน AI ขณะเดียวกันต้องคิด Business Model ให้เป็นว่าใครจะลงทุน ใครจะได้ประโยชน์ คือ เราต้องมอง Business Model ให้ออกว่า ใครคือลูกค้า ใครคือผู้ใช้ ใช้งบประมาณเท่าไร มีใครพร้อมจ่ายไหม เป็นต้น 

รองศาสตราจารย์ ดร.ศิริเดช กล่าวว่า อาชีพที่กำลังถูก AI คุกคาม ได้แก่ โปรแกรมเมอร์ระดับเริ่มต้น นักผลิตสื่อ ที่ปรึกษา ไปจนถึงแพทย์อายุรกรรม ทั้งนี้จะเห็นว่า เมื่อก่อนนักโปรแกรมเมอร์คือฮีโร่ แต่วันนี้ทุกคนเขียนโค้ดได้เหมือนกันหมด โปรแกรมเมอร์จูเนียร์จะอยู่รอดไม่ได้ ถ้าไม่เพิ่มทักษะ หรือแม้กระทั่งแพลตฟอร์มอย่าง TikTok ก็ใช้ AI ในการผลิตคอนเทนต์ ดาราและนักแสดงบางรายถูกแทนที่ด้วย AI ที่สามารถร้อง เต้น และแสดงได้โดยไม่ต้องใช้คนจริง และAI เปลี่ยนทุกวัน และยิ่งใช้งาน ยิ่งก่งขึ้นเรื่อยๆ 

อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้มองว่า AI เป็นภัยคุกคาม แต่เป็นโอกาส เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คนธรรมดาสามารถเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจได้ หากเข้าใจแม้เพียงพื้นฐาน ซึ่งสามารถสร้างแอปพลิเคชันของตัวเอง หรือออกแบบโมเดลธุรกิจใหม่ที่ไม่ต้องใช้คนจำนวนมาก  โดยมีข้อเสนอแนะว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งพัฒนาความสามารถด้านคณิตศาสตร์เพื่อก้าวทันการพัฒนา AI และไม่ตกเป็นเพียงผู้ใช้แบบสะดวกเท่านั้น ทุกวันนี้ เวียดนามกับสิงคโปร์ เขาใช้คณิตศาสตร์พัฒนา AI ส่วนคนไทยยังใช้ AI แบบที่เราชอบ แต่มันไม่พาไปสู่อนาคต และน้องๆ นักศึกษา เราต้องเรียนรู้ และใช้AI อย่างชาญฉลาด เพื่อเพิ่มทักษะความรู้ไปเรื่อยๆ อย่าก๊อบ AI มาส่งการบ้าน เพราะนั่นคือการทำร้ายตัวเองถือเป็นการปิดกั้นการพัฒนาสมองและจะนำไปสู่การไม่เข้าใจจริงในระยะยาว 

“เราควรใช้ AI เพื่อมาพัฒนาตัวเอง โดยการเรียนรู้วิเคราะห์ไปกับสิ่งที่ AI ตอบกลับมา ไม่ใช่แค่นำ AI มาใช้ให้แค่งานจบๆ ไป เพราะนั่นคือสิ่งที่ทำร้ายตัวเรา” รองศาสตราจารย์ ดร.ศิริเดช กล่าว

เนสกาแฟส่งแคมเปญ “NESCAFÉ Make Your World” ปลุกคอกาแฟไทย เปลี่ยนแปลงโลกที่ดีขึ้น

นายวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า เปิดเผยว่า ปี 2023 เป็นปีที่เนสกาแฟประสบความสำเร็จสูงสุดด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดโดยรวมสูงสุดในรอบ 5 ปี ในฐานะผู้นำระดับโลกและแบรนด์กาแฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก เรารู้ดีว่า โลกมีการเปลี่ยนแปลงไป และผู้บริโภคก็มีความต้องการที่เปลี่ยนไปเช่นกัน เนสกาแฟจึงพัฒนาจุดยืนของแบรนด์ให้แข็งแกร่ง พัฒนาจากการเป็นเครื่องดื่มประจำวันที่ทำให้ผู้คนตื่น มาเป็นเครื่องดื่มที่สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีคุณค่า ในวันนี้ เราภูมิใจมากทีประเทศไทยเป็นประเทศแรก ๆ ที่ได้เปิดตัว “NESCAFÉ Make Your World” ซึ่งเป็นแนวคิดระดับโลกของเนสกาแฟ สื่อสารหัวใจแบรนด์ในการเปิดรับสิ่งดี ๆ มองโลกในแง่ดี และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนบนโลกทุกวัน พร้อมสะท้อนถึงการนำความเชี่ยวชาญและขนาดในการดำเนินธุรกิจครอบคลุมทั่วโลกของเนสกาแฟ มาเปิดพลังกาแฟได้อย่างลงตัว

นางสาวศรีประภา จิงประเสริฐสุข ผู้จัดการธุรกิจกาแฟสำเร็จรูปและครีมเทียม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับ “NESCAFÉ Make Your World” ในประเทศไทย ถูกพัฒนาภายใต้บริบทของคนไทยเพื่อเข้าถึงคอกาแฟอย่างต่อเนื่อง เนสกาแฟตั้งใจนำคอนเซ็ปต์ดังกล่าวส่งมอบให้คนไทยได้สัมผัสผ่านกลุ่มผลิตภัณฑ์กาแฟที่หลากหลายตอบโจทย์คอกาแฟชาวไทย โดยหนึ่งในไฮไลต์คือการปล่อยภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ซึ่งถึงเป็นครั้งแรกกับการเปิดตัวโฆษณาโทรทัศน์ความยาว 90 วินาที กับ 6 เรื่องจริงที่สร้างแรงบันดาลใจ จัดเต็มสื่อเข้าถึงคนไทยทั่วประเทศ รวมทั้งเดินหน้าจัดงานระดับเมกะอีเวนต์ให้คอกาแฟตลอด 9 วันเต็ม โดยคาดว่าแคมเปญนี้จะเข้าถึงผู้บริโภคกว่า 50 ล้านคนทั่วประเทศ และตอกหมุดความเป็นผู้นำตลาดกาแฟในประเทศไทยของเนสกาแฟอย่างเหนียวแน่น

แนวคิด “Make Your World โลกของคุณ...สร้างแรงบันดาลใจให้ใครอีกหลายคน” มุ่งสะท้อนว่า เราทุกคนไม่รู้หรอกว่า แต่ละคนจะมีอิทธิพลต่อโลกใบนี้แค่ไหน ในทุก ๆ วันที่คุณปลุกตัวเองออกไปใช้ชีวิต คุณได้กำลังปลุกโลกของใครอีกหลายคนและหมุนโลกของเราไปข้างหน้า ความสนุกของคุณอาจทำให้คนอื่นยิ้มได้แบบไม่รู้ตัว ความมุ่งมั่นที่คุณลงมือทำบางสิ่ง อาจเป็นแรงบันดาลใจให้ใครบางคน หรือ การไม่อ่อนข้อให้กับสิ่งธรรมดา อาจสร้างมาตรฐานใหม่ เปิดมุมมองใหม่ให้กับโลก ซึ่งแนวคิดนี้เป็นสิ่งที่ใกล้ตัวและอยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคน เนสกาแฟในฐานะแบรนด์ผู้นำตลาดที่อยู่เคียงข้างคนไทยตลอดมา มีความตั้งใจที่จะสนับสนุนให้ทุกคนมองเห็นคุณค่าและความสำคัญในทุก ๆ การกระทำของตัวเองที่มีต่อทั้งคนรอบข้างและโลกของเรา  และมุ่งมั่นเป็นกาแฟแก้วที่อยู่เคียงข้างคุณเสมอในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อโลกที่ดีขึ้น 

เจาะลึก 3 กลยุทธ์เนสกาแฟสร้างการมีส่วนร่วมกับคอกาแฟ

ในปีนี้ เนสกาแฟมุ่งขับเคลื่อน 3 กลยุทธ์ปลุกโลกคอกาแฟ เริ่มต้นด้วย กลยุทธ์ที่ 1 ปักหมุดจุดยืนแบรนด์ ไม่ใช่แค่เครื่องดื่มที่ปลุกให้ตื่น แต่ปลุกแรงบันดาลใจให้คนไทย จากการเป็นเครื่องดื่มกาแฟยอดขายอันดับหนึ่งที่ปลุกให้ทุกคนตื่นในแต่ละวัน มาเป็นเครื่องดื่มที่สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนออกมาสร้างการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ให้กับโลกของเรา ส่งเสริมให้ผู้คนมองเห็นศักยภาพของตัวเอง โดยมีเนสกาแฟของเราเป็นตัวช่วยที่จะปลุกคุณออกไปชีวิตอย่างเต็มศักยภาพ พร้อมคว้าโอกาสดี ๆ ในแต่ละวัน 

เริ่มด้วยการเปิดตัว ภาพยนตร์โฆษณาชุด “NESCAFÉ Make Your World” จาก 6 เรื่องจริงของบุคคลต้นแบบและพรีเซนเตอร์ของเนสกาแฟ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของโลกแต่ละใบที่ทำสิ่งเล็ก ๆ แต่สามารถเป็นแรงขับเคลื่อนสู่สร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นถึงคนรอบข้างและโลกของเรา ที่พิเศษไปกว่านั้น คือ เนสกาแฟยังได้นำเอาเพลงฮิตที่ทุกคนคุ้นเคยอย่าง “เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ” มาเรียบเรียงใหม่และร้องโดยเจฟและเจมีไนน์ เพื่อเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์โฆษณา ซึ่งจะเริ่มออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ และสื่อดิจิทัลตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2567 เป็นต้นไป พร้อมทั้งต่อยอดสู่การจัดงานอีเวนต์ครั้งยิ่งใหญ่ส่งต่อแรงบันดาลใจให้คนไทยในงาน “NESCAFÉ Make Your World” ระหว่างวันที่ 13-21 มกราคม 2567 ณ EM Market Hall ชั้น G  

เอ็มสเฟียร์ โดยภายในงานประกอบด้วยโซนกิจกรรมมากมาย เช่น การสร้างสรรค์โลกของคุณด้วยเทคโนโลยี AI สุดล้ำ และสนุกกับ Immersive Painting ที่สร้างการเข้าถึงและสร้างแรงบันดาลให้กับผู้บริโภค ในการมีส่วนร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงในแบบของตัวเอง

นอกจากนี้ตามมาติด ๆ กับแผนการเปิดตัวแคมเปญและกิจกรรมเพื่อผู้บริโภคภายใต้คอนเซ็ปท์ “NESCAFÉ Make Your World” อย่างต่อเนื่องจากแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ เริ่มด้วย เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู ที่จะประเดิมจัดงาน Perfect Mix ในวันที่ 26-28 มกราคม 2567 ที่สยามสแควร์วัน

กลยุทธ์ที่ 2 นำเสนอผลิตภัณฑ์กาแฟที่หลากหลายตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความชื่นชอบที่แตกต่างของคอกาแฟชาวไทย เนสกาแฟให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาสินค้าให้ทันยุคสมัย ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และเดินหน้าต่อเพื่อส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วย 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1) การผสมผสานที่ลงตัวสู่รสชาติที่กลมกล่อม กับ เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู กาแฟปรุงสำเร็จ ที่มีหลากหลายถึง 7 รสชาติ 2) รสชาติกาแฟแท้จากจิตวิญญาณของเมล็ดกาแฟคุณภาพสูงใน เนสกาแฟ เรดคัพ 3) กาแฟที่คราฟต์ในทุกรายละเอียดโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อยกระดับประสบการณ์กาแฟพรีเมียม กับเนสกาแฟ โกลด์ 4) ความเข้มเต็มรสชาติที่ส่งมอบพลังขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย จาก เนสกาแฟกระป๋อง โดยเนสกาแฟตั้งเป้าแจกผลิตภัณฑ์ส่งถึงมีผู้บริโภคชาวไทยทั่วประเทศตลอดทั้งปีผ่านคาราวาน โรดโชว์ และกิจกรรมชงชิมรวมกว่า 5.5 ล้านแก้วทั่วประเทศ

กลยุทธ์ที่ 3 สานต่อโครงการด้านความยั่งยืนช่วยเหลือเกษตรกรไทย ด้วยการเกษตรเชิงฟื้นฟู เนสกาแฟมุ่งดำเนินงานความยั่งยืนภายใต้โครงการเนสกาแฟ แพลนใน 2 ด้านหลัก ได้แก่ การพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ โดยกว่า 40 ปีแล้วที่เนสกาแฟได้ฝึกอบรมเกษตรกรกว่า 2,900 คน และมอบต้นกล้ากาแฟพันธุ์ดีให้เกษตรกว่า 4 ล้านต้น ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยรายได้สุทธิจากฟาร์มปลูกกาแฟเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 88% ในปี 2565 เมื่อเทียบกับปี 2561 และด้านที่ 2 คือการส่งเสริม “การเกษตรเชิงฟื้นฟู” (Regenerative Agriculture) เพื่อดูแลและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยผลิตภัณฑ์ของเนสกาแฟ ในประเทศไทย ได้ผ่านการจัดหาเมล็ดกาแฟด้วยความรับผิดชอบอย่างยั่งยืน 100% 

นอกจากนี้ เนสกาแฟ ยังมุ่งมั่นในการ เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ให้สามารถนำไปรีไซเคิลได้ โดยมีนวัตกรรมด้านบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก ได้แก่ ซองเนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู ที่เปลี่ยนมาใช้พลาสติกตระกูลเดียวกัน หรือ Mono Structure เนสกาแฟกระป๋องพร้อมดื่ม ที่ผลิตจากอะลูมิเนียม 100% และบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากกระดาษในกลุ่มผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู น้ำตาลน้อย และ เนสกาแฟ โพรเทค โพรสลิม ทั้งนี้ โครงการด้านความยั่งยืนของเนสกาแฟทั้งหมดจะมีส่วนช่วยให้เนสท์เล่บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2050 

สำหรับงานอีเวนต์ NESCAFÉ Make Your World จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-21 มกราคม 2567 เวลา 10.00-21.00 น. 
ณ EM Market Hall ชั้น G  เอ็มสเฟียร์ คอกาแฟที่สนใจปลุกแรงบันดาลใจผ่านกิจกรรมสุดล้ำจากเนสกาแฟ สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย รับรองว่าจะได้รับความสนุกและแรงบันดาลใจเพื่อการเริ่มต้นปีใหม่ที่ดีกลับไปอย่างแน่นอน 
โดยสามารถติดตามรายละเอียดของงานได้ที่ FACEBOOK NESCAFÉ.TH