CKPower เผยกำไรสุทธิครึ่งปี 2568 เติบโตต่อเนื่อง รับรู้กำไรจากบริษัทร่วม หนุนภาพรวมแข็งแกร่ง คาด Q3 รับอานิสงส์ฤดูกาล

CKPower เผยกำไรสุทธิครึ่งปี 2568 เติบโตต่อเนื่อง รับรู้กำไรจากบริษัทร่วม หนุนภาพรวมแข็งแกร่ง คาด Q3 รับอานิสงส์ฤดูกาล
 
นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower (ชื่อย่อหลักทรัพย์: CKP) หนึ่งในผู้นำในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคและมีคาร์บอนฟุตพรินต์ที่ต่ำที่สุดรายหนึ่ง เปิดเผยผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทร่วมในไตรมาสที่ 2/2568 และครึ่งปีแรกของปี 2568 (มกราคม - มิถุนายน 2568) ว่า CKPower มีผลการดำเนินงานทำกำไรโตต่อเนื่องจากไตรมาสแรกของปีนี้ โดยบริษัทฯ รับรู้กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (Core Net Profit) ในไตรมาส 2 และงวด 6 เดือนปี 2568 จำนวน 353.0 และ 416.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 204.3 และ 509.2 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 137.4 และ ร้อยละ 548.1 ตามลำดับ

 
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 และงวด 6 เดือนปี 2568 เพิ่มขึ้น ปัจจัยสำคัญมาจากปริมาณน้ำไหลผ่านโรงไฟฟ้าเฉลี่ยที่มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนและต้นทุนทางการเงินของ บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (XPCL) ลดลงตามแนวโน้มดอกเบี้ยโลก ขณะที่รายได้จากการขายไฟฟ้าของ บริษัท ไฟฟ้าน้ำงึม 2 จำกัด (NN2) ลดลงร้อยละ 3.4 และ 0.3 ตามลำดับ แม้ปริมาณการขายไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นจากปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำช่วงต้นปีและปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำในปี 2568 ที่มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินบาทส่งผลต่ออัตราค่าไฟฟ้าของ NN2 และ XPCL ที่บางส่วนเป็นเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐ นอกจากนี้การรับรู้ส่วนแบ่งจากบริษัทร่วม บริษัท หลวงพระบาง พาวเวอร์ จำกัด (LPCL) ส่วนใหญ่เกิดจากผลบวกของอัตราแลกเปลี่ยนจากการแปลงมูลค่าหนี้สินสกุลดอลลาร์
 

นายธนวัฒน์กล่าวอีกว่า CKPower คาดว่าผลการดำเนินในครึ่งปีหลังของปี 2568 ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ในไตรมาส 3 ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำ NN2 เริ่มเพิ่มมากขึ้นตามฤดูกาล โดยครึ่งปีแรกมีน้ำไหลเข้าสะสม 1,315 ล้านลูกบาศก์เมตร สูงกว่าปีก่อนร้อยละ 45.2 ส่งผลให้ NN2 สามารถประกาศความพร้อมจ่ายไฟฟ้าเดือนมกราคม-สิงหาคมมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณร้อยละ 14.7 ขณะเดียวกัน คาดว่าปริมาณน้ำไหลเข้า NN2 และ XPCL  จะยังสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะ XPCL ได้เดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตแล้วตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อีกทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายปี 2567 และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ยังช่วยลดต้นทุนดอกเบี้ยและหนุนผลการดำเนินงาน CKPower
 
"สำหรับโครงการไฟฟ้าพลังน้ำ หลวงพระบาง (LPCL) มีความคืบหน้าการก่อสร้าง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 อยู่ที่ร้อยละ 53 ซึ่งเป็นไปตามแผน ขณะที่โครงการไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ สำหรับผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าให้กับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) ในระยะแรกจำนวน 3 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้ง 7.0 MW ณ ปัจจุบันเริ่มผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้ว 1 โครงการเมื่อเดือนธันวาคม 2567 ขณะที่อีก 2 โครงการปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างดำเนินการด้านใบอนุญาตกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2568" นายธนวัฒน์ กล่าวเสริม
 

ด้านฐานะการเงินของ CKPower ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 นั้น บริษัทฯ มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 จากสิ้นปี 2567 มีสาเหตุมาจากการทยอยลงทุนเพิ่มเติมใน LPCL ผนวกกับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนปี 2568 ของ XPCL และเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเพิ่มขึ้นจากการออกหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมครั้งที่ 1/2568 ของบริษัท มูลค่า 5,000 ล้านบาท ในเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยที่แข็งแกร่ง สะท้อนผ่านอัตราส่วนสภาพคล่อง ณ สิ้นไตรมาส 2 อยู่ที่ 1.60 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมอยู่ในระดับต่ำที่ 0.56 เท่า บ่งชี้ถึงฐานะการเงินที่มั่นคงและความสามารถในการบริหารสภาพคล่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งบริษัทจะยังคงติดตามการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยและบริหารจัดการหนี้สินระยะยาวให้มีสัดส่วนที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง
 
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา CKPower เผชิญกับความท้าทายหลากหลายปัจจัย ทั้ง ปัจจัยทางธรรมชาติ ความผันผวนของเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและของโลกที่ส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยและราคาก๊าซธรรมชาติ แต่ด้วยการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ผนวกกับการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาปรับใช้และมีทรัพยากรบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ทำให้ CKPower ปรับตัวได้อย่างยืดหยุ่นท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก้าวเดินต่อจากนี้ บริษัทมีแผนเพิ่มสัดส่วนการผลิตพลังงานหมุนเวียน ทั้ง พลังงานน้ำและพลังงานแสงอาทิตย์ ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรมลดการใช้พลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้า ควบคู่ไปกับการสร้างความตระหนักรู้การอนุรักษ์พลังงานตลอดห่วงโซ่คุณค่าขององค์กร มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ที่ภายในปี 2593“ นายธนวัฒน์ กล่าว
 
 

GPSC ร่วมเวที SMR School แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ รองรับแผนพัฒนาโรงไฟฟ้า SMR เพิ่มความมั่นคงพลังงานสะอาดในประเทศ

GPSC ร่วมเวที SMR School แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ รองรับแผนพัฒนาโรงไฟฟ้า SMR เพิ่มความมั่นคงพลังงานสะอาดในประเทศ

นายศิริเมธ ลี้ภากรณ์ ผู้จัดการใหญ่และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท.ร่วมพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ Small Modular Reactor School : Interregional Workshop on Key Aspects of SMR Development and Deployment ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง GPSC บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) และทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) โดยมีการแลกเปลี่ยนความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ 11 ประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมในการพัฒนาโรงไฟฟ้า SMR ของไทยในอนาคต ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายนำไปสู่การแสวงหาพันธมิตรและเทคโนโลยีทั้งในและต่างประเทศ เสริมสร้างศักยภาพด้านพลังงานของไทย ณ สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กรุงเทพมหานคร

CKPower คว้ารางวัล Asia’s Best Companies 2025 จากนิตยสาร FinanceAsia ตอกย้ำความเป็นเลิศด้านการบริหารจัดการระดับภูมิภาค

บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower (ชื่อย่อหลักทรัพย์: CKP) หนึ่งในผู้นำในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคและมีคาร์บอนฟุตพรินต์ที่ต่ำที่สุดรายหนึ่ง ได้รับรางวัลระดับ Bronze ในกลุ่มบริษัทที่มีการบริหารจัดการที่ยอดเยี่ยม (Best Managed Company) จากเวทีประกาศรายชื่อสุดยอดบริษัทแห่งเอเชีย 2568 (Asia’s Best Companies Poll 2025) จัดโดยนิตยสาร FinanceAsia ฮ่องกง ซึ่งเป็นหนึ่งในสื่อด้านการเงินการลงทุนชั้นนำของภูมิภาค ซึ่งมอบรางวัลให้แก่องค์กรชั้นนำของเอเชีย จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้จัดการกองทุน นักวิเคราะห์ นักลงทุน และนักวิเคราะห์ทั่วภูมิภาคเอเชีย โดยพิจารณาจากมิติแห่งความเป็นเลิศหลายปัจจัย อาทิ การวางกลยุทธ์องค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ความโปร่งใสในการสื่อสารกับนักลงทุน การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน รวมถึงความสามารถในการปรับตัวและรักษาเสถียรภาพของธุรกิจ ท่ามกลางบริบทเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
 
วันที่ 18 ก.ค.68 นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การได้รับรางวัลในครั้งนี้สะท้อนถึงความสำเร็จของ CKPower ในการบริหารจัดการธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล ตลอดจนความสามารถในการรักษาเสถียรภาพ แม้อยู่ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ผันผวน และบริบทของโลกที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน โดยขับเคลื่อนผ่านกลยุทธ์สู่ความยั่งยืน "C-K-P" ซึ่งประกอบไปด้วย C – ไฟฟ้าสะอาด (Clean Electricity) มุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั้งหมดภายในปี 2586 และเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน มากกว่า 95% ภายในปีเดียวกัน รวมถึงเดินหน้าสู่ Net Zero ภายในปี 2593, K – เพื่อนบ้านที่ดี (Kind Neighbor) สนับสนุนการเคารพสิทธิมนุษยชนและชุมชน โดยดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบจริยธรรม ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน พร้อมส่งเสริมคุณภาพชีวิตชุมชนผ่านการพัฒนาพลังงานสะอาดและโครงการด้านสังคมและ P – พันธมิตรที่ยั่งยืน (Partnership for Life) ขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการขยายฐานลูกค้าและการเติบโตในภูมิภาค
 
"สำหรับก้าวเดินต่อจากนี้ CKPower ได้วางแผนเพิ่มสัดส่วนการผลิตพลังงานหมุนเวียน ทั้ง พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ โดยตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตจากโครงการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งในรูปแบบ Private PPA และ ยื่นประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเพิ่มเติมจากภาครัฐ ควบคู่ไปกับการขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (RECs) ด้านโครงการไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ ที่ร่วมกับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM คาดว่าจะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ครบทั้งหมดในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 ขณะที่โครงการไฟฟ้าพลังน้ำ หลวงพระบาง คาดว่าจะสามารถเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ตามแผนในปี 2573 โดยบริษัทได้วางเป้าหมายการเติบโตในด้านการพัฒนาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสร้างรากฐานความมั่นคงทางพลังงาน ตลอดจนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน " นายธนวัฒน์ กล่าวเสริม


 

"BPP" เผย 5 เทรนด์อนาคตพลังงาน สร้างความมั่นคง-ลด CO₂     

BPP เผย 5 เทรนด์อนาคตพลังงาน สร้างความมั่นคง-ลด CO₂     

ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านพลังงาน เมื่อความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากหลายปัจจัย เช่น อุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าแทนเชื้อเพลิงอื่นๆ (Electrification) และการเข้าสู่ยุคดิจิทัล (Digitalization) ที่ทุกอย่างเชื่อมโยงผ่านเทคโนโลยี ขณะเดียวกันความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์และแรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้ทุกภาคส่วนเร่งสร้างระบบพลังงานที่มั่นคงและยั่งยืน โดยเทคโนโลยีและนวัตกรรมพลังงานมีบทบาทสำคัญในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตและการใช้พลังงาน ที่เพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่น พร้อมเดินหน้าสู่ความมั่นคงด้านพลังงานและการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจให้สอดรับกับภูมิทัศน์พลังงานที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป (Energy Landscape Transformation) บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ในฐานะผู้ผลิตพลังงานระดับสากล ได้รวบรวม 5 เทรนด์พลังงานสำคัญที่องค์กรธุรกิจควรจับตา ดังนี้ 

1.ความมั่นคงทางพลังงาน ปัจจัยสำคัญผลักดันการลงทุนทั่วโลก 
รายงานล่าสุดจากองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่า “ความมั่นคงทางพลังงาน (Energy Security)” กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้การลงทุนด้านพลังงานทั่วโลกในปี 2025 พุ่งสูงถึง 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยแบ่งเป็นการลงทุนในพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน รวมมูลค่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และการลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น พลังงานหมุนเวียน พลังงานนิวเคลียร์ ระบบโครงข่ายไฟฟ้า และแบตเตอรี่ รวมมูลค่า 2.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและความกังวลด้านความมั่นคงทางพลังงาน ภาครัฐและภาคธุรกิจทั่วโลกจึงเร่งวางแผนรับมือความเสี่ยงรอบด้านผ่านการลงทุนที่สมดุลทั้งในพลังงานดั้งเดิมและพลังงานสะอาดเพื่อรักษาความต่อเนื่องในการใช้ไฟฟ้า สร้างความมั่นใจว่าจะมีไฟฟ้าที่เพียงพอต่อความต้องการใช้งานภายในประเทศอย่างยั่งยืน พร้อมเสริมความมั่นคงทางธุรกิจและเศรษฐกิจระดับประเทศในระยะยาว

2.เทคโนโลยี Co-firing ทางเลือกสู่เป้าหมายลด CO₂
ปัจจุบันโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนยังคงเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าหลักที่ช่วยให้เรามีไฟฟ้าใช้อย่างต่อเนื่อง รองรับการใช้ชีวิตและกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างไม่สะดุด เทคโนโลยี Co-firing คือ การนำเชื้อเพลิงทางเลือก เช่น ชีวมวล (Biomass), ไฮโดรเจน (Hydrogen) และแอมโมเนีย (Ammonia) มาใช้ร่วมกับเชื้อเพลิงหลักอย่างฟอสซิลในโรงไฟฟ้า เพื่อช่วยลดการปล่อย CO₂ โดยหลายประเทศให้ความสนใจและเริ่มทดลองใช้งานจริงอย่างเป็นรูปธรรม เช่น จีน ได้กำหนดให้โรงไฟฟ้าถ่านหินที่ผ่านการปรับปรุงหรือสร้างใหม่ต้องสามารถผสมชีวมวลหรือแอมโมเนียไม่น้อยกว่า 10% ภายในปี 2027 เพื่อบรรลุเป้าหมายลด CO₂ ลง 50% เมื่อเทียบจากระดับการปล่อย CO₂ ในปี 2023 ตามแผนปฏิบัติการ “Low-Carbon Transformation of Coal Power Plants (2024–2027)” ด้านไทย แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP 2024) ได้มีการวางแผนใช้ไฮโดรเจนเริ่มต้นที่ 5% ผสมกับก๊าซธรรมชาตินำร่องใช้ในโรงไฟฟ้าในช่วงปี 2030-2037 ซึ่งเทคโนโลยี Co-firing กำลังเปลี่ยนโฉมโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนแบบเดิมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น 

3.Data Centers โตดันดีมานด์ไฟฟ้าพุ่ง พลังงานหมุนเวียน หนึ่งในทางเลือกที่ตอบโจทย์ 
พลังงานหมุนเวียนเติบโตต่อเนื่องเพื่อตอบรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจดิจิทัลและศูนย์ข้อมูล (Data Centers) โดยองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดว่าภายในปี 2030 ความต้องการใช้ไฟฟ้าจากศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า เป็นประมาณ 945 เทราวัตต์-ชั่วโมง โดยกลุ่มยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี เช่น Amazon Web Services ได้ตั้งเป้าใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ในศูนย์ข้อมูล ภายในปี 2025 ขณะที่ Microsoft และ Google Cloud ได้ขยายความมุ่งมั่นไปสู่การใช้พลังงานที่ปราศจากคาร์บอน (Carbon-Free Energy หรือ CFE) ตลอด 24 ชั่วโมง ภายในปี 2030 อย่างไรก็ตาม พลังงานความร้อนยังคงมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่พลังงานหมุนเวียนไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง รายงานจาก Precedence Research คาดว่า ตลาดโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทั่วโลกจะมีมูลค่า 1.56 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 และจะเติบโตถึง 2.13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2034 นอกจากนี้ เทคโนโลยี ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage: BESS) กำลังมีบทบาทสำคัญในการสำรองและจ่ายไฟฟ้ากลับสู่ระบบในช่วงที่ไม่มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทำให้บริหารความต้องการใช้ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยตลาด BESS ในเอเชียแปซิฟิกคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 14.67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2033 สะท้อนว่า การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานยังคงต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างพลังงานความร้อน พลังงานหมุนเวียน และเทคโนโลยีพลังงาน เพื่อเสริมความมั่นคงและความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้า

4.โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor: SMR) เทคโนโลยีพลังงานสะอาด
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ SMR คือ โรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่ใช้ความร้อนจากปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบฟิชชัน (Nuclear Fission) ในการผลิตไฟฟ้า โดยมีจุดเด่นสำคัญคือ การบริหารจัดการวัสดุกัมมันตรังสีใช้แล้วอย่างมีประสิทธิภาพ และการออกแบบที่ส่งเสริมความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ด้วยระบบระบายความร้อนที่ช่วยรักษาอุณหภูมิให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งเครื่องปฏิกรณ์ถูกออกแบบให้เป็นโมดูลขนาดเล็กช่วยลดระยะเวลาก่อสร้างและติดตั้งจาก 5-6 ปี เหลือเพียง 3-4 ปี โดยมีกำลังผลิตสูงสุดถึง 300 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการผลิตไฟฟ้าได้ต่อเนื่องโดยไม่ปล่อย CO₂ ปัจจุบันหลายประเทศอยู่ระหว่างพัฒนาและทดลองการใช้งาน เช่น จีน มีโครงการ ACP100 หรือ Linglong One กำลังการผลิตประมาณ 125 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ที่มณฑลไห่หนาน คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในปี 2026 ขณะที่ในสหรัฐฯ ได้อนุมัติแบบเครื่องปฏิกรณ์ SMR ขนาด 77 เมกะวัตต์ของ NuScale Power สำหรับไทยในร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ (PDP2024) ได้มีการบรรจุแผนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก 2 แห่ง ขนาดกำลังผลิตแห่งละ 300 เมกะวัตต์ โดยอยู่ระหว่างเตรียมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการพัฒนาในอนาคต เทคโนโลยี SMR จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าจับตามองในการเสริมความมั่นคงด้านพลังงาน และลดการปล่อยคาร์บอนในระยะยาว

5.Grid Modernization อัปเกรดโครงข่ายไฟฟ้าให้ชาญฉลาดและทันสมัยยิ่งขึ้น
Grid Modernization คือ การปรับปรุงระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้ชาญฉลาด ยืดหยุ่น และมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อรองรับแหล่งพลังงานที่หลากหลาย เช่น พลังงานหมุนเวียน และตอบโจทย์การใช้พลังงานในอนาคต โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เช่น ระบบควบคุมอัตโนมัติ การวิเคราะห์ข้อมูล และการจัดการโหลดไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ ช่วยลดการปล่อย CO₂ และรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าโดยรวม ในเอเชียแปซิฟิก ตลาด Grid Modernization คาดว่าจะเติบโตจาก 12.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 เป็นกว่า 51.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2032 ขณะที่สหรัฐฯ ดำเนินโครงการ Grid Resilience and Innovation Partnerships (GRIP) มูลค่า 10.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของโครงข่ายไฟฟ้าในการรับมือกับสภาพอากาศที่ผันผวน ส่วนจีนมีการประกาศแผนลงทุนในระบบโครงข่ายไฟฟ้ามูลค่าสูงถึง 800 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030 เพื่อรองรับความต้องการไฟที่เพิ่มขึ้นและสนับสนุน
การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน

อนาคตพลังงานกำลังขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสร้างระบบพลังงานที่มั่นคง ยืดหยุ่น และลดการปล่อยคาร์บอนอย่างเป็นรูปธรรม แนวโน้มนี้ไม่ได้เป็นเพียงนโยบาย แต่เกิดขึ้นจริงในภาคธุรกิจทั่วโลก ในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจพลังงานใน 8 ประเทศทั่วโลก BPP มุ่งมั่นผลิตและพัฒนาพลังงานคุณภาพสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อสนับสนุนความมั่นคงด้านพลังงานและการเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกประเทศที่ดำเนินธุรกิจ

EGCO Group ปิดดีลเข้าลงทุน 49% โรงไฟฟ้า “Downeast Wind” ในสหรัฐอเมริกา

บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group ปิดดีลการเข้าลงทุน 49% ในโรงไฟฟ้าพลังงานลม Downeast Wind กำลังผลิต 126 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในรัฐเมน สหรัฐอเมริกา โดยเป็นโรงไฟฟ้าแห่งแรกจาก 2 โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในกลุ่มโรงไฟฟ้า Pinnacle ll ที่ EGCO Group ถือหุ้น และเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ทั้งนี้ การลงทุนในโรงไฟฟ้า Downeast Wind จะช่วยสนับสนุนเป้าหมายของ EGCO Group ที่มุ่งเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% ของกำลังผลิตทั้งหมด ภายในปี 2573

วันที่ 20 มิถุนายน 2568 ดร.จิราพร ศิริคำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ EGCO Group เปิดเผยว่า “ตามที่ได้มีการลงนามสัญญาการลงทุนของผู้ถือหุ้น (Equity Capital Contribution Agreement) กับบริษัท Apex Pinnacle II Member, LLC ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท Apex Clean Energy Holdings, LLC เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2568 เพื่อเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 49% ในกลุ่มโรงไฟฟ้า Pinnacle ll นั้น EGCO Group ได้ดำเนินการเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้า Downeast Wind เสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2568”

โรงไฟฟ้า Downeast Wind ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของรัฐเมน ในตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้านิวอิงแลนด์ (ISO-NE) โดยตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในการผลิตพลังงานลมของภูมิภาคนี้ โครงการนี้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเป้าหมายระยะยาวของรัฐเมนในการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน Downeast Wind มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับกลุ่มผู้รับซื้อไฟฟ้าที่มีความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่น่าลงทุน จำนวน 2 ราย เพื่อซื้อขายไฟฟ้าและใบรับรองการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งสัญญาดังกล่าวช่วยรับประกันรายได้ที่มั่นคงและสม่ำเสมอในระยะยาว นอกจากนี้ โรงไฟฟ้าได้จัดหาอุปกรณ์หลักจากผู้ผลิตที่มีชื่อเสียง รวมทั้งมีสัญญาการให้บริการเดินเครื่องและบำรุงรักษา และสัญญาการให้บริการบริหารสินทรัพย์ระยะยาว ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและรับประกันผลการเดินเครื่องและดำเนินงานที่สม่ำเสมอและมีเสถียรภาพ ทั้งนี้ คาดว่าโรงไฟฟ้า Downeast Wind สามารถจ่ายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดให้กับครัวเรือนมากกว่า 37,000 หลังคาเรือนต่อปี และมีส่วนสำคัญในการผลักดันเป้าหมายด้านพลังงานของรัฐเมนที่มุ่งเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้ได้ถึง 80% ภายในปี 2573

“การลงทุนในกลุ่มโรงไฟฟ้า Pinnacle II จะสร้างการเติบโตเพิ่มขึ้นให้แก่ EGCO Group พร้อมทั้งสนับสนุนการต่อยอดและขยายการลงทุนในตลาดพลังงานของสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับกลยุทธ์ “Triple P” ของ EGCO Group ที่มุ่งเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและพลังงานหมุนเวียนเพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว ในขณะเดียวกัน กำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนของโรงไฟฟ้า Downeast Wind จะช่วยสนับสนุนเป้าหมายระยะสั้นของ EGCO Group ที่มุ่งเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% ของกำลังผลิตทั้งหมด ภายในปี 2573” ดร.จิราพร กล่าวสรุป

TSE ลุยประมูลงานใหม่เสริมศักยภาพการทำกำไร เพิ่มมูลค่าให้ผู้ถือหุ้น

TSE ลุยประมูลงานใหม่เสริมศักยภาพการทำกำไร เพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น

นางสาวชนากานต์ เยี่ยมวิญญะ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายบัญชี พร้อมด้วย นางสาววีณัชฐย นีรภาพิธุกานต์ เจ้าหน้าที่นักลงทุนสัมพันธ์อาวุโส บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TSE ร่วมนำเสนอข้อมูลผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 ในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) บนแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยระบุว่า บริษัทฯมีรายได้รวม 345 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันปีก่อนมีรายได้ 312 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 65 ล้านบาท จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และโรงไฟฟ้าชีวมวลของกลุ่มบริษัทฯ ที่สามารถดำเนินกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพจากการดำเนินงานปกติ  อีกทั้งได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่อง และปัจจุบันอยู่ระหว่างการเข้าร่วมประมูลและจัดหาโครงการใหม่เพื่อสร้างรายได้ เสริมศักยภาพการทำกำไร และเพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น มุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้นที่บริษัทฯ

 

 

CKPower ประสบความสำเร็จ ออก Green Bond ครั้งแรก 5,000 ล้านบาท ยอดจองท่วมท้น สะท้อนความเชื่อมั่นผู้ลงทุน

CKPower ประสบความสำเร็จ ออก Green Bond ครั้งแรก 5,000 ล้านบาท ยอดจองท่วมท้น สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนต่อ CKPower ที่มุ่งขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

วันที่ 10 มิถุนายน 2568 นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower (ชื่อย่อหลักทรัพย์: CKP) หนึ่งในผู้นำในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคและมีคาร์บอนฟุตพรินต์ที่ต่ำที่สุดรายหนึ่ง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 5, 6 และ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา CKPower ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการเสนอขายหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 4 ชุด มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท โดยมียอดจองเกินวงเงินที่เสนอขายเป็นจำนวนมาก สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ CKPower ในฐานะองค์กรที่มีพื้นฐานทางการเงินที่มั่นคง การบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาล และวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสะอาด พร้อมทั้งมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ครอบคลุมทุกมิติของห่วงโซ่อุปทาน
 

ทั้งนี้ เงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ดังกล่าวจะนำไปลงทุนในโครงการไฟฟ้าพลังน้ำ หลวงพระบาง ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างของบริษัทเป็นหลัก และส่วนที่เหลือจะใช้เพื่อชำระคืนตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี โดยหุ้นกู้มีจำนวน 4 ชุด ประกอบด้วย
• หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี จำนวน 1,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3.15 ต่อปี
• หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 4 ปี จำนวน 1,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3.30 ต่อปี
• หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 5 ปี จำนวน 1,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3.45 ต่อปี 
• หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 10 ปี จำนวน 2,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3.90 ต่อปี โดยผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนด

“CKPower ต้องขอขอบคุณนักลงทุนที่ไว้วางใจและเชื่อมั่นในหุ้นกู้และการดำเนินงานของบริษัทที่มีทีมงานที่มีประสิทธิภาพ มีความแข็งแกร่งด้านการเงิน และมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และขอขอบคุณผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ที่มีส่วนผลักดันให้การออกหุ้นกู้ของบริษัทในครั้งนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี” นายธนวัฒน์กล่าว
 

สำหรับหุ้นกู้ของ CKPower นี้ ทริสเรทติ้งได้จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ทุกชุดของ CKPower ที่อันดับ “A-“ แนวโน้มคงที่ ซึ่งเท่ากับอันดับเครดิตองค์กร และหุ้นกู้ที่ออกในครั้งนี้ได้รับการจัดประเภทเป็น "หุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐาน Green Bond Principles 2021 Green Loan Principles 2025 และ Thailand Taxonomy 2023 และได้ผ่านการสอบทานโดยองค์กรรับรองมาตรฐานชั้นนำของโลก DNV ในฐานะผู้สอบทานอิสระ (Independent External Reviewer) โดยเป็นการเสนอขายต่อผู้ลงทุนสถาบันที่ไม่รวมบุคคลธรรมดา และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ โดยมีธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคาร ทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้
 
นายธนวัฒน์ กล่าวอีกว่า ในปี 2567 โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในกลุ่ม CKPower สามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนส่งให้ประเทศไทยได้กว่า 8.8 ล้านเมกะวัตต์ชั่วโมง (MWh) หรือคิดเป็นร้อยละ 16 ของไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ใช้ในประเทศ และในปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 4.4 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี โดย CKPower มีแผนเพิ่มสัดส่วนการผลิตพลังงานหมุนเวียน ทั้งพลังงานน้ำและพลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงการสร้างโอกาสใหม่ด้านการเงินสีเขียว (Green Finance) โดยใช้กลไกการขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (RECs) ควบคู่ไปกับการสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมลดการใช้พลังงานเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าคู่ขนานไปกับการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานตลอดห่วงโซ่คุณค่าขององค์กร มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ที่สามารถหวังผลในระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรมภายในปี 2593
 

EP เตรียม COD โครงการโรงไฟฟ้า 3 แห่งในเวียดนาม ระบุผ่านกระบวนการตรวจรับ CCA ตามมาตรฐานครบถ้วน

บมจ. อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป (EP) ประกาศความพร้อมการเดินหน้าสู่การจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานลมอีก 3 โครงการในประเทศเวียดนาม ฟากบิ๊กบอส “ยุทธ ชินสุภัคกุล” ประธานกรรมการบริษัทระบุ มั่นใจหลังจากรัฐบาลเวียดนามได้ส่งสัญญาณสนับสนุนอย่างชัดเจนจะสามารถทยอย COD ได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 68 เป็นต้นไป

นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EP) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน EP มีโรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนามจำนวน 4 โครงการ รวมกำลังการผลิตติดตั้ง 160 เมกะวัตต์ โดยมีหนึ่งโครงการที่เริ่ม COD แล้ว ขณะที่โรงไฟฟ้าทั้งหมดได้ผ่านกระบวนการตรวจรับการก่อสร้างตามมาตรฐานของรัฐบาลเวียดนาม (Certification of Construction Works Acceptance: CCA) เรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 โครงการ Huang Linh 3 (HL3) ได้เริ่มรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ EVN โดยมีราคาขายไฟฟ้าที่ 1,428.41 ดองเวียดนามต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง หรือคิดเป็นประมาณ 90% ของอัตราสูงสุดที่กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม (MOIT) กำหนดไว้ที่ 1,587.12 ดองต่อหน่วย

สำหรับอีก 3 โครงการที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการอนุมัติจากทางการเวียดนาม มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการ Huang Linh 4 (HL4) ที่อยู่ในขั้นตอนสุดท้ายก่อน COD คือการขอใบอนุญาตประกอบกิจการไฟฟ้า (Electricity Operation License) ซึ่งคาดว่าจะได้รับการอนุมัติภายในเดือนพฤษภาคมนี้ และจะสามารถ COD ได้ภายในเดือนมิถุนายน 2568 ส่วนโครงการที่จังหวัดญาลาย (Gia Lai) ซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมออกเอกสารสิทธิการใช้ที่ดิน (LURC) เพื่อนำไปขอใบอนุญาตประกอบกิจการไฟฟ้า (Electricity Operation License) โดยคาดว่าจะสามารถ COD ได้ภายในปี 2568

ในส่วนของผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 บริษัทฯ มีรายได้รวม 224.98 ล้านบาท ซึ่งมาจากธุรกิจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ธุรกิจจำหน่ายพลังงานลม และธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังมีผลขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อันเนื่องมาจากผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน

"สำหรับผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนนั้น บริษัทฯ ขอชี้แจงว่า เป็นการขาดทุนทางบัญชีที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง (Unrealized FX Loss) จากการประเมินมูลค่าการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่อยู่ในรูปสกุลเงินต่างประเทศ (USD) ซึ่งต้องมีการแปลงค่าเป็นเงินบาท ณ วันสิ้นงวด ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 21 และมาตรฐานบัญชีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของโครงการในเวียดนามหรือภาพรวมของบริษัทแต่อย่างใด" นายยุทธ กล่าวในที่สุด

"SSP" ทุ่มงบลงทุนโรงไฟฟ้า 25,000 ล้านบาท COD ต่อเนื่องรวม 410 MW ภายในปี 73

"SSP" ทุ่มงบลงทุนโรงไฟฟ้า 25,000 ล้านบาท COD ต่อเนื่องรวม 410 MW ภายในปี 73

นายชยุตม์ หลีหเจริญกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานบัญชีและการเงิน นางสาวลินดา เอนกรัชดาพร ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์และนักลงทุนสัมพันธ์ และนางสาวฐิติรัตน์ พุทธิวงศาสุนทร ผู้จัดการแผนกนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SSP) นำเสนอข้อมูลในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) โชว์ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯในไตรมาส 1/68 มีรายได้จากการขายไฟฟ้า 868.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.5% และกำไรสุทธิ 240.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.3%  เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ SSP มีโครงการในมือจำนวน 15 โครงการราว 410 เมกะวัตต์ โดยตั้งงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 25,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอย COD ตั้งแต่ปี 68-73 โดยในปีนี้ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 6,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการต่างๆ พร้อมทั้ง COD โซลาร์ฟาร์ม ลีโอ 2 ประเทศญี่ปุ่น ขนาด 16.4 eMW เป็นโครงการแรกในไตรมาส 4/68 สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตแบบก้าวกระโดด และศักยภาพการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทุกรูปแบบ ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ ห้องประชุม บริษัทฯ

โรงไฟฟ้าหินกอง “ซ้อมแผนเก็บกู้วัตถุระเบิด แบบบูรณาการร่วมกับหน่วยงานรัฐ”

โรงไฟฟ้าหินกอง “ซ้อมแผนเก็บกู้วัตถุระเบิด แบบบูรณาการร่วมกับหน่วยงานรัฐ”

วันที่ 25พฤษภาคา 2568  บริษัท หินกองเพาเวอร์ จำกัด (โรงไฟฟ้าหินกอง) อ.เมือง จ.ราชบุรี ได้จัดซ้อมแผนฉุกเฉินเก็บกู้วัตถุระเบิด แบบบูรณาการร่วมกับหน่วยภาครัฐ 
โดยมี นายทำเนียบ นวลแสง รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท หินกองเพาเวอร์ จำกัด   นายชนะ เรืองตระกูล ผู้อำนวยการโครงการเดินเครื่อง และบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าหินกอง    พ.ท. รชต มัญชุสุนทรกุล  ผบ.พันพัฒนา 1  กองพลพัฒนาที่ 1 พ.ต.อ.วิสิฐศักดิ์  วิพัฒนมงคล ผกก.กลุ่มงานเก็บกู้วัตถุระเบิด กองบังคับการสายตรวจและปฎิบัติการพิเศษ 191 (นครบาล)  พ.ต.ท.กิตติวัฒน์ พินิจ สารวัตรกองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดราชบุรี  นำเจ้าหน้าที่เข้าร่วมการซ้อมแผน

โดยจุดประสงค์การฝึกซ้อมในครั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมด้านความปลอดภัย และฝึกความเข้าใจของผู้ปฏิบัติงานภายในพื้นที่โรงไฟฟ้าเมื่อเผชิญเหตุ รวมถึงการบูรณาการความร่วมมือการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับเอกชน โดยการสมมุติเหตุการณ์เสมือนจริง  มีคนร้ายตั้งใจก่อวินาศกรรมภายในโรงไฟฟ้า โดยการวางระเบิดและทำร้ายบุคคลากรหน่วยรักษาความปลอดภัยของโรงไฟฟ้า

ซึ่งการซ้อมแผนในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจาก ตำรวจภูธรจังหวัดราชบุรี, กองพลพัฒนาที่ 1 (ค่ายศรีสุริยวงศ์), กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดราชบุรี (กลุ่มงานเก็บกู้วัตถุระเบิด), กองบังคับการสายตรวจและปฎิบัติพิเศษ191 กลุ่มงานเก็บกู้วัตถุระเบิด (ตำรวจนครบาล),  หน่วยปฎิบัติการพิเศษ (นปพ.) ตำรวจภูธรจังหวัดราชบุรี, หน่วยปฎิบัติการตำรวจสายตรวจตำบลหินกอง, เทศบาลตำบลหินกอง และโรงพยาบาลกรุงเทพเมืองราช  

​​​​​​​