วธ.สั่งสำรวจความเสียหาย-เร่งฟื้นฟูโบราณสถานจมน้ำ

“รมว.วัฒนธรรม” สั่งสำรวจความเสียหายโบราณสถานและเครือข่ายที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมรวบรวมนำข้อมูลรายงาน ครม. กำชับเร่งทำแผนบูรณะซ่อมแซมและฟื้นฟู เยียวยาหลังสถานการณ์น้ำลด

เมื่อวันที่ 10 ต.ค.67 นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ในการประชุมหัวหน้าส่วนราชการและองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ 3/2567 เมื่อเร็วๆนี้ หน่วยงานสังกัดใน วธ. ได้รายงานผลการดำเนินการที่ผ่านมา ซึ่งกรมศิลปากรได้รายงานสถานการณ์น้ำท่วมโบราณสถานในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ อาทิ จังหวัดเชียงราย และจังหวัดเชียงใหม่ พบว่ามีโบราณสถานหลายแห่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม ซึ่งกำชับให้กรมศิลปากรติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ทราบว่ากรมศิลปากร กำลังเร่งจัดทำแผนบูรณะซ่อมแซมและแผนฟื้นฟูโบราณสถานหลังน้ำลด รวมทั้งจะมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจความมั่นคงของโครงสร้างโบราณสถาน เพื่อนำข้อมูลมาใช้ประกอบการทำแผนบูรณะซ่อมแซมและฟื้นฟู ประกอบกับกรมศิลปากรมีการจัดตั้งงบประมาณฉุกเฉินไว้สำหรับบูรณะซ่อมแซมโบราณสถานไว้ แต่เนื่องจากในปีนี้ เกิดสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ มีโบราณสถานได้รับผลกระทบหลายแห่ง กรมศิลปากรได้รายงานว่างบประมาณฉุกเฉินที่ตั้งไว้อาจจะไม่เพียงพอ เพราะจะต้องมีการสำรวจและฟื้นฟูโบราณสถานหลังน้ำลดจำนวนมากและแม้ว่าจะได้เสียหาย แต่ต้องติดตามตรวจสอบให้ละเอียด เพราะความชื้นจากเหตุการณ์น้ำท่วมอาจจะส่งผลกระทบต่อโบราณสถานในระยะยาว 

“ดังนั้น จึงมอบหมายให้กรมศิลปากร และทุกหน่วยงานประเมินความเสียหายจากอุทกภัยในช่วงที่ผ่านมาของแหล่งโบราณสถาน และแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม เครือข่ายทางวัฒนธรรมที่อยู่ในความดูแลของ วธ. เพื่อเป็นข้อมูลในการขอจัดสรรงบประมาณในการบูรณะซ่อมแซม รวมถึงให้พิจารณาจัดกิจกรรมช่วยเหลือ อาทิ การแสดงของศิลปินแห่งชาติเพื่อระดมทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัย การเยียวยาและช่วยเหลือกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ได้รับผลกระทบ” นางสาวสุดาวรรณ กล่าว

​​​​​​

นางสาวสุดาวรรณ กล่าวว่า ได้กำหนดให้หน่วยงานในสังกัด วธ. เร่งสำรวจจำนวนผู้ที่ได้รับผลกระทบ จำนวนโบราณสถานที่ได้รับเสียหายและแนวทางการช่วยเหลือ เพื่อนำรายงานต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รวมถึงเพื่อจัดสรรงบประมาณบูรณะซ่อมแซม ที่สำคัญเป็นข้อมูลในการจัดหาแนวทางช่วยเหลือและเยียวยาต่อไป ทั้งนี้ ทุกหน่วยงานจะต้องมีการรายงานข้อมูลดังกล่าวให้ตนทราบโดยเร็วที่สุด

อยุธยา สนธิกำลังทุกภาคส่วน เตรียมแผนป้องกันน้ำเข้าโบราณสถาน ติดตามสถานการณ์น้ำใกล้ชิด

พระนครศรีอยุธยา สนธิกำลังร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท้องถิ่นจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายอำเภอพระนครศรีอยุธยา เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา กรมศิลปากร หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  เตรียมแผนป้องกันน้ำเข้าโบราณสถาน  ตรวจสอบประตูระบายน้ำ พร้อมติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่ตามจุดต่างๆ

วันที่ 5 ก.ย.67 นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ พร้อมด้วย นางสมทรง พันธ์เจริญวรกุล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปภ.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท้องถิ่นจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายอำเภอพระนครศรีอยุธยา ผู้บริหารเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา กรมศิลปากร ร่วมกันลงพื้นที่ตรวจติดสถานการณ์น้ำ ณ โบราณสถานวัดไชยวัฒนาราม หลังจากเขื่อนเจ้าพระยา ระบายน้ำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา เพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะที่วัดไชยวัฒนาราม  ซึ่งอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา

กรมศิลปากร  จึงได้ให้เจ้าหน้าที่ฯ  พนักงาน  ดำเนินการยกแผ่นเหล็กหรือแผ่นบังเกอร์ป้องกันน้ำท่วมแบบสำเร็จรูป รวม 138 แผ่น มีความสูง 1.90 เมตร กว้าง 1.20 เมตร ยาวตลอดแนวลำน้ำเจ้าพระยา หน้าวัดไชยวัฒนาราม รวม 165 เมตร  พร้อมคลุมผ้าใบ และเตรียมกระสอบทรายกว่า 1,000 ถุง เพื่อนำมาวางเป็นแนวตะเข็บผ้าใบ หลังพบว่าขณะนี้ระดับน้ำที่ด้านฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เหลือประมาณ 70 เซนติเมตร ก็จะถึงแนวแผ่นเหล็กหรือแผ่นบังเกอร์ป้องกัน

จากนั้น นายนิวัฒน์  รุ่งสาคร  ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมคณะลงพื้นที่ ต.บ้านใหม่ อ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อติดตามความคืบหน้าการติดตั้งแผ่นเหล็กปิดทางน้ำ จากแม่น้ำไม่ให้เอ่อล้นเข้าเขตชุมชน จึงได้ติดตั้งประตูเหล็กขนาดใหญ่ เพื่อป้องกันน้ำไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นและล้นตลิ่งเข้าท่วม บ้านเรือนประชาชน

ต่อมา นายนิวัฒน์  รุ่งสาคร  พร้อมคณะลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์น้ำ ที่อำเภอเสนา พร้อมตรวจเยี่ยมศูนย์อพยพผู้ประสบอุทกภัย ที่องค์การบริหารส่วนตำบลรางจรเข้ อ.เสนา โดยมี นางอมรรัตน์ กรึงไกร นายอำเภอเสนา ร่วมเยี่ยมศูนย์อพยพ สำหรับศูนย์อพยพแห่งนี้ จัดตั้งขึ้นตามแผนเผชิญเหตุ หากเกิดเหตุอุทกภัย ในพื้นที่ อบต.รางจระเข้ และใกล้เคียง สามารถรองรับประชาชน ได้กว่า 200 ครอบครัว มีความพร้อมทั้งห้องน้ำ อาหาร สถานที่ หากเกิดเหตุฉุกเฉินสามารถอพยพประชาชน  เข้าสู่พื้นที่ได้ทันที

หลังจากนั้น นายนิวัฒน์  รุ่งสาคร  ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อม นายไพรัตน์  เพชรยวน  รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  และคณะผู้บริหาร ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมศูนย์ประสานงานย่อยการแก้ไขปัญหาอุทกภัย ณ วัดศาลาปูน พร้อมดูสถานการณ์น้ำ  ที่วัดกษัตราธิราชวรวิหาร

"สุดาวรรณ" ห่วงน้ำท่วมขังโบราณสถานภาคเหนือ สั่ง "สป.วธ.-กรมศิลปากร" ติดตามใกล้ชิด

“สุดาวรรณ” ห่วงสถานการณ์น้ำท่วมขังโบราณสถานน่าน พะเยา เชียงราย กลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานแพร่ มอบ สป.วธ. - กรมศิลปากรติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด พร้อมตั้งศูนย์ประสานงาน ผลกระทบจากน้ำท่วมผ่านสายด่วนวัฒนธรรม 1765

วันที่ 26 ส.ค.67 นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้  ได้ติดตามผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยของโบราณสถานในพื้นที่ภาคเหนืออย่างใกล้ชิด ซึ่งในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้รายงานว่ามีสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด และกลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานในพื้นที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแพร่ ตั้งอยู่ ณ วัดสองแคว ต.ป่าแมต อ.เมืองแพร่ จ.แพร่ มีมวลน้ำมาเร็ว ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่เร่งระดม เคลื่อนย้ายของ และเครื่องประกอบเกียรติยศประกอบศพโดยทันที  เพราะหากน้ำสูงกว่านี้สุ่มเสี่ยงต่อความเสียหาย ขณะนี้ได้มีข้าราชการ และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแพร่ ได้ออกประกาศ เนื่องจากเกิดเหตุการณ์อุทกภัย การติดต่อขอรับพระราชทาน จากเดิม ณ ห้องงานประสานขอรับพระราชทานเพลิงศพ ศาลากลางจังหวัดแพร่ ทางทายาทของ ผู้วายชนม์ผู้ประสงค์ขอรับพระราชทาน สามารถติดต่อขอรับพระราชทานได้ที่ 1. ห้องประชุม เทศบาลตำบลทุ่งโฮ้ง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ 2. เบอร์โทรศัพท์ 065 523 4058 081 137 5191, 081 297 8396 , 086 911 4844 3.Facebook : กลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแพร่

นางสาวสุดาวรรณ กล่าวต่อไปว่า ในการนี้เพื่อให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีในภารกิจพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานของกลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานและกลุ่มอำนวยการพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและต่อเนื่องโดยเฉพาะจังหวัด ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยและอยู่ระหว่างเฝ้าระวังสถานการณ์อุทกภัยจึงขอให้สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดดำเนินการ ดังนี้

1. ดำเนินการขนย้ายเครื่องเกียรติยศประกอบศพและวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานไปเก็บรักษาไว้ในที่ที่ปลอดภัย 2. แจ้งประกาศชี้แจงรายละเอียดช่องทางการติดต่อขอพระราชทานเกี่ยวกับพิธีการ ศพที่ได้รับพระราชทานและการปฏิบัติหน้าที่ ในภารกิจพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานตามหมายรับสั่งในพื้นที่ที่ประ สบอุทกภัยให้มีการประกาศชี้แจงรายละเอียดช่องทางที่สามารถติดต่อขอรับบริการให้เจ้าภาพ / ทายาทและประชาชนในพื้นที่ทราบ 3. จังหวัดที่เฝ้าระวังสถานการณ์อุทกภัยขอให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีติดตามสถานการณ์ อย่างใกล้ชิดเพื่อเฝ้าระวัง อุทกภัยที่อาจะเกิดขึ้นในพื้นที่และให้เตรียมพร้อมในการขนย้ายเครื่องเกียรติยศ ประกอบศพ และวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในพิธี การศพที่ได้ รับพร ะราชทาน 4.รายงานสถานการณ์อุทกภัยที่ได้รับผลกระทบและความต้องการในการขอรับ ความช่วยเหลือให้กองพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมทราบโดยด่วน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวต่อไปว่า ในส่วนกรมศิลปากรรายงานว่าจากกรณีฝนตกต่อเนื่องหลายวันในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนที่ผ่านมาส่งผลให้เกิดน้ำท่วม น้ำล้นตลิ่ง น้ำหลากท่วมทุ่งในหลายพื้นที่ของจังหวัดน่าน พะเยาและเชียงราย ขณะนี้กรมศิลปากร โดยสำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ได้ลงพื้นที่และประสานงานกับเครือข่ายอาสาสมัครในการดูแลมรดกศิลปวัฒนธรรมในพื้นที่ดังกล่าว


 
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ได้รับรายงานเกี่ยวกับผลกระทบต่อโบราณสถานในพื้นที่ 3 จังหวัด ดังนี้ จังหวัดน่าน จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ 1.วัดหนองบัว อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ซึ่งมีโบราณสถานคือ วิหารที่ปรากฏภาพจิตรกรรมฝาผนังน้ำท่วมขึ้นถึงภายในวิหาร แต่ยังไม่ถึงภาพจิตรกรรมซึ่งสูงกว่าระดับน้ำท่วมประมาณ 50 ซม ดังนั้น ภาพจิตรกรรม จึงไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากน้ำท่วม 2.วัดภูมินทร์ อำเภอ เมือง จังหวัดน่าน โบราณสถานคือวิหารจตุรมุขที่ปรากฏภาพจิตรกรรมฝาผนัง (ปู่ม่านย่าม่าน) ปัจจุบันน้ำยังท่วมไม่ถึงด้านบนวิหาร เนื่องจากอาคารนี้เป็นอาคารที่มีฐานสูงและบันไดสูงไปถึงพื้นด้านบนวิหารน้ำจึงท่วมเพียงบันไดเท่านั้น และ 3.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ปัจจุบันน้ำยังไม่ท่วมเข้ามาในพื้นที่เนื่องจากตั้งอยู่ในบริเวณที่สูงที่สุดของเมืองน่าน เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังตลอดเวลาและให้นำรถยนต์เข้ามาจอดภายในได้ในช่วงนี้เพื่อบรรเทาความเสียหายของทรัพย์สินประชาชน

ขณะที่ จังหวัดพระเยามีโบราณสถานที่ได้รับผลกระทบคือ เมืองโบราณเวียงลอ อำเภอจุน จังหวัดพะเยา เมืองนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งน้ำอิง น้ำจึงล้นฝั่งท่วมทั้งเมืองโบราณสถานจึงมีน้ำท่วมขังหลายแห่งแต่ไม่พบความเสียหายของตัวอาคาร ส่วนที่จังหวัดเชียงราย โบราณสถานที่ได้รับผลกระทบ คือวัดเสาหิน เป็น วิหารและเจดีย์ขนาดใหญ่ มีน้ำท่วมขังในพื้นที่รอบอาคารแต่ยังไม่ได้รับรายงานความเสียหายของตัวอาคาร

นางสาวสุดาวรรณ กล่าวอีกว่า กรมศิลปากร ได้วางแนวทางการแก้ไขปัญหา ดังนี้ 1.ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด 2.รับฟังข้อมูลจากอาสาสมัครฯ ของกรมศิลปากรที่อยู่ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง 3.หลังจากน้ำลดให้เข้าพื้นที่สำรวจตรวจสอบสภาพและความเสียหายโดยด่วน โดยเฉพาะงานศิลปกรรมที่ได้รับความเสียหายต้องได้รับการอนุรักษ์อย่างเร่งด่วน 4.วางมาตรการลดความเสี่ยงของโบราณสถานในช่วงฤดูฝนนี้ หากมีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องครั้งต่อไป เช่น ปกป้องน้ำไม่ให้ท่วมเข้าไปในอาคารโบราณสถานอีก หรืออื่น ๆ ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และ 5.หากพบความเสียหายต่ออาคารโบราณสถานให้รีบแจ้งกรมศิลปากรเพื่อดำเนินการฉุกเฉินเร่งด่วน อย่างไรก็ตาม ภาพรวมในส่วนกระทรวงวัฒนธรรม รู้สึกเป็นห่วงและขอเป็นกำลังใจให้กับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทุกคน จึงได้ สั่งการให้จัดตั้งศูนย์ประสานงานโบราณสถานที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย โดยใช้สายด่วนวัฒนธรรม 1765 ในการรับแจ้งข้อมูลและรวบรวมข้อมูลหน่วยงานในสังกัด สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด และกองพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน  รวมไปถึงแหล่งโบราณสถานที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย เพื่อสรุปข้อมูลสำหรับลงพื้นที่สำรวจและตรวจสอบสภาพความเสียหายหลังจากสถานการณ์คลี่คลาย รวมถึงจัดทำแผนช่วยเหลือเบื้องต้น และบูรณะซ่อมแซมในอนาคตต่อไป

ห่วงสถานการณ์น้ำท่วม67 ขังโบราณสถานน่าน-พะเยา-เชียงราย สั่ง สป.วธ.-กรมศิลปากรติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด

“สุดาวรรณ” ห่วงสถานการณ์น้ำท่วมขังโบราณสถานน่าน พะเยา เชียงราย-กลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานแพร่ มอบ สป.วธ.-กรมศิลปากรติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด พร้อมตั้งศูนย์ประสานงาน ผลกระทบจากน้ำท่วมผ่านสายด่วนวัฒนธรรม 1765
 
นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยว่า ได้ติดตามผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยของโบราณสถานในพื้นที่ภาคเหนืออย่างใกล้ชิด ซึ่งในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้รายงานว่ามีสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด และกลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานในพื้นที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแพร่ ตั้งอยู่ ณ วัดสองแคว ต.ป่าแมต อ.เมืองแพร่ จ.แพร่ มีมวลน้ำมาเร็ว ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่เร่งระดม เคลื่อนย้ายของ และเครื่องประกอบเกียรติยศประกอบศพโดยทันที เพราะหากน้ำสูงกว่านี้สุ่มเสี่ยงต่อความเสียหาย ขณะนี้ได้มีข้าราชการ และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแพร่ ได้ออกประกาศ เนื่องจากเกิดเหตุการณ์อุทกภัย การติดต่อขอรับพระราชทาน จากเดิม ณ ห้องงานประสานขอรับพระราชทานเพลิงศพ ศาลากลางจังหวัดแพร่ ทางทายาทของ ผู้วายชนม์ผู้ประสงค์ขอรับพระราชทาน สามารถติดต่อขอรับพระราชทานได้ที่ 1. ห้องประชุม เทศบาลตำบลทุ่งโฮ้ง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ 2.เบอร์โทรศัพท์ 065-523-4058,081-137-5191,081-297-8396,086-911-4844 3.Facebook : กลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแพร่
 
นางสาวสุดาวรรณ กล่าวต่อว่า ในการนี้เพื่อให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีในภารกิจพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานของกลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานและกลุ่มอำนวยการพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและต่อเนื่องโดยเฉพาะจังหวัด ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยและอยู่ระหว่างเฝ้าระวังสถานการณ์อุทกภัยจึงขอให้สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดดำเนินการดังนี้ 1.ดำเนินการขนย้ายเครื่องเกียรติยศประกอบศพและวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานไปเก็บรักษาไว้ในที่ที่ปลอดภัย 2.แจ้งประกาศชี้แจงรายละเอียดช่องทางการติดต่อขอพระราชทานเกี่ยวกับพิธีการ ศพที่ได้รับพระราชทานและการปฏิบัติหน้าที่ ในภารกิจพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานตามหมายรับสั่งในพื้นที่ที่ประ สบอุทกภัยให้มีการประกาศชี้แจงรายละเอียดช่องทางที่สามารถติดต่อขอรับบริการให้เจ้าภาพ / ทายาทและประชาชนในพื้นที่ทราบ 3.จังหวัดที่เฝ้าระวังสถานการณ์อุทกภัยขอให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อเฝ้าระวัง อุทกภัยที่อาจะเกิดขึ้นในพื้นที่และให้เตรียมพร้อมในการขนย้ายเครื่องเกียรติยศ ประกอบศพ และวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน 4.รายงานสถานการณ์อุทกภัยที่ได้รับผลกระทบและความต้องการในการขอรับ ความช่วยเหลือให้กองพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมทราบโดยด่วน
 
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวต่อไปว่า ในส่วนกรมศิลปากรรายงานว่าจากกรณีฝนตกต่อเนื่องหลายวันในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนที่ผ่านมาส่งผลให้เกิดน้ำท่วม น้ำล้นตลิ่ง น้ำหลากท่วมทุ่งในหลายพื้นที่ของจังหวัดน่าน พะเยาและเชียงราย ขณะนี้กรมศิลปากร โดยสำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ได้ลงพื้นที่และประสานงานกับเครือข่ายอาสาสมัครในการดูแลมรดกศิลปวัฒนธรรมในพื้นที่ดังกล่าว
 
ทั้งนี้ได้รับรายงานเกี่ยวกับผลกระทบต่อโบราณสถานในพื้นที่ 3 จังหวัด ดังนี้ จังหวัดน่าน จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ 1.วัดหนองบัว อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ซึ่งมีโบราณสถานคือ วิหารที่ปรากฏภาพจิตรกรรมฝาผนังน้ำท่วมขึ้นถึงภายในวิหาร แต่ยังไม่ถึงภาพจิตรกรรมซึ่งสูงกว่าระดับน้ำท่วมประมาณ 50 ซม ดังนั้นภาพจิตรกรรม จึงไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากน้ำท่วม 2.วัดภูมินทร์ อำเภอเมืองจังหวัดน่าน โบราณสถานคือวิหารจตุรมุขที่ปรากฏภาพจิตรกรรมฝาผนัง (ปู่ม่านย่าม่าน) ปัจจุบันน้ำยังท่วมไม่ถึงด้านบนวิหาร เนื่องจากอาคารนี้เป็นอาคารที่มีฐานสูงและบันไดสูงไปถึงพื้นด้านบนวิหารน้ำจึงท่วมเพียงบันไดเท่านั้น และ 3.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ปัจจุบันน้ำยังไม่ท่วมเข้ามาในพื้นที่เนื่องจากตั้งอยู่ในบริเวณที่สูงที่สุดของเมืองน่าน เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังตลอดเวลาและให้นำรถยนต์เข้ามาจอดภายในได้ในช่วงนี้เพื่อบรรเทาความเสียหายของทรัพย์สินประชาชน
 
ขณะที่จังหวัดพระเยามีโบราณสถานที่ได้รับผลกระทบคือ เมืองโบราณเวียงลอ อำเภอจุน จังหวัดพะเยา เมืองนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งน้ำอิง น้ำจึงล้นฝั่งท่วมทั้งเมืองโบราณสถานจึงมีน้ำท่วมขังหลายแห่งแต่ไม่พบความเสียหายของตัวอาคาร ส่วนที่จังหวัดเชียงราย โบราณสถานที่ได้รับผลกระทบ คือวัดเสาหิน เป็น วิหารและเจดีย์ขนาดใหญ่ มีน้ำท่วมขังในพื้นที่รอบอาคารแต่ยังไม่ได้รับรายงานความเสียหายของตัวอาคาร
         
นางสาวสุดาวรรณ กล่าวอีกว่า กรมศิลปากร ได้วางแนวทางการแก้ไขปัญหา ดังนี้ 1.ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด 2.รับฟังข้อมูลจากอาสาสมัครฯ ของกรมศิลปากรที่อยู่ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง 3.หลังจากน้ำลดให้เข้าพื้นที่สำรวจตรวจสอบสภาพและความเสียหายโดยด่วน โดยเฉพาะงานศิลปกรรมที่ได้รับความเสียหายต้องได้รับการอนุรักษ์อย่างเร่งด่วน 4.วางมาตรการลดความเสี่ยงของโบราณสถานในช่วงฤดูฝนนี้ หากมีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องครั้งต่อไป เช่น ปกป้องน้ำไม่ให้ท่วมเข้าไปในอาคารโบราณสถานอีก หรืออื่น ๆ ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และ 5.หากพบความเสียหายต่ออาคารโบราณสถานให้รีบแจ้งกรมศิลปากรเพื่อดำเนินการฉุกเฉินเร่งด่วน อย่างไรก็ตาม ภาพรวมในส่วนกระทรวงวัฒนธรรม รู้สึกเป็นห่วงและขอเป็นกำลังใจให้กับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทุกคน จึงได้ สั่งการให้จัดตั้งศูนย์ประสานงานโบราณสถานที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย โดยใช้สายด่วนวัฒนธรรม 1765 ในการรับแจ้งข้อมูลและรวบรวมข้อมูลหน่วยงานในสังกัด สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด และกองพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน  รวมไปถึงแหล่งโบราณสถานที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย เพื่อสรุปข้อมูลสำหรับลงพื้นที่สำรวจและตรวจสอบสภาพความเสียหายหลังจากสถานการณ์คลี่คลาย รวมถึงจัดทำแผนช่วยเหลือเบื้องต้น และบูรณะซ่อมแซมในอนาคตต่อไป

#ข่าววันนี้ #น้ำท่วม #น้ำท่วม67 #โบราณสถาน #วัดภูมินทร์

 

 อธิบดีกรมศิลปากร ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์น้ำบริเวณโบราณสถาน วัดไชยวัฒนารามฯ

อธิบดีกรมศิลปากร ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์น้ำ บริเวณโบราณสถานวัดไชยวัฒนาราม พร้อมทั้งรับฟังแผนการบริหารจัดการและป้องกันโบราณสถานจากอุทกภัย ในพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา  ยังจัดเจ้าหน้าที่ตรวจสอบระดับน้ำจากแม่น้ำลำคลอง ที่ผ่านตัวเมืองพระนครศรีอยุธยา ตรวจสอบโบราณสถานต่างๆ ที่เคยได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในปีก่อน และเตรียมความพร้อมของวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ เช่น เครื่องสูบน้ำ เครื่องจักรหนัก เพื่อเตรียมการป้องกันเหตุต่อไป
          
วันที่ 11 ตุลาคม 2566 เวลา 14.00 น. นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์น้ำ บริเวณโบราณสถานวัดไชยวัฒนาราม พร้อมทั้งรับฟังแผนการบริหารจัดการและป้องกันโบราณสถานจากอุทกภัย ในพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา โดยมี นางสาวสุกัญญา เบาเนิด ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 3 พระนครศรีอยุธยา นายภัทรพงษ์ เก่าเงิน ผู้อำนวยการอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา และเจ้าหน้าที่  ให้การต้อนรับ


          
นายพนมบุตร จันทรโชติ เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้มอบหมายให้เดินทางมาตรวจติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ได้กำชับสั่งการให้กรมศิลปากร บูรณาการการทำงานในการดูแลโบราณสถานสำคัญกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เบื้องต้นได้รับรายงานว่า ปัจจุบันยังไม่มีโบราณสถานใดๆ ในพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา  ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม


         
 นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวอีกว่า ประเทศไทยมีปริมาณน้ำฝนไม่มาก เขื่อนต่าง ๆ เพิ่งเริ่มระบายน้ำช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ประกอบกับฝนที่ตกบริเวณใต้เขื่อนขนาดใหญ่ที่กักเก็บน้ำ จึงทำให้ปริมาณน้ำในภาพรวมไม่เท่ากับปี 2565 โดยปัจจุบัน เขื่อนเจ้าพระยา ยังระบายน้ำอยู่ที่ปริมาณไม่ต่ำกว่า 1,600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที อีกทั้งยังมีฝนตกในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำสายต่างๆ ที่ผ่านจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่เกิดเหตุการณ์น้ำล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ต่างๆ


         
 ในส่วนการป้องกันโบราณสถาน อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ได้ดำเนินการตั้งแผงป้องกันน้ำท่วมแล้ว จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ วัดไชยวัฒนาราม ซึ่งเป็นโบราณสถานริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีระดับต่ำที่สุด เพื่อป้องกันเหตุหากมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้ระดับน้ำสูงสุดอยู่ต่ำกว่าตลิ่งวัดไชยวัฒนาราม 70 เซนติเมตร และวัดธรรมมาราม ระดับน้ำยังต่ำกว่าตลิ่ง 80 เซนติเมตร ขณะนี้ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา กำลังดำเนินการติดตั้งแผงป้องกันน้ำท่วม ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 12 ตุลาคม 2566

ตะลึง! พบโบราณสถานขนาดใหญ่ กลางทุ่งนา คาดศิลปะนครวัด

พบโบราณสถานขนาดใหญ่ กลางทุ่งนา คาดเป็นอิทธิพลวัฒนธรรมเขมร และภาพสลักหินทรายที่มีความสมบูรณ์อย่างมาก ชาวบ้านเชื่อเป็นพิธีกวนเกษียรสมุทรของเทพและมาร ขณะที่กรมศิลป์เร่งตรวจสอบ

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 8 ก.ค.2566 น.ส.ทิพย์วรรณ วงศ์อัสสไพบูลย์ นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น พร้อมนักโบราณคดี ยังคงร่วมกันลงพื้นที่สำรวจโบราณสถานโนนพระแท่น บ้านหนองโก ม.3 ต.ก้านเหลือง อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น หลังจากที่มีชาวบ้าน ทำหนังสือขอให้ตรวจสอบ หินทรายและศิลาแลงกลางทุ่งนาบ้านหนองโก

ซึ่งการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่นักโบราณคดีในครั้งนี้ มีนายช่วง วงษ์หาแก้ว อายุ 83 ปี เจ้าของที่นา และนายศรัญญู ภูเวียงแก้ว อายุ 54 ปี ผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้าน พาเจ้าหน้าที่เดินทางมาตรวจสอบจุดศูนย์รวมของหินทรายและศิลาแลง ซึ่งอยู่กลางทุ่งนาทางด้านทิศใต้ของหมู่บ้าน

นายช่วง กล่าวว่า  เกิดมาและจำความได้ก็เห็นหินเหล่านี้วางอยู่บริเวณเนินดินกลางทุ่งนาแล้ว จนกระทั่งบิดาเสียชีวิต  ซึ่งตลอดช่วงที่บิดามีชีวิตนั้น บิดากับชาวบ้าน ก็นำหินที่พบในทุ่งนานำขึ้นมาเรียงกันไว้  ชาวบ้านก็นำดอกไม้ ธุปเทียนมากราบไหว้ และบนบาน ขอในสิ่วที่ปรารถนา ซึ่งสมหวังทุกคน จนกลายเป็นประเพณีประจำหมู่บ้าน  โดยในทุกวันพุธแรกของเดือนเมษายน ชาวบ้านจะร่วมกันทำบุญ บวงสรวง และสักการะบูชา เพราะเป็นสถานที่ที่พบหินทรายและศิลาแลงจุดนี้ เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของคนหมู่บ้านตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน

“ลูกเคยมาบนและกราบไหว้ด้วยการนำพวงมาลัยมาถวายคู่ ขอให้การงานรุ่งเรือง ก็เจริญรุ่งเรืองจนทุกวันนี้ และในช่วงสงกรานต์ทุกปี ก็จะมีการร่วมทำบุญเบิกบ้าน จุดบั้งไฟก่อนเริ่มลงมือทำนา กลายเป็นประเพณีของหมู่บ้านจนถึงทฝปัจจุวัน และการที่มีเจ้าหน้าที่นักโบราณคดี มาตรวจสอบก็เป็นการดี จะได้รู้ว่า หินที่พบในทุ่งนามาตั้งแต่100 กว่าปีนั้น ถ้าเป็นหินศักดิ์สิทธิ์จริง จะได้ร่วมกันดูแลรักษาให้ลูกหลานได้ชมและได้รับความรู้”

ด้าน นายศรัญญู ภูเวียงแก้ว ผู้ใหญ่บ้าน กล่าวว่า เห็นสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่เกิด เพราะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ชาวบ้านจะถือเอาวันพุธแรกเป็นวันบวงสรวง และมีการจุดบั้งไฟ ซึ่งสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่ยุคบิดามารดามาจนปัจจุบัน อีกทั้งในช่วงที่ตนยังไม่รับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ก็เกิดปาฏิหาริย์ เพราะชาวบ้าน ช่วยกันย้ายนำหินไปไว้ข้างโรงเรียน เพื่อที่จะให้ชาวบ้านได้สักการะในที่สาธารณะ ปรากฎว่าเมื่อย้ายหิน เจ้าของที่นาจุดที่พบหินก็ไม่สบายอย่างหนัก ทุกคนจึงคิดว่าน่าจะเกิดจากการย้ายหิน ออกจากจุดที่ตั้ง จึงย้ายกลับมา  คนป่วยก็หายเป็นปกติ ยิ่งสร้างความเลื่อมใสศรัทธา เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่มาจนปัจจุบัน

" ในสมัยพ่อแม่ ไม่มีใครแจ้งเจ้าหน้าที่  แต่ในยุคปัจจุบัน ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป ลูกหลานของคนในหมู่บ้านได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่สำนักศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น มาตรวจสอบ เพราะถ้าเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบและยืนยันว่า หินจากโบราณสถาน ชาวบ้านก็จะยิ่งเชื่อและศรัทธามากขึ้น และคงไม่มีการเคลื่อนนำไปไว้ที่อื่นเด็ดขาด ชาวบ้านเองจะร่วมกันดูแลรักษา ไม่ให้สูญหาย ทั้งความสะอาดและสถานที่เป็นอย่างดี และเชื่อว่า ไม่มีใครกล้าเอาหินไปอย่างแน่นอน"

ขณะที่ น.ส.ทิพย์วรรณ วงศ์อัสสไพบูลย์ นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น กล่าวว่า เบื้องต้นจากการตรวจเช็คและวัดหินทรายที่มีทั้งหมด 16 ชิ้นแต่ละชิ้นยาวประมาณ 1.5 - 2 เมตร และตรวจวัดศิลาแลงที่มีอยู่ประมาณ 30 ชิ้น โดยได้แนะนำชาวบ้านและผู้นำชุมชนว่า ห้ามให้นำธูปเทียน ปักลงบนหินและศิลาแลงเด็ดขาด เพราะจะกระทบความสมบูรณ์ของหิน ให้ผู้นำแนะนำชาวบ้านท่ากราบไหว้และทำบุญว่า ให้วางสิ่งของหรือปักธูปเทียนในจุดอื่น รวมทั้งห้ามนั่งหรือเหยียบหินด้วยเช่นกัน

"จุดที่พบหินทรายและศิลาแลงจุดนี้ เป็นโบราณสถานที่เรียกว่าอาคารภายใต้อิทธิพล ทางวัฒนธรรมเขมร จากลักษณะของรูปแบบ ภาพสลักที่พบเป็นภาพสลักหินทราย สันนิษฐานว่า ถ้าสมบูรณ์จะเป็นภาพของการกวนเกษียรสมุทร จะแบ่งเป็น 2 ฝั่งคือฝั่งยักษ์กับฝั่งเทพ ที่จะจับตัวพญานาค ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า ในสมัยโบราณกาล เทพกับอสูรมักจะสู้รบกันเสมอๆ ต่างก็ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ จนเหล่าเทพตายลงเป็นจำนวนมาก พวกเทพจึงมาขอให้พระนารายณ์ช่วย ท่านจึงให้ทำการกวนเกษียรสมุทรเพื่อจะได้มีน้ำอมฤตมาให้พวกเทพได้ดื่มและจะได้มีชีวิตเป็นอมตะ แต่การกวนเกษียรสมุทรซึ่งเป็นงานใหญ่ ต้องให้พวกอสูรร่วมมือด้วย จึงมีการเจรจาพักรบกัน"

น.ส.ทิพย์วรรณ กล่าวต่ออีกว่า จากลักษณะของภาพสลักที่ปรากฏ กำหนดอายุเบื้องต้นอยู่ใน พุทธศตวรรษ ที่ 17-18 ซึ่งอยู่ในช่วง ศิลปะนครวัดถึงบายล ในตอนแรกสันนิษฐานว่าเป็นทัพหลัง แต่ด้วยขนาดความยาวที่ต่อเนื่องกัน จึงขอศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม แต่ในเบื้องต้นยืนยันได้ว่าตรงนี้จะเป็นส่วนประกอบของสถาปัตยกรรมตรงบริเวณใด จากที่พบจะมีภาพของคนที่จับวัตถุคล้ายๆทรงกระบอก ที่ทรงกระบอกนี้คือตัวพญานาค จะเห็นได้ว่ามีการจับทั้งฝั่งด้านซ้ายและฝั่งด้านขวา ซึ่งจะแบ่งเป็นฝั่งยักษ์และฝั่งเทพ จากที่เราเห็นทางด้านหน้าถ้าเป็นภาพที่สมบูรณ์ เราจะเห็นไปจนถึงส่วนหาง และอีกทางฝั่งนึงจะเห็น เศียรนาค แต่ว่ายังไม่พบชิ้นส่วนที่ขาดหายไป ซึ่งโดยทั่วไป ที่เราเห็นอยู่ตรงนี้จะเป็นฝั่งเทพ และอีกทางฝั่งที่อยู่ทางด้านนั้นจะเป็นฝั่งยักษ์

"ถ้าดูจากทางด้านทิศเหนือ ของโบราณสถานแห่งนี้ น่าจะเป็นชุมชนโบราณที่เก่าแก่ได้ถึงก่อนประวัติศาสตร์ เพราะว่าในบริเวณใกล้เคียงเราได้สำรวจพบชุมชนโบราณในช่วงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ด้วย ในหลายๆแห่งที่อยู่ในเขต อ.แวงน้อย,แวงใหญ่ และ อ.ชนบท จากข้อมูล ในพื้นที่ในหมู่บ้าน เคยมีการขุดพบเศษภาชนะดินเผา ตรงบริเวณโรงเรียนซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของเนิน และจากภาพถ่ายทางอากาศพบว่า ตัวของโบราณสถานล้อมรอบเนินหมู่บ้านในปัจจุบันน่าจะเคยมี ร่องรอย ในลักษณะของคูน้ำ ที่ล้อมรอบ ตัวเป็นคนโบราณอยู่ ซึ่งในปัจจุบันได้เปลี่ยนสภาพเป็นสระน้ำ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการตั้งถิ่นฐานที่มีมานานก่อนหน้านั้นก่อนที่จะมีการสร้างโบราณสถานแห่งนี้ แสดงให้เห็นถึงการมีชุมชนโบราณอาศัยอย่างต่อเนื่อง ก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ประมาณ 2,500 ปีที่แล้ว  ซึ่งสถานที่ตรงนี้ก็เป็นโบราณสถาน ถ้าเทียบกับปัจจุบันคือวัด หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์"

การรถไฟฯสุดภาคภูมิใจ ราชกิจจาฯประกาศ ยกสถานที่ 5 แห่งของการรถไฟฯ ขึ้นเป็น "โบราณสถาน"

นายเอกรัช  ศรีอาระยันพงษ์ หัวหน้าสำนักงานผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2566 ได้เผยแพร่ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง รายชื่อโบราณสถานในเขตกรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 2 ซึ่งประกาศดังกล่าวมีสถานที่ของการรถไฟฯ ได้รับการประกาศขึ้นเป็นโบราณสถาน จำนวน 5 แห่ง ประกอบด้วย

1. สถานีรถไฟจิตรลดา เป็นสถานีที่สร้างขึ้น สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ ในการเสด็จพระราชดำเนินทางรถไฟ และเป็นสถานที่ต้อนรับพระราชอาคันตุกะในบางโอกาส ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสวนจิตรลดา ถนนสวรรคโลก แขวงสวนจิตรลดา เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร

2. สะพานพระราม 6 เป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่สร้างขึ้นเป็นแห่งแรกของประเทศไทย และเป็นสะพานสำคัญที่สุดในเส้นทางสายใต้ เชื่อมระหว่างแขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กับแขวงบางอ้อ เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร ในเส้นทางรถไฟสายใต้

3. ตึกแดง (ตึกพัสดุ การรถไฟแห่งประเทศไทย) เป็นชื่อเรียกของ อาคารพัสดุยศเส ตั้งอยู่ติดกับสะพานยศเส ริมคลองผดุงกรุงเกษม สันนิฐานว่าก่อสร้างขึ้นในปี 2453 ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับการสร้างอาคารสถานีกรุงเทพ สร้างขึ้นเพื่อใช้เก็บพัสดุจากการสร้างอุโมงค์ขุนตาน และการก่อสร้างทางรถไฟสายใต้ ปัจจุบันเป็นสถานที่ทำงานของฝ่าย และสำนักงานของการรถไฟฯ

4. สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) เป็นสถานีรถไฟหลักของประเทศไทย และเป็นสถานีที่เก่าแก่ที่สุด เริ่มก่อสร้างขึ้นในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. 2453 สร้างเสร็จ และเปิดใช้งานเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2459 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

5. โรงงานมักกะสัน การรถไฟฯ ก่อสร้างเมื่อปี 2450 แล้วเสร็จเปิดกิจการในปี 2453 ในอดีตเคยเป็นโรงงานซ่อมรถไฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน และที่นี่เคยมีโรงผลิตไฟฟ้า ที่สามารถจ่ายไฟให้โรงไฟฟ้า ชุมชน และโรงพยาบาลรถไฟ เป็นโรงงานแห่งเดียวของกรมรถไฟ ที่สามารถทำการซ่อม และประกอบรถจักรและรถพ่วงทุกชนิดได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ภายในโรงงานมักกะสัน มีอาคาร 2465 อาคารเก่าแก่ที่ได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่น เป็นอาคารดั้งเดิมที่เราใช้ในการซ่อมรถด้วย

"การได้รับการประกาศให้สถานที่ 5 แห่งของการรถไฟฯ ขึ้นเป็นโบราณสถาน สร้างความภาคภูมิใจให้กับคณะผู้บริหาร และพนักงานการรถไฟฯ ทุกคนเป็นอย่างมาก ซึ่งที่ผ่านมานายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟฯ มีนโยบายเน้นย้ำเสมอให้พนักงานรถไฟทุกคนร่วมกันดูแล อนุรักษ์ พัฒนา ทำความสะอาดสถานที่เหล่านี้อยู่เสมอ โดยพนักงานทุกคนต่างให้ความร่วมมือปฏิบัติงานกันอย่างเต็มที่ เพื่อให้สถานที่ทุกแห่งยังคงเป็นสถานที่ที่มีความสวยงาม ทรงคุณค่า เป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ตลอดจนจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้คนไทยทุกคนได้ร่วมร่วมอนุรักษ์อาคารประวัติศาสตร์ และเห็นถึงความสำคัญ เกิดประโยชน์กับสังคม ประเทศชาติ และเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในระดับโลกต่อไป"

ปัจจุบันทั้ง 5 สถานที่ของการรถไฟฯ ยังคงมีการใช้งานตามปกติ โดยบางแห่ง อาทิ โรงงานมักกะสัน และสถานีรถไฟกรุงเทพ(หัวลำโพง) มีการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ประชาชน และนักท่องเที่ยว ได้เข้าชม เพื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ของสถานที่แห่งนั้นๆ รวมถึงระบบการขนส่งทางรางของประเทศไทยด้วย ซึ่งที่ผ่านมาการจัดกิจกรรมค่อนข้างประสบความสำเร็จอย่างดีมีประชาชน และนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก เห็นได้จากงาน Hua Lamphong in Your Eyes , UNFOLDING BANGKOK ที่เนรมิตอาคารสถานีหัวลำโพง ซึ่งเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์มีอายุยาวนานกว่า 107 ปี มาเล่าเรื่องราวย้อนรอยอดีตในรูปแบบใหม่ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง มีผู้เข้าร่วมชมสูงสุดกว่า 3 หมื่นคนต่อวัน

นายเอกรัช กล่าวว่า การรถไฟฯ มีนโยบายเปิดพื้นที่สถานีรถไฟกรุงเทพ(หัวลำโพง) สำหรับจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมคุณค่าของสถานีหัวลำโพง สร้างประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมอย่างต่อเนื่อง และเป็นแลนด์มาร์กจัดกิจกรรมที่สำคัญของประเทศ โดยขณะนี้มีหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน แสดงความสนใจติดต่อขอใช้พื้นที่จัดกิจกรรมต่างๆ เข้ามาจำนวนมาก ซึ่งการรถไฟฯ อยู่ระหว่างการพิจารณา โดยจะคัดเลือกกิจกรรมที่มีศีลธรรมอันดี ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดี และไม่กระทบกระเทือนต่อโครงสร้างอาคารเดิม หรือคุณค่าทางประวัติศาสตร์ในทุกแง่มุม รวมทั้งไม่ให้กระทบกับการเดินทางของผู้โดยสาร เพื่อให้เป็นกิจกรรมที่เกิดประโยชน์ต่อประชาชน และประเทศชาติต่อไป