NOBLE ชำระคืนหุ้นกู้ครบ 2,184 ล้าน ปลดล็อกภาระหุ้นกู้สำหรับปีนี้ เดินหน้ากลยุทธ์ครึ่งปีหลัง เปิดโครงการใหม่และรับรู้รายได้ต่อเนื่อง 

บมจ. โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ หรือ NOBLE ตอกย้ำความแข็งแกร่งทางการเงินและความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ หลังชำระคืนหุ้นกู้ครบเต็มจำนวน มูลค่า 2,184 ล้านบาท เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ตามกำหนดไถ่ถอนของหุ้นกู้ทั้ง 2 รุ่น คือ NOBLE256A และ NOBLE256B ซึ่งถือเป็นการชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในปี 2568 ได้อย่างสมบูรณ์ เสริมความคล่องตัวด้านการเงิน และยกระดับความพร้อมในการขับเคลื่อนแผนธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังและระยะยาว

วันที่ 17 มิถุนายน 2568 นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE เปิดเผยว่า ในปี 2568 บริษัทฯ ได้ออกและเสนอขายหุ้นกู้จำนวน 2 ครั้ง ได้แก่ เมื่อวันที่ 17 มกราคม และ 22 พฤษภาคม โดยทั้ง 2 ครั้งยังคงได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุน มียอดจองรวมกว่า 3,100 ล้านบาท สะท้อนถึงความไว้วางใจในสถานะทางการเงินและแนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ตลอดจนความต่อเนื่องของแผนลงทุนในโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งได้รับการวางแผนอย่างเป็นระบบ สอดคล้องกับการบริหารภาระหนี้และการรับรู้รายได้ในอนาคต

สำหรับช่วงครึ่งปีหลัง 2568 บริษัทฯ เตรียมส่งมอบ 4 โครงการที่สร้างเสร็จและพร้อมโอน ได้แก่ นิว อีโว อารีย์, โนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ, โนเบิล ครีเอท และ นิว ริเวอร์เรสต์ ราษฎร์บูรณะ ทั้ง 4 โครงการรวมกันมี Backlog รอโอนกว่า 8,600 ล้านบาท และมีความคืบหน้าการก่อสร้างเฉลี่ยกว่า 90% ในทุกโครงการ ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบคุณภาพห้องชุดอย่างละเอียดในทุกขั้นตอน เพื่อให้มั่นใจในมาตรฐานการส่งมอบ โดยโครงการ นิว อีโว อารีย์ จะแล้วเสร็จและเริ่มโอนได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้เป็นโครงการแรก

บริษัทฯ มีแผนเดินหน้าทำการตลาดอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ผ่านแคมเปญส่งเสริมการขายที่หลากหลาย เพื่อสนับสนุนการส่งมอบโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ มูลค่ารวมประมาณ 9,900 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งโครงการแนวราบ อาทิ โนเบิล เทอร์รา พระราม 9 - เอกมัย และ นิว ไฮบ์ สุขสวัสดิ์ รวมถึงโครงการแนวสูง อาทิ นิว คอนเน็กซ์ คอนโด ดอนเมือง และ โนเบิล อราวน์ อารีย์ เพื่อรับรู้รายได้และเสริมความแข็งแกร่งด้านสภาพคล่องอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ที่ผ่านมา ผู้ถือหุ้นของบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE มีมติอนุมัติการออกใบสำคัญแสดงสิทธิ NOBLE-W3 จำนวน 684,588,280 หน่วย เพื่อมอบสิทธิในการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 1:1 ที่ราคาใช้สิทธิ 2.32 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 2 ปี โดยสามารถใช้สิทธิครั้งแรกได้ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2568 และสิ้นสุดในวันที่ 18 พฤษภาคม 2570 สะท้อนถึงกลยุทธ์การวางรากฐานทางการเงินอย่างแข็งแกร่ง พร้อมสร้างโอกาสการลงทุนระยะยาวให้แก่ผู้ถือหุ้น และเสริมโอกาสการเติบโตในอนาคต

ด้าน นายศิระ อุดล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กล่าวเสริมว่า แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 2/2568 ยังคงเผชิญความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันด้านราคา แต่บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย มาตรการภาครัฐในการลดค่าธรรมเนียมการโอน-จดจำนอง รวมถึงการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV จะกระตุ้นการตัดสินใจซื้อในประเทศ และทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังคงเดินหน้ากลยุทธ์กระจายความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ผ่านการขยายฐานลูกค้าต่างชาติ ทำให้ในปัจจุบัน NOBLE มีฐานลูกค้าต่างประเทศที่แข็งแกร่งและหลากหลาย ไม่เพียงช่วยลดการพึ่งพาตลาดภายในประเทศ แต่ยังเสริมสร้างความมั่นคงและศักยภาพการเติบโตของรายได้ในระยะยาว

“NOBLE ยังคงยึดมั่นในการบริหารพอร์ตโฟลิโออย่างมีวินัย สร้างสมดุลทางการเงิน และเดินหน้าพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ตลาดอย่างต่อเนื่อง ด้วยความเชื่อมั่นจากนักลงทุนซึ่งเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน”

“โนเบิล” ยอดโอนโตสวนกระแสรับเงิน 11,000 ล้าน โต 71% หนุนรายได้รวมแตะ 11,600 ล้าน จ่อเปิด 4 โครงการใหม่

NOBLE ประกาศผลประกอบการปี 2567 กวาดรายได้รวม 11,568 ล้านบาท มียอดขาย (Pre-sale) ทั้งปีแตะ 16,957 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.6% YoY และมียอดโอนที่ 11,237 ล้านบาท เติบโต 71.0% YoY พร้อมสะสม Backlog ณ สิ้นปี 2567 แล้วกว่า 25,455 ล้านบาท เพื่อรับรู้รายได้ต่อเนื่อง 4 ปี พร้อมประกาศแผนปี 68 โดยเจาะกลุ่มลูกค้าหลากหลายขึ้น วางเป้าหมายยอดขายที่ 16,000 ล้านบาท ยอดโอน 15,000 ล้านบาท และตั้งเป้าเปิดตัว 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 6,200 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 5 มี.ค.68 นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวดปี 2567 ออกมาเป็นที่น่าพอใจ แม้ภาวะเศรษฐกิจและภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์จะยังไม่ฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ไว้ จากปัจจัยปัญหาหนี้ครัวเรือนและอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่สูง แต่บริษัทฯ สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวมที่ 11,568 ล้านบาท เติบโต 16% YoY จากยอดโอนและรายได้จากการให้บริการที่เพิ่มขึ้น มีกำไรสุทธิ 432 ล้านบาท

โดยในช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการเปิดตัวโครงการจำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวม 18,400 ล้านบาท โดยมีโครงการไฮไลท์คือ โครงการนิว เอปิค อโศก-พระราม9 คอนโด High Rise ใกล้ MRT พระราม 9 ที่มาพร้อมส่วนกลางใหญ่สุดในย่าน มูลค่าโครงการกว่า 13,000 ล้านบาท และปัจจุบันมียอดจองแล้วกว่า 55% ดันยอดขายโครงการ (Pre-sale) ณ สิ้นปี 2567 แตะระดับ 16,957 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.6% YoY นอกจากนี้ ยอดขายและยอดโอนของลูกค้าต่างชาติก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยลูกค้าหลักมาจากไต้หวัน จีน และเมียนมาในปี 2567 ที่ผ่านมาโครงการต่างๆ ของบริษัทฯ มีกระแสตอบรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะโครงการนิว เอปิค อโศก-พระราม9 โครงการดิ เอ็มบาสซี ไวร์เลส และโครงการโนเบิล อราวน์ อารีย์ ที่มียอดขายรวมกันกว่า 12,000 ล้านบาท ในส่วนของการโอนกรรมสิทธิ์นั้น ปี 2567 มีโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอน 4 โครงการ ได้แก่ โครงการนิว โนเบิล รัชดา-ลาดพร้าว นิว คอนเน็กซ์ คอนโด ดอนเมือง นิว คอร์ คูคต สเตชัน และ นิว เมกา พลัส บางนา ซึ่งโครงการนิว โนเบิล รัชดา-ลาดพร้าว ที่เริ่มโอนกรรมสิทธิ์ตั้งแต่ต้นปี 2567 ก็มีการโอนกรรมสิทธิ์แล้วกว่า 95% และในไตรมาส 4 ที่โครงการนิว คอร์ คูคต สเตชัน และโครงการนิว เมกา พลัส บางนา เริ่มโอน ก็สามารถกวาดยอดโอนรวมกัน 2 โครงการกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งก็ได้รับอานิสงส์จากมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน นอกจากนี้ยังมีโครงการแนวราบมีการโอนกรรมสิทธิ์ได้อย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการโนเบิล เทอร์รา พระราม 9–เอกมัย โครงการเอควา ริเวอร์ฟร้อนท์ ราษฎร์บูรณะ ซึ่งช่วยดันยอดโอนทั้งปีแตะ 11,237 ล้านบาท

นายศิระ อุดล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กล่าวเสริมว่า ช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ดำเนินกลยุทธ์ควบคุมพอร์ตโฟลิโอให้มีความเหมาะสม ทั้งในส่วนของแนวราบและคอนโดมิเนียม รวมถึงการขยายพอร์ตไปยังกลุ่มลูกค้าหลากหลายมากขึ้น เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง ซึ่งแสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นกลยุทธ์ที่ส่งผลดีกับบริษัทฯ โดยสิ้นปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้ที่รอการรับรู้ (Backlog) จำนวน 25,455 ล้านบาท และในปี 2568 มีโครงการที่สร้างเสร็จและจะเริ่มโอน 4 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการโนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ 2. โครงการนิว อีโว อารีย์ 3. โครงการโนเบิล ครีเอท และ 4. โครงการนิว ริเวอร์เรสต์ ราษฎร์บูรณะ ซึ่งปัจจุบันทั้ง 4 โครงการมี Backlog รวมกว่า 8,500 ล้านบาท

สำหรับเป้าหมายการดำเนินธุรกิจในปี 2568 บริษัทฯ ได้ตั้งเป้ายอดขาย (Pre-sales) ไว้ที่ระดับ 16,000 ล้านบาท มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 6,200 ล้านบาท โดยช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีการเปิดโครงการนิว เรน แจ้งวัฒนะ ซึ่งเป็นคอนโด Low Rise ใจกลางแจ้งวัฒนะ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีผู้สนใจเข้าชมโครงการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันเปิดตัว และเตรียมเปิดตัวโครงการนิว โคสต์ คูคต สเตชัน ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากชายฝั่งทะเลเป็นแกนในการออกแบบ ซึ่งจะมาช่วยเติมเต็มคูคต มหานครให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยโครงการที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ประสบความสำเร็จอย่างมากใน 2 เฟสแรก และล่าสุดได้มีการเปิด Khu Khot Crossing Mall ซึ่งเป็น Commercial mall ที่อยู่ติดกับที่พักอาศัยและรถไฟฟ้า ช่วยเติมเต็มพื้นที่โครงการให้ตอบโจทย์ทั้งไลฟ์สไตล์และความสะดวกสบายของผู้พักอาศัย นอกจากนี้ ภายในครึ่งหลังของปี 2568 บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวโครงการแนวราบเพิ่มเติมอีก 2 โครงการ ได้แก่ นิว วูด เวสต์เกต และนิว สเคป บางนา

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ตอกย้ำความแข็งแกร่งทางการเงิน โดยช่วงเดือนมกราคม 2568 บริษัทฯ ออกหุ้นกู้มูลค่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับเต็มจำนวน ตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุน พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจ และเตรียมออกหุ้นกู้เพิ่มเติมกลางปีนี้เพื่อสนับสนุนแผนการเติบโตในระยะยาว บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งควบคู่กับการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) สะท้อนถึงการได้รับรางวัล Commended Sustainability Awards ในงาน SET Awards 2024 เป็นปีแรก ซึ่งตอกย้ำถึงความมุ่งสู่การสร้างการเติบโตแบบมั่นคงและยั่งยืน เพื่อก้าวสู่การเป็นองค์กรต้นแบบในตลาดทุนในอนาคต

 

"SJWD" กำไรปี 67 พุ่งแรง 1,119 ล้านบาท โต 47% จากการสร้าง Synergy ลดต้นทุนและขยายธุรกิจ

SJWD ประกาศผลการดำเนินงานปี 67 ทำกำไรสุทธิ 1,119 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% จากปีก่อน และทำรายได้รวม 24,705 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน จากการสร้าง Synergy หลังรวมกิจการเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มศักยภาพขยายการลงทุน รวมถึงการขยายฐานลูกค้าใหม่ แม้รายได้และกำไรสุทธิไตรมาส 4/2567 ชะลอตัว เนื่องจากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในกัมพูชาที่ร่วมลงทุน เลื่อนการบันทึกรายได้จากการขายที่ดินเป็นไตรมาส 1/2568 ส่งผลกระทบต่อการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเข้ามายังบริษัทฯ เตรียมเสนอผู้ถือหุ้นพิจารณาจ่ายปันผลอัตรา 0.28 บาทต่อหุ้น ขณะที่ไตรมาส 1/2568 รับปัจจัยบวกจากธุรกิจรับฝากและบริหารยานยนต์ ขยายบริการแก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และเตรียมเปิดคลังสินค้าห้องเย็นอีก 3 แห่งในปีนี้

เมื่อวันที่ 28 ก.พ.68 ดร.เอกพงษ์ ตั้งศรีสงวน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2567 รายได้รวม 6,335 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 185.4 ล้านบาท ชะลอตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรสุทธิที่ชะลอตัวเกิดจากภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้ ประกอบกับบริษัท Phnom Penh SEZ Plc. ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมรายใหญ่ในประเทศกัมพูชาที่บริษัทฯ เข้าร่วมลงทุน มีการปรับปรุงรายการทางบัญชี จึงต้องเลื่อนบันทึกรายได้จากการขายที่ดินจากไตรมาส 4/2567 เป็นไตรมาส 1/2568 กระทบต่อการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่เข้ามายังบริษัทฯ รวมถึงบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมผลการดำเนินงานทั้งปี 2567 ยังมีอัตราเติบโตทั้งรายได้และกำไร โดยทำรายได้รวมทั้งสิ้น 24,705 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 1,119 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 761.3 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการสร้าง Synergy ภายในกลุ่มบริษัทฯ หลังจากรวมกิจการแล้วเสร็จ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุนและช่วยเพิ่มศักยภาพการขยายธุรกิจ

โดยธุรกิจที่เติบโตได้ดีในรอบปีที่ผ่านมา ได้แก่ (1) ธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ในต่างประเทศ มีรายได้ 3,589 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.1% จากปีก่อน จากการขยายธุรกิจและได้รับงานใหม่ เช่น งานขนถ่ายปูนเม็ดเข้าสู่โรงงานผลิตซีเมนต์และลำเลียงซีเมนต์ขาออกไปยังเรือขนส่งแก่ VCM ในเวียดนาม (2) ธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าแบบ D2C (Direct to Consumer) มีรายได้ 2,452 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.1% จาก ปีก่อน จากการได้รับงานใหม่จาก บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก หรือ OR ให้เป็นผู้ขนส่งสินค้าเบเกอรี่จากโรงงานผลิตไปยังร้าน คาเฟ่อเมซอนในภาคต่าง ๆ และยังได้รับงานบริหารจัดการคลังสินค้าชั่วคราวและบริการขนส่งสินค้าแก่ดีลเลอร์และลูกค้าของแคเรียร์ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา จากบริษัท บี.กริม แคเรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท แคเรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด

(3) ธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าแบบ B2B แม้มีความกังวลผลกระทบจากอุตสาหกรรมซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างที่อยู่ในช่วงชะลอตัว อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีรายได้ 8,429 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.8% จากปีก่อน จากการขยายฐานลูกค้าใหม่และได้รับงานเพิ่มขึ้นจาก SCG ขณะที่ ธุรกิจให้บริการจัดเก็บและบริหารสินค้า ได้แก่ เคมีภัณฑ์และสินค้าอันตราย มีรายได้ 552 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.6% และคลังสินค้าห้องเย็น มีรายได้ 1,052 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.7% จากปีก่อน จากดีมานด์จัดเก็บปลาทะเลที่เพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกันในปี 2567 บริษัทฯ ได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ (เมื่อไม่รวมรายการรายได้จากค่าความนิยม) จำนวน 344 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62.6% เนื่องจากในปีที่ผ่านมาได้ขยายการลงทุนโดยเข้าถือหุ้นในบริษัท บมจ.เอเชีย เน็ตเวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ ANI ผู้นำธุรกิจตัวแทนขายระวางสินค้าสายการบินหรือ Cargo General Sales Agent (GSA) และบริษัท Swift Haulage Berhad หรือ SWIFT (สวิฟท์) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจ Integrated Logistics ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย โดยการลงทุนดังกล่าวมาจากศักยภาพด้านเงินทุนที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ หลังรวมกิจการแล้วเสร็จ

ทั้งนี้จากผลการดำเนินงานปี 2567 ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 จึงมีมติเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานปี 2567 ที่อัตรา 0.28 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงิน 507 ล้านบาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 และจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน SJWD กล่าวอีกว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 คาดว่าจะอยู่ในระดับที่ดี โดยสถานการณ์เดือนมกราคมที่ผ่านมาเป็นไปตามเป้าหมาย ปัจจัยบวกมากจากธุรกิจให้บริการรับฝากและบริหารยานยนต์ที่จะมีปริมาณขนส่งรถเพิ่มขึ้น หลังจากจบงานมอเตอร์เอ็กซ์โปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา และการขยายการให้บริการโลจิสติกส์อย่างต่อเนื่องกับลูกค้ารายสำคัญ อาทิ บริษัท บี.กริม แคเรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท แคเรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด รวมถึงบริษัทพันธมิตรในกลุ่ม SCG

นอกจากนี้ บริษัท Phnom Penh SEZ Plc. ในกัมพูชาที่บริษัทเข้าร่วมลงทุน เตรียมรับรู้รายได้จากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นจะเปิดดำเนินการคลังแห่งใหม่อีก 3 แห่งภายในปีนี้ มีพื้นที่รวมกว่า 21,000 ตารางเมตร รวมถึงมีบริษัทที่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจ สนใจขยายการลงทุนคลังสินค้าห้องเย็นผ่านบริษัทร่วมทุน อีกทั้งบริษัทฯ มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการลดต้นทุนธุรกิจขนส่งสินค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสัดส่วนรายได้หลัก เพื่ออัตรากำไรที่ดียิ่งขึ้น

"เสนา" เปิดแผนธุรกิจปี 68 ลุยเจ้าตลาด Affordable 1-3 ล้านบาท เปิด 12 โครงการใหม่ มูลค่า 13,000 ล้านบาท

SENA เปิดแผนธุรกิจปี 2568 ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน มุ่งเน้นการพัฒนาและยกระดับการอยู่อาศัยอย่างมีคุณภาพ ตอบโจทย์ทุกมิติของผู้บริโภค ภายใต้กลยุทธ์ "Refined Focus" ต่อยอดจุดแข็งของธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจหลัก พร้อมเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลคุณภาพ ทั้งคอนโดมิเนียมและแนวราบ รวม 12 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 15,500 ล้านบาท และยอดโอนกรรมสิทธิ์ 10,000 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 14 ก.พ.68 ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ (ดร.ยุ้ย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้จะยังคงเผชิญกับปัจจัยท้าทาย ทั้งปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน การปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดของสถาบันการเงิน อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น และโครงสร้างเศรษฐกิจที่ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว แต่บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ให้ทันกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ส่งผลให้ 9 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทมียอด Pre-Sales สูงถึง 12,500 ล้านบาท โดยเฉพาะโครงการ LivNex เช่าออมบ้านที่มียอดขาย 1,900 ล้านบาท จาก 976 ยูนิต และมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 6,515 ล้านบาท พร้อมกำไรที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนความสามารถและศักยภาพของเสนาในการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคง

สำหรับปี 2568 บริษัทเตรียมเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ 12 โครงการ แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 11 โครงการ และโครงการแนวราบ 1 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท โดยยังคงเน้นตลาด Affordable Segment ซึ่งเป็นกลุ่มที่เสนาครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดถึง 20% หรือมากกว่า 20,000 ยูนิต ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขาย 15,500 ล้านบาท และยอดโอน 10,000 ล้านบาท ซึ่งได้รวมสัดส่วนรายได้จากโครงการ LivNex เช่าออมบ้าน  

ทั้งนี้ เสนา พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2568 เพื่อก้าวข้ามทุกความท้าท้ายและยกระดับมาตรฐานของการเป็น ผู้นำด้านการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน (Sustainable Living Leader) ผ่านกลยุทธ์ "Refined Focus" ที่ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การพัฒนา แต่คือการยกระดับโครงการและบริการที่มีอยู่ให้ดีที่สุด แบ่งออกเป็น 4 แกนหลัก ดังนี้ 1.No.1 in Affordable Market: เสนาเป็นผู้นำตลาด Affordable ปัจจุบันมีบ้านและคอนโดรวม 12,600 ยูนิต มูลค่ารวม 30,600 ล้านบาท ตอบโจทย์กลุ่มเรียลดีมานด์ ซึ่งมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อเดือน คิดเป็น 54% ของครัวเรือนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เสนาเชี่ยวชาญในตลาดนี้และพร้อมยกระดับมาตรฐานการอยู่อาศัยให้เข้าถึงได้จริง

2. Strong Partnership: ความร่วมมือกับ ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป พันธมิตรทางธุรกิจที่ยาวนานกว่า 9 ปี พัฒนาโครงการรวม 66 โครงการ มูลค่ากว่า 83,000 ล้านบาท ไม่เพียงเสริมศักยภาพทางการเงินเพื่อการเติบโตที่แข็งแกร่ง แต่ยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่นและไว้วางใจในการบริหารของเสนาด้วยธรรมาภิบาลที่ดี และมาตรฐานการพัฒนาโครงการที่ยั่งยืน และยังคงเดินหน้า จับมือร่วมทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับมาตรฐานการอยู่อาศัยและเดินหน้าพัฒนาโครงการคุณภาพร่วมกัน

3.SENA Eco System to Make Us Stronger: การขับเคลื่อนธุรกิจที่เสริมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ของกลุ่มธุรกิจหลัก  
• SenX (เซ็นเอกซ์) – ยกระดับบริการอสังหาริมทรัพย์ด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี
- Customer-Centric Data Center: SenX ศูนย์ข้อมูลที่ร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการกับเสนา เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
- Service Excellence: มุ่งเน้นคุณภาพบริการ โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญกว่า 16 ปี ตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย
- Sustainable Management: ใช้ Smart Tech บริหารจัดการที่อยู่อาศัยในโครงการอย่างยั่งยืน เช่น ระบบ BMS, Carbon Monitoring, และ Waste Management ผ่านความร่วมมือกับ Recycle Day
- Smart Application: Always on Connectivity กับ แอปพลิเคชัน และเทคโนโลยีดิจิทัลในการบริการด้านที่พักอาศัย แบบ Seamless เพื่อให้ลูกบ้านสามารถใช้ชีวิตแบบ "LIFE SIMPLIFIED" ได้ในทุก ๆ วัน

• SENA Green Energy – ก้าวสู่ธุรกิจพลังงานสะอาด The New S-Curve
- ขยาย SENA Green Automotive สู่การเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า 3 แบรนด์ NETA, LEAP และ DEEPAL รองรับเทรนด์พลังงานสะอาดและอนาคตของการขับเคลื่อน
- SENA Solar Energy เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์แบบครบวงจร ด้วยประสบการณ์ติดตั้งมากกว่า 1,000 ครัวเรือน
- SENA Reforestation ตั้งเป้าปลูกป่า 2,000 ไร่ เพื่อลดการปล่อยคาร์บอน ประมาณ 11,334 ตันต่อปี ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนความยั่งยืนและการรักษาสิ่งแวดล้อม
SENA Eco System ไม่ใช่แค่การพัฒนาโครงการ แต่คือการสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน

4.Sustainable Living Leadership มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมเพื่อที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน ได้แก่
• เดินหน้า แนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ (Zero Energy House concept) พัฒนา 42 โครงการ รวมจำนวน 4,290 ยูนิต ลดการปล่อยคาร์บอนได้ไม่ต่ำกว่า 6,993 ตันคาร์บอนต่อปี
• อีกขั้นของการพัฒนาที่อยู่อาศัยแห่งอนาคต บ้าน ZEH (Zero Energy House ) New Model  บ้านเดี่ยวติดโซลาร์รูฟพร้อมแบตเตอรี่ กับ Segment High Class “Grand Serie” และเตรียมเปิดตัวครั้งแรก ที่โครงการ เสนา พาร์ค แกรนด์ กม. 9 (SENA Park Grand Ramindra KM.9)  
• ตอกย้ำความสำเร็จ SENA Low Carbon ด้วยการเปิดตัวครั้งแรก แฟล็กชิป คอนโดโลว์คาร์บอน พร้อมเข้าอยู่ 2 โครงการ คือ เฟล็กซี่ เมกะ สเปซ บางนา (Flexi Mega Space Bangna) และ นิช โมโน บางโพ (Niche Mono Bangpo)
• เสนาเป็นบริษัทอสังหาฯ รายแรกในไทยที่มุ่งมั่นปลดล็อกโอกาสการเข้าถึงที่อยู่อาศัยผ่านการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของบ้านได้ง่ายขึ้น ตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่และ Generation Rent ที่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นทางการเงิน และมองหาทางเลือกที่อยู่อาศัยที่ไม่จำกัดแค่การซื้อขาด เสนาจึงได้เปิดตัว “LivNex” นวัตกรรมเช่าออมบ้าน เมื่อปีที่ผ่านมา และปีนี้พบ “RentNex” Subscription คอนโด โมเดลของวงการอสังหาฯ ซึ่งได้รับความสนใจและผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของแนวทางนี้อย่างชัดเจน โดยมีลูกค้าเข้าร่วมโครงการ LivNex แล้วกว่า 976 ยูนิต มูลค่า 1,900 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนการเข้าถึงที่อยู่อาศัยให้เป็นจริงได้ในยุคที่เศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งยังช่วยตอบสนองความต้องการของตลาดและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน
• เดินหน้าบริการ V-Move, Smart Mobility concept นวัตกรรมที่ใช้รถพลังงานไฟฟ้าเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะ ตั้งเป้าพัฒนา 24 โครงการ แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 20 โครงการ และบ้าน 4 โครงการ ตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนได้ไม่ต่ำกว่า 11,720 ตันคาร์บอนต่อปี เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 1,172,006 ต้น
• The First EV Ready อสังหาฯ รายแรกของไทยที่ติดตั้งจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) ในโครงการบ้านและที่อยู่อาศัย และรวมถึงติดตั้ง EV Station ส่วนกลางรายแรก เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับยานยนต์แห่งอนาคต
• เดินหน้าพัฒนา Smart Application ต่างๆ ได้แก่ SENA 360 ให้บริการครอบคลุมทุกเรื่องของการซื้อที่อยู่อาศัย, Sen Prop ให้บริการลูกบ้านทุกเรื่องของการอยู่อาศัยในโครงการ และ Smartify Home ผู้ช่วยในการตกแต่งบ้านและคอนโด เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและประสิทธิภาพการอยู่อาศัย

โดยนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย นวัตกรรมทางการเงิน และพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญช่วยให้เสนาสามารถปรับตัวและรับมือกับทุกความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมั่นคง และเสนาจะเดินหน้าพัฒนาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนเป็นเรื่องง่ายและเป็นไปได้จริงสำหรับทุกคน

“เสนาไม่ได้มุ่งมั่นแค่การเติบโตทางธุรกิจให้แข็งแกร่งทางการเงินเพื่อความมั่นคงขององค์กรเท่านั้น แต่เรายังเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และคุณภาพชีวิตของผู้คน เรามุ่งสร้างที่อยู่อาศัย ชุมชนและสังคมที่ช่วยลดคาร์บอน ผ่านนวัตกรรมและโซลูชันที่จับต้องได้ สิ่งที่เราภูมิใจที่สุดไม่ใช่แค่การสร้างและขายบ้าน แต่คือการมอบ ‘Decarbonized Lifestyle’ ให้กับลูกบ้าน เพียงใช้ชีวิตตามปกติ ก็สามารถมีส่วนร่วมในการดูแลโลกได้ ในปีนี้เสนาตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนไม่น้อยกว่า 10,235 ตัน หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 1,020,000 ต้น ควบคู่ไปกับการตั้งเป้าเพิ่มโอกาสให้ผู้ที่มีข้อจำกัดทางการเงินสามารถเป็นเจ้าของบ้านคุณภาพได้ง่ายขึ้น จำนวน 1,000 ยูนิต ภายใต้โครงการ ‘LivNex เช่าออมบ้าน’ ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงที่อยู่อาศัยสร้างความมั่นคงในชีวิต เสนาเชื่อว่าความยั่งยืนและการเติบโตทางธุรกิจต้องไปด้วยกัน รายได้สำคัญ การดูแลโลกก็สำคัญไม่แพ้กัน และเราจะเดินหน้าต่อไป ในฐานะ Sustainable Living Leader ที่สร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม” ดร.ยุ้ย-เกษรากล่าวทิ้งท้าย

 

 

เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง ชู Green & Well Living 2025 ดันพอร์ตแนวราบ เปิดใหม่ 5 โครงการ มูลค่า 3 พันล้าน วางเป้ายอดขายพุ่ง 4 พันล้าน  

บริษัทเอ็น.ซี เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน)  ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งแนวราบ แนวสูง ภายใต้ แนวคิด Home Expert Living Care ได้รับ ISO รายแรกของไทย เติบโตสู่ปีที่ 31 มุ่ง Green & Well Living ผนวก Lifestyle ศูนย์กลางพื้นที่ความสุขด้วยคอนเซ็ปต์ GAIA (ไกอา) นำความสมดุลย์ธรรมชาติ สู่นวัตกรรมการอยู่อาศัย ดันยอดขายโต 4,000 ล้านบาท ครอบคลุมทุกเซกเมนต์

เมื่อวันที่ 11 ก.พ.68 นายสมนึก  ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ปี 2568 ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศยังคงอยู่ในสภาวะค่อยฟื้นตัว มีปัจจัยกระทบ Global Supply Disruption แต่คาดว่าคลี่คลายในช่วงครึ่งหลังของปี ดีมานด์ความต้องการบ้านแนวราบจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น การใช้แนวทางช่วยเหลือผู้ซื้อบ้าน ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อบ้านปี 2568 และมีความหวังว่าตลาดที่อยู่อาศัยจะกลับมาดีขึ้น มีการดูดซับในตลาดมากขึ้นเมื่อผู้ซื้อบ้านมีความมั่นใจ ด้วยปัจจัยหลายด้าน ส่งผลผู้ประกอบการอสังหาฯ จำเป็นต้องทบทวน ปรับแผนธุรกิจให้สอดรับกับกำลังซื้อในตลาด และ หามาตรการทางการตลาดที่เหมาะสม 

สำหรับแผนการดำเนินงานปี 2568  เอ็น.ซี ตั้งเป้าการสร้างมูลค่าเพิ่มสู่ทุกครอบครัวที่กำลังมองหาบ้านเพื่อมาตอบโจทย์ นวัตกรรมที่อยู่อาศัยเทรนด์ใหม่ ปี2568 ชู Green & Well Living ทุกโครงการแบรนด์ เอ็น.ซี ดึงคอนเซ็ปต์ GAIA (ไกอา ความสมดุลของธรรมชาติ เป็นศูนย์กลางมุมพักผ่อนเชื่อมธรรมชาติได้อย่างมีมิติ ) มุมพื้นที่เพิ่มขีดความสุข เปิดรับธรรมชาติสู่ความสมดุลของการอยู่อาศัย บนพื้นที่ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ที่ไร้ขีดจำกัด ควบคู่การดูแลสุขภาพกาย และใจ เอ็น.ซี พร้อมเนรมิต พื้นที่ทวีความสุข ร่วมเป็นอีกหนึ่งพลังสร้างแรงบันดาลใจ ให้ทุกครอบครัว ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ทาวน์เฮ้าส์,บ้านแฝด,บ้านเดี่ยว ด้วยระดับราคาสัดส่วนที่มากขึ้น 3-7 ล้านบาท ผนวกกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมีสินค้าคงเหลือขายในระดับที่เพียงพอ ในปี 2568 และเพื่อรองรับการเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 5 โครงการ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ดังนั้นเมื่อรวมกับโครงการที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน จำนวนโครงการที่ดำเนินการในปี 2568 จะมีทั้งหมด 19 โครงการ มูลค่ากว่า 15,500 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้ เอ็น.ซี ให้ความสำคัญความเป็นบ้านที่เชื่อมโยงด้านสิ่งแวดล้อม และห่วงใยดูแลสุขภาพ ให้ความสำคัญกลยุทธ์หลัก 3 เมกะเทรนด์ด้วยกัน 1.กลยุทธ์ด้าน Green Product พัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดผู้บริโภค ด้วย Green & Well Living ตอบรับการอยู่อาศัยที่มี การออกแบบโดยใช้ผลิตภัณฑ์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พลังงานสะอาด  ด้วยรูปแบบดีไซน์ดึงธรรมชาติเข้ามาใกล้ชิดกับผู้อยู่อาศัยในบ้าน แนวคิด GAIA ศูนย์กลางพื้นที่ความสุขในบ้าน ผ่านการทำ Research จากกลุ่มลูกค้าฐานใหญ่  มาพร้อมกับฟังก์ชั่นดีไซน์ที่เติมเต็มความสุขให้กับพื้นที่พักผ่อนภายในบ้านที่ดึงธรรมชาตินอกบ้านเข้าสู่ตัวบ้าน ให้มีความใกล้ชิดมากขึ้น เสมือนปอดสีเขียวท่ามกลางธรรมชาติ พร้อมวิวพาโนรามารีสอร์ท 360 องศา เป็นเสน่ห์ดีไซน์ สร้างแรงบันดาลใจ ที่ทุกครอบครัวชื่นชอบ  พร้อมสร้างสรรค์การอยู่อาศัยเติมความสุขทุกพื้นที่ให้มากกว่า เป็นแนวคิดตอบโจทย์ความสุข ช่วงเวลาดีดี ที่ได้พักผ่อนในบ้าน 

2.กลยุทธ์ Green Finance ยกระดับสร้างประสบการณ์ Customer Experience ที่เหนือกว่า จากพันธมิตรที่ดี มีการ Collaboration ร่วมกับสถาบันการเงิน เพื่อให้สิ่งพิเศษกับลูกค้าด้วยการดูแลลูกค้าตั้งแต่ต้นจนจบด้วยเงื่อนไขที่ดี สำหรับการซื้อบ้าน พร้อมข้อมูล ที่เอื้อประโยชน์สูงสุด ให้กับผู้ซื้อบ้านผ่านTouch Point ด้วยนวัตกรรมการบริการ ตอบรับทุกความต้องการ ได้อย่างตรงใจผู้ซื้อบ้าน สูงสุด ลูกค้าพึงพอใจ ถือเป็นการเพิ่มความรู้การซื้อบ้าน ที่มาพร้อมโซลูชั่นการบริการที่เหนือกว่า

3.กลยุทธ์ Green Service ให้ความสำคัญ Customer Centric ผ่าน New Product New Design มีการพัฒนาจากความต้องการของผู้ซื้อบ้านอย่างตรงใจ ด้วย Multi Function ผนวกการดูแล Residents Centric เพื่อส่งเสริมการอยู่อาศัยในต้นแบบชุมชนที่ใส่ใจ ห่วงใย บริหารจัดการอย่างดีเยี่ยม เพิ่มมูลค่าปัจจัยสนับสนุนให้ทุกครอบครัว Value Added มีคุณภาพการอยู่อาศัยในการได้รับบริการให้กับทุกครอบครัว สอดคล้องกับนโยบายหลักให้ความสำคัญ กับลูกบ้านเอ็น.ซี  รู้จักบ้าน รู้ใจคุณ ( Home Expert Living Care ) สู่ปีที่ 31 เดินหน้าพัฒนาเคียงคู่กับลูกค้าตามคอนเซ็ปต์หลักของแบรนด์ เอ็น.ซี ตอบรับความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อบ้าน

นายสมนึก กล่าวอีกว่า มีความมั่นใจในการทำยอดขายปี 2568 ให้ได้ถึง 4,000 ล้านบาท รับรู้รายได้ 2,000 ล้านบาท พร้อมเสริมทัพด้านพันธกิจ ESG  ยังคงเดินหน้าเพิ่มชูศักยภาพในการทำการตลาดที่ตรงใจ ผู้ซื้อบ้าน เข้าถึงกลุ่มลูกค้าฐานใหม่ และรักษาฐานเก่าลูกค้า สร้างประสบการณ์ในด้านที่อยู่อาศัยให้กลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่ และต่อยอดการทำการตลาดการขายฐานใหญ่ ลูกบ้านเดิม รวมถึงมั่นใจว่า จะสามารถก้าวผ่านความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจในปี 2568 มั่นใจสามารถบริหารการขายทั้ง 19 โครงการ มูลค่า 15,500 ล้านบาท ได้อย่างตอบโจทย์ความต้องของผู้ซื้อบ้านแบรนด์สู่การพัฒนา เติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน

อนันดาฯ ตอกย้ำความเชื่อมั่นนักลงทุน ชำระคืนหุ้นกู้เต็มจำนวน 100% พร้อมดอกเบี้ย 2,988 ล้าน-ปิดการขาย 5 โครงการรวด

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำแห่งวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง ครองตำแหน่งผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า โชว์ศักยภาพชำระคืนหุ้นกู้ครบกำหนดชำระในเดือน มกราคมปี 2568 เต็มจำนวนตามกำหนดไถ่ถอน 100% จำนวน 2 รุ่น คือ ANAN251A และ ANAN251B ในวันที่ 15 มกราคม 2568 มูลค่า 2,988 ล้านบาท พร้อมประกาศปิดการขาย 100% จำนวน 5 โครงการ มูลค่า 14,560 ล้านบาท สะท้อนความสามารถในการบริหารงาน ตอกย้ำจุดยืนผู้นำแบรนด์ที่อยู่อาศัยเพื่อคนเมือง ซึ่งปัจจุบันบริษัทมียอดรอการรับรู้รายได้ (Backlog) และโครงการที่คงเหลือขายรวมโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 37,567 ล้านบาท ทั้งนี้โครงการต่างๆของบริษัทเป็นโครงการที่มีศักยภาพในการสร้างกระแสเงินสด ไม่ว่าจะเป็นโครงการคอนโดมิเนียม บ้านและทาวน์โฮม บนทำเลใกล้รถไฟฟ้า ที่เป็นโครงการพร้อมอยู่พร้อมโอนทั้งสิ้น ทำให้เห็นว่าบริษัทมีกระแสเงินสดเพียงพอ นอกจากนี้ ยังคงเน้นย้ำหุ้นกู้ ANAN ทุกรุ่นจ่ายดอกเบี้ยและไถ่ถอนเงินต้นครบตรงตามกำหนดทุกงวด

เมื่อวันที่ 15 ม.ค.68 คุณชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN กล่าวว่า บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการเสนอขายหุ้นกู้ในแต่ละครั้ง โดยจัดสรรอย่างเหมาะสมกับแผนการดำเนินธุรกิจ และบริหารจัดการทางการเงินด้วยความละเอียดรอบคอบ พร้อมให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้ถือหุ้นกู้ของบริษัททุกราย ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้จ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินหุ้นกู้ครบตามกำหนด โดย อนันดาฯ ได้ชำระคืนหุ้นกู้ในเดือนมกราคม ปี 2568  เต็มจำนวนตามกำหนด 100% มูลค่า 2,988 ล้านบาท เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 พร้อมประกาศปิดการขาย 100% จำนวน 5 โครงการ มูลค่า 14,560 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทยังคงมุ่งมั่นในการสร้างการเติบโตแก่บริษัทฯ ด้วยการดำเนินงานภายใต้จุดยืน URBAN LIVING SOLUTIONS พัฒนาที่อยู่อาศัยและบริการให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมืองให้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นด้วยโครงการพร้อมอยู่พร้อมโอนครอบคลุมทุกทำเลทั่วกรุงเทพฯ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์คนเมืองอย่างลงตัวที่สุด

นอกจากนี้ยังประกาศปิดการขาย 100% (Sold Out) โครงการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม จำนวน 5 โครงการ มูลค่า 14,560 ล้านบาท ได้แก่ โครงการไอดีโอ จรัญฯ 70 ริเวอร์วิว มูลค่า 3,826 ล้านบาท โครงการคิว ประสานมิตร มูลค่า 560 ล้านบาท โครงการเอลลิโอ เดล เนสท์ มูลค่า 4,562 ล้านบาท โครงการไอดีโอ จุฬา สามย่าน มูลค่า 4,974 ล้านบาท และโครงการยูนิโอ ทาวน์ สวนหลวง-พัฒนาการ มูลค่า 638 ล้านบาท  ด้วยจุดเด่นของโครงการและทำเลที่ตั้งรวมถึงการออกแบบโครงการที่โดดเด่น ตอบสนองไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่สมดุลให้แก่คนเมือง และที่สำคัญที่สุด คือ ความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ที่มีคุณภาพของอนันดาฯ จึงทำให้ทั้ง 5 โครงการประสบความสำเร็จได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี   

“บริษัทฯ ขอขอบคุณผู้ลงทุนทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจ โดยบริษัทฯยังคงมุ่งมั่นในและพัฒนาการดำเนินงานรวมถึงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการกระแสเงินสดอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทมียอดรอการรับรู้รายได้ (Backlog) และโครงการที่คงเหลือขายรวมโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 37,567 ล้านบาท เพื่อเป้าหมายสู่การเป็นบริษัทที่มีรากฐานการเติบโตอย่างยั่งยืน และรองรับการจ่ายหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดที่เหลืออย่างแน่นอน” คุณชานนท์ กล่าวทิ้งท้าย

"ORN" เผยโค้งสุดท้ายปี 67 ฟอร์มดีโตต่อเนื่อง ลุยเปิด 3 โครงการใหม่บ้าน-คอนโดฯ มูลค่ารวม 3,070 ล้านบาท

ORN เผยทิศทางธุรกิจโค้งสุดท้ายปี 67 สัญญาณดี มั่นใจศักยภาพเมืองเชียงใหม่ หนุนความต้องการที่อยู่อาศัยชาวไทย-ต่างชาติเพิ่ม เร่งเปิด 3 โครงการใหม่ ได้แก่ HABITAT Ruamchok (ฮาบิแทท รวมโชค) มูลค่าโครงการรวม 1,127 ล้านบาท โครงการคอนโดฯ Low Rise ARISE HILL มูลค่าโครงการ 828 ล้านบาท และ โครงการ ARISE (Phuket) มูลค่าโครงการรวม 1,115 ล้านบาท วางเป้ายอดขาย 664.71 ล้านบาท เป้ายอดโอน 514.82 เติม Backlog 1,382.76 ล้านบาท ด้านธุรกิจใหม่ โรงเรียน Mill Hill International School Thailand กระแสตอบรับดี ผู้ปกครองชาวไทย-ต่างชาติสนใจคับคั่ง อีกทั้ง พร้อมเปิดให้บริการ Life Style Market “กาดเดินเพลิน” แหล่งช้อปปิ้งใจกลางเมือง รับซีซันท่องเที่ยว หนุนผลงานเติบโตต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 26 พ.ย.67 นายอรรคเดช อุดมศิริธำรง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) หรือ ORN เปิดเผยทิศทางธุรกิจช่วงโค้งสุดท้ายปี 2567 แนวโน้มดี ยอดขาย ยอดจองโครงการต่างๆมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์จังหวัดเชียงใหม่ที่ยังคงมีการขยายตัว จากการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐาน ภาคธุรกิจและภาคการท่องเที่ยว รวมถึง สภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ และอัตราการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ทำให้เชียงใหม่ยังคงเป็นเป้าหมายในการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดอสังหาฯ

สำหรับในช่วงไตรมาส 4/2567 บริษัทเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยว HABITAT Ruamchok บ้านหรูสไตล์  เฟรนช์อิเคล็คติก มูลค่าโครงการรวม 1,127 ล้านบาท โดยเปิดขายพรีเซลรอบ VIP ในเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา มีกระแสตอบรับที่ดี มียอดจองเฟสแรกแล้ว 50% อีกทั้งเตรียมเปิดตัวคอนโดมิเนียม Low-Rise 2 แห่งบนทำเลศักยภาพจังหวัดเชียงใหม่และภูเก็ต ได้แก่ โครงการ ARISE HILL จังหวัดเชียงใหม่ คอนโดมิเนียม Pet Friendly คอนโดมิเนียมสำหรับคนรุ่นใหม่ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ บนทำเลที่เชื่อมโยงการเดินทางสะดวกสบาย ใกล้เซ็นทรัลเฟสติวัล มูลค่าโครงการ 828 ล้านบาท และ โครงการ ARISE (Phuket) คอนโดมิเนียมตกแต่งพร้อมอยู่ ทำเลใจกลางเมืองภูเก็ต ใกล้ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล ใกล้หาดบางเทา มูลค่าโครงการรวม 1,115 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทเร่งจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นยอดขาย อาทิ จัดกิจกรรมประจำโครงการ, การให้ส่วนลดพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองภายในระยะเวลาที่กำหนด, และการร่วมมือกับธนาคารชั้นนำเพื่อนำเสนอโปรแกรมสินเชื่อพิเศษเพื่อสร้างยอดขาย ผลักดันรายได้เติบโต โดยวางเป้ายอดขายไว้ที่ประมาณ 664.71 ล้านบาท ยอดโอนกรรมสิทธิ์ 514.82  บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 มูลค่ารวมประมาณ 1,382 ล้านบาท ซึ่งสามารถทยอยรับรู้รายได้เข้ามาเพิ่มในช่วงไตรมาส 4/2567 เป็นต้นไป

“มั่นใจว่าบริษัทจะสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย บนพื้นที่โครงสร้างของจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยว ทำให้สามารถเลือกทำเลที่ตั้งโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับ ความเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ช่วยให้พัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ได้ตรงจุด ควบคู่กลยุทธ์ด้านการบริหารจัดการต้นทุนการก่อสร้าง จะทำให้บริษัทรักษาอัตรากำไรของบริษัทให้คงอยู่ในระดับที่เหมาะสม

ขณะที่ด้าน โรงเรียน Mill Hill International School Thailand ดำเนินการจัดกิจกรรมแนะนำหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้ปกครองและนักเรียนเป็นอย่างมาก โดยเตรียมเปิดตัวทีมผู้บริหาร บุคลากร อย่างเป็นทางการ เร็ว ๆ นี้ อีกทั้ง พร้อมเปิดให้บริการ “กาดเดินเพลิน” แหล่งช้อปปิ้งต้อนรับเทศกาลการท่องเที่ยว หนุนผลงานเติบโตต่อเนื่อง สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2567 บริษัทมีรายได้รวม 818.47 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 64.76 ล้านบาท

 

 

"แสนสิริ" เผยความคืบหน้าการลงทุนในภูเก็ตรับ High Season เตรียมเปิด 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวมเกือบ 4,000 ล้านบาท

แสนสิริเดินหน้า Strategic Location ปักธง 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวมเกือบ 4,000 ล้านบาท รับ High Season ภูเก็ต เมืองอสังหาริมทรัพย์ เพื่อการพักผ่อนใหญ่ที่สุดในโลก มูลค่าสูงรวมกว่า 2.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ เทียบชั้นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก อย่างไมอามี่และดูไบ แนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากหลายปัจจัยหนุน คาดทุกโครงการได้รับการตอบรับดี จากทั้งกลุ่มลูกค้าไทยและชาวต่างชาติ จากความเชื่อมั่นในแบรนด์แสนสิริ ในฐานะ Taste-Maker ผู้นำเบอร์หนึ่งอสังหาฯ ลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ตอกย้ำการเป็น International Luxury Real Estate brand ตัวจริงมาตรฐานงานดีไซน์ คุณภาพสินค้าและการบริการมาตลอด 40 ปี กับการเดินทางเคียงคู่ภูเก็ตมากว่า 13 ปี

นายอุทัย  อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย เปิดเผยว่า ภูเก็ตได้กลายเป็นตลาดระดับพันล้านดอลลาร์เทียบเคียงกับเมืองท่องเที่ยวระดับแนวหน้าอย่างไมอามี่และดูไบ สะท้อนจากการขยายตัวของการท่องเที่ยวประกอบกับความมั่นใจในศักยภาพของภูเก็ต ส่งผลให้เกิดการพัฒนาโครงการ Branded Residences ระดับหรูจำนวนมาก และคาดว่าในอนาคตยังมีแบรนด์นอกเหนือวงการโรงแรมเข้ามาผสมผสานด้วย เช่น แบรนด์แฟชั่น แบรนด์รถยนต์ และแบรนด์ร้านอาหารต่างๆ ด้วยปริมาณโครงการที่พักแบรนด์ระดับรีสอร์ทที่พุ่งสูง  

ทั้งนี้ แสนสิริให้ความสำคัญกับภูเก็ต โดยเป็นหนึ่งใน Strategic Location หรือพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญของบริษัทในการดำเนินธุรกิจ ตอกย้ำ แสนสิริ 40 ปี มุ่งสู่ International Luxury Real Estate Brand ผู้นำแบรนด์อสังหาฯ ลักซ์ชัวรี่อันดับหนึ่งในใจลูกค้าระดับบน กับการเดินทางเคียงคู่ภูเก็ตมากว่า 13 ปี ได้รับความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่โดดเด่นเหนือคู่แข่งทั้งในด้านดีไซน์ คุณภาพ และการบริการ จนเป็นผู้นำตลาดที่อยู่อาศัยในภูเก็ตที่ประสบความสำเร็จมาแล้วกว่า 22 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 22,600 ล้านบาท พร้อมรองรับการเติบโตจากการเป็นผู้นำตลาดอสังหาฯ ภูเก็ตและสานต่อความสำเร็จด้วยแผนการเปิดตัว 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวมเกือบ 4,000 ล้านบาท พร้อม “The Society” ไลฟ์สไตล์ คอมมูนิตี้ของแสนสิริ แห่งแรกในภูเก็ต

“The TALES” เปิดตัวแบรนด์ใหม่ "ลักซ์ชัวรี พูลวิลล่า" ครั้งแรกจากแสนสิริ

The TALES (เดอะ เทลส์) พูลวิลล่าคอลเลคชันแรกจากแสนสิริ ที่คุณจะได้มอบคุณค่าที่เหนือกว่าให้กับครอบครัว พร้อมประสบการณ์ความหรูหราระดับเวิร์ลคลาส ตกแต่งอย่างปราณีตในสไตล์ Private Luxury ที่ทรงคุณค่าเหนือกาลเวลาจากเวิลด์คลาสดีไซเนอร์ ถ่ายทอดสไตล์ออกแบบอันเป็นลักษณ์ของ Edward Tuttle (เอ็ดเวิร์ด ทัตเทิล) อเมริกันดีไซน์เนอร์ชื่อดัง ซึ่งมีผลงานโดดเด่นมากมายทั่วโลกตั้งแต่โรงแรมลักซ์ชัวรี่ ไปจนถึงไพรเวท เรสซิเดนท์ของเหล่ามหาเศรษฐี โดดเด่นด้วย Luxury Space and Function รองรับความต้องการกลุ่มลูกค้าทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่ชื่นชอบ Exclusive Private ที่หายากและไม่เหมือนใคร มี value added สามารถต่อยอดสร้างโอกาสจากอสังหาฯที่มีมูลค่าพุ่งสูงขึ้น ในทุกๆ ปี รวมถึงต้องมาพร้อมกับบริการหลังการขาย (after-sales service) ที่ตอบโจทย์ ซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับที่อยู่อาศัยจากการดูแลโครงการเสมือนวันแรกที่เข้าอยู่ ในฐานะแบรนด์ Taste-Maker ที่เข้าใจในทุกรายละเอียดของการอยู่อาศัยอย่างมีรสนิยม เตรียมเปิดขาย 2 โครงการในเอ็กซ์คลูซีฟ โลเคชั่นย่านบางเทา-เชิงทะเล ซึ่งนับเป็นทองหล่อ ภูเก็ต ระดับราคา 30 – 50 ล้านบาท* พร้อม Villa Management หรือ Exclusive Service ล่าสุดจากพลัส พร็อพเพอร์ตี้ นำร่องเปิดให้บริการครั้งแรกที่ภูเก็ต เตรียมเปิดขายเดือนตุลาคมนี้ ที่เดอะ โซไซตี้ ไลฟ์สไตล์ คอมมูนิตี้ของแสนสิริที่ภูเก็ต

เปิดตัวแบรนด์คอนโดใหม่ โครงการแรกที่โซนเชิงทะเล

“CANVAS Cherngtalay” (แคนวาส เชิงทะเล) คอนโดมิเนียมแสนสิริแห่งแรกในโซนเชิงทะเล ที่โดดเด่นด้วยคอนเซ็ปต์ OASIS แห่งโซนเชิงทะเล ภายใต้แนวคิด UNREVEALED BEAUTY ไฮไลท์ 2 สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ในสวนสวยสไตล์ Tropical ด้วยห้องขนาดใหญ่แบบ Fully Furnished รองรับความต้องการทั้งกลุ่มลูกค้าต่างชาติ และกลุ่มนักลงทุนไทย บนทำเลที่สมบูรณ์แบบ Prime area ในโซนเชิงทะเล (Laguna zone) ซึ่งนับเป็นโซนทองหล่อ ภูเก็ต จากการเป็นทำเลยอดนิยมของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ มีชายหาดที่สวยงามและเป็นหาดที่ยาวเป็นอันดับสองในภูเก็ต รวมทั้งยังมีความโดดเด่นในการเดินทางเชื่อมทำเลอื่นๆ ของภูเก็ตได้สะดวก แคนวาส รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้ง Boat Avenue, Porto de Phuket, Laguna Holiday Club, Golf Club , สวนน้ำ , เฮลธ์คลับ และโรงเรียนนานาชาติ เพียงไม่กี่ก้าวถึง Boat Avenue Park & Play Ground ที่อยู่ห่างแค่ถนนกั้น ราคาเริ่มต้น 8.9ล้านบาท* และผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าสูงถึง 8-12% เตรียมเปิดขาย 24 – 26 ตุลาคมนี้ ที่เดอะ โซไซตี้ ไลฟ์สไตล์ คอมมูนิตี้ของแสนสิริที่ภูเก็ต

การกลับมาอีกครั้งของบ้านเดี่ยวโครงการใหม่จากแสนสิริ ในโซนเกาะแก้ว

หลังประสบความสำเร็จในทำเลเกาะแก้ว ภูเก็ต อย่างรวดเร็วมาแล้ว ทั้งจากทาวน์โฮมโครงการแรกของแสนสิริ บนเกาะภูเก็ต ฮาบิทาวน์ เกาะแก้ว ตามด้วยโครงการบ้านเดี่ยวอีกหลายโครงการ อาทิ ฮาบิเทีย เกาะแก้ว, บุราสิริ เกาะแก้ว รวมทั้งสราญสิริ เกาะแก้ว ที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องจากศักภาพของทำเลเกาะแก้วที่เป็นโลเคชั่น ที่สามารถเดินทางไปยังจุดต่างๆ ในภูเก็ตได้อย่างง่ายดาย รวมทั้งยังสามารถเป็นเส้นทางลัดเข้าสู่กะทู้ ไปป่าตอง และติดถนนหลัก เทพกษัตรี เข้าสู่ Old Town ล่าสุดแสนสิริได้เตรียมเปิดตัว สราญสิริ เกาะแก้ว รีทรีต อบอุ่นหัวใจ ใกล้ชิดธรรมชาติ กับบ้านเดี่ยวสไตล์โมเดิร์นจากแสนสิริ การกลับมาอีกครั้งกับบ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน พร้อมสวนส่วนกลาง คลับเฮาส์ ฟิตเนส พร้อมระบบรักษาความปลอดภัย LIV-24 และ Digital Fence โครงการอยู่ใกล้โรงเรียนนานาชาติบริติช ที่มีธรรมชาติรอบด้วยภูเขา เหมาะสำหรับการอยู่อาศัย และนับเป็นอีกหนึ่งทำเลการลงทุนของเกาะภูเก็ต โดยมีอัตราการการเช่าซื้อสูง ราคาเริ่มต้น 7.59 ล้านบาท* เตรียมเปิดขายเดือนพฤศจิกายนนี้

เปิดตัว “The Society” (เดอะ โซไซตี้) ไลฟ์สไตล์ คอมมูนิตี้ของแสนสิริในภูเก็ต

นอกจากนี้เพื่อ ตอกย้ำถึงความสำคัญของตลาดภูเก็ต แสนสิริยังได้จ่อคิวเปิดตัว “The Society” (เดอะ โซไซตี้) ไลฟ์สไตล์ คอมมูนิตี้ของแสนสิริในภูเก็ต ที่พร้อมเปิดบ้านต้อนรับทุกคนสู่โปรเจ็กต์แฟลกชิปแห่งใหม่ล่าสุดจากแสนสิริที่ภูเก็ต World Class Destination ของคนทั่วโลก ที่คัดสรรและรวบรวมไลฟ์สไตล์ชั้นนำอย่างพิถีพิถันมาไว้ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นอาหารเลิศรส ร้านกาแฟสุดเก๋ พื้นที่จัดแสดงงานศิลปะ ตลอดจนเป็นพื้นที่แห่งการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เพื่อให้ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติได้ค้นหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ และเชื่อมต่อกันได้มากยิ่งขึ้น ในบรรยากาศที่ถูกออกแบบอย่างสวยงามและอบอุ่นเสมือนบ้าน ที่ที่ไอเดียใหม่ๆ เกิดขึ้นได้เสมอ และจะเป็นคอมมูนิตี้ ที่ต้อนรับความต่างของทุกคน จุดประกายแรงบันดาลใจ และออกแบบอนาคตในแบบที่คุณต้องการ พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่หลากหลาย Hangout from day to night

“The Society” พร้อมต้อนรับทุกคนให้เข้ามาค้นพบประสบการณ์ใหม่ๆ อย่างครบครัน ทั้งอิ่มอร่อยกับมื้ออาหารสุดพิเศษสไตล์สเปนที่ “Vamos” และกาแฟแบรนด์ดัง “BEANS Roaster” ที่รวบรวมเมล็ดกาแฟที่เสาะหาจากทั่วโลก ห้องตัวอย่างจากโครงการคอนโดมิเนียมจากแสนสิริแห่งแรกในโซนเชิงทะเล “CANVAS” และ ครั้งแรกกับลักซ์ชัวรี พูลวิลล่า จากแสนสิริ “The Tales” รวมทั้ง Activity & Happening ให้ได้ติดตามกันตลอดทั้งปี ซึ่งจะนับเป็นฮับในภูมิภาคที่พร้อมดูแลและให้บริการลูกค้าในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มลูกค้าไทยหรือชาวต่างชาติ เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการปลายปีนี้

“แสนสิริมั่นใจว่า ทุกโครงการจะได้รับการตอบรับที่ดี จากความแข็งแกร่งของแบรนด์แสนสิริ ที่ผู้บริโภคให้ความมั่นใจสูงสุดในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย กับรางวัลใหญ่แห่งปี Marketeer No.1 Brand Thailand 2024 ครองใจผู้บริโภคทั่วประเทศในทุกเซ็กเมนต์(บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม) ยิ่งไปกว่านั้นยังรักษามาตรฐานการครีเอทผลงานบนโซเชียลมีเดียที่โดดเด่น รักษาตำแหน่ง No. 1 Thailand Social Awards คะแนนสูงสุดในกลุ่มอสังหาฯ ในรอบ 6 เดือนแรกของปีไว้ได้อีกด้วย” นายอุทัย กล่าว

"NOBLE" ครึ่งปีหลังจ่อเปิดโครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 19,500 ล้านบาท ปักธงรายได้ปีนี้แตะ 1.4 หมื่นล้านบาท  

บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ หรือ NOBLE เดินเกมรุกลุยเปิดโครงการใหม่ครึ่งปีหลัง มูลค่ารวมกว่า 19,500 ล้านบาท มั่นใจรายได้ปีนี้แตะ 14,000 ล้านบาท โชว์ Backlog ล่าสุด 21,000 ล้านบาท

นายศิระ อุดล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE เปิดเผยถึงแผนธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังของ NOBLE ในปี 2567 ว่า บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องตามแผน โดยโครงการที่เปิดตัวล่าสุดคือ บ้านเดี่ยว นิว เฌด ราชพฤกษ์ – แจ้งวัฒนะ มูลค่าโครงการกว่า 1,900 ล้านบาท ขณะเดียวกันมีโครงการที่ทยอยโอนกรรมสิทธิ์และพร้อมอยู่ในปีนี้ได้แก่ โครงการนิว โนเบิล รัชดา ลาดพร้าว,โครงการนิว คอนเน็กซ์ คอนโด ดอนเมือง, อาคารพาณิชย์ นิว คอนเน็กซ์ บิซ ดอนเมือง และโครงการโนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ โดยจากแผนธุรกิจในครึ่งปีหลัง ประกอบกับยอดขายต่อเนื่องจากโครงการที่เปิดไปก่อนหน้านี้ ส่งผลให้บริษัทฯ ยังคงตั้งเป้ารายได้ในปี 2567 ที่ระดับ 14,000 ล้านบาท โดยมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่า 21,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2570

ขณะที่ภาวะการแข่งขันในภาคอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทมองว่าการแข่งขันจะคึกคักมากขึ้นจากการที่รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านอสังหาริมทรัพย์ ทั้งการลดค่าโอน-จดจำนอง รวมถึงการผลักดันกฎหมายให้ชาวต่างชาติถือครองห้องชุดได้เพิ่มขึ้นเป็น 75% จากเดิม 49% ประกอบกับการเปิดกว้างให้กลุ่ม LGBTQIAN+ สามารถซื้อที่อยู่อาศัยร่วมกันได้ ทำให้บริษัทฯ มองว่าเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกต่อภาคธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยรวม เนื่องจากเป็นการเปิดกว้างในการ ขอสินเชื่อร่วมกันของกลุ่ม LGBTQIAN+ ให้มีสิทธิในการทำธุรกรรมต่างๆร่วมกัน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะหนุนให้ภาคอสังหาฯ คึกคัก และเติบโตจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น
#NOBLE #อสังหา #ข่าววันนี้ #โครงการใหม่

ORN เร่งเกมธุรกิจใหม่ เปิดพรีเซลเพิ่ม 3 โครงการ มูลค่ารวม 3,070 ล้านบาท หนุน Backlog แตะ 1,500 ล้านบาท

ORN แย้มทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลัง 2567 ฟอร์มดี เดินหน้าเปิดขายพรีเซล 3 โครงการ มูลค่ารวม 3,070 ล้านบาท ได้แก่ โครงการแนวราบ HABITAT (Ruamchok), โครงการคอนโดมิเนียม Low – Rise  ARISE (Sansai) , ARISE (Phuket) ควบคู่อัดโปรฯ เร่งยอดขายทุกโครงการ รับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาฯ หนุนดีมานด์ต่างชาติเชื่อมั่นโอนกรรมสิทธิ์เพิ่ม ดัน Backlog 1,500 ล้านบาท ยอดขายแตะ 2,500 ล้านบาท เร่งเดินเกม ธุรกิจใหม่รับไฮซีซัน Life Style Market แหล่งช็อปปิ้งใจกลางเมืองเชียงใหม่ ให้บริการเดือน พ.ย.67  Mill Hill International School Thailand อยู่ระหว่างก่อสร้าง มีกระแสดี ผู้ปกครองไทย-ต่างชาติแห่จอง คาดให้บริการต้นปี 68 สร้างรายได้ประจำเพิ่ม เสริมศักยภาพการเติบโต

นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) หรือ ORN เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากครึ่งปีแรก เนื่องจากธุรกิจเข้าสู่ช่วงไฮซีซัน อีกทั้งภาพรวมตลาดอสังหาฯ มีทิศทางปรับตัวที่ดี หลังภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาฯและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ในช่วงไตรมาส 2/2567 เพื่อสนับสนุนการมีที่อยู่อาศัยของประชาชน ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของลูกค้าชาวไทย และสร้างความเชื่อมั่นต่อลูกค้าชาวต่างชาติ เร่งโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯ เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้บริษัทเตรียมเปิดขายรอบพรีเซลโครงการแนวราบ-แนวสูง 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 3,070 ล้านบาท ชูจุดเด่นทำเลศักยภาพ เน้นดีไซน์ที่แตกต่าง ตอบโจทย์ความต้องการคนในพื้นที่และลูกค้าต่างชาติ คุณภาพงานก่อสร้างที่มีมาตรฐาน รวมถึงการบริการดูแลลูกค้าก่อนและหลังการขายได้แก่ โครงการ HABITAT (Ruamchok) บ้านหรูสไตล์ French Eclectic ทำเลใกล้รวมโชคมอลล์ และศูนย์ราชการ จำนวน 99 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,127 ล้านบาท,โครงการ ARISE (Sansai) คอนโดมิเนียม Low – Rise จำนวน 375 ยูนิต คอนโด Pet Friendly แห่งแรกในจังหวัดเชียงใหม่ ใกล้เซ็นทรัลเฟสติวัล ตกแต่งพร้อมอยู่ มูลค่าโครงการ 828 ล้านบาท,โครงการ ARISE (Phuket) คอนโดมิเนียม Low – Rise จำนวน 484 ยูนิต บนทำเลใจกลางเมืองภูเก็ต ใกล้ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล ใกล้หาดบางเทา มูลค่าโครงการรวม 1,115 ล้านบาท

นายปรีดิกร กล่าวต่อว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในครึ่งปีแรกที่ชะลอตัวจากสภาพเศรษฐกิจ ภาวะหนี้ครัวเรือนและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงส่งผลกระทบต่อความต้องการที่อยู่อาศัยลูกค้าชาวไทย แต่โครงการแนวสูงของบริษัท ยังคงมียอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์จากกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติอยู่ในระดับที่ดีมาโดยตลอด โดยโครงการ ARISE (เจริญเมือง) หลังเปิดขายพรีเซลเมื่อต้นปี 2567  ได้รับผลตอบรับจากชาวต่างชาติคึกคัก ยอดจองโควตาต่างชาติ (Foreign Quota) เต็มจำนวนแล้ว บริษัทจึงเดินหน้าเปิดขายโครงการแนวสูงต่อเนื่องเพื่อรองรับความต้องการจากกลุ่มชาวต่างชาติที่ยังสนใจที่พักอาศัยในจังหวัดเชียงใหม่ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง อีกทั้ง บริษัทพร้อมส่งมอบและเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์ โครงการคอนโดฯ The Next รวมโชค ซิตี้ฮอลล์  และ The Next เจ็ดยอด2 สร้างรายได้เพิ่มขึ้น ควบคู่กลยุทธ์การตลาดจัดโปรโมชันโครงการที่อยู่ระหว่างขายทุกโครงการ กระตุ้นการตัดสินใจซื้อ เติม Backlog แตะ 1,500 ล้านบาทผลักดันยอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ประมาณ 2,500 ล้านบาท

ขณะที่ ธุรกิจใหม่ เตรียมเปิดให้บริการ Life Style Market แหล่งช็อปปิ้งใจกลางเมืองเชียงใหม่ บนพื้นที่ 5 ไร่ คาดให้บริการได้ในเดือน พ.ย. 2567 ต้อนรับฤดูการท่องเที่ยว โดยมีร้านค้า-ร้านอาหารจองพื้นที่จำนวนแล้วกว่า 50% และ Mill Hill International School Thailand อยู่ระหว่างการก่อสร้างอาคารอำนวยการ อาคารเรียน เตรียมความพร้อมของบุคลากร และอยู่ระหว่างการประชาสัมพันธ์ จัดกิจกรรมแนะนำหลักสูตร ซึ่งมีกระแสตอบรับที่ดีได้รับความสนใจจากผู้ปกครองชาวไทยในพื้นที่และชาวต่างชาติที่ย้ายครอบครัวเข้ามาอาศัย ประกอบธุรกิจในไทยเข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก คาดพร้อมให้บริการได้ภายในปี 2568

มั่นใจว่า จากกลยุทธ์การดำเนินงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจใหม่ จะสามารถสร้างรายได้ประจำเพิ่มขึ้น ประกอบกับการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินให้มีประสิทธิภาพ เสริมศักยภาพการเติบโตอย่างมั่นคงให้กับบริษัทได้ในอนาคต