"โฆษกปชป." ชี้ "รัฐบาล" ยอมปรับแจกเงินสดให้ "กลุ่มเปราะบาง" ฟังเสียงเรียกร้องสังคม แนะต้องกระตุ้นศก.ระยะยาว

 

วันที่ 29 ก.ย. 2567 น.ส.เจนจิรา รัตนเพียร โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2567 กำหนดแจกกลุ่มเปราะบาง ทั้งกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และคนพิการ รวม 14.55 ล้านคน คนละ 10,000 บาท ผ่านการโอนเข้าบัญชีว่า ขอแสดงความยินดีกับพี่น้องประชาชนที่ได้รับเงินสด 10,000 บาท ซึ่งที่ผ่านมาโครงการดังกล่าว ได้รับทั้งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เสียงท้วงติงจากหลายภาคส่วน รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์เองได้เคยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ตั้งแต่เรื่องที่มาของงบประมาณ ตลอดจนวิธีการ และความคุ้มค่าของโครงการ จนในที่สุดรัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนแนวทาง และรายละเอียดจนสามารถแจกเป็นเงินสดถึงมือพี่น้องประชาชนสำเร็จเป็นเฟสแรก

ซึ่งการนำนโยบายในการหาเสียงมาปฏิบัติ เป็นเรื่องที่มีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องรับฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และเสียงท้วงติง เพื่อให้การแปรเปลี่ยนนโยบายพรรคการเมืองเกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนได้จริง การที่รัฐบาลยอมปรับเปลี่ยนการดำเนินงาน จากการแจกดิจิทัลวอลเล็ต 50 ล้านคน รอบเดียว มาเป็นจ่ายเงินสด 10,000 บาท โดยเริ่มต้นที่กลุ่มเปราะบางก่อน ส่วนหนึ่งมองได้ว่า เป็นการยอมรับฟังเสียงท้วงติงจากทุกภาคส่วนในสังคม และจะเป็นการเก็บบทเรียนเป็นแนวทางทำให้การดำเนินการสำหรับกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ ต่อไป สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในการนำเงินงบประมาณไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจได้ตรงตามเป้าหมายของรัฐบาลมากยิ่งขึ้น

"การแจกเงินสด ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นเท่านั้น ภาวะที่ประเทศเผชิญภัยพิบัติธรรมชาติ กระทบต่อเศรษฐกิจรุนแรง รัฐบาลจะต้องมีแนวทางสำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว เพื่อให้ประเทศฟื้นตัวอย่างยั่งยืนอีกด้วย อย่างไรก็ตาม สำหรับการดำเนินการนโยบายในเรื่องอื่นต่อ ๆ ไปของรัฐบาล ต้องรับฟังถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน โดยยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ก็เชื่อได้ว่ารัฐบาลนี้จะสามารถสร้างผลงานได้สำเร็จอีกหลาย ๆ เรื่อง และจะเป็นแบบอย่างของการปรองดองในชาติต่อไป" โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว

“วราวุธ” รับแจกเงินหมื่นกลุ่มเปราะบาง-คนพิการมีอุปสรรค แนะใช้ให้คุ้มค่า

“วราวุธ” รับ มีอุปสรรคแจกเงินหมื่นกลุ่มเปราะบาง-คนพิการ ย้ำ ไปยืนยันสิทธิภายในวันที่ 3 ธค.67 ขอบคุณ นายกฯอิ๊ง เล็งเห็นความสำคัญ วอน คนนำไปใช้ให้เห็นคุณค่าอย่าหมดไปกับเหล้า-หวย เหตุ เป็นภาษีของประชาชน

วันที่ 28 ก.ย.67 ที่ห้างสรรพสินค้าเดอะสตรีท รัชดา นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ให้สัมภาษณ์ถึงอุปสรรคในการแจกเงินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ "เงินหมื่นฟื้นเศรษฐกิจ" ที่ให้กับกลุ่มเปราะบางและคนพิการก่อน ในการดำเนินกาี 3 วันที่ผ่านมา ว่า แน่นอนว่ามี แต่จะเป็นปัญหาการที่ข้อมูลไม่ถูกต้องบ้าง บัญชีธนาคารไม่ตรงกับชื่อตัวเองบ้าง แต่ก็จะเป็นส่วนน้อย นั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมทำให้พี่น้องคนพิการมีเวลาถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2567 ที่จะมาขึ้นทะเบียน และมาทำข้อมูลให้ถูกต้อง กับทางกรม พก. เพื่อที่จะดำเนินการภายในวันที่ 3 ธันวาคมรักษาสิทธิการรับ 10,000 บาทของท่านก็จะยังอยู่  แต่อย่างไรก็ตาม ต้องขอฝากสื่อมวลชนไปด้วยว่าทุกบาททุกสตางค์ที่พี่น้องคนพิการและกลุ่มเปราะบางได้ไปนั้นเป็นเงินที่มาจากภาษีพี่น้องประชาชนไม่ใช่เงินฟรี ไม่ใช่เงินที่อยู่ๆลอยมาจากไหน ดังนั้นขอให้ใช้เงิน 10,000 บาทนี้ให้คุ้มค่า ในการที่จะมาพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยด้วยกันอย่าเพิ่งใช้ให้หมดไปกับการซื้อเหล้า ซื้อหวย ขอให้ใช้ให้เกิดประโยชน์กับเศรษฐกิจในระดับชุมชนของเรา 

ผู้สื่อข่าวถามว่า พึงพอใจกับการดำเนินนโยบายนี้ของรัฐบาลมากน้อยแค่ไหนที่กลุ่มเปราะบางและคนพิการได้รับก่อน นายวราวุธ กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของคนกลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะพี่น้องคนพิการเป็นกลุ่มแรก และแน่นอนว่าเงินนี้ไม่ใช่เงินของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเงินภาษีของพี่น้องประชาชนจ่ายมา แล้วนำมามอบให้กับพี่น้องคนพิการและกลุ่มเปราะบาง ดังนั้นต้องขอบคุณที่เล็งเห็นความสำคัญ และให้โอกาสคนพิการและกลุ่มเปราะบาง ได้รับสิทธินี้ก่อน

นายกฯมอบถุงยังชีพ ให้กำลังใจกลุ่มเปราะบาง ด้านผู้พิการขอบคุณรัฐบาลแจกเงินหมื่น

วันที่ 28 ก.ย.67 เวลา 14.00 น. ณ วัดเมืองศาตรหลวง ตำบลวัดเกตุอำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบถุงยังชีพ และพบปะประชาชนและประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย โดยสอบถามความเป็นอยู่พร้อมกล่าวให้กำลังใจ ยืนยันรัฐบาลกำลังเร่งแก้ไขปัญหา 

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ถามนายเชิด สุวรรณทะมาลี ผู้พิการที่ได้รับเงิน 10,000 บาทจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ ซึ่งได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลที่มอบโอกาสให้ชาวบ้านมีเงินมาใช้จ่ายในการดำรงชีวิต จากนั้นนายกรัฐมนตรียังร่วมพูดคุยกับผู้สูงอายุ ซึ่งได้อวยพรให้นายกรัฐมนตรีและคณะมีความสุข สุขภาพแข็งแรง หมดทุกข์ หมดเคราะห์ พร้อมกล่าวว่า “วันนี้ ถือเป็นวันมงคลที่ได้มาพบนายกฯ” นายกรัฐมนตรีได้อวยพรกลับขอให้ผู้สูงอายุ อายุยืน ได้รับพรคืนเป็น 100 เท่า

จากนั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะเดินทางกลับกรุงเทพฯ

"รอง ปธ.กมธ.พัฒนาเศรษฐกิจ" วิจารณ์แจกเงิน 1 หมื่น ไม่ยั่งยืน ชี้เหมือนให้ยาพาราคนเป็นมะเร็ง

วันที่ 28 ก.ย.67 ที่ร้านเดอบัวคาเฟ่ ต.คลองขุด อ.เมือง จ.สตูล  คณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร นำโดยนางสาวชุติมา คชพันธ์ รองประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ ,นายศุทธสิทธิ์ พจน์ฐศักดิ์ โฆษกคณะกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ, นายพริษฐ์  วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน , นายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน,นายสมชาติ เตชถาวรเจริญ ส.ส.เขต 1 ภูเก็ต และนางสาวศนิวาร บัวบาน ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ร่วมสัมมนาในหัวข้อ “โอกาส ศักยภาพ การพัฒนาเศรษฐกิจ  เมืองชายแดนจังหวัดสตูล” พร้อมเชิญภาคเอกชนและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง 14 หน่วยงานร่วมพูดคุย

นางสาวชุติมา คชพันธ์ รองประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ กล่าวว่า จังหวัดสตูลนับว่ามีศักยภาพมาก หลังจากได้เจอกับพี่น้องประชาชนภาคส่วนต่าง ๆ พบว่ายังสามารถที่ขยายเศรษฐกิจท้องถิ่นได้มากกว่านี้ พบว่านักท่องเที่ยวมาเลเซียสามารถที่จะเดินทางตรงมาถึงจังหวัดสตูลได้เลย  แทนที่จะรอนักท่องเที่ยวจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สามารถเดินทางตรงเข้ามาที่เกาะแล้วก็ตรงมาที่จังหวัดสตูลได้เลย  นี่คือความโดดเด่นและความได้เปรียบ 

และยังพบว่าท้องถิ่นเองมีวิสาหกิจชุมชนมีผลิตภัณฑ์ชุมชนมากมาย ที่มีศักยภาพ ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าจะถูกกดทับเอาไว้ ไม่ได้แสดงศักยภาพให้เฉิดฉายมากเต็มที่ ฉะนั้นวันนี้ได้นำหน่วยงาน 14 หน่วยงาน มาพูดคุยกัน  รวมถึงพวกเราเองในฐานะ นักการเมือง จะนำเรื่องเหล่านี้ไปผลักดันต่อในสภาให้ และสิ่งที่ได้วันนี้เชื่อว่าภาคประชาชนจะเติบโตขึ้น ที่แน่ ๆ เลยก็คือประชาชนจะเห็นภาพมากขึ้น จะพบว่าจริง ๆ แล้วเขาสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ ถ้าประชาชนสามารถเข้มแข็งกว่านี้ได้ ที่อยากช่วยให้สตูลเติบโตกว่านี้ได้ ในหน่วยงานราชการเอง

รองประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ กล่าวว่า วันนี้พบว่าเราเป็นคนกลาง ให้เกิดความใกล้ชิดกันมากขึ้น ภาคราชการและภาคประชาชน แล้วจากนี้การทำงานก็จะได้ใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม และที่แน่ ๆ หลังจากที่ได้ข้อมูลไปในวันนี้ เรามองว่าเวลาเปิดปิดด่านชายแดน ที่จะต้องไปหารือกันต่อพบว่ามีนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียเข้ามาเยอะขึ้น แต่พบว่าเวลาปิดการแค่ 6 โมงเย็น อันนี้คือปัญหา ทำให้เกิดข้อจำกัดนักท่องเที่ยวจะคิดว่าจะทันไหมในการเดินทางไปกลับ ในขณะที่ฝั่งมาเลเซียปิด 20.00 น. จะเห็นว่านี่คืออุปสรรคอันนึง ที่จะจูงใจนักท่องเที่ยวคงจะต้องไปคุยกันในประเด็นนี้ อีกเรื่องนึง นอกจากเรื่องด่านก็คือเรื่องของสถานที่  พบว่าด่านที่เคยมีอยู่ในตัวเมืองสตูล ไปตั้งอยู่ที่เกาะหลีเป๊ะ กลายเป็นว่านักท่องเที่ยวมาเลเซียตรงไปที่เกาะ ไม่ได้เข้ามาในตัวเมืองสตูล เลยทำให้ตัวเมืองสตูลเงียบเหงา เมื่อเงียบแบบนี้ผู้ประกอบการในตัวเมืองก็จะเดือดร้อน เรื่องนี้คงต้องมานั่งทบทวนกัน ในประเด็นของสถานที่และเวลา เพื่อที่จะให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในตัวเมืองมากขึ้น สิ่งเหล่านี้จะไปปฏิบัติต่อในสภา

นางสาวชุติมา ยังกล่าวถึงประเด็นการแจกเงิน 10,000 บาทของรัฐบาล พบว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียงชั่วคราว มันเหมือนคนป่วยเป็นมะเร็งแต่ให้กินยาพารา  ยาพาราไม่ได้รักษาโรคร้ายได้อยู่แล้ว ก็จะได้ในช่วงนี้ ส่วนตัวคิดว่า เดือน 2 เดือนนี้หรืออาจจะไม่ถึงด้วยซ้ำ จะเห็นได้ว่าช่วงนี้ทุกคนจับจ่ายกันมากขึ้น  ไม่กี่วันก็จะหมดไป  ถ้าเป็นกราฟก็จะขึ้นดิ่งแล้วก็ลงทันที  สิ่งที่เราต้องการจะเห็นก็คือความยั่งยืน ระยะยาว สิ่งที่พรรคประชาชนคณะกรรมการการพัฒนาเศรษฐกิจ จะทำและมองว่า อยากจะเป็นเครื่องมือให้ประชาชนทำมาหากินได้ รู้วิธีจับปลาไม่ใช่เอาปลาไปเป็นตัวๆ ทำแกงส้มมื้อหนึ่งก็หมดแล้ว สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำอยู่คือเอาปลาเป็นตัวๆไปให้กิน กินหมดก็จบ หลังจากนี้ล่ะก็จะอดกันต่อเหรอ ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นแบบนี้ อยากให้มองระยะยาวมากกว่า

สุดท้ายอยากจะบอกประชาชนว่าไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจท้องถิ่น หรือเศรษฐกิจมหภาคก็ตาม อยากให้ทุกคนเชื่อมั่นในอำนาจของประชาชน ประชาชนสามารถทำอะไรก็ได้ที่อยากจะทำ ประชาชนมีศักยภาพ จังหวัดสตูลไปจังหวัดเล็กๆที่ทุกคนได้ลืมมาอย่างยาวนานมาก เราเองให้ความสำคัญกับจังหวัดสตูล เชื่อว่าเศรษฐกิจท้องถิ่นดีได้หากทุกคนเชื่อมั่น ภาคประชาชนต้องเข้มแข็ง ถ้าอุตสาหกรรมต้องเข้มแข็ง ด้านเศรษฐกิจท้องถิ่นดีชุมชนดีเศรษฐกิจภาพใหญ่มหัพภาค ก็จะดีตาม จะช่วยให้เศรษฐกิจภาพรวมของประเทศดีได้

“อดีตบิ๊กขุนคลัง”ชำแหละปมแจกเงินหมื่น ไร้ตรวจสอบคุณสมบัติคนถือบัตรซ้ำ

“อดีตบิ๊กขุนคลัง”ชำแหละปมแจกเงินหมื่น ไร้ตรวจสอบคุณสมบัติคนถือบัตรซ้ำ

เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่าไม่ตรวจสอบคุณสมบัติคนถือบัตร

วันแรกๆ ที่มีการโอนเงินจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (ที่เปลี่ยนไปเป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ น่าจะเพื่อไม่ให้ผิดกฎหมายเลือกตั้ง) คนที่รับเงินมีความดีใจหลายแบบ

ผมเองยินดีด้วยกับประชาชนที่ได้รับเงิน เพราะสำหรับหลายครอบครัวนั้น เงินจำนวน 10,000 บาทต่อคนมีความหมายมาก

อย่างไรก็ดี มีความเสี่ยงที่รัฐบาลควรจะต้องคำนึงและบริหารให้ถูกต้อง

1 ไม่มีการตรวจสอบคุณสมบัติซ้ำ

รัฐบาลก่อนหน้าได้เปิดให้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เริ่มใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2566 เป็นต้นไป โดยกำหนดคุณสมบัติไว้ดังนี้

1. สัญชาติไทย

2. อายุ 18 ปีขึ้นไป

3. รายได้ต่อปีของบุคคลและรายได้เฉลี่ยของครอบครัวไม่เกิน 100,000 บาท ต่อคนต่อปี รวมถึงทรัพย์สินทางการเงิน อย่าง เงินฝาก สลาก พันธบัตร และตราสารหนี้ของภาครัฐ ต้องไม่เกิน 100,000 บาท ต่อคนต่อปีด้วยเช่นเดียวกัน

4. ไม่มีวงเงินกู้ หรือมีวงเงินกู้บ้าน ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท และวงเงินกู้รถไม่เกิน 1 ล้านบาท

5. ไม่มีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ หรือมีกรรมสิทธิ์แต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข

6. กรณีไม่มีครอบครัว ห้องชุดต้องไม่เกิน 35 ตร.ม. และที่ดินที่ไม่ใช่เพื่อการเกษตรไม่เกิน 1 ไร่ และใช้ในการเกษตร ไม่เกิน 10 ไร่ และมีบ้านพร้อมที่ดิน บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ตึกแถว ไม่เกิน 25 ตร.ว. และรวมกันหมดแล้วพื้นที่การเกษตรไม่เกิน 10 ไร่

เวลาผ่านมาถึงวันนี้ 1.5 ปี สถานภาพของหลายคนเปลี่ยนไป ในวันนี้ รายได้ หรือวงเงินกู้ หรือขนาดทรัพย์สิน อาจจะสูงกว่าหลักเกณฑ์

มีข้อมูลส่งกันใน today.line.me มีกรณีหนึ่งที่ผู้รับฐานะดีถึงขั้นที่จะใช้เงินนี้ซื้อตั๋วคอนเสิร์ต มีอีกกรณีหนึ่งที่ผู้รับมีรายได้สูงกว่าหลักเกณฑ์เพราะได้เข้าทำงาน

ถามว่า กระทรวงการคลังได้ทำการตรวจสอบคุณสมบัติซ้ำก่อนการจ่ายเงินหรือไม่

2 การปฏิบัติตามกฏหมายเลือกตั้ง

เนื่องจากเป็นการจ่ายเงินสด โดยไม่มีบล็อกเชนควบคุม จึงไม่สามารถบังคับการใช้จ่ายให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่พรรคเพื่อไทยกำหนดไว้เดิมได้ รวมทั้งไม่มีผลดีในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลแม้แต่น้อย

ถามว่า พรรคเพื่อไทยได้คำยืนยันจาก กกต. หรือยังว่า การจ่ายเป็นเงินสดเข้าข่ายเป็น "สัญญาว่าจะให้" หรือไม่

3 การปฏิบัติตามกฎหมายวินัยการเงินฯ

เนื่องจากเป็นการจ่ายเงินสด โดยไม่มีบล็อกเชนควบคุม จึงอาจมีการรั่วไหลไปเล่นพนัน หรือซื้อสินค้าที่มีสัดส่วนการนำเข้าสูง ซึ่งจะทำให้ผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศลดลง

นอกจากนี้ ถึงแม้การจ่ายเงินดังกล่าว ใช้เงินจากระบบงบประมาณ แต่เนื่องจากเป็นการโยกโครงการงบประมาณอื่นมาใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมิได้มีการปรับลดหรือยกเลิกโครงการงบประมาณอื่นดังกล่าว ในอนาคตเมื่อต้องทำโครงการงบประมาณเดิมที่ถูกชะลอไว้ รัฐบาลก็จะต้องกู้หนี้สาธารณะเพิ่มเพื่อมาชดเชยขาดดุลงบประมาณ

ดังนั้น จึงมีผลเป็นการใช้เงินจากการกู้หนี้สาธารณะเพิ่มโดยปริยาย เพียงแต่ใช้ทางอ้อม

ถามว่า เนื่องจากโครงการนี้มีผลทำให้ประเทศมีหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นโดยอ้อมมากถึง 1.4 แสนล้านบาทซึ่งเป็นการเพิ่มภาระให้แก่ฐานะการคลังอย่างหนัก กระทรวงการคลังยืนยันว่าการจ่ายเป็นเงินสดมีความคุ้มค่า หรือไม่อย่างไร

ผมขอแนะนำให้รัฐบาลแถลงประเด็นเหล่านี้ต่อสาธารณะ

"สมชาย แสวงการ" โพสต์จี้หยุดแจกเงินหมื่น ก่อนล้มละลายในอนาคตอันใกล้นี้

เมื่อวันที่ 27 ก.ย.67 นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.)โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "สมชาย แสวงการ" ระบุว่า #แจกเงินหมื่น #ภาษีของคนไทยทุกคน

รัฐบาล สส นักการเมืองอย่าริฉวยเอาหน้า 
สื่อมวลชนไม่ควรทำข่าวอวยให้ประชาชนหลงผิด
เพราะข้อคัดค้านและข้อเสนอทางออกนี้มาจากอดีตผู้ว่าแบงค์ชาติ นักเศรษฐศาสตร์ 
และพวกเราร่วมกันคัดค้าน โครงการกู้มาแจกเงินดิจิตอล 5 แสนล้านที่ไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ มีเงื่อนปม พิรุธมากมายมาตลอด 1ปีเศษที่ผ่านมา
โดยมีข้อเสนอที่จะรัฐบาลควรเร่งช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางซึ่งมีปัญหาความยากจน
และความเหลื่อมล้ำ  ด้วยการแจกเงินสด และต้องทำควบคู่กับนโนยายกระตุ้นเศรษฐกิจแบบอื่นๆไปพร้อมกัน
ดังนั้น เมื่อรัฐบาลเดิมที่เปลี่ยนนายกใหม่จากเศรษฐามาเป็นแพรทองทา เสียเวลากับการหมกมุ่นในนโยบายกู้มาแจกดิจิตอลวอลเลต 5แสนล้าน ระงับการใช้เงินลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ที่เป็นเม็ดเงินมหาศาลขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จนเชื่อว่าทำเศรษฐกิจเสียหายไป จะแก้ไขด้วยการแจกเป็นเงินสดแก่กลุ่มคนเปราะบางและคนพิการ ย่อมเป็นการเยียวยาให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบแล้ว
จึงไม่มีความจำเป็นต้องขอบคุณนายกรัฐมนตรี รัฐบาลและนักการเมืองแต่ประการใด เพราะเม็ดเงินที่นำไปใช้ในโครงการแจกเงินทุกบาททุกสตางค์ไม่ใช่เงินส่วนตัวของนักการเมืองผู้ใด 
หากแต่เป็นเงินภาษีคนไทยคนไทยทุกคน 
ที่เราจำเป็นต้องเสียสละเพื่อมาใช้จ่ายแก้ปัญหาให้กับกลุ่มคนที่ขาดโอกาส เพื่อให้มีโอกาสได้สู้ต่อไปในยามนี้
เป็นเรื่องที่คนไทยต้องรู้และตระหนักว่า เราทุกคนยังต้องช่วยกันแบกหนี้และดอกเบี้ยกัน
ที่สำคัญรัฐบาล ควรยกเลิกการแจกเงินดิจิตอลที่เหลือทั้งหมด และเร่งนำเม็ดเงินไปพัฒนาศักยภาพของรัฐและประชาชนในทุกๆด้านให้คุ้มค่ายิ่งขึ้นต่อไป 
มิเช่นนั้นประเทศเราอาจเสพติดประชานิยมเพราะเงินแจกและขาดขีดความสามารถ
ในการแข่งขันทางเศรษฐกิจหรือประสพภาวะล้มละลายในอนาคตอันใกล้นี้
#เตือนมาด้วยความหวังดี
สมชาย แสวงการ
อดีตสมาชิกวุฒิสภา 
26 กย 2567


#สมชายแสวงการ #แจกเงินหมื่น #ดิจิทัลวอลเล็ต

“ทักษิณ” คอนเฟิร์มแจกเงินหมื่น! กลุ่มเปราะบาง-คนพิการได้ก่อน

ยิงนก 3 ตัวด้วยกระสุนนัดเดียว! “ทักษิณ” คอนเฟิร์มโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 14.5 ล้านคน กลุ่มเปราะบาง-คนพิการได้ก่อน

เมื่อวันที่ 22 ส.ค.67 ที่พารากอนฮอลล์ ห้างสรรพสินค้าพารากอน สื่อในเครือเนชั่น จัดงาน Dinner Talk Vision for Thailand 2024 เปิดเวทีแสดงวิสัยทัศน์ครั้งสำคัญ ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อรู้ถึงทิศทางเศรษฐกิจจะขับเคลื่อนไปอย่างไร และทิศทางการเมืองไทยจากนี้ต่อไป

ทันทีที่นายทักษิณ เดินทางมาถึง ได้เข้ามานั่งพักที่ SCBX พร้อมพูดคุยกับนักธุรกิจ และนักการเมืองที่เดินทางมาร่วมงาน อาทิ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า นายธนินท์ เจียรวนนท์ อดีตประธานกรรมการของเครือเจริญโภคภัณฑ์ นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และนายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิงส์ จำกัด (มหาชน)

หลังจากนั้น นายทักษิณ ได้เดินขึ้นมาที่ด้านหน้าบริเวณงาน และรับชมนิทรรศการที่จัดขึ้น พร้อมถ่ายภาพร่วมกันกับ นักการเมือง  นักธุรกิจ และคณะผู้บริหารในเครือเนชั่น

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นักการเมืองที่มาร่วมงานคึกคัก อาทิ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงเหล่าบรรดานักธุรกิจจำนวนมากที่มาร่วมงาน

สำหรับกำหนดการของนายทักษิณ เวลา 19.00 - 19.50 น. จะขึ้นแสดงวิสัยทัศน์ หัวข้อ Vision for Thailand พูดถึงแนวทางเศรษฐกิจที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะทำให้เห็นยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ทั้งระยะกลางและยาว และการดึงนักลงทุนต่างชาติเข้าลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ (S Curve) และนโยบายต่าง ๆ ที่เป็นปัจจัยหนุนตลาดให้เติบโตขึ้น

จากนั้นนายทักษิณ ได้กล่าวปาถกฐา “วิสัยทัศน์ประเทศไทย” ถึงโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตอนหนึ่งว่า เท่าที่ทราบ เท่าที่เขาเล่าให้ฟัง เนื่องจากว่า มีคนค้าน คนอาจไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร ค้านไว้ก่อน บางคนก็ค้านจนลืมไปว่า ตัวเองคือส่วนหนึ่งของต้มยำกุ้ง จริง ๆ ดิจิทัลวอลเล็ตเป็นการยิงนก 3 ตัวด้วยกระสุนนัดเดียว อันแรกคือกระตุ้นเศรษฐกิจ จำเป็นต้องกระตุ้น ประเทศเราโตช้ามานาน GDP น้อยกว่าคนอื่นทั้งหมดโดยเฉลี่ย เพราะไม่มีเงินในระบบเกี่ยวข้อง แบงก์ชาติไม่อยากให้แบงก์พาณิชย์เดือดร้อน เพราะถ้าเงินเยอะ แบงก์พาณิชย์ขาดทุน ก็ดูดออก แบงก์พาณิชย์ก็สบายดี แต่จริง ๆ แล้วควรทิ้งเงินไว้ในระบบทางพาณิชย์ส่วนหนึ่ง ให้เขาใช้ความพยายามช่วยเหลือ SME ช่วยเหลือนักธุรกิจ แต่ตรงนี้ก็ต้องหาความพอดี ไม่ได้บอกว่าไม่ให้ดูด แต่ต้องมีความพอดีว่า แบงก์พาณิชย์ทำงาน ใช้ความพยายามช่วยเศรษฐกิจบ้าง พอมองเห็นว่าเงินไม่พอ รัฐบาลจึงกระตุ้นเศรษฐกิจ

“ทีนี้การกระตุ้นทำไมเป็นดิจิทัลวอลเล็ต ทำไมไม่เป็นเงินสด ขอเล่าว่า ดิจิทัลวอลเล็ต จริง ๆ ข้างหลังบ้านคือระบบ “บล็อกเชน” มีสมาร์ทคอนแทรค หรือการควบคุมการใช้เงินได้ เช่น ให้ใช้ในเขตนี้ อำเภอนี้ ซื้อของประเภทนี้ เพื่อให้กระตุ้นเศรษฐกิจแม่นยำ อยู่ในพื้นที่ใครพื้นที่มั่น เศรษฐกิจชุ่มฉ่ำทั้งประเทศ เป็นความต้องการใช้ดิจิทัลวอลเล็ต รวมถึงอยากให้คนไทยถึงรากหญ้า ได้เรียนรู้เทคโนโลยี ชาวนาไม่เรียนหนังสือเลย แต่ใช้เฟซบุ๊กก็เป็น ใช้ไลน์ก็ได้ ก็เหมือนกัน เดี๋ยวเรียนรู้ ดิจิทัลวอลเล็ตก็เข้าใจ ” นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า เมื่อเรียนรู้แล้ว ต้องใช้ต่อไป ในครั้งหน้าเราจะได้ทั้งดิจิทัลไอดี ซุปเปอร์แอป เพื่อให้คนเข้าไป One-Site ใช้กับทุกบริการของภาครัฐได้หมด และอีกหน่อย อาจออกพันธบัตรผ่านประชาชนรายย่อย ให้ประชาชนใช้แทนเงินสดได้ นี่คือสิ่งที่เราหวังว่า ดิจิทัลวอลเล็ตเป็นประโยชน์กับประเทศมากกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายทักษิณ กล่าวด้วยว่า แต่วันนี้เมื่อถึงขั้นนี้ มีการค้านไม่เข้าใจ และตั้งงบกลางปี 2567 ต้องใช้ภายใน ก.ย. 2567 ทางคณะกรรมการฯ เล่าให้ฟังว่า ขณะที่ใช้งบราว 1.45 แสนล้านบาท ไปใช้กับกลุ่มเปราะบาง 13.5 ล้านคน และใช้กับคนพิการ ซึ่งไม่ใช่อยู่ในกลุ่มเปราะบางอีก 1 ล้าน รวม 14.5 ล้านคน เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจเบื้องต้น แสนกว่าล้านเดือน ก.ย. พอเดือน ต.ค.งบใหม่ออก คนลงทะเบียนเกือบ 30 ล้านคน ก็ถูกคัดว่าคุณสมบัติครบหรือไม่ ซ้ำกับกลุ่มผู้พิการหรือไม่ เหลือเท่าไหร่ ก็เอางบที่เบิกได้จ่ายต่อให้กับกลุ่มที่ลงทะเบียนแล้ว แต่จ่ายครั้งนี้ ถ้าระบบเสร็จ ก็เป็นระบบดิจิทัลวอลเล็ต เพราะต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจที่แม่นยำ แต่กระตุ้นมากได้ไหม ได้ บางคนไปจ่ายในสิ่งที่ไม่ได้ช่วยให้เกิดขยายตัวทางเศรษฐกิจ อันไหนระบบทัน ก็ทำด้วยดิจิทัลวอลเล็ต นี่คือสิ่งที่กำลังจะทำกัน

#siamrath #สยามรัฐ #siamrathonline #ดิจิทัลวอลเล็ต #ข่าววันนี้ #ทักษิณ #โชว์วิสัยทัศน์ #นักการเมือง

เปิดขั้นตอนลงทะเบียนร้านค้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1 ต.ค.67

เปิดขั้นตอนลงทะเบียนร้านค้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1 ต.ค.67

โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ในส่วนของการเปิดลงทะเบียนร้านค้าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือน ก.ค.67 หรือต้นเดือน ส.ค.67 มีเป้าหมายเป็นร้านค้าขนาดเล็ก เบื้องต้นได้กำหนดเป้าหมายร้านค้าขนาดเล็กรายย่อยเข้าร่วม 1.4-1.5 ล้านราย แบ่งเป็น

-ร้านค้าที่มีข้อมูลในส่วนกระทรวงพาณิชย์ ที่จดทะเบียนนิติบุคคล และบุคคลธรรมดา 9.1 แสนราย

-ร้านธงฟ้า ร้านอาหารธงฟ้า 1.5 แสนราย

-ร้านค้าโชห่วย ร้านอาหาร หาบเร่แผงลอย ตลาดนัด ของกระทรวงมหาดไทย 4 แสนราย

-กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ ภายใต้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 9 หมื่นราย

 

สำหรับขั้นตอนลงทะเบียน

-เลขบัตรประชาชน หรือเลขทะเบียนนิติบุคคล

-หมายเลขโทรศัพท์

-สถานที่ตั้งร้านค้า

-รูปถ่ายร้านค้า

-ประเภทสินค้า

 

เปิดให้ลงทะเบียนได้ 2 ช่องทาง คือ

-ช่องทางออฟไลน์คือ ธนาคารของรัฐ / ธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วม / สำนักงานเขตกรุงเทพมหานคร / อบต. / อบจ.

-ช่องทางออนไลน์คือ แอปพลิเคชันทางรัฐ ที่กำลังอยู่ระหว่างพัฒนา

#ข่าววันนี้ #ลงทะเบียนร้านค้า #ดิจิทัลวอลเล็ต #แจกเงินหมื่น #แอปทางรัฐ

 

"ภูมิธรรม" เตรียมร้านค้ารับ "ดิจิทัลวอลเล็ต" ไว้พร้อมแล้ว ชี้ "สินค้าอาวุธ" ร่วมโครงการหรือไม่ ยังไกลเกินไป

 

วันที่ 19 ก.ค.2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงการพิจารณาเพิ่มสินค้าที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการดิจิทัลวอลเล็ต กระทรวงพาณิชย์พิจารณาถึงไหนแล้วว่า ตามที่ได้คุยในคณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตเมื่อสัปดาห์ก่อน กระทรวงพาณิชย์พร้อมดึงร้านค้าต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ หลังประกาศนโยบายวันที่ 24 ก.ค. ก็จะดำเนินการทันที การลงทะเบียนร้านค้าเราพร้อมอยู่แล้ว ทั้งร้านค้าของกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายใน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือของสมาคมผู้ค้าปลีกต่างๆ รวมถึงร้านค้าในหน่วยงานท้องถิ่นของกระทรวงมหาดไทย ได้ประสานกระบวนการไว้หมดแล้ว

เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้มีการพูดถึงเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ จะนับเป็นสินค้าต้องห้ามหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า อย่าไปเอาเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์มาเกี่ยวกับการค้าขาย เป็นเรื่องไกลเกิน เราชัดเจนว่าจะทำเรื่องสินค้าและการค้าขายให้ประชาชนกินดีอยู่ดี มีรายได้เพิ่มขึ้น ส่วนอย่างอื่นจะมีอะไรเพิ่มมาอีก ค่อยพิจารณาทีหลัง ขออย่าหยิบมาเป็นประเด็น

 

"อนุทิน" ย้ำ "แบงก์ชาติ" ต้องเป็นอิสระ ยันหนุน แจกเงินหมื่น เป็นนโยบายชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แต่ขอฟัง "กฤษฎีกา"

 

วันที่ 7 พ.ค. 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกระแสวิจารณ์ถึงความเป็นกลางของผู้ว่าฯแบงค์ชาติ ว่า ทุกหน่วยงานต้องมีอิสระในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นองค์กรอิสระ หรือหน่วยงานใดก็ตาม เราก็ต้องทำตามสิ่งที่เป็นประโยชน์กับชาติบ้านเมือง และทำตามนโยบายของรัฐบาล ตราบใดที่นโยบายนั้นเป็นนโยบายที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย ก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศ และประชาชน หลักการมีแค่นี้ 

นายอนุทิน กล่าวว่า ในฐานะพรรคร่วม ย้ำว่านโยบายของรัฐบาล อย่าง เงินดิจิทัล 10,000 บาท นั้น เป็นนโยบายหรือไม่ อยู่ในสมุดปกขาวใช่หรือไม่ ก็ถือเป็นนโยบายรัฐบาล คือการที่จะทำนโยบายนี้ ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ แน่นอนจะต้องถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ถ้าหลักสำคัญเรื่องนี้ถูกพิสูจน์ได้ เช่นได้รับคำยืนยันจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งถือเป็นที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาลหรือจากสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสิ่งเหล่านี้ก็ต้องถือว่าพรรคร่วม ก็ต้องสนับสนุน

"ผมไม่ใช่นักกฎหมาย เราก็ต้องให้คนที่มีความชำนาญด้านกฎหมาย เป็นผู้ชี้แจงต่อรัฐบาล และประชาชน  ในกรณีนี้รัฐบาลทุกรัฐบาล เรามีสำนักงานกฤษฎีกา ซึ่งเปรียบเหมือนเป็นที่ปรึกษากฎหมายแห่งรัฐ เราต้องฟังความเห็น" นายอนุทิน กล่าว