ธอส.สานต่อ "คุณสู้ เราช่วย" เฟส 2 ขยายเวลาลงทะเบียน เพิ่มคุณสมบัติช่วยลูกค้ากลุ่มเปราะบางครอบคลุมมากขึ้น

ธอส.เดินหน้าสานต่อโครงการ "คุณสู้ เราช่วย" เฟส 2 เพิ่มคุณสมบัติให้ลูกค้าสามารถเข้าร่วมโครงการได้ครอบคลุมมากขึ้น พร้อมขยายระยะเวลาลงทะเบียนถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 หลังมีลูกค้าเข้าร่วมโครงการในเฟสแรกแล้วกว่า 97,000 บัญชี 

วันที่ 18 สิงหาคม 2568 นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส. ดำเนินการตามนโยบายกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดให้ลูกค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคุณสู้ เราช่วย ตั้งแต่ปี 2567 ที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมีลูกค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 97,000 บัญชี ธอส. จึงเดินหน้าสานต่อ "โครงการคุณสู้ เราช่วย" เฟส 2 โดยเพิ่มคุณสมบัติลูกค้าเข้าร่วมโครงการ และขยายระยะเวลาให้ลูกค้าเข้าร่วมโครงการถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 สำหรับลูกค้าที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 5 ล้านบาท ทำสัญญาก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567 ซึ่งเป็นกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ค้างชำระหรือค้างชำระไม่เกิน 30 วัน นับจากวันครบกำหนดชำระ โดยมีประวัติการค้างชำระ และเคยปรับโครงสร้างหนี้ ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565 หรือมีหนี้ค้างชำระเกิน 365 วันนับจากวันครบกำหนดชำระ (อ้างอิงข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567)

ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมโครงการต้องไม่มีการก่อหนี้ใหม่ภายใน 12 เดือนแรก ยกเว้นในกรณีฉุกเฉิน เช่น การซ่อมแซมบ้านจากเหตุแผ่นดินไหว หรือกู้เพื่อการฟื้นฟูที่จำเป็น โดยลูกค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการคุณสู้ เราช่วย เฟส 2 สามารถลงทะเบียนได้ผ่าน 3 ช่องทาง ประกอบด้วย เว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย www.bot.or.th/Khunsoo หรือ แอปพลิเคชัน GHB ALL GEN และ แอปพลิเคชัน GHB ALL BFRIEND 

ผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ G H Bank  Call Center โทร.0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Application : GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th

 

โอนเงินช่วยเหลือ 3 กลุ่มเปราะบางเร็วขึ้น 8 ส.ค.นี้ เด็ก-ผู้สูงอายุ-คนพิการ เช็กสิทธิ-ขั้นตอนลงทะเบียนที่นี่

โอนเงินช่วยเหลือ 3 กลุ่มเปราะบางเร็วขึ้น 8 ส.ค.นี้ เด็ก-ผู้สูงอายุ-คนพิการ เช็กสิทธิ-ขั้นตอนลงทะเบียนที่นี่

รัฐบาลเดินหน้ามาตรการเยียวยากลุ่มเปราะบาง 3 กลุ่ม ได้แก่ เด็กแรกเกิด, ผู้สูงอายุ และผู้พิการ โดยกำหนดโอนเงินทุกวันที่ 10 ของเดือน หากตรงกับวันหยุดราชการหรือวันเสาร์-อาทิตย์ จะมีการโอนล่วงหน้าในวันทำการก่อนหน้า

สำหรับงวดเดือนสิงหาคม 2568 โอนวันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม เนื่องจากวันที่ 10 สิงหาคม 2568 เป็นวันอาทิตย์ วันหยุด

 

กลุ่มที่ 1: เงินอุดหนุนบุตร 600 บาท/เดือน

เด็กแรกเกิด – 6 ขวบ ที่มีสิทธิรับเงินอุดหนุน จะได้รับโอนเข้าบัญชีโดยตรง

ข้อควรรู้:

ตรวจสอบสิทธิผ่านเว็บไซต์กรมกิจการเด็กและเยาวชน, แอป “ทางรัฐ” และ “เงินเด็ก”

หากมีการเปลี่ยนที่อยู่หรือเบอร์โทร ควรแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่ออัปเดตข้อมูล

ตรวจสอบบัญชีรับเงินว่ายังใช้งานได้ตามปกติ

ลงทะเบียนได้ที่:

-กรุงเทพฯ: สำนักงานเขต

-เมืองพัทยา: ศาลาว่าการเมืองพัทยา

-ต่างจังหวัด: เทศบาล หรือ อบต. ตามพื้นที่อยู่อาศัยจริง

แอป “เงินเด็ก” (ต้องยืนยันตัวตนผ่านแอป ThaiD) สอบถามเพิ่มเติม: 08-2091-7245, 1300 (สายด่วน พม. 24 ชม.)

 

กลุ่มที่ 2: เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 600–1,000 บาท/เดือน

เบี้ยยังชีพจ่ายตามช่วงอายุ ดังนี้:

60–69 ปี: 600 บาท

70–79 ปี: 700 บาท

80–89 ปี: 800 บาท

90 ปีขึ้นไป: 1,000 บาท

นโยบายใหม่: หากอายุครบตามเกณฑ์ในระหว่างปี จะได้รับการปรับอัตราทันทีในเดือนถัดไป เช่น อายุครบ 70 ปีใน ต.ค.จะได้รับ 700 บาทในเดือน พ.ย. ไม่ต้องรอถึงปีถัดไป

คุณสมบัติผู้มีสิทธิ:

-มีสัญชาติไทย

-มีชื่อในทะเบียนบ้านของ อปท.

-อายุ 60 ปีขึ้นไป และยืนยันสิทธิแล้ว

-ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้ไม่เพียงพอ

ลงทะเบียนล่วงหน้าได้ตั้งแต่: วันที่ 1 ต.ค. ของปีที่อายุครบ 59 ปี
สถานที่ลงทะเบียน:

-สำนักงานเขต (กทม.)

-เทศบาล/อบต.

-กระทรวง พม.

-มอบอำนาจให้ผู้อื่นดำเนินการแทนได้

 

กลุ่มที่ 3: เบี้ยผู้พิการ 800–1,000 บาท/เดือน

ผู้พิการอายุต่ำกว่า 18 ปี: ได้รับ 1,000 บาท/เดือน

ผู้พิการอายุ 18 ปีขึ้นไป: ได้รับ 800 บาท/เดือน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม:กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เบอร์ 1479 หรือ 0-2354-3388 ต่อ 311 หรือ 313

ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กรมต่างๆ หรือสายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง แนะนำตรวจสอบสิทธิล่วงหน้า และอัปเดตข้อมูลส่วนตัวให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้พลาดการรับเงิน

#เงินอุดหนุนเด็ก #เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ #เงินผู้พิการ #ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง #โอนเงินรัฐ #สวัสดิการสังคม #เยียวยารัฐบาล #เงินเด็ก #พม #เงินสนับสนุนเดือนสิงหาคม #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

 

 

 

“วราวุธ” ส่ง ผู้ตรวจก.พม. ลงพื้นที่จ.แดนไทย-กัมพูชา เสริมทีมดูแลกลุ่มเปราะบาง-ศูนย์พักพิง

“วราวุธ” ส่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง พม. ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา เสริมทีม ดูแลช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง-ศูนย์พักพิง ด้าน กรม พก. ปล่อยคาราวานนำส่งถุงยังชีพ-วีลแชร์

วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า ศูนย์บริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ (ศบปภ.) กระทรวง พม. รายงานกรณีการดูแลช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา โดย ศบปภ.พม.จังหวัดสระแก้วรายงานว่าจังหวัดสระแก้วได้เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวหลายแห่งและทีม พม.จังหวัดสระแก้วได้ดำเนินการสำรวจข้อมูลกลุ่มเปราะบาง เพื่อนำมาพิจารณาให้ความช่วยเหลือด้านสิทธิสวัสดิการตามภารกิจ พม. ได้แก่ เงินสงเคราะห์ต่างๆ ตลอดจนจัดกิจกรรมสันทนาการให้แก่ผู้พักอาศัยในศูนย์พักพิง บูรณาการงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข่น กิจกรรมเต้น-ร้องเพลง ออกกำลังกาย นวดผ่อนคลาย วาดภาพระบายสี และสวดมนต์ก่อนนอน เพื่อเป็นการผ่อนคลาย ลดความวิตกกังวลจากสถานการณ์ความไม่สงบ รวมทั้งจัดหาและช่วยมอบสิ่งของที่จำเป็นให้ผู้อพยพ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง และให้คำปรึกษาแนะนำในเรื่องสิทธิสวัสดิการของกระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

ศบปภ.พม.จังหวัดจันทบุรี รายงานว่า ทีม พม.จังหวัดจันทบุรี ได้ให้บริการและอำนวยความสะดวกแก่ผู้เข้าพักอาศัยในศูนย์พักพิงตามแผนอพยพพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง ในอำเภอสอยดาว โป่งน้ำร้อน และเมืองจันทบุรี โดยมีกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบมาเข้ารับบริการ ได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ ซึ่งทีม พม.จังหวัดจันทบุรี ได้ให้การช่วยเหลือและจัดหาของใช้ที่จำเป็นประจำจุดคัดกรองเพื่ออำนวยความสะดวก และคัดกรองผู้ป่วยติดเตียง คนพิการ ผู้สูงอายุ และเด็ก ให้เข้าพักในสถานที่เหมาะสม ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประธานอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) และทีม อพม.ในพื้นที่และการช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ และเอกชนในเรื่องอาหาร เครื่องนอน อุปกรณ์อาบน้ำ ของใช้ที่จำเป็น อีกทั้งได้จัดกิจกรรมสันทนาการต่างๆ ให้แก่กลุ่มเด็ก เพื่อผ่อนคลาย ลดความวิตกกังวลจากสถานการณ์ความไม่สงบ 

ศบปภ.พม.จังหวัดตราด รายงานว่า ทีม พม.จังหวัดตราดได้เข้าเยี่ยมศูนย์พักพิงในอำเภอแหลมงอบ และเขาสมิง เพื่อเยี่ยมเยียนพูดคุยให้กำลังใจกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ได้รับผลกระทบ พร้อมให้คำปรึกษาแนะนำในเรื่องสิทธิสวัสดิการของกระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

อย่างไรก็ตาม ผู้ตรวจราชการกระทรวง พม. นำโดยนางสาวสนธยา บุณยภูษิต หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวง พม. ได้แบ่งพื้นที่รับผิดชอบให้คณะผู้ตรวจราชการกระทรวงลงพื้นที่จังหวัดตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา เพื่อกำกับดูแลการให้ความช่วยเหลือเยียวยากลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบและจะได้รายงานสถานการณ์ ปัญหาและความต้องการความช่วยเหลือของกลุ่มเปราะบาง  เพื่อประสานความร่วมมือมายังส่วนกลาง รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประสานงานกรณีมีเครือข่ายและภาคเอกชนมาสนับสนุนสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันกระจายไปยังศูนย์พักพิงทุกแห่ง

ในวันเดียวกันนี้ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กระทรวง พม. โดย นายโชคชัย วิเชียรชัยยะ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เป็นประธานปล่อยขบวนรถ คาราวานถุงยังชีพไปยังศูนย์พักพิงในจังหวัดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อส่งกำลังใจและส่งมอบสิ่งของความช่วยเหลือ ให้กับกลุ่มเปราะบางและประชาชนผู้ประสบภัย อาทิ รถเข็นวีลแชร์ ถุงยังชีพ และเครื่องอุปโภค-บริโภคที่จำเป็น 

“วราวุธ” เผย ศบปภ. พม. น่าน-เชียงราย-แพร่ กางแผนที่เสี่ยงภัยเข้าช่วยกลุ่มเปราะบาง รับผลกระทบจากพายุวิภาเข้าศูนย์พักพิง

“วราวุธ” เผย ศบปภ. พม. น่าน-เชียงราย-แพร่ กางแผนที่เสี่ยงภัย (Risk Map) เข้าช่วยกลุ่มเปราะบาง ที่รับผลกระทบจาก พายุ“วิภา” เข้าศูนย์พักพิง

พม. วันนี้ ( 23 ก.ค.)   นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากศูนย์บริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ (ศบปภ.) กระทรวง พม. กรณีการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในพื้นที่จังหวัดซึ่งได้รับผลกระทบจากอิทธิพลพายุวิภา   ส่งผลให้เกิดฝนตกต่อเนื่องและอุทกภัยในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ   

โดย  ศบปภ. พม.จังหวัดน่าน รายงานว่าได้คัดกรองข้อมูลกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ตามแผนที่เสี่ยงภัย (Risk Map) ในระบบสมุดพกครอบครัวอิเล็กทรอนิกส์ (MSO-Logbook) จากศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวง พม. และจัดส่งให้ทางจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้ความช่วยเหลือและอพยพกลุ่มเปราะบาง เข้าพักที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว ตามที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำหนด 

ศบปภ. พม.จังหวัดน่าน พบว่า มีกลุ่มเปราะบางได้รับผลกระทบรวมทั้งสิ้น จำนวน 120,244 คน ในพื้นที่ถูกน้ำท่วม จำนวน 7 อำเภอ ดังนี้ 1) อำเภอทุ่งช้าง ผู้สูงอายุ จำนวน 3,646 คน เด็ก จำนวน 1,348 คน คนพิการ จำนวน 869 คน รวม 5,863 คน  2) อำเภอเชียงกลาง ผู้สูงอายุ จำนวน 7,294 คน เด็ก จำนวน 1,099 คน คนพิการ จำนวน 1,765 คน รวม 10,158 คน  3) อำเภอท่าวังผา ผู้สูงอายุ จำนวน 12,468 คน เด็ก จำนวน 3,408 คน คนพิการ จำนวน 2,191 คน รวม 18,067 คน  4) อำเภอปัว ผู้สูงอายุ จำนวน 14,851 คน เด็ก จำนวน 4,200 คน คนพิการ จำนวน 3,784 คน รวม 22,835 คน  5) อำเภอเมืองน่าน ผู้สูงอายุ จำนวน 17,622 คน เด็ก จำนวน 4,604 คน คนพิการ จำนวน 3,008 คน รวม 25,234 คน  6) อำเภอภูเพียง ผู้สูงอายุ จำนวน 9,082 คน เด็ก จำนวน 1,793 คน คนพิการ จำนวน 1,722 คน รวม 12,597 คน และ 7) อำเภอเวียงสา ผู้สูงอายุ จำนวน 16,490 คน เด็ก จำนวน 4,506 คน คนพิการ จำนวน 4,494 คน รวม 25,490 คน

โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ประสบภัย จ.น่าน ได้อพยพกลุ่มเปราะบางไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว จำนวน 6 แห่ง ได้แก่ 1) ศูนย์พักพิงชั่วคราวโรงเรียนเมืองแงง อำเภอปัว มีผู้เข้าพักแล้ว จำนวน 91 คน  2) ศูนย์พักพิงชั่วคราวโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแงง อำเภอปัว มีผู้ป่วยติดเตียงเข้าพักแล้ว จำนวน 9 คน มีญาติติดตามดูแล จำนวน 7 คน รวม 16 คน  3) ศูนย์พักพิงชั่วคราวองค์การบริหารส่วนตำบลตาลชุม อำเภอท่าวังผา มีผู้เข้าพักแล้ว จำนวน 50 คน  4) ศูนย์พักพิงชั่วคราววัดห้วยแขม ตำบลตาลชุม อำเภอท่าวังผา มีผู้เข้าพักแล้ว จำนวน 7 คน  5) ศูนย์พักพิงชั่วคราววัดสวนตาล ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน มีผู้เข้าพักแล้ว จำนวน 60 คน และ 6) ศูนย์พักพิงชั่วคราวเทศบาลเมืองน่าน มีผู้เข้าพักแล้ว จำนวน 20 คน 

อย่างไรก็ตาม ทีม พม.จังหวัดน่าน ได้รับมอบหมายจากศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัย น้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่มจังหวัดน่าน ด้านการจัดการศูนย์พักพิงชั่วคราว โดยได้ดำเนินการเปิดศูนย์พักพิงชั่วคราว จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ 1) ศูนย์บริการคนพิการทั่วไปตำบลเปือ อำเภอเชียงกลาง รองรับได้ 30 คน  2) บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดน่าน ตำบลผาสิงห์ อำเภอเมืองน่าน รองรับได้ 30 คน  และ3) ศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงจังหวัดน่าน ตำบลผาสิงห์ อำเภอเมืองน่าน รองรับได้ 40 คน และได้ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจกลุ่มเปราะบางที่เข้าพักที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวในพื้นที่อำเภอเมืองน่าน จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ 1) ศูนย์พักพิงชั่วคราววัดสวนตาล อำเภอเมืองน่าน และ 2) ศูนย์พักพิงชั่วคราวเทศบาลเมืองน่าน อำเภอเมืองน่าน

ส่วน ศบปภ. พม.จังหวัดเชียงราย รายงานว่ามีพื้นที่ประสบภัย จำนวน 8 อำเภอ 23 ตำบล 114 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบประมาณ 400 ครัวเรือน ยังไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ซึ่งศบปภ.พม.จังหวัดเชียงราย ได้จัดส่งข้อมูลกลุ่มเปราะบางในพื้นที่อำเภอเทิง และอำเภอขุนตาล ให้กับทหารหน่วยพัฒนาเคลื่อนที่ 35 (นพค.35) เพื่อเป็นข้อมูลในการช่วยเหลือและอพยพช่วยกลุ่มเปราะบาง พร้อมจัดข้อมูลกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ประสบภัยเพื่อประกอบการให้ความช่วยเหลือ , เข้าร่วมประชุมการติดตามสถานการณ์อุทกภัยและดินถล่มจังหวัดเชียงราย ในเวลา 08.00 น. ของทุกวัน , เข้าร่วมประชุมติดตามสถานการณ์อุทกภัยและดินถล่ม จากอิทธิพลพายุโซนร้อน "วิภา" กับกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ , แจ้งเตือนการเฝ้าระวังสถานการณ์และเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ ด้วยการเตรียมกระเป๋าฉุกเฉิน  (Emergency Bag) , ชี้เป้ากลุ่มเปราะบาง หากเกิดสถานการณ์รุนแรงที่ต้องมีการอพยพ ผ่านอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) และเครือข่ายกระทรวง พม.ในพื้นที่ , เตรียมการจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว กระทรวง พม. จำนวน 6 แห่ง สามารถรองรับผู้ประสบภัย จำนวน 210 คน , เตรียมการจัดตั้งศูนย์พักพิงจังหวัด หากมีสถานการณ์รุนแรง , เตรียมบุคลากร ยานพาหนะ สนับสนุนการดูแลกลุ่มเปราะบางในศูนย์พักพิงชั่วคราว กระทรวง พม. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หรืออำเภอ และร่วมกับกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่ม

สำหรับ ศบปภ. พม.จังหวัดแพร่ ถึงแม้ขณะนี้ ยังไม่มีพื้นที่ประสบภัย แต่ พม. จังหวัดแพร่ ได้จัดข้อมูลกลุ่มเปราะบางในแผนที่เสี่ยงภัย (Risk Map) ให้กับ อปท. เพื่อเป็นข้อมูลในการชี้เป้าพิกัดที่อยู่ของกลุ่มเปราะบาง ในสถานการณ์ที่ต้องอพยพ โดยมีเครือข่ายอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่ ช่วยเหลือ และเตรียมข้อมูลกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ประสบภัยเพื่อประกอบการให้ความช่วยเหลือ , แจ้งเตือนการเฝ้าระวังสถานการณ์และเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ ด้วยการเตรียมกระเป๋าฉุกเฉิน  (Emergency Bag) , ประชุมสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดแพร่ เพื่อมอบหมายหน้าที่ ซักซ้อมการปฏิบัติ กรณีเกิดสถานการณ์รุนแรง , จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว สังกัดกระทรวง พม. จำนวน 2 แห่ง คือ บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดแพร่ และศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงจังหวัดแพร่ สามารรองรับผู้ประสบภัยได้ จำนวน 60 คน , เตรียมจัดตั้งศูนย์พักพิงจังหวัด ณ โรงยิม 1,000 ที่นั่ง อบจ.แพร่ หากมีสถานการณ์รุนแรง และเตรียมบุคลากร ยานพาหนะ สนับสนุนการดูแลกลุ่มเปราะบางในศูนย์พักพิงชั่วคราว 

อย่างไรก็ตาม หากพี่น้องประชาชนประสบปัญหาความเดือดร้อนจากผลกระทบของพายุ“วิภา” กระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลือ ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังประสบภัย โดยสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ สายด่วน พม. โทร. 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง

 

"วราวุธ" กำชับ ศบปภ.ภาคกลาง ดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ ครบทุกมิติ

“วราวุธ” กำชับ ศบปภ.ภาคกลาง พม. เตรียมความพร้อมดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ ครบทุกมิติ

วันที่ 18 ก.ค.68 ที่ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุพรรณบุรี นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อการบริหารการดูแลกลุ่มประมาณจากภัยพิบัติในพื้นที่ภาคกลาง และ 3 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง (จังหวัดอุทัยธานี พิจิตร นครสวรรค์) พร้อมมอบนโยบายและข้อเสนอแนะในการบริหารดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ เนื่องจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีนายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่น นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คณะผู้บริหารกระทรวง พม. และเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม รวมทั้งมี สส. พรรคชาติไทยพัฒนา อาทิ นายประภัตร โพธสุธน นายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ นายสรชัด สุจิตต์ และนายพิริยะ ฉันทดิลก ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี นายอุดม โปร่งฟ้า นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุพรรณบุรี ดร.สุจิตรา ทรงมัจฉา เลขานุการนายก อบจ. สุพรรณบุรี เข้าร่วมให้ข้อเสนอแนะการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ

ในที่ประชุมมีการนำเสนอแผนบริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติระดับภาค โดย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ (ผอ.สสว.) สสว.1 สสว.2 สสว.3 สสว.7 และการนำเสนอแผนบริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติระดับจังหวัด โดยพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ในพื้นที่ภาคกลาง จำนวน 25 จังหวัด (จังหวัดสุพรรณบุรี, นครปฐม, กาญจนบุรี, ราชบุรี, สมุทรสาคร, สมุทรสงคราม, เพชรบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, ชัยนาท, สิงห์บุรี, ลพบุรี, อ่างทอง, พระนครศรีอยุธยา, ปทุมธานี, นนทบุรี, สระบุรี, นครนายก, สมุทรปราการ, ปราจีนบุรี, สระแก้ว, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี และตราด) และ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง จำนวน 3 จังหวัด (จังหวัดอุทัยธานี พิจิตร นครสวรรค์)

นับเป็นโอกาสดีที่ได้มาเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อการบริหารการดูแลกลุ่มประมาณจากภัยพิบัติในพื้นที่ภาคกลาง และ 3 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง (จังหวัดอุทัยธานี พิจิตร และนครสวรรค์) โดยที่ผ่านมา ได้ลงพื้นที่จังหวัดสงขลาในเดือนพฤศจิกายน 2567 , จังหวัดเชียงใหม่ในเดือนธันวาคม 2567 และจังหวัดขอนแก่นในเดือนมีนาคม 2568 ซึ่งวันนี้ได้มาลงพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี โดยสถานการณ์และปัญหาเกี่ยวกับภัยพิบัติในแต่ละพื้นที่นั้น ย่อมมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละพื้นที่

สำหรับภาคเหนือตอนล่างและภาคกลาง มีลักษณะภูมิประเทศครอบคลุมพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และลำน้ำสาขาที่ไหลลงสู่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณกรุงเทพมหานคร ส่งผลให้ภาคกลางเป็นภูมิภาคที่มีความอุดมสมบูรณ์ และพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม ดินมีความอุดมสมบูรณ์ อากาศอบอุ่น มีฝนตก แม่น้ำ-คลองไหลผ่าน รวมถึงมีการพัฒนาด้านระบบชลประทาน จึงทำให้เป็นหนึ่งในภูมิภาคเกษตรกรรมที่มีผลผลิตสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก อย่างไรก็ตามภูมิภาคนี้เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมบ่อยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย(ข้อมูลตามแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (Thailand’s National Adaptation Plan : NAP) และพบว่าในพื้นที่ภาคกลางมีการแบ่งสถานการณ์น้ำท่วมออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงแรก ระหว่างเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ช่วงที่สอง ระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน ซึ่งมีกลุ่มเปราะบางที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. อาศัยอยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัย จำนวน 885,650 คน โดยมีผู้สูงอายุมากที่สุด จำนวน 638,407 คน รองลงมา ได้แก่ เด็ก จำนวน 114,592 คน คนพิการ จำนวน 108,609 คน และคนยากไร้ จำนวน 24,042 คน

แม้ว่าการจัดอันดับของดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ ประจำปี 2568 หรือ Climate Risk Index 2025 โดย Germanwatch ได้จัดอันดับประเทศเสี่ยงสูงด้านสภาพภูมิอากาศระยะยาว โดยประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 30 ซึ่งลดลงจากอันดับ 9 ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มีความถี่และมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น และก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างมากต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชากรกลุ่มเปราะบาง มักจะได้รับผลกระทบมากกว่าคนกลุ่มอื่น ดังนั้น การบริหารจัดการภัยพิบัติทั้งในช่วงก่อนเกิด ระหว่างเกิด และหลังเกิดภัยพิบัติ จะต้องมองไปที่มิติของคนและสังคมมากขึ้น เพราะหากได้รับผลกระทบแล้ว จำเป็นที่จะต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู และใช้ทรัพยากรเป็นอย่างมาก ซึ่งการจัดทำแผนปฏิบัติการหรือการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้กลุ่มคนเปราะบางที่ประสบภัยสามารถอยู่รอด และกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว จะทำให้ความสูญเสียมีน้อยลง เห็นได้จากสถานการณ์วิกฤตน้ำท่วมจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เป็นบทเรียนที่สำคัญที่ต้องถอดบทเรียนในการเตรียมความพร้อมกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นต่อไป  

ขณะนี้ กระทรวง พม. มีความคืบหน้าในการดำเนินงานในหลาย ๆ ด้าน ทั้งในเรื่องการแก้ไขปัญหากลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ และการเตรียมความพร้อมในการรับมือ การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาทิ 1) การจัดตั้งศูนย์บริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ (ศบปภ.) หรือ Disaster Care Center for the Vulnerable : DCCV เพื่อขับเคลื่อนงานให้ความช่วยเหลือ ดูแล และเยียวยากลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติเชิงรุก ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค อีกทั้งเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือ การปรับตัว สำหรับกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ 2) เมื่อวันที่ 25 ก.พ. 2568 กระทรวง พม. ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ(MOU) “การบูรณาการเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ” เพื่อบูรณาการและขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้มีความพร้อมในการรับมือ รวมถึงการวางแผนระดับพื้นที่ และเชื่อมโยงการวางแผนตามแนวทางการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 3) การขับเคลื่อนเชิงนโยบายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยหน่วยงาน พม. ในส่วนกลาง ได้มีการดำเนินงานมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งที่ผ่านมา พม.ได้ร่วมมือกับธนาคารโลก (World Bank) ขับเคลื่อนงานด้านมิติทางสังคมของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Social Dimensions of Climate Change) ในภาพรวมได้เห็นสอดคล้องกันว่า บทบาทของกระทรวง พม. จะไม่เพียงอยู่ในช่วงของการช่วยเหลือฟื้นฟูเท่านั้น แต่จะต้องสามารถสนับสนุนข้อมูลให้แก่จังหวัด ด้วยการชี้เป้าได้ว่า กลุ่มเปราะบางที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัตินั้น คือใคร อาศัยอยู่ที่ไหน และจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือเฉพาะในเรื่องใดบ้าง เพื่อให้สามารถจัดลำดับในการช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที

กระทรวง พม. ให้ความสำคัญกับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติต่อกลุ่มเปราะบาง แต่มิได้หมายความว่า เราจะละเลยการช่วยเหลือดูแลประชากรกลุ่มอื่น ๆ แต่เนื่องจากกลุ่มเปราะบางเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อสภาพภูมิอากาศ (Climate risk) มากกว่า เพราะมีการเปิดรับต่อภัย (Exposure) และความอ่อนไหวต่อผลกระทบ (Sensitivity) มากกว่ากลุ่มคนทั่วไป ขณะเดียวกันศักยภาพในการปรับตัว (Adaptive capacity) ก็น้อยกว่าอีกด้วย กระทรวง พม. จึงให้ความสำคัญกับกลุ่มคนดังกล่าวเป็นพิเศษ และนี่คือการทำงานของเราที่คำนึงถึงความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ (Climate justice) 

สำหรับการจัดการภัยพิบัติและการช่วยเหลือดูแลประชาชน นั้น ไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเท่านั้น และบทบาทหน้าที่ของกระทรวง พม. ได้ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนในแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2558 โดยการสนับสนุนการปฏิบัติงานในภาวะฉุกเฉิน 6 (สปฉ. 6) ที่เกี่ยวข้องกับส่วนงานสวัสดิการสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ครอบคลุมในเรื่องการประสานงานและสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว การแจกจ่ายสิ่งของจำเป็นแก่ผู้ประสบภัย การสังคมสงเคราะห์ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับสวัสดิการด้านสาธารณภัย การวางแผนให้ความช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย การดูแลบุคคลที่ต้องได้รับการดูแลเป็นกรณีพิเศษ การฟื้นฟูด้านสังคมและจิตใจ การให้บริการสาธารณกุศล การกำหนดแนวทางช่วยเหลือผู้ว่างงานเนื่องจากการเกิดสาธารณภัย การช่วยเหลือเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครที่พิการ เจ็บป่วย หรือบาดเจ็บจากการปฏิบัติงานขณะเกิดภัย ซึ่งในรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินงานนั้น หน่วยงาน พม. ในพื้นที่จะต้องมีการจัดทำแผนบริหารจัดการในส่วนที่เป็นการดำเนินงานและการประสานงานกับหน่วยงานอื่น และภาคส่วนต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม 

เราคิดว่าการขับเคลื่อนศูนย์บริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ (ศบปภ.) กระทรวง พม. เพื่อช่วยแก้ไขปัญหากลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ เนื่องจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นั้นมีความก้าวหน้าไปมากในหลายด้าน ทั้งเรื่องข้อมูลกลุ่มเปราะบาง และแผนรับมือภัยพิบัติ ซึ่งกระทรวง พม. ได้มีการจัดทำแผนบริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติระดับประเทศ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีการเชื่อมโยงไปสู่การจัดทำแผนในระดับภาค ระดับจังหวัด ได้ขอให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ทุกจังหวัด นำเสนอแผนบริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติระดับจังหวัด ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ ได้นำเสนอแผนบริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติระดับภาค เพื่อที่ประชุมได้พิจารณาให้ความเห็นชอบแผนฯ และใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการบริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

บสย.เปิดผลงานครึ่งปี 68 ช่วย SMEs รายย่อยเข้าถึงสินเชื่อพุ่ง 2 หมื่นราย จัดมาตรการพิเศษ 5,000 ล้านอุ้มกลุ่มเปราะบาง

บสย.เผยยอดค้ำประกันสินเชื่อครึ่งปีแรก 2568 รวม 19,481 ล้านบาท ช่วย SMEs รายย่อย เข้าถึงสินเชื่อ 21,348 ราย ก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกว่า 80,000 ล้านบาท ชู ไฮไลท์ “บสย. พร้อมค้ำ” กับ “มาตรการพิเศษ 5,000 ล้าน” ส่ง 2 โครงการค้ำประกันช่วยกลุ่มผู้ส่งออกรับมือภาษีทรัมป์ และ “กลุ่มเปราะบาง” รายย่อย พร้อมเพิ่มโอกาส SMEs เข้าถึงสินเชื่อด้วย “ศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน บสย.” พร้อมภารกิจแก้หนี้ ช่วย SMEs ที่ถูกจ่ายเคลม หนี้ลด หมดเร็ว เดินหน้าต่อได้อย่างยั่งยืน  
 
วันที่ 16 ก.ค.68 นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ผลดำเนินงานครึ่งปีแรก 2568 (ม.ค.-มิ.ย.) บสย. มียอดค้ำประกันสินเชื่อ 19,481 ล้านบาท โดยสัดส่วน 51% เป็นโครงการที่ บสย. ดำเนินการเอง (BI 7) และ 49% เป็นโครงการตามมาตรการรัฐ (PGS 11) สามารถช่วย SMEs รายย่อย เข้าถึงสินเชื่อ 21,348 ราย เป็นกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย Micro SMEs 81% (ค้ำประกันเฉลี่ย 140,000 บาทต่อราย) และอีก 19% เป็น SMEs ทั่วไป (ค้ำประกันเฉลี่ย 4,250,000 บาทต่อราย) ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบ 26,359 ล้านบาท รักษาการจ้างงาน 188,572 ตำแหน่ง และสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 80,455 ล้านบาท

โดยประเภทธุรกิจค้ำประกันสูงสุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ 1. การบริการ 31.4%  2. อาหารและเครื่องดื่ม 10.7% และ 3. เกษตรกรรม 8% ซึ่งทั้ง 3 ประเภทครองสัดส่วนค้ำประกันถึง 50% สะท้อนอุตสาหกรรมหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ โดยเฉพาะ 3 กลุ่มอุตสาหกรรม “ท่องเที่ยว-เกษตรและอาหารแปรรูป-medical and wellness” ที่ภาครัฐเดินหน้ากระตุ้นการลงทุนและผลักดันเป็นอุตสาหกรรมอนาคตของประเทศ

สำหรับ โครงการค้ำประกัน PGS 11 “บสย. SMEs ยั่งยืน” ซึ่งเป็นโครงการหลัก ตั้งแต่เปิดโครงการถึงปัจจุบัน (ก.ค. 2567 – มิ.ย. 2568) มียอดค้ำประกัน 38,009 ล้านบาท สามารถช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ 48,380 ราย โดยเป็นกลุ่มที่ไม่เคยใช้บริการ บสย. (ลูกค้าใหม่) ถึง 74% และผู้ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Micro SMEs ถึง 86% ตอกย้ำความสำเร็จในการช่วยเหลือ “กลุ่มเปราะบาง” รายย่อย พ่อค้า แม่ค้า อาชีพอิสระ และกลุ่มที่ต้องการเข้าถึงสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะใหม่ (กระบะพี่ มีคลังค้ำ) ที่มีปัญหาขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน และขาดคนค้ำประกัน สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้มากขึ้น

ไฮไลท์สำคัญในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 3 (กรกฎาคม - กันยายน) ภายใต้มาตรการ “บสย พร้อมค้ำ” บสย. ได้ออก “มาตรการพิเศษ” วงเงินรวม 5,000 ล้านบาท โดยเปิดตัว 2 โครงการใหม่ ประกอบด้วย โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Power Trade & Biz วงเงิน 3,000 ล้านบาท ค้ำประกันต่อราย 500,000 – 10,000,000 บาท ตอบโจทย์กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า และซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกลุ่มที่ได้ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ และโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Micro Biz วงเงิน 2,000 ล้านบาท ค้ำประกันต่อราย 10,000 – 500,000 บาท ตอบโจทย์กลุ่มรายย่อย (Micro SMEs) พ่อค้า แม่ค้า ค้าขายออนไลน์ อาชีพอิสระ ฯลฯ ที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน แต่ขาดคนค้ำและขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ โดยทั้ง 2 โครงการมีจุดเด่น คือ ฟรี! ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 3 ปีแรก ปีต่อไปชำระต่ำเพียง 1.5% ต่อปี ค้ำประกันสูงสุด 7 ปี มุ่งเสริมสภาพคล่อง และลดภาระทางการเงิน ช่วยให้ SMEs เดินหน้าต่อได้อย่างยั่งยืน

โดยเป้าหมายทั้ง 2 โครงการ มุ่งกระตุ้นให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อในรายที่ต้องการสภาพคล่องเพิ่มเติม แต่ขาดหลักทรัพย์ค้ำประกันด้วยการจ่ายเคลม (จ่ายค่าประกันชดเชย) สูงถึง 37% (SMEs Power Trade & Biz) และ 42% (SMEs Micro Biz) ต่อพอร์ตการค้ำประกันเมื่อเทียบกับการค้ำประกันปกติที่ระยะเวลา 10 ปี โดยมาพร้อมมาตรการแก้หนี้ “บสย. พร้อมช่วย” เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ถูกจ่ายเคลม ซึ่งถือเป็นการดูบซับความเสี่ยงด้าน Credit Cost ให้กับ SMEs รายย่อย สนับสนุนให้สถาบันการเงินเชื่อมั่นในการพิจารณาสินเชื่อเพิ่มให้กับ SMEs รายย่อยมากยิ่งขึ้น

ขณะที่ตลอดครึ่งปีแรก บสย. ประสบผลสำเร็จในการแก้หนี้ให้ลูกหนี้ที่ถูกจ่ายเคลม โดยตั้งแต่ออก มาตรการ “บสย. พร้อมช่วย” ในปี 2565 จนถึง 30 มิถุนายน 2568 สามารถปรับโครงสร้างหนี้ 20,904 ราย คิดเป็นมูลหนี้สะสมรวม 13,414 ล้านบาท เฉพาะครึ่งปีแรก สามารถปรับโครงสร้างหนี้ 2,415 ราย ในจำนวนนี้เป็น “กลุ่มเปราะบาง” ยอดจ่ายเคลมไม่เกิน 2 แสนบาท 1,676 ราย คิดเป็นมูลหนี้รวมกว่า 1,542 ล้านบาท และสามารถช่วยลูกหนี้ “ปลดหนี้” ปิดบัญชีได้สำเร็จ 12% ของจำนวนรายที่ปรับโครงสร้างหนี้ทั้งหมด ปัจจัยความสำเร็จมาจากเงื่อนไขที่ผ่อนปรน ด้วยการยืดหนี้ที่ถูกจ่ายเคลมให้ยาวสูงสุด 7 ปี การตัดเงินต้นก่อนดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ย 0% โดยปลดหนี้ ลดเงินต้นให้สูงสุด 30% พร้อม “ยกดอกเบี้ย” ซึ่งเป็นมาตรการที่ช่วยให้ลูกหนี้สามารถ “อยู่รอด อยู่ได้” และ “ปลดหนี้” ได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น ช่วยต่อลมหายใจให้ธุรกิจ และทำให้ลูกหนี้มีกำลังใจ กลับมาแข็งแรงได้อีกครั้ง

ทั้งนี้ บสย. ยังมุ่งเสริมความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) เพื่อพัฒนาศักยภาพ และเพิ่มขีดความสามารถของ SMEs ในประเทศไทย ผ่าน “ศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs” (บสย. F.A. Center) พร้อมให้คำปรึกษาด้านการเงิน ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย จัดอบรมให้ความรู้ด้านต่างๆ ตลอดจนให้คำปรึกษาในการทำธุรกิจ การแก้ปัญหาหนี้ และเตรียมความพร้อมในการขอสินเชื่อ โดยตลอดปีนี้ บสย. ได้เดินหน้ายกระดับสำนักงานเขตทั้ง 11 แห่งทั่วประเทศ (Branch Reformat) ก้าวสู่ “ศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs” เพื่อเพิ่มศักยภาพในการช่วยเหลือ SMEs ให้เข้าถึงสินเชื่อพร้อมการค้ำประกัน โดยตั้งแต่เปิดดำเนินการในเดือนสิงหาคม 2563 -30 มิถุนายน 2568 บสย. ประสบความสำเร็จในการให้ความรู้ทางการเงินแก่ SMEs ทะลุ 50,000 ราย สามารถช่วย SMEs ที่เข้ามารับการปรึกษาให้เข้าถึงสินเชื่อในระบบ คิดเป็น 14.66% (Success rate) ร่วมกับการให้บริการผ่าน LINE OA : @tcgfirst เพิ่มความสะดวกให้ SMEs เข้ามาตรวจสุขภาพทางการเงิน พร้อมจองคิวขอรับคำปรึกษา และลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการต่างๆ ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อให้ บสย. สามารถเข้าถึงผู้ประกอบการ SMEs ทั่วประเทศได้มากยิ่งขึ้น

#บสย #เข้าถึงสินเชื่อ #กลุ่มเปราะบาง #กระตุ้นเศรษฐกิจ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

EXIM BANK ผนึกกำลังภาครัฐ ช่วยลูกหนี้กลุ่มเปราะบางฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ ผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย เฟส 2”

EXIM BANK ผนึกกำลังภาครัฐ ช่วยลูกหนี้กลุ่มเปราะบางฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ ผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย เฟส 2”

วันที่ 4 ก.ค.68 นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ร่วมมือกับภาครัฐ เดินหน้าโครงการ “คุณสู้ เราช่วย เฟส 2” ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ประสบปัญหาในการชำระหนี้ โดยเฉพาะลูกหนี้กลุ่มเปราะบางที่มีวงเงินสินเชื่อไม่สูงนัก ให้สามารถรักษาทรัพย์สินประเภทที่อยู่อาศัยและยานพาหนะ รวมถึงกิจการ SMEs รายย่อย มีโอกาสกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ และปิดจบหนี้ได้เร็ว โดยสอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ ภายใต้เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูงและยังมีลูกหนี้กลุ่มเปราะบางจำนวนมากที่เผชิญกับปัญหาในการชำระหนี้

ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้พิจารณาขยายขอบเขตและเพิ่มเติมมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและลูกหนี้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในโครงการ “คุณสู้ เราช่วย เฟส 2” เพื่อให้มาตรการให้ความช่วยเหลือครอบคลุมลูกหนี้ได้มากขึ้น โดยยังคงวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือให้ลูกหนี้มีโอกาสกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติในระยะข้างหน้าเมื่อรายได้ฟื้นตัว หรือสามารถปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น พร้อมทั้งแนวทางป้องกันมิให้ลูกหนี้เสียวินัยในการชำระหนี้ (Moral Hazard) และส่งเสริมวินัยทางการเงินควบคู่ไปด้วย อันจะเป็นส่วนสำคัญในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน

สำหรับโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” มาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” เฟส 2 ช่วยเหลือลูกหนี้ SME ที่มีวงเงินไม่สูง ปรับโครงสร้างหนี้แบบ “ลดค่างวด” และ “พักภาระดอกเบี้ย” เป็นระยะเวลา 3 ปี โดยค่างวดที่จ่ายนำไปตัดชำระเงินต้นทั้งหมด ขณะที่ดอกเบี้ยที่พักไว้ตลอดระยะเวลา 3 ปี จะได้รับการยกเว้น หากลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ตลอดระยะเวลาของมาตรการ (ชำระเงินตรงเวลาและไม่กู้เพิ่มในช่วง 12 เดือนแรกของการเข้าโครงการ) โดยขยายคุณสมบัติลูกหนี้ที่เข้ามาตรการให้ครอบคลุมถึง 1) ลูกหนี้ที่มีวันค้างชำระเกิน 365 วัน และ 2) ลูกหนี้ที่เคยมีประวัติค้างชำระน้อยกว่าที่กำหนดในระยะที่ 1 คือ เคยค้างชำระ 1-30 วัน และเคยปรับโครงสร้างหนี้ ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565 เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่วงเงินไม่สูงมาก ให้สามารถรักษาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันทั้งบ้าน และสถานประกอบการไว้ได้

EXIM BANK พร้อมเป็นกลไกสำคัญในการช่วยเหลือ เยียวยา และส่งเสริมผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการค้าระหว่างประเทศและการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน แม้เผชิญกับความผันผวนและความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจโลก สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ EXIM Contact Center โทร. 0 2169 9999 หรือ Inbox Facebook “EXIM Bank of Thailand”                                                                      

#EXIMBANK #กลุ่มเปราะบาง #ข่าววันนี้ #คุณสู้เราช่วยเฟส2 #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ 

 

 

เงินเข้าเร็วขึ้นเดือนกรกฎาคม 2568 อุดหนุนบุตร-ผู้สูงอายุ-ผู้พิการ เช็กสิทธิ-ขั้นตอนลงทะเบียนที่นี่

เงินเข้าเร็วขึ้นเดือนกรกฎาคม 2568 อุดหนุนบุตร-ผู้สูงอายุ-ผู้พิการ เช็กสิทธิ-ขั้นตอนลงทะเบียนที่นี่

รัฐบาลเดินหน้ามาตรการเยียวยากลุ่มเปราะบาง 3 กลุ่ม ได้แก่ เด็กแรกเกิด, ผู้สูงอายุ และผู้พิการ โดยกำหนดโอนเงินทุกวันที่ 10 ของเดือน หากตรงกับวันหยุดราชการหรือวันเสาร์-อาทิตย์ จะมีการโอนล่วงหน้าในวันทำการก่อนหน้า

สำหรับงวดเดือนกรกฏาคม 2568 โอนวันพุธที่ 9 กรกฎาคม 2568 เนื่องจากวันที่ 10 กรกฎาคม 2568 เป็นวันหยุดอาสาฬหบูชา หยุดราชการ

กลุ่มที่ 1: เงินอุดหนุนบุตร 600 บาท/เดือน

เด็กแรกเกิด – 6 ขวบ ที่มีสิทธิรับเงินอุดหนุน จะได้รับโอนเข้าบัญชีโดยตรง

ข้อควรรู้:

ตรวจสอบสิทธิผ่านเว็บไซต์กรมกิจการเด็กและเยาวชน, แอป “ทางรัฐ” และ “เงินเด็ก”

หากมีการเปลี่ยนที่อยู่หรือเบอร์โทร ควรแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่ออัปเดตข้อมูล

ตรวจสอบบัญชีรับเงินว่ายังใช้งานได้ตามปกติ

ลงทะเบียนได้ที่:

-กรุงเทพฯ: สำนักงานเขต

-เมืองพัทยา: ศาลาว่าการเมืองพัทยา

-ต่างจังหวัด: เทศบาล หรือ อบต. ตามพื้นที่อยู่อาศัยจริง

แอป “เงินเด็ก” (ต้องยืนยันตัวตนผ่านแอป ThaiD) สอบถามเพิ่มเติม: 08-2091-7245, 1300 (สายด่วน พม. 24 ชม.)

 

กลุ่มที่ 2: เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 600–1,000 บาท/เดือน

เบี้ยยังชีพจ่ายตามช่วงอายุ ดังนี้:

60–69 ปี: 600 บาท

70–79 ปี: 700 บาท

80–89 ปี: 800 บาท

90 ปีขึ้นไป: 1,000 บาท

นโยบายใหม่: หากอายุครบตามเกณฑ์ในระหว่างปี จะได้รับการปรับอัตราทันทีในเดือนถัดไป เช่น อายุครบ 70 ปีใน ต.ค. จะได้รับ 700 บาทในเดือน พ.ย. ไม่ต้องรอถึงปีถัดไป

คุณสมบัติผู้มีสิทธิ:

-มีสัญชาติไทย

-มีชื่อในทะเบียนบ้านของ อปท.

-อายุ 60 ปีขึ้นไป และยืนยันสิทธิแล้ว

-ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้ไม่เพียงพอ

ลงทะเบียนล่วงหน้าได้ตั้งแต่: วันที่ 1 ต.ค. ของปีที่อายุครบ 59 ปี
สถานที่ลงทะเบียน:

-สำนักงานเขต (กทม.)

-เทศบาล/อบต.

-กระทรวง พม.

-มอบอำนาจให้ผู้อื่นดำเนินการแทนได้

 

กลุ่มที่ 3: เบี้ยผู้พิการ 800–1,000 บาท/เดือน

ผู้พิการอายุต่ำกว่า 18 ปี: ได้รับ 1,000 บาท/เดือน

ผู้พิการอายุ 18 ปีขึ้นไป: ได้รับ 800 บาท/เดือน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม:กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เบอร์ 1479 หรือ 0-2354-3388 ต่อ 311 หรือ 313

ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กรมต่างๆ หรือสายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง แนะนำตรวจสอบสิทธิล่วงหน้า และอัปเดตข้อมูลส่วนตัวให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้พลาดการรับเงิน

#กลุ่มเปราะบาง #อุดหนุนบุตร #เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ #เบี้ยผู้พิการ #ลงทะเบียนเงินเด็ก #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

 

เอสเอ็มอี! คึกคัก “บสย.” อัดฉีด 5,000 ล้าน ค้ำสินเชื่อ "SMEs" กลุ่มเปราะบาง-รายย่อย

เอสเอ็มอี..คึกคักหลังรัฐบาลโดย บสย. อัดฉีด 5,000 ล้าน ค้ำสินเชื่อ “SMEs เปราะบาง-รายย่อย” เพิ่มโอกาส เข้าถึงทุน เสริมสภาพคล่องธุรกิจ

วันนี้ (28 มิถุนายน 2568) นางสาว ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จัดสรรวงเงินค้ำประกันเพิ่มเติมภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS11 “บสย. SMEs ยั่งยืน” อีก 5,000 ล้านบาท  ภายใต้มาตรการ บสย. พร้อมค้ำกับ 2 ผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อใหม่ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง SMEs รายย่อย และผู้ส่งออก ที่ขาดคนค้ำประกันและหลักทรัพย์ค้ำประกัน

สำหรับผลิตภัณฑ์ค้ำประกัน ประกอบด้วย 1.ผลิตภัณฑ์ค้ำประกันภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Power Trade & Biz วงเงินค้ำประกัน 3,000 ล้านบาท ค้ำประกันต่อราย 500,000 – 10,000,000 บาท ตอบโจทย์กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า และซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้อง และ 2.ผลิตภัณฑ์ค้ำประกันภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Micro Biz วงเงินค้ำประกัน 2,000 ล้านบาท ค้ำประกันต่อราย 10,000 – 500,000 บาท ตอบโจทย์กลุ่มรายย่อย (Micro SMEs) พ่อค้า แม่ค้า ค้าขายออนไลน์ อาชีพอิสระ ฯลฯ ที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน และขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งเป็น “กลุ่มเปราะบาง” ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ

นางสาวศศิกานต์กล่าวต่อว่า จุดเด่นของ 2 โครงการ คือค่าธรรมเนียมต่ำ 1.5% ต่อปี ฟรี! ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 3 ปีแรก โดยค้ำประกันสูงสุด 7 ปี เป็นมาตรการพิเศษที่มุ่งเน้นการค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อช่วยกระตุ้นให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อในรายที่ต้องการสภาพคล่องเพิ่มเติม แต่ขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน ด้วยการจ่ายเคลม (จ่ายค่าประกันชดเชย) ในอัตราสูง

ทั้งนี้ โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Power Trade & Biz และ SMEs Micro Biz ภายใต้วงเงินค้ำประกัน 5,000 ล้านบาท คาดว่าจะก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบ 5,600 ล้านบาท สามารถช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อกว่า 21,000 ราย รักษาการจ้างงาน 46,150 ตำแหน่ง และสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้ 20,650 ล้านบาท และข้อดีของโครงการใหม่นี้จะมีส่วนสำคัญที่ทำให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและเสริมสภาพคล่อง

สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่สนใจเข้าร่วมโครงการค้ำประกันสินเชื่อดังกล่าว สามารถเข้ามาตรวจสุขภาพทางการเงิน พร้อมจองคิวขอรับคำปรึกษาที่ LINE OA : @tcgfirst ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย หรือติดต่อที่สำนักงานเขตของ บสย. ทั้ง 11 สาขา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บสย. Call Center โทร. 02-890-9999

“รัฐบาลมุ่งมั่นเดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs และกลุ่มเปราะบาง ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและมีโอกาสขยายธุรกิจอย่างทั่วถึง เพราะเศรษฐกิจฐานราก คือรากฐานสำคัญที่จะสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

กระทรวงแรงงาน ร่วมขับเคลื่อนฐานข้อมูลกลุ่มเปราะบางทั่วประเทศ จับมือ 29 หน่วยงาน สร้าง One Data เพื่อสิทธิประชาชน

กระทรวงแรงงาน ร่วมขับเคลื่อนฐานข้อมูล “กลุ่มเปราะบาง” ทั่วประเทศ จับมือ 29 หน่วยงาน สร้าง One Data เพื่อสิทธิประชาชน

วันที่ 18 มิถุนายน 2568 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน มอบหมายให้นายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรี เป็นผู้แทนเข้าร่วมพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วย “การเชื่อมโยงและปรับปรุงฐานข้อมูลกลุ่มเปราะบาง คนพิการ และผู้สูงอายุ” ระหว่าง 29 หน่วยงาน ภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ เพื่อวางระบบข้อมูลกลางที่เชื่อมโยงกันทั้งประเทศ โดยมีนายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ร่วมลงนามในนามกระทรวง ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี

นายอารี ไกรนรา เปิดเผยว่า การเชื่อมโยงฐานข้อมูลครั้งนี้ มีเป้าหมายสำคัญคือ การทำให้ “ประชาชนกลุ่มเปราะบาง” เช่น คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้มีรายได้น้อย เข้าถึงสิทธิและบริการจากภาครัฐได้ครบถ้วน ไม่ตกหล่น และไม่ซ้ำซ้อน โดยรัฐบาลจะพัฒนาระบบข้อมูลแบบบูรณาการ ที่สามารถใช้ร่วมกันทุกหน่วยงาน (One Data for All Rights) เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนตรงตามความต้องการแต่ละราย ที่ผ่านมา พบว่าข้อมูลของประชาชนกลุ่มเปราะบางกระจัดกระจายอยู่ในหลายหน่วยงาน ทำให้การช่วยเหลือบางครั้งล่าช้า หรือเกิดความซ้ำซ้อน การลงนามในวันนี้ จึงถือเป็น “จุดเริ่มต้นของการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ” เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนทุกกลุ่มอย่างแท้จริง

ด้านนายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงานจะนำข้อมูลในความรับผิดชอบ เช่น ข้อมูลการมีงานทำ การพัฒนาทักษะอาชีพ และการเป็นผู้ประกันตน มาร่วมพัฒนาเป็นฐานข้อมูลกลาง ร่วมกับหน่วยงานอื่น เพื่อวางแผนช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย คนพิการ และผู้สูงอายุได้ตรงจุด เช่น การส่งเสริมอาชีพที่เหมาะสม การเข้าถึงประกันสังคม หรือการดูแลด้านความปลอดภัยในการทำงาน นอกจากการเชื่อมโยงข้อมูลแล้ว เรายังใช้เทคโนโลยี AI และ Machine Learning วิเคราะห์แนวโน้มปัญหาในอนาคต เพื่อให้ทุกนโยบายรัฐช่วยเหลือประชาชนได้รวดเร็ว แม่นยำ และทั่วถึง

โดย MOU ฉบับนี้มีหน่วยงานเข้าร่วมรวม 29 ฝ่าย ประกอบด้วย 15 กระทรวง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงพัฒนาสังคมฯ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการคลัง ฯลฯ และอีก 14 หน่วยงาน เช่น กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ สำนักงานหลักประกันสุขภาพฯ สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) เป็นต้น ซึ่งการร่วมมือครั้งนี้จะเป็นต้นแบบของการพัฒนาระบบข้อมูลแบบ “แบ่งปัน-ไม่แยกส่วน” (Data Sharing Agreement) ที่ให้ทุกหน่วยงานใช้ข้อมูลร่วมกันได้ แต่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลประชาชนเป็นหลัก เพื่อเป็นประโยชน์กับประชาชน ในหลายด้าน อาทิ 1.ไม่ต้องยื่นเอกสารซ้ำซ้อนหลายที่ 2.หน่วยงานรัฐจะช่วยเหลือได้ตรงจุดมากขึ้น 3.สิทธิต่าง ๆ เช่น เงินสงเคราะห์ ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล หรือการฝึกอาชีพจะ “ถึงมือเร็วขึ้น” 4.วางรากฐานสู่สังคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เป็นต้น 

#กระทรวงแรงงาน #กลุ่มเปราะบาง #OneData #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์