SACIT ชูบทบาทนักปั้นดาวหัตถศิลป์ไทยสู่เวทีโลก ขับเคลื่อนคราฟต์ไทยรับเทรนด์ตลาดโลก

สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ SACIT เตรียมสร้างปรากฏการณ์งานคราฟต์สู่เวทีระดับสากล ด้วยการเป็นนักปั้นเพื่อเฟ้นหาคนรุ่นใหม่ ผู้สร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรมไทย    มาผ่านกระบวนการบ่มเพาะและฝึกฝน เพื่อติดอาวุธในการรองรับเทรนด์และความต้องการในตลาดโลก พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้ภูมิปัญญาหัตถศิลป์ไทย ผ่านกิจกรรมเสวนาและนิทรรศการ ภายใต้แนวคิด “Nurturing Thai Crafts to Global Trends”

ผศ.ดร.อนุชา ทีรคานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย กล่าวว่า ในช่วงปี 2568 นี้ ต่อเนื่องไปในปี 2569  SACIT ให้ความสำคัญกับการเป็นศูนย์กลางองค์ความรู้งานศิลปหัตถกรรมไทย และการเฟ้นหาดวงดาวแห่งหัตถศิลป์ไทย ที่เป็นผู้สร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรมไทยคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ เข้ามาบ่มเพาะและเข้าสู่กระบวนการนำคุณค่าภูมิปัญญามาเพิ่มมูลค่า ในการฝึกฝนและติดอาวุธในการเรียนรู้เทรนด์และความต้องการของตลาดในด้านต่าง ๆ ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมทั้งการนำเสนอเรื่องราว (Storytelling) ความรู้ด้านดิจิทัล การส่งออกและการพาณิชย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้ในด้านความยั่งยืนในมิติต่าง ๆ  ซึ่งเป็นเรื่องที่ทั่วโลกในทุกวงการต่างให้ความสำคัญ โดย SACIT มุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการหัตถกรรมไทยสามารถมองเห็นความต้องการของตลาดและก้าวทันกระแสโลก ส่งเสริมให้มีกระบวนการผลิตงานศิลปหัตถกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ให้มีการปล่อย Carbon Footprint ให้น้อยที่สุด มีการใช้วัสดุทดแทนแต่ยังคงคุณค่าในภูมิปัญญาไว้ นอกจากนี้สนับสนุนให้เกิดการจ้างงานสร้างอาชีพ โดยมีการแบ่งปันรายได้ให้แก่ชุมชนอย่างเป็นธรรม การสร้างความเสมอภาพและเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของแรงงาน รวมทั้งสิทธิแรงงานที่เป็นไปตามหลักมนุษยชน เป็นต้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นการเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการไทยให้สามารถตอบโจทย์กับความต้องการของผู้บริโภคและตลาดทั้งในและต่างประเทศ

“สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย เดินหน้าจัดกิจกรรมหลากหลายรูปแบบที่แสดงให้เห็นถึงพลังของงานคราฟต์ไทยในมิติต่าง ๆ ทั้งการสร้างโอกาสทางการตลาด การเชื่อมโยงงานหัตถกรรมกับผู้บริโภครุ่นใหม่ และการพัฒนาพื้นที่สร้างสรรค์ที่ช่วยให้งานศิลปหัตถกรรมไทยไม่เพียงคงไว้ซึ่งรากเหง้า แต่ยังสามารถปรับตัวเข้ากับแนวโน้มของโลกที่เปลี่ยนไป ดังเช่นการจัดแสดงนิทรรศการในครั้งนี้ เราเลือกแสดงผลงานในแนวคิด “Conscious Craft” ของโครงการ “SACIT Craft Collection 2025” ซึ่งเป็นตัวอย่างของการต่อยอดความคิดสร้างสรรค์มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์คราฟต์ที่มีดีไซน์โดดเด่น สวยงาม และยังผลิตด้วยกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอบรับแนวคิดความยั่งยืนที่กำลังเป็นเทรนด์ระดับโลก มีฟังก์ชันการใช้งานที่เข้ากับไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ได้อย่างลงตัว ทั้งนี้ยังสร้างแรงบันดาลใจ การรับรู้ และสร้างความเข้าใจให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นถึงคุณค่าและพร้อมนำงานศิลปหัตถกรรมมาใช้งานในชีวิตประจำวัน นับเป็นการต่อยอดสู่โอกาสทางการค้า ที่ช่วยผลักดันให้ช่างฝีมือและชุมชนท้องถิ่นทั่วประเทศมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในประเทศได้อย่างยั่งยืน”

ภายในงานจัดให้มี Mini Exhibition สื่อสารแนวคิดและผลสำเร็จของโครงการที่ SACIT ริเริ่มและผลักดัน Conscious Craft ซึ่งเน้นการสร้างสรรค์ที่สอดคล้องกับหลัก ESG (Environment, Social, Governance) ทั้งการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การออกแบบที่คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า การพัฒนากระบวนการผลิตที่ลดผลกระทบต่อธรรมชาติ นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงการพัฒนาช่างฝีมือรุ่นใหม่ที่ SACIT ให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้อันเป็นกระบวนการพัฒนาสู่ความเป็นเลิศในเชิงช่าง (Craftsmanship) ที่ยังคงรากเหง้าผสานกับความร่วมสมัย และเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ได้มากขึ้น ผลงานหลายชิ้นที่นำมาจัดแสดงได้รับความสนใจจากผู้เข้ามาร่วมชมและเรียนรู้ แสดงถึงศักยภาพของผลิตภัณฑ์ที่จะต่อยอดไปสู่การพัฒนาในเชิงพาณิชย์ได้ในอนาคต

พร้อมกับการเสวนา“Nurturing Thai Crafts to Global Trends”  โดยหยิบยกประเด็นบทบาทเชิงรุกของ SACIT ในการเป็น “นักปั้นดาวแห่งหัตถศิลป์ไทยเชื่อมความงามไกลสู่สากล” โดยมีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย ผศ.ดร.อนุชา ทีรคานนท์ ผู้อำนวยการ SACIT, คุณหัสยา ปรีชารัตน์ ครูช่างศิลปหัตถกรรมไทย ประจำปี 2566 ด้านงานเครื่องเบญจรงค์ เจ้าของแบรนด์ HATSAYA, คุณสาวิน สายมา ทายาทช่างศิลปหัตถกรรม ปี 2568 ด้านงานจักสาน ผู้สร้างสรรค์แบรนด์ Vassana ให้โด่งดังในระดับโลก, คุณอารียา บุญช่วยแล้ว New Young Craft 2025 เจ้าของแบรนด์แฟชั่น INTHAI, และคุณพิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร (ท็อป) ศิลปินนักแสดงผู้สนใจในงานคราฟต์รักษ์โลก ที่ต่างแลกเปลี่ยนมุมมอง แรงบันดาลใจ ประสบการณ์สร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรมไทย และก้าวต่อไปของคราฟต์ไทย ที่เชื่อมโยงองค์ความรู้ ภูมิปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งการคำนึงถึงการสร้างความยั่งยืนในมิติต่าง ๆ ให้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนงานศิลปหัตถกรรมไทยให้ก้าวไปสู่เวทีทั้งในและต่างประเทศ

พลาดไม่ได้กับการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ และประชาชนทั่วไปได้สัมผัสประสบการณ์ตรงจากการเรียนรู้แนวคิดการสร้างสรรค์ผลงานหัตถศิลป์ ทั้งจากครูช่างผู้ทรงคุณวุฒิและคนรุ่นใหม่ของ SACIT ตลอดจนการทดลองสร้างสรรค์งานคราฟต์ด้วยตนเอง ผ่านการทำ Workshop / DIY เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสกระบวนการสร้างสรรค์จริงผ่านงานคราฟต์ ทั้งการวาดลวดลายเบญจรงค์บนเครื่องประดับ การวาดลายครามและร้อยลูกปัด และการสร้างสรรค์งานจักสานไม้ไผ่ เป็นต้น

ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา กิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ของ SACIT ล้วนมุ่งเน้นไปที่การสร้างโอกาสให้แก่ช่างฝีมือรุ่นใหม่ การขยายเครือข่ายความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนการสร้างพื้นที่ใหม่ ๆ ที่ทำให้ศิลปหัตถกรรมไทยมีเวทีแสดงศักยภาพอย่างแท้จริง การเดินหน้าภายใต้แนวคิด “Nurturing Thai Crafts to Global Trends” ได้พิสูจน์แล้วว่า งานศิลปหัตถกรรมไทยนอกจากจะมีคุณค่าทางวัฒนธรรมแล้ว ยังเป็นพลังสร้างสรรค์ที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีโลกต่อไป

หนุนทุกมิติ! “เทหน้าตัก” ร่วมผลักดันนักกีฬาโป๊กเกอร์ไทยสู่เวทีโลก

“เทหน้าตัก” แพลตฟอร์มคอมมิวนิตี้โป๊กเกอร์ชั้นนำของไทย เดินหน้าร่วมผลักดันเต็มกำลังในทุกมิติ หนุนนักกีฬาโป๊กเกอร์ไทยสู่เวทีระดับโลก

วันที่ 26 สิงหาคม 2568 ภายหลังจากที่ การกีฬาแห่งประเทศไทย ประกาศรับรอง “โป๊กเกอร์” เป็นชนิดกีฬาล่าสุดอย่างเป็นทางการ นับเป็นก้าวสำคัญของวงการโป๊กเกอร์ไทย สู่การยอมรับในระดับสากล โดยมี “เทหน้าตัก” (TAENAATAK) แพลตฟอร์มคอมมิวนิตี้โป๊กเกอร์ชั้นนำของไทย เป็นหนึ่งในแรงผลักดันหลัก ที่สนับสนุนอย่างต่อเนื่องทั้งในแง่ของคอนเทนต์ การถ่ายทอดสด การสร้างความเข้าใจ และการพัฒนานักกีฬาไทยสู่การแข่งขันระดับโลก

นางสาวอรนิตย์ เอ่งฉ้วน ผู้อำนวยการด้านกลยุทธ์ บริษัท เทหน้าตัก จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบัน “เทหน้าตัก” มีผู้ติดตามบนช่องทางโซเชียลมีเดียรวมกว่า 450,000 ราย และยอดรับชมสะสมมากกว่า 50 ล้านวิว โดยมุ่งเน้นการถ่ายทอดสดการแข่งขันโป๊กเกอร์รายการสำคัญระดับนานาชาติ อาทิ Triton Poker Series, Asian Poker Tour (APT), Zodiac Series of Poker (ZSOP) และ Player Series พร้อมด้วยทีมวิเคราะห์เกมและบรรยายภาษาไทยแบบเรียลไทม์

นอกจากการถ่ายทอดสดแล้ว “เทหน้าตัก” ยังผลิตรายการความรู้ด้านโป๊กเกอร์อย่างต่อเนื่อง เช่น Charity, Date with the Pro, พบหมอ ALL-IN, รายการสอนศัพท์, สับศัพท์โป๊กเกอร์ พร้อมกันนี้ ยังได้ร่วมมือกับแบรนด์โป๊กเกอร์ระดับโลก HOLD’EM เพื่อเปิดตัวคอลเลกชั่นเสื้อผ้าและเมอร์ชานไดซ์ สำหรับแฟนกีฬาโป๊กเกอร์ชาวไทยโดยเฉพาะ

การเติบโตของวงการโป๊กเกอร์ไทย ยังสะท้อนผ่านความสำเร็จของนักกีฬาไทยที่สามารถสร้างชื่อเสียงในระดับโลก ได้แก่ ปุณณัตถ์ ปุณศรี นักโป๊กเกอร์อันดับ 1 ของไทย และอันดับ 5 ของโลก จากการจัดอันดับ Global Player of the Year (POY) โดยถือเป็นคนไทยคนแรกที่คว้าแชมป์รายการระดับโลกอย่าง Triton Poker Super High Roller Series Jeju 2025 และกำลังไล่ล่ารางวัลเกียรติยศสูงสุด WSOP Bracelet

“เต็นท์” กันณพงศ์ ธนรัตน์ตระกูล อดีตนักศึกษาที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ สู่การคว้าแชมป์รายการใหญ่ European Poker Tour (EPT) Prague โดยมีบทบาททั้งในฐานะนักกีฬาและผู้สร้างคอนเทนต์ผ่านช่อง YouTube “TentKannapong” ที่ถ่ายทอดประสบการณ์จริง พร้อมให้ความรู้กับแฟน ๆ รุ่นใหม่

“เต้” พชร วงศ์วิชิต นักกีฬาโป๊กเกอร์ระดับแนวหน้าของไทย เจ้าของแชมป์ APT High Roller 8 Max และผลงานจากรายการระดับโลกมากมาย อาทิ WSOP และ The Wynn Summer Classic นอกจากนั้นยังเป็นผู้นำด้านการสื่อสารภาพลักษณ์ของโป๊กเกอร์ในฐานะ “กีฬาเชิงกลยุทธ์” ให้เป็นที่เข้าใจในสังคม
จากเกมสู่กีฬาอย่างแท้จริง

สำหรับการรับรองโป๊กเกอร์ในฐานะชนิดกีฬาอย่างเป็นทางการของไทย ถือเป็นอีกหนึ่งพัฒนาการสำคัญที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในวงการกีฬาและสังคม ทั้งนี้ “เทหน้าตัก” ยังคงเดินหน้าให้การสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง ทั้งในด้านการจัดกิจกรรม การแข่งขัน และการพัฒนานักกีฬารุ่นใหม่ เพื่อวางรากฐานให้โป๊กเกอร์เป็น “กีฬาอาชีพ” ที่เติบโตได้ในทุกมิติ ทั้งเชิงเศรษฐกิจ การศึกษา และการแข่งขันในระดับสากล

วงการกอล์ฟไทยคึกคัก! 2 องค์กรใหญ่ผนึกกำลัง จัด 2 รายการใหญ่ สร้างโอกาสนักกอล์ฟสู่เวทีโลก

สมาคมกีฬากอล์ฟอาชีพแห่งประเทศไทย จับมือ ออลไทยแลนด์กอล์ฟทัวร์ ประกาศผนึกกำลังเป็นปีที่สองติดต่อกัน เพื่อจัดการแข่งขันกอล์ฟอาชีพแบบโคแซงชั่น จำนวน 2 รายการ ชิงเงินรางวัลรวม 6 ล้านบาท พร้อมมอบคะแนนสะสม Official World Golf Ranking (OWGR) โดย นายพงษ์รัตน์ เหลืองธำรงเจริญ นายกสมาคมกีฬากอล์ฟอาชีพฯ มั่นใจการร่วมมือครั้งนี้จะเป็นหมุดหมายสำคัญของการผลักดันวงการกอล์ฟไทยให้ก้าวสู่ระดับสากล

สมาคมกีฬากอล์ฟอาชีพแห่งประเทศไทย และ ออลไทยแลนด์กอล์ฟทัวร์ โดยการสนับสนุนของ สิงห์ คอร์เปอเรชั่น, การกีฬาแห่งประเทศไทย, บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน), สนามลำลูกกา คันทรี คลับ และสนามบางกอก กอล์ฟ คลับ เตรียมจัดการแข่งขันกอล์ฟอาชีพรายการโคแซงชั่นระหว่าง ไทยแลนด์พีจีเอทัวร์ และ ออลไทยแลนด์กอล์ฟทัวร์ 2 รายการชิงเงินรางวัลรายการละ 6 ล้านบาท พร้อมคะแนนสะสมโลก ออฟฟิเชียล เวิลด์ แรงกิง

วันที่ 19 สิงหาคม 2568 นายพงษ์รัตน์ เหลืองธำรงเจริญ นายกสมาคมฯ เปิดเผยว่า "ความร่วมมือกับออลไทยแลนด์เป็นปีที่สอง ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการสร้างเส้นทางให้นักกอล์ฟไทยไปสู่เวทีระดับโลก เพราะการแข่งขันในประเทศได้รับการรับรองคะแนนสะสมโลกแล้ว ขอขอบคุณออลไทยแลนด์กอล์ฟทัวร์สำหรับความร่วมมือที่เป็นมืออาชีพ เชื่อมั่นว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยพัฒนาวงการกอล์ฟไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน และสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักกอล์ฟรุ่นใหม่ต่อไปในอนาคต"

ด้านคุณจักรพงศ์ ทองใหญ่ ประธานบริหารออลไทยแลนด์กอล์ฟทัวร์ กล่าวว่า “การรวมพลังของสององค์กรชั้นนำ ไม่เพียงเปิดโอกาสให้นักกอล์ฟไทยได้รับคะแนนคะแนนสะสมโลก จากการแข่งขันในประเทศ แต่ยังเป็นการสร้างระบบนิเวศกอล์ฟไทยให้แข็งแกร่งเรามุ่งมั่นที่จะพัฒนานักกีฬาไทยให้เติบโตอย่างรอบด้าน ผ่านการแข่งขันที่เข้มข้นและได้มาตรฐานระดับสากล สร้างเวทีแห่งโอกาสของนักกอล์ฟไทยสู่เวทีโลกอย่างยั่งยืน”

การแข่งขันโคแซงชั่นทั้งสองรายการจะถูกนำไปคิดคะแนนในตาราง Order of Merit ของทั้งสองทัวร์ จะเริ่มต้นด้วยรายการ สิงห์-เอสเอที เอ็มบีเค แชมเปียนชิพ 2025 ในวันที่ 21-24 สิงหาคม 2568 ที่สนามลำลูกกา กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ จ. ปทุมธานี ตามด้วยรายการ สิงห์ บางกอก โอเพ่น 2025 ในวันที่ 4-7 กันยายน 2568 ที่สนามบางกอก กอล์ฟ คลับ จ. ปทุมธานี

ทั้งนี้ ในการจัดครั้งแรกเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ระหว่างสมาคมกีฬากอล์ฟอาชีพฯ และออลไทยแลนด์ฯ แชมป์ตกเป็นของ อติรุจ วินัยเจริญชัย ในรายการ สิงห์ บางกอก โอเพ่น 2024  ณ สนามบางกอก กอล์ฟ คลับ ขณะที่ แชมป์รายการ สิงห์-เอสเอที เอ็มบีเค แชมเปี้ยนชิพ 2024 ซึ่งจัดขึ้นที่ สนามลำลูกกา คันทรี คลับ จังหวัดปทุมธานี นั้น ตกเป็นของ ภาณุพล พิทยารัฐ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จของความร่วมมือนี้

อุ๊งอิ๊งขอกำลังใจโดนรุมตะเพิด

"นายกฯ"  แจงยิบใช้ไอแพดจ้อบนเวทีโลก บอกผู้นำก็ใช้กันทั้งนั้น ระบุบางคำเป็นศัพท์เฉพาะทางกฎหมาย เหตุเป็นเรื่องอ่อนไหว ขอกำลังใจแฟนคลับ หลังนั่งนายกฯได้ไม่นานเจอหหลายกลุ่มประท้วงขับไล่ ลั่นจะทำงานเต็มที่ ด้านอนุทินหลบหน้าสื่อ หลังข่าวสะพัดควงเนวินดอดเข้าพบทักษิณบ้านจันทร์ส่องหล้า

    
 ที่โรงแรม สยาม เคมปินสกี้ เมื่อวันที่ 7 ต.ค.67 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การใช้ไอแพดกับบทบาทผู้นำของนายกรัฐมนตรี รวมถึงการตอบคอมเมนต์แล้วนำไปแขวนที่อินสตาแกรม จนมีคนตั้งคำถามถึงภาวะผู้นำ ว่า จริงๆแล้วการทำงานของตน กระแสเป็นเรื่องหนึ่ง การทำงานให้สำเร็จเป็นเรื่องใหญ่ แต่ว่าบางทีเข้าใจตัวเอง บางทีรู้สึกว่าถูกเข้าใจผิด หรือว่าข้อมูลยังไม่ครบก็อยากอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น จริงๆไม่ได้คิดว่าเป็นการแขวนหรืออะไร ทุกคนสามารถตั้งค่าความเป็นส่วนตัวได้อยู่แล้ว เพียงแต่ตนอยากอธิบายในหัวข้อนี้ว่าบางที เราด่วนตัดสินคนอื่นเกินไป ต้องมีข้อมูลด้วยในการจะพูดแบบนี้ ซึ่งตนได้ชี้แจงไป 
    
 น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ไอแพดเป็นเรื่องที่ทุกคนใช้กันทั่วโลก จะใช้ไม่ใช้ก็แล้วแต่บุคคล แต่การประชุมหลักๆระหว่างประเทศก็ควรจะใช้ จะเป็นกระดาษหรือไอแพดก็ได้ เพราะจะได้ครบประเด็นและถูกต้อง นี่คือสิ่งที่อยากสื่อ และกระแสจากการทำงานเป็นผลพลอยได้ เมื่อกระแสดีแน่นอนทุกคนมีกำลังใจ ไม่ว่าจะภาคส่วนไหน ทั้งข้าราชการ ดารา นักการเมือง นายกฯก็เช่นกันหากกระแสดีมันมีกำลังใจ มันเป็นมนุษย์ ถ้ากระแสลบก็เสียใจเป็นธรรมดา แต่เสียใจแล้วต้องไปต่ออย่างไร ต้องทำให้นโยบายไปต่ออย่างไร จะอยู่เฉยๆก็ไม่ได้ เพราะเรามีเทอมของเราที่ต้องทำให้ดีที่สุด จึงขอโฟกัสในการผลักดันเรื่องต่างๆต่อไป ส่วนเรื่องที่จะให้อธิบายอะไรก็สามารถอธิบายได้แบบที่นักข่าวสัมภาษณ์
   
  ผู้สื่อข่าวถามว่า การเปิดงานสัมมนา ASEAN Economic Outlook 2025: The Rise of ASEAN, A Renewing Opportunity วันนี้ดูเหมือนนายกฯ จะไม่ใช้ไอแพดมากเกินไป น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ใช้ค่ะ แต่มันไม่เหมือนกัน เวลาไปพูดที่ต่างประเทศ มันเป็นภาษาอังกฤษ มีคำศัพท์เฉพาะในเรื่องกฎหมาย รวมถึงความอ่อนไหวระหว่างประเทศ ซึ่งจริงๆ บางคำตนรู้ตอนมาเป็นนายกฯ ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่ว่าคำศัพท์นี้ต้องใช้ในเรื่องนี้ ถ้าเป็นภาษาไทยเรารู้อยู่แล้วจะสบายกว่าเยอะ

 อย่างตอนกล่าวในงานสัมมนานี้ ตนใช้ไอแพดในการดูหัวข้อ เช่นเดียวกับเวลาไปคุยระหว่างประเทศก็จะใช้แบบนี้เช่นกันเพื่อดูหัวข้อ แต่ถ้าเป็นเรื่องกฎหมายที่อ่อนไหว ตนอ่านทั้งประโยคเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดอันนี้สำคัญมาก เพราะหากผิดทีเป็นลมเลย แต่เมื่อมีการพูดคุยสอบถามเรื่องการลงทุนจะอย่างไร เราก็ปิดไอแพดแล้วขายของเราไปต่อ แต่สปีดที่นั่งโต๊ะประชุมใหญ่ต้องอ่านทุกคน อันนี้ทั่วโลกทำ มันต้องทำแบบนั้น เพราะเป็นเรื่องที่กระทรวงการต่างประเทศรวบรวมข้อมูลทั้งหมดมาหลายหน้า แล้วตนต้องอ่านตามนั้นให้ที่ประชุมรับรู้ตรงกัน
 
น.ส.แพทองธาร ยังกล่าวถึงความรู้สึกที่ขณะนี้ทำงานมาได้ไม่นาน แต่มีหลายกลุ่มออกมาประท้วงขับไล่ ซึ่งน.ส.แพทองธาร (ยิ้ม) ก่อนตอบว่า "ก็เหมือนเดิม ขอทำงานก่อน จะตั้งใจทำงานให้เต็มที่ และขอกำลังใจด้วย แค่นั้นค่ะ"
 
วันเดียวกัน  น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 348/2567 เรื่อง แต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เพิ่มเติม ตามที่ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 319/2567 เรื่อง แต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 16 กันยายน 2567 นั้น เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินและการขับเคลื่อนงานของรัฐบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11(6) แห่งพระระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2535 จึงแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติม เพื่อทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษา และพิจารณาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะต่างๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ได้แก่ นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส และ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    
 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังมีกระแสข่าว นายเนวิน ชิดชอบ ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ด เข้าพบ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า โดยมีอีก 1 คน ไปด้วยนั้น แหล่งข่าวยืนยันว่า เป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ที่เข้าหารือกับนายทักษิณเมื่อวันที่ 6 ต.ค.กับนายเนวินจริง
    
 ขณะที่วันเดียวกันนี้ นายอนุทิน ได้เดินทางเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ครั้งที่ 4/2567 ณ ห้องประชุมวิจิตรวาทการ ชั้น 3 สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำเนียบรัฐบาล โดยทันทีที่นายอนุทินเข้าทำเนียบรัฐบาล ไม่ได้เดินทางขึ้นตึกบัญชาการ 1 ก่อน เหมือนที่ปฏิบัติเป็นปกติ แต่เข้าตึกสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในทันที เพื่อเลี่ยงให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน
    
 จากนั้น นายอนุทิน ลงจากตึก สมช. โดยใช้ประตูชั้นใต้ดิน เพื่อหลีกเลี่ยงเจอสื่อมวลชนอีก ก่อนที่จะนั่งรถมาลงที่บริเวณด้านหลังตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อร่วมประชุมเรื่องความปลอดภัยทางถนนกับนายกรัฐมนตรี ที่ห้องสีเขียว โดยจุดนี้ได้เจอสื่อมวลชน และตอบคำถามสื่อมวลชนเพียงสั้นๆ ว่า "ขอไปประชุมก่อน"
    
 ต่อมา เมื่อนายอนุทินลงจากด้านหลังตึกไทยคู่ฟ้าได้ให้รถเทียบบริเวณประตู ผู้สื่อข่าวจึงพยายามตะโกนเรียกเพื่อขอสัมภาษณ์ นายอนุทิน หันมา โบกมือปฏิเสธ พร้อมส่งยิ้มเพียงอย่างเดียว ก่อนจะออกจากทำเนียบรัฐบาลทางประตู 4 ฝั่งตรงข้าม กพ.ทันที
     
ด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีกระแสข่าวนายเนวิน ชิดชอบ ประธานบริหารสโมสรบุรีรัมย์ยูไนเต็ด เดินทางเข้าพบกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ว่า ตนไม่เห็นได้ยินเลย มาจากไหนก็ไม่รู้

รัฐบาลเมิน ปลุกม็อบไล่

เด็กพปชร.ลุยบี้กกต.เชือดอุ๊งอิ๊ง รัฐบาลเมิน ปลุกม็อบไล่ -พิชัยอวยนายกฯ -โดดเด่นบนเวทีโลก  พิชัย ยืนยัน นายกฯ ทำผลงานโดดเด่บนเวทีโลก พูดภาษาดอกไม้ ดึงต่างชาติลงทุน วอนเลิกอคติ อย่าจ้องจับผิดวิจารณ์ปมไอแพด ด้านสมคิดเผยสนธิเตรียมปลุกม็อบเรื่องปกติ รัฐบาลไม่กังวล พร้อมพูดคุยด้วยเหตุและผล  ขณะที่ เรืองไกร ร้อง กกต. ตรวจสอบอุ๊งอิ๊ง ถือหุ้นบ.ประไหมสุหรีฯ เกินร้อยละ 5 หรือไม่ ต้องพ้นเก้าอี้รมต.หรือไม่      

 เมื่อวันที่ 6 ต.ค.67 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ทันทีที่กลับถึงไทยตนได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงการประชุม ACD summit ที่ประเทศกาตาร์ ว่าเป็นการประชุมที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แสดงบทบาทผู้นำของประเทศไทยอย่างยอดเยี่ยม เป็นที่ชื่นชมของผู้นำต่างประเทศจำนวนมาก มีผู้นำหลายประเทศมาขอร่วมถ่ายภาพด้วย ล่าสุดติดอันดับ 100 ผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคตของนิตยสาร TIME ในเวทีต่างๆ นายกฯยังได้แสดงวิสัยทัศน์ต่อผู้นำกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ในเรื่องความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) การเชิญชวนชาติต่างๆ เข้ามาตั้ง Data Center หรือสถานที่จัดเก็บข้อมูลในประเทศไทย ซึ่งทำให้ประเทศต่างๆ ให้ความสนใจอย่างมาก เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ คูเวต โอมาน     

 นายพิชัย กล่าวว่าตนจึงแปลกใจที่มีการหยิบยกภาพๆ เดียวที่นายกฯ ถือไอแพดขึ้นมาตัดต่อ บิดเบือน ในเรื่องการสื่อสารในเวทีระดับโลก ตนรู้สึกว่าเป็นการวิจารณ์ที่ล้าสมัย ไม่รู้ข้อเท็จจริง และธรรมเนียมปฏิบัติในเวทีโลก ไม่ยุติธรรมต่อคนทำงาน จึงต้องออกมาให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันการบิดเบือนใส่ร้าย ในฐานะผู้ที่นั่งอยู่ร่วมในวงประชุมต่างๆ กับนายกฯทั้งในเวทีใหญ่ และเวทีทวิภาคี      สำหรับข้อวิจารณ์ว่านายกฯ อ่านจากไอแพด นักวิจารณ์บางรายไปบิดเบือน ตนขอเรียนว่าในเวทีสากลแบบนี้ ทุกอย่างที่อยู่ในห้องประชุม ทั้งการสนทนา การนำเสนอวิสัยทัศน์ การให้ข้อแถลงต่างๆ จะถูกบันทึกไว้ทั้งหมดโดยละเอียด ตนนั่งในห้องประชุมหลังนายกฯ จึงได้เห็นว่าผู้นำทุกชาติ เขาอ่านกันทั้งหมด เพราะเขาระวังความผิดพลาด ถ้าพูดผิดจะทำให้บันทึกการพูดผิดไปด้วย การอ่านทั้งจากเอกสาร หรือไอแพดก็ดีจึงเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่รัดกุมที่ทุกประเทศเขาทำกันหมด     

 ส่วนในการเจรจา Bilateral หรือทวิภาคีกับชาติต่างๆ ตนนั่งอยู่ในห้องด้วย นายกฯพูดเองทั้งหมด นำการประชุมทวิภาคีได้สมศักดิ์ศรี ต้องเข้าใจก่อนด้วยว่าในการร่วมเวทีระดับสากล จะมีวงหารือทวิภาคีหลายวง และประเด็นในการสนทนา หรือ Suggest Talking Points ที่แต่ละชาติจะหยิบยกขึ้นมาหารือกัน ก็ไม่เหมือนกันทั้งสิ้น การมีกระดาษโน้ต หรือไอแพดไว้ในมือ เพื่อเหลือบมองหัวข้อบ้างตามสมควร จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นและสามารถทำได้ เพื่อให้ประเด็นที่เราหยิบยกขึ้นมาดำเนินไปด้วยความถูกต้องกับที่เราเตรียมการมา ผู้นำชาติต่างๆ ก็ทำแบบนั้นทั้งสิ้น นายกฯพูดได้ไหลลื่นมองไอแพดเป็นครั้งคราวเพื่อดูเพียงหัวข้อ ที่ต้องชมมากคือการเจรจา Bilateral ครั้งแรกกับประเทศอิหร่านซึ่งสุดหิน เพราะเพิ่งมีสถานการณ์สดๆ ร้อนๆ แต่นายกฯสามารถทำได้อย่างดีเยี่ยม พูดให้เขาสบายใจ ด้วยภาษาดอกไม้ ไม่เข้าข้างใคร ให้ประเทศไทยอยู่ตรงกลาง และในช่วงการสัมภาษณ์สรุปประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการเข้าร่วม ACD summit กับสื่อมวลชนไทยก็ทำด้วยดี จนพวกเราทั้งสามคนที่ยืนอยู่ด้วยหันมาชื่นชมเป็นเสียงเดียวกัน        

ทั้งตัวผม และผู้ที่ร่วมในการประชุม ทั้ง นายมาริษ เสงี่ยมพงศ์ รมว. ต่างประเทศ และนพ.พรหมินทร์ เลิศสุริเดช เลขาธิการนายกฯ เราได้อยู่ด้วยในทุกฟอรัมที่นายกฯ เข้าร่วม เรายังยืนคุยกันชื่นชมนายกฯ สามารถทำได้ดีเยี่ยม เป็นหน้าเป็นตาให้กับประเทศ อย่างวงทวิภาคี ผมยังต้องใช้เวลาฝึกเป็นปีกว่าจะสามารถดำเนินการได้ แต่นายกฯสามารถทำได้ดีในครั้งแรก จึงอยากออกมาให้ข้อมูลอีกด้าน ในฐานะที่อยู่เหตุการณ์จริง ขอให้เลิกอคติ จับผิดเรื่องเล็กน้อย วันนี้ขอชวนคนไทยให้กำลังทีมไทยแลนด์ที่ช่วยกันทำงานอย่างหนัก เพื่อเชิญชวนชาติต่างๆ เข้ามาลงทุนในประเทศไทยจะดีกว่า 

นายพิชัย กล่าว      ที่ ม.ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง กล่าวกรณีที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ออกมาประกาศว่าชุมนุมเดินครั้งสุดท้ายในชีวิต ลงถนนไล่รัฐบาลในช่วงต้นปีหน้า ขณะนี้รัฐบาลมีการเตรียมรับมืออย่างไร ว่า เรื่องนี้คงไม่ต้องเตรียมรับมืออะไร เพราะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เข้าใจ ซึ่งอย่างน้อยเรื่องการแสดงออกทางการเมือง รัฐบาลไม่เคยปิดกั้น ตั้งแต่รัฐบาลเพื่อไทยในการนำของ นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ จนถึงยุคของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ คงจะไม่ต้องเตรียมการอะไรเพราะเป็นเรื่องปกติ แต่จะเรียกร้องอะไรก็สามารถยื่นเป็นหนังสือมาได้ ซึ่งต้องพูดคุยกันด้วยเหตุและผล ว่าต้องการอะไรบ้าง และรัฐบาลสามารถทำอะไรได้บ้าง พร้อมย้ำว่ารัฐบาลไม่ได้เตรียมการและไม่ได้วิตกกังวลอะไร      เมื่อถามว่า นายกฯระบุว่าพร้อมเปิดโอกาสให้เข้ามาพูดคุยกัน นายสนธิได้ประสานมายังรัฐบาลแล้วหรือไม่ นายสมคิด กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีการประสานงาน ขอให้ดำเนินการก่อน หากนายสนธิประสานมาตนและรัฐบาลก็ยินดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพูดคุย ซึ่งนายกฯอาจจะมอบหมายให้รองนายกฯ หรือบุคคลอื่นภายในรัฐบาลเป็นผู้ประสานงานก็ได้ ฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ โดยยืนยันว่ารัฐบาลก็พร้อมจะรับฟังอยู่แล้ว     

 เมื่อถามถึงกรณีที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ออกมาระบุว่านโยบายของรัฐบาลที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้เป็นนโยบายขายชาติ นายสมคิด ย้อนถามกลับว่า มันจะขายตรงไหน นายจตุพรก็พูดไปเรื่อย มันไม่มีใครขายชาติหรอก มันมีแต่เรื่องใครทำผิดกับทำถูก ถ้าทำผิดก็บอกมาว่าทำผิดเรื่องอะไร มันไม่มีทางที่จะผิดไปทุกเรื่องเป็นไปไม่ได้ แต่รัฐบาลทำตามความต้องการประชาชนส่วนมาก มันทำให้คน 67 ล้านคน ได้ดั่งใจคงไม่ได้ แต่ว่าต้องยอมรับเหตุและผลของกัน ไม่ใช่มาต่อว่าว่าขายชาติอย่างนี้ มันเป็นคำพูดที่เป็นวาทกรรมที่ไม่ได้สร้างสรรค์อะไร    

  ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่นายจตุพรออกมาระบุนโยบายการเช่าที่ดิน 99 ปี มันเลยชั่วอายุคน อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดและมองว่าเป็นการขายชาติ นายสมคิด กล่าวว่า ก็ยังไม่มี ยังไม่ได้เริ่มเป็นแนวคิด ทุกอย่างเป็นแนวคิด ซึ่งวิธีการอะไรที่จะหารายได้เข้าสู่ประเทศรัฐบาลก็พยายามจะทำ แต่เรื่องที่จะขายชาติขายแผ่นดินไม่มี รัฐบาลไหนก็ไม่ทำ   

เมื่อถามว่า การออกมาสร้างกระแสการชุมนุม จะเกิดเป็นไฟไหม้ฟางหรือไม่ นายสมคิด กล่าวว่า ประชาชนก็ต้องตื่นรู้ด้วย คนที่ออกมาเคลื่อนไหวบางคนก็พูดเอาแต่ได้ ไม่พูดข้อเท็จจริง ซึ่งหากพูดข้อเท็จจริงปัญหาก็จะไม่เกิดขึ้น ทุกคนสามารถเห็นต่างได้ แต่อย่าสร้างวาทกรรมที่ทำลายประเทศ      เมื่อถามถึงความนิยมของ น.ส.แพทองธารอาจจะมาจากบารมีของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ นั้น นายสมคิด กล่าวว่า กระแสความนิยมอยู่ที่ประชาชน ซึ่งในฐานะรัฐบาลหากประชาชนนิยมก็ต้องขอขอบคุณ แต่หากไม่นิยมก็จะต้องทำให้นิยม เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ซึ่งคนจำนวนมากจะทำให้เห็นไปในทิศทางเดียวกันคงเป็นไปไม่ได้ ซึ่งกระแสนิยมก็เป็นเรื่องปกติ วันนี้นิยม พรุ่งนี้อาจจะไม่นิยมแล้ว อยู่ที่ผลงานของรัฐบาลเป็นหลักมากกว่า


ด้าน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เปิดเผยว่า วันนี้ ตนส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS เพื่อขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นหรือคงไว้ซึ่งความเป็นผู้ถือหุ้นเกินกว่าร้อยละห้า หรือไม่ กรณีดังกล่าวจะทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของน.ส.แพทองธารสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (5) ประกอบมาตรา 187 หรือไม่
    
 นายเรืองไกร กล่าวว่า คำร้องดังกล่าว มีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ข้อ 1. ตามสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (แบบ บอจ.5) เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2567 ของบริษัท ประไหมสุหรี พร้อพเพอร์ตี้ จำกัด ลำดับที่ 3 ปรากฏชื่อน.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ถือหุ้นจำนวนรวมทั้งสิ้น 16,950,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละประมาณ 45.11 โดยแจ้งแยกเป็น 4 รายการ คือ 1,300,000 หุ้น ระบุเลขหมายใบหุ้น 2700001-4000000 ลงวันที่ 10/04/2545 วันลงทะเบียนผู้ถือหุ้น 26/09/2539 และจำนวน 650,000 หุ้น ระบุเลขหมายใบหุ้น 100011-750010 ลงวันที่ 10/04/2545 วันลงทะเบียนผู้ถือหุ้น 06/07/2543 และจำนวน 10,000,000 หุ้น ระบุเลขหมายใบหุ้น 24000001-34000000 ลงวันที่ 10/04/2545 วันลงทะเบียนผู้ถือหุ้น 02/04/2540 และจำนวน 5,000,000 หุ้น ระบุเลขหมายใบหุ้น 4000001-9000000 ลงวันที่ 10/04/2545 วันลงทะเบียนผู้ถือหุ้น 06/07/2543
    
 ข้อ 2. ตามสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (แบบ บอจ.5) เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2567 ของบริษัท ประไหมสุหรี พร้อพเพอร์ตี้ จำกัด ลำดับที่ 4 ปรากฏชื่อน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถือหุ้นจำนวนรวมทั้งสิ้น 16,949,990 หุ้น คิดเป็นร้อยละประมาณ 45.10 โดยแจ้งแยกเป็น 4 รายการ คือ 1,300,000 หุ้น ระบุเลขหมายใบหุ้น 1400001-2700000 ลงวันที่ 10/04/2545 วันลงทะเบียนผู้ถือหุ้น 26/09/2539 และจำนวน 649,990 หุ้น ระบุเลขหมายใบหุ้น 750011-1400000 ลงวันที่ 10/04/2545 วันลงทะเบียนผู้ถือหุ้น 06/07/2543 และจำนวน 10,000,000 หุ้น ระบุเลขหมายใบหุ้น 14000001-24000000 ลงวันที่ 10/04/2545 วันลงทะเบียนผู้ถือหุ้น 02/04/2540 และจำนวน 5,000,000 หุ้น ระบุเลขหมายใบหุ้น 9000001-14000000 ลงวันที่ 10/04/2545 วันลงทะเบียนผู้ถือหุ้น 06/07/2543
    
 ข้อ 3. ตามสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (แบบ บอจ.5) ของบริษัท ประไหมสุหรี พร้อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งขอคัดมาจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2567 พบว่า เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 กรรมการบริษัท ประไหมสุหรี พร้อพเพอร์ตี้ จำกัด ได้ส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (แบบ บอจ.5) ซึ่งระบุว่า คัดจากสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 ทุนจดทะเบียน 375,750,000 บาท แบ่งออกเป็น 37,575,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ผู้ถือหุ้นไทย 5 คน โดยลำดับที่ 3 ปรากฏชื่อน.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ถือหุ้นจำนวน 33,899,990 หุ้น เลขหมายใบหุ้น 100011-34000000 ลงวันที่ 5/9/2567 วันลงทะเบียนผู้ถือหุ้น 26/9/2539 แ
    
 ข้อ 4. ต่อมาเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2567 เว็บไซต์สำนักข่าวอิศรา หัวข้อ บ.ที่สอง! นายกฯแพทองธาร โอนหุ้น ประไหมสุหรีฯ 169.4 ล. ให้ พินทองทา พี่สาว ลงข่าวไว้บางส่วนดังนี้
     
  นอกจาก บริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด (ALPINE GOLF & SPORTS CLUB CO.,LTD.) ที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ อุ๊งอิ๊ง หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567 (นายกฯคนที่ 31 เป็นนายกฯสุภาพสตรีคนที่ 2 ของทำเนียบนายกฯ) โอนหุ้นจำนวน 22,410,000 หุ้น มูลค่าตามทุนจดทะเบียน 224.1 ล้านบาท ให้แก่คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ผู้เป็นมารดา โดยนำส่งนายทะเบียนเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2567 ตามที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานแล้ว
   
  ถัดมาเพียง 1 วัน น.ส.แพทองธารได้โอนหุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ชื่อ บริษัท ประไหมสุหรี พร้อพเพอร์ตี้ จำกัด หรือเดิมชื่อ บริษัท แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เอฟ ซี (ไทยแลนด์) จำกัด จำนวน 16,949,990 หุ้น มูลค่า ประมาณ 169.4 ล้านบาท (ตามทุนจดทะเบียน) คิดเป็นสัดส่วน 45.10 % ของทุนจดทะเบียน ไปให้ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ (เอม) พี่สาวด้วยเช่นกัน
    
 ข้อ 5. จากข้อมูลข้างต้น จึงน่าจะเชื่อได้ว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้โอนหุ้นของบริษัท ประไหมสุหรี พร้อพเพอร์ตี้ จำกัด จำนวน 16,949,990 หุ้น ให้แก่น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ เมื่อต้นเดือนกันยายน 2567 เนื่องจากเลขหมายใบหุ้น 100011-34000000 ลงวันที่ 5/9/2567 วันลงทะเบียนผู้ถือหุ้น 26/9/2539 ที่แจ้งใหม่นั้น ได้รวมเลขหมายใบหุ้นที่เคยเป็นของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ไว้ด้วย
   
  ข้อ 6. ดังนั้น การที่น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี นับตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2567 มาจนถึงปัจจุบัน แต่ตามแบบ บอจ.5 วันที่ 5 กันยายน 2567 ของบริษัท ประไหมสุหรี พร้อพเพอร์ตี้ จำกัด น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เพิ่งมาโอนหุ้นจำนวน 16,949,990 หุ้น ในบริษัทดังกล่าวให้น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ กรณี จึงอาจทำให้น่าเชื่อได้ว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นหรือคงไว้ซึ่งความเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ประไหมสุหรี พร้อพเพอร์ตี้ จำกัด ต่อไปเกินกว่าร้อยละห้า ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ. 2543 กรณีดังกล่าวจึงอาจเป็นเหตุความเป็นรัฐมนตรีของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (5) ประกอบมาตรา 187 ตามมาได้
    
 ข้อ 7. เกี่ยวกับข้อกฎหมายกรณีดังกล่าว ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 1/2567 ลงวันที่ 31 มกราคม 2567 ก็ได้วินิจฉัยตีความไว้ชัดเจน กกต. จึงสามารถใช้ประกอบตรวจสอบได้ ข้อ 8. จากข้อเท็จจริงที่กล่าวมาข้างต้น ประกอบกับพยานเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงน่าจะเพียงพอเพื่อให้ กกต. ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ตรวจสอบว่าน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นหรือคงไว้ซึ่งความเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ประไหมสุหรี พร้อพเพอร์ตี้ จำกัด ต่อไปในระหว่างวันที่ 16 สิงหาคม 2567 ถึงวันที่ 4 กันยายน 2567 ซึ่งเกินกว่าร้อยละห้า ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ. 2543 หรือไม่ กรณีดังกล่าวจะทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (5) ประกอบมาตรา 187 หรือไม่
    
 นายเรืองไกร สรุปว่า ในคำขอท้ายหนังสือ ตนจึงขอให้ กกต. ตรวจสอบเป็นแต่ละประเด็นดังนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นหรือคงไว้ซึ่งความเป็นผู้ถือหุ้นใน บริษัท ประไหมสุหรี พร้อพเพอร์ตี้ จำกัด ต่อไปในระหว่างวันที่ 16 สิงหาคม 2567 ถึงวันที่ 4 กันยายน 2567 ซึ่งเกินกว่าร้อยละห้า ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ. 2543 หรือไม่ กรณีดังกล่าวจะทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (5) ประกอบมาตรา 187 หรือไม่
    
 อนึ่ง ขอให้นำข้อเท็จจริงตามคำร้องลงวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ซึ่ง กกต. ลงเลขรับที่ 12094 มาถือเป็นความปรากฏเพื่อนำไปพิจารณาเพิ่มเติมว่า กรณีการถือหุ้นเกินร้อยละห้าในบริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด จะทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (5) ประกอบมาตรา 187 ด้วยหรือไม่ และหากตรวจสอบแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องมีมูล ขอให้ กกต. รีบส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยโดยเร็ว ตามความในมาตรา 170 วรรคสาม พร้อมทั้งมีคำขอให้ศาลมีคำสั่งให้น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ตามความในมาตรา 82 วรรคสอง ด้วย

CBS หนุนนิสิตไทยสู่เวทีโลก แจ้งผล Final Round Thailand โครงการ The ACI Youth Leadership Summit 2023

ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร คณบดี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CBS) เผยว่า โครงการ The ACI Youth Leadership Summit 2023 ซึ่งCBS ร่วมกับ CREATIVE TALK เป็นเวทีระดับนานาชาติที่นิสิต จะได้มีประสบการณ์การนำเสนอไอเดีย ทักษะ ภายใต้แนวคิดการพัฒนาธุรกิจให้อยู่อย่างยั่งยืนซึ่งไม่ใช่เพียงการสร้างการรับรู้แต่ต้องปฏิบัติได้อย่างแท้จริง การทำธุรกิจในทุกวันนี้เราสามารถเริ่มจากการเอาปัญหาความยั่งยืนมาเป็นสารตั้งต้นในการทำธุรกิจได้ และการทำธุรกิจในยุคปัจจุบันผู้ประกอบการรุ่นใหม่ต้องมีความเข้าใจความยั่งยืนพร้อมๆไปกับการพัฒนาธุรกิจให้เติบโต 

ทั้งนี้ในหลักสูตรการเรียนการสอนของ CBS ให้ความสำคัญกับ ESG กรอบแนวคิดของความเติบโตยั่งยืนทางธุรกิจด้วย 3 หลัก คือ ธุรกิจที่สร้างความยั่งยืนในสิ่งแวดล้อม ธุรกิจที่สร้างความยั่งยืนใส่ใจรับผิดชอบสังคม และ ธุรกิจที่สร้างความยั่งยืนในการด้านธรรมาภิบาลและ SDGs หรือ Sustainable Development Goals จาก UN ซึ่งเป็นเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับโลก 

สำหรับรอบ Final Round Thailand ทีมชนะ 3 ทีมประกอบด้วย รางวัลชนะเลิศ ทีม  Beyond Consulting รางวัลรองชนะเลิศอันดับ1 ทีมminimax รางวัลรองชนะเลิศอันดับ2 ทีม W

ทีมผู้ชนะทั้ง 3 อันดับในโครงการจะได้รับการให้คำปรึกษาเพื่อพัฒนาแนวคิด และผลงานของทีมที่ชนะจะได้นำมาแสดงในการแข่งขันและการประชุมในครั้งต่อไป พร้อมทั้งเป็นทีมตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศที่ประเทศสิงคโปร์ในวันที่ 27 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน 2566 

"ชาติซ้าย-สเตฟาน ฟ็อกซ์" ปลื้มสหรัฐฯ ร่วมตอบรับ "มวยไทย" สู่เวทีโลก

หลังจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการจัดงานเทศกาลไทย ในกรุงวอชิงตัน SAWASDEE DC ที่เนชั่นแนล มอลล์ วอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา โดยได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติเข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง เพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์190 ปี ไทย-สหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ประเทศไทย วัฒนธรรมไทย และส่งเสริมซอฟท์เพาเวอร์ของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ภายใต้โครงการเชื่อมความสัมพันธ์ทางการทูตด้วยการแข่งขัน "กีฬามวยไทย" ซอฟท์เพาเวอร์สู่นานาชาติ โดยมี 5 หน่วยงานหลักร่วมกันรับผิดชอบโครงการได้แก่ สหพันธ์สมาคมกีฬามวยไทยนานาชาติ (IFMA), สมาคมกีฬามวยอาชีพแห่งประเทศไทย, กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ (NSDF), การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) และสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย กกท. นั้น


"ชาติซ้าย" นายสมชาติ เจริญวัชรวิทย์ นายกสมาคมกีฬามวยอาชีพแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ถือเป็นความสำเร็จอีกก้าวของกีฬามวยไทยที่ได้ไปเปิดตัวและโปรโมทเรื่องของมาตรฐานการจัดการแข่งขันต่อสายตาชาวต่างชาติ โดยเฉพาะที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ยิ่งการไปครั้งนี้ของคนไทยเป็นโอกาสครบรอบ 190 ปี แห่งความสัมพันธ์ระหว่างทางการทูตไทย-สหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงมิตรภาพระหว่างกัน และการดำเนินงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันมาอย่างยาวนานของ 2 ประเทศ แสดงให้เห็นว่าปัจจุบันมิตรภาพของทั้ง 2 ประเทศแน่นแฟ้นกันอย่างมาก

นายสมชาติ กล่าวต่อว่า ภาคภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้ร่วมทำงานกับ สหพันธ์สมาคมกีฬามวยไทยนานาชาติ (IFMA), กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ (NSDF), การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) และสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย กกท. เพื่อร่วมกันเผยแพร่ผลักดันกีฬามวยไทยก้าวไกลสู่เวทีโลกอันจะช่วยต่อยอดไปสู่เป้าหมายใหญ่ในการผลักดันกีฬามวยไทยสู่โอลิมปิกเกมส์ ฤดูร้อน ค.ศ.2028 ที่นครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา เวลานี้ชาวต่างชาติเห็นคุณค่าของกีฬามวไทยอย่างมาก ทุกๆ ครั้งที่ไปจัดการแข่งขันหรือโชว์ศิลปะแม่ไม้มวยไทยให้ชาวต่างชาติได้รับชมจะเห็นได้ว่าได้รับความสนใจอย่างคักคักจนทำให้มวยไทยประสบความสำเร็จเเป็นซอฟท์เพาเวอร์ชนิดหนึ่งของประเทศไทยตามนโยบายรัฐบาล 

ด้าน สเตฟาน ฟ็อกซ์ เลขาธิการสหพันธ์สมาคมกีฬามวยไทยนานาชาติ (IFMA) เปิดเผยว่า ประเทศไทย เป็นต้นกำเนิดของมวยไทยที่สามารถภูมิใจได้มากๆ สิ่งที่เริ่มขึ้นในประเทศไทยเมื่อ 30 ปีก่อน IFMA เป็นสหพันธ์กีฬาขนาดเล็ก แต่ตอนนี้มีประเทศสมาชิกเกือบ 151 ประเทศ และความนิยมมีทั่วโลก และก่อนหน้านี้ มวยไทยก็ได้บรรจุแข่งขันในยูโรเปี้ยนเกมส์ มาแล้ว ซึ่งนั่นพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นอีกขั้นในการก้าวไปสู่ความหวังในการบรรจุมวยไทยในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกเกมส์ สำหรับงานเทศกาลไทย ในกรุงวอชิงตัน SAWASDEE DC ในครั้งนี้ก็ถือเป็นความภาคภูมิใจของกีฬามวยไทย อย่างมาก เพราะว่าได้แสดงให้เห็นว่าประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา เห็นคุณค่าและความสำคัญกับกีฬามวยไทยเป็นอย่างมาก ในฐานะ IFMA ต้องขอขอบคุณทางประเทศเจ้าภาพ รวมทั้งองค์กรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง กกท., กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมทั้งรัฐบาลไทย ที่ได้ร่วมกันสนับสนันและผลักดันอย่างเต็มที่ ส่วนตัวเชื่อว่ามวยไทย จะมีความนิยยมและจะได้รับการตอบรับจากคนทั่วโลกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน

"นโยบายสำคัญของ IFMA ที่สำคัญคือเรื่องของความปลอดภัย สุขภาพของนักกีฬา เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับ IFMA จะต้องมีการต่อต้านการใช้สารต้องห้าม ความเท่าเทียมกันทางเพศซึ่งเป็นสิ่งที่สากลให้การยอมรับและปฏิบัติกัน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญมากๆ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ทำให้ IFMA เป็นองค์กรเดียวที่ได้รับการรับรองจากนานาชาติ คณะกรรมการโอลิมปิกสากล"