เงินบาทเปิด 32.35 บาทต่อดอลลาร์ เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ท่ามกลางความคาดหวังลดดอกเบี้ยเฟด ตลาดหุ้นสหรัฐฯฟื้นตัว

เงินบาทเปิด 32.35 บาทต่อดอลลาร์ เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ท่ามกลางความคาดหวังลดดอกเบี้ยเฟด ตลาดหุ้นสหรัฐฯฟื้นตัว

วันที่ 7 สิงหาคม 2568 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.31-32.41 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่าโดยรวมเงินดอลลาร์จะทยอยอ่อนค่าลง ตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ 2-3 ครั้ง ในปีนี้ (โอกาสลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ราว 43%) หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงนี้ เริ่มทยอยออกมาแย่กว่าคาด ขณะเดียวกัน บรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ก็เริ่มออกมาสนับสนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังราคาทองคำ (XAUUSD) เผชิญแรงกดดันและย่อตัวลง จากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน 

บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หลังรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของ Apple +5.1% ตอบรับข่าว Apple เตรียมประกาศข่าวการลงทุนขนานใหญ่ ส่งผลให้ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.73% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.06% แม้ตลาดหุ้นยุโรปจะได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มธนาคารและการเงิน ทว่า การปรับตัวลดลงหนักของบรรดาหุ้นกลุ่ม Healthcare โดยเฉพาะบรรดาบริษัทยาขนาดใหญ่ อย่าง Novo Nordisk -5.4% และความกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ กับ สวิซเซอร์แลนด์ ก็มีส่วนกดดันตลาดหุ้นยุโรปโดยรวม 

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แถวระดับ 4.20% แม้ผู้เล่นในตลาดจะยังคงคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดราว 2-3 ครั้งในปีนี้ และเกือบราว 3 ครั้ง ในปีนี้ ทว่า บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ก็มีส่วนกดดันไม่ให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องได้ สอดคล้องกับ มุมมองของเรา ที่ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังเสี่ยงเผชิญ Two-Way risk โดยมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หากตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หรือบรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง โดยเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ เนื่องจากเราคงคาดการณ์ว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง ตามการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง หลังผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้ง ของเฟดในปีนี้ (และยังมองว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยเกือบ 3 ครั้ง ในปีหน้า) ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลง สู่ระดับ 98.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.1-98.7 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้เงินดอลลาร์จะทยอยอ่อนค่าลง หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) มีจังหวะปรับตัวสูงขึ้น ทว่าบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินก็กดดันให้ ราคาทองคำย่อตัวลงสู่โซน 3,430-3,440 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง  

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า BOE อาจมีมติลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 4.00% ทว่า BOE อาจส่งสัญญาณชะลอการลดดอกเบี้ย เพื่อรอประเมินสถานการณ์ หลังอัตราเงินเฟ้อเริ่มมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ทว่าตลาดแรงงานส่งสัญญาณชะลอตัวลง

ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดการค้าระหว่างประเทศของจีน (Exports & Imports) ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งจะช่วยสะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ  และในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ ท่ามกลางความกังวลว่า ตลาดแรงงานสหรัฐฯ อาจชะลอตัวลงชัดเจน หลังรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ล่าสุด ออกมาแย่กว่าคาด

นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ส่วนในฝั่งไทย สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามเช่นกัน 


สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทนั้นยังคงมีกำลังอยู่ ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังบรรดาผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ 2-3 ครั้ง ในปีนี้ และอีกราว 3 ครั้ง ในปีหน้า อย่างไรก็ดี เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง หากบรรยกาศในตลาดการเงินอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง กดดันให้ ราคาทองคำไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ชัดเจน หรือมีจังหวะย่อตัวลง

ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทเสี่ยงเผชิญความผันผวน Two-Way risk (พร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง) ขึ้นกับการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด โดยในวันนี้ ควรจับตารายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) เพราะหากรายงานข้อมูลดังกล่าวยังคงออกมาสดใส ไม่ได้สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่แย่ลงชัดเจน เหมือนกับรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในสัปดาห์ก่อนหน้า ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งอาจช่วยชะลอการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์หรือยังพอช่วยให้เงินดอลลาร์แกว่งตัวในกรอบ Sideways เพื่อรอรับรู้รายงานข้อมูลใหม่ๆ เพิ่มเติมได้ 

ในเชิงเทคนิคัล เงินบาทยังคงมีโซนแนวรับแถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.10 บาทต่อดอลลาร์) ส่วนโซนแนวต้านได้ขยับลงมาแถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ และมีโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านถัดไป 

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน  มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.50 บาท/ดอลลาร์

#เงินบาท #เฟดลดดอกเบี้ย #ตลาดหุ้น #การเงินโลก #KrungthaiGLOBALMARKETS #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

 

หุ้นไทยปิดทะยาน 17.51 จุด วอลุ่ม 6.5 หมื่นล้าน รับแรงหนุน Fund Flow ไหลเข้าหลังคาดเฟดหั่นดอกเบี้ย

หุ้นไทยปิดทะยาน 17.51 จุด วอลุ่ม 6.5 หมื่นล้าน รับแรงหนุน Fund Flow ไหลเข้าหลังคาดเฟดหั่นดอกเบี้ย

วันที่ 6 ส.ค.68 SET ปิดที่ 1,264.47 จุด เพิ่มขึ้น 17.51 จุด (+1.40%) มูลค่าซื้อขาย 65,232.67 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับขึ้นได้ตลอดทั้งวัน โดยทำระดับสูงสุด 1,266.52 จุด ซึ่งทำนิวไฮในรอบ 6 เดือน และต่ำสุด 1,248.09 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 390 หลักทรัพย์ ลดลง 104 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 161 หลักทรัพย์

นายณรงค์เดช จันทรไพศาล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไอร่า กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยวันนี้ยังปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง และกระจายตัวมากขึ้นในกลุ่มแบงก์ หุ้น Big Cap ขณะที่ แรงซื้อหุ้น THAI มีส่วนดึงดัชนีขึ้นมาด้วย ปัจจัยหลักมาจากเม็ดเงิน Fund Flow ยังไหลเข้าตลาด Emerging ในเอเชีย หลังคาดการณ์แนวโน้มธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ปรับลดดอกเบี้ย ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงทั้งโลกอยู่ในภาวะ Risk On ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (bond Yield) ปรับตัวลง นอกจากนี้จากที่ไทยมีความชัดเจนเรื่องภาษีตอบโต้ของสหรัฐช่วยให้ภาพรวมฟื้นตัว และคาดการณ์กำไร (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นบางแห่งขึ้นมาทำนิวไฮไปแล้ว อาทิ เวียดนาม ฮ่องกง แต่หุ้นไทยเพิ่งเริ่มปรับขึ้น ขณะที่ Fund Flow ไหลเข้ามาเอเชียตั้งแต่เดือน ก.ค.และต่อเนื่องมาในเดือน ส.ค.

แนวโน้มในวันพรุ่งนี้คาดว่าจะปรับขึ้นได้ต่อ แต่อาจจะต้องระวังแรงขายทำกำไรสลับเข้ามาเพราะดัชนีขึ้นไปมากพอสมควร พร้อมให้แนวต้าน 1,273 จุด แนวรับที่ 1,250 จุด

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

THAI มูลค่าการซื้อขาย 6,665.51 ล้านบาท ปิดที่ 13.60 บาท เพิ่มขึ้น 1.60 บาท

BBL มูลค่าการซื้อขาย 4,003.29 ล้านบาท ปิดที่ 152.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท

KTB มูลค่าการซื้อขาย 2,951.28 ล้านบาท ปิดที่ 23.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท

KTC มูลค่าการซื้อขาย 2,642.43 ล้านบาท ปิดที่ 29.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท

TRUE มูลค่าการซื้อขาย 2,007.86 ล้านบาท ปิดที่ 11.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท

#หุ้นไทย #ตลาดหุ้น #ข่าววันนี้ #เฟดลดดอกเบี้ย #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้ #ภาษีทรัมป์

 

เงินบาทแข็งแตะ 32.30 บาท หลังดัชนีภาคบริการสหรัฐฯแผ่ว ดันราคาทองคำพุ่ง

เงินบาทแข็งแตะ 32.30 บาท หลังดัชนีภาคบริการสหรัฐฯแผ่ว ดันราคาทองคำพุ่ง

วันที่ 6 สิงหาคม 2568 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ทดสอบโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้ง (แกว่งตัวในกรอบ 32.30-32.48 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) ซึ่งสามารถปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้านระยะสั้น 3,380-3,390 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง หลังรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) ของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 50.1 จุด (สูงกว่า 50 จุด สะท้อนถึง ภาวะขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการบริการ) แย่กว่าที่ตลาดคาดไว้พอสมควร ทำให้ ผู้เล่นในตลาดยังคงมีความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทยังคงถูกชะลอไว้แถวโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม อาทิ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ (ภาษีนำเข้าสินค้าหมวดยาและ Semiconductor) รวมถึง การคัดเลือกเจ้าหน้าที่เฟดท่านใหม่ ในตำแหน่ง Board of Governor และจะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ FOMC ของเฟด เพื่อมาแทน Adriana Kugler (Board of Governor) ที่ได้ลาออกไป 

บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ ออกมาแย่กว่าคาด ขณะเดียวกัน รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนในช่วงนี้ ก็เริ่มสะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ มากขึ้น กดดันให้ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.49% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.15% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนในช่วงนี้ที่ส่วนใหญ่ออกมาสดใส ขณะเดียวกัน ความหวังการเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด ก็มีส่วนช่วยหนุนการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ระยะยาวฝั่งยุโรป ซึ่งส่งผลดีต่อบรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นยุโรปด้วยเช่นกัน  

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แถวระดับ 4.20% แม้จะมีจังหวะปรับตัวลดลงราว 3-4bps บ้าง จากรายงานข้อมูลดัชนี ISM Services PMI ล่าสุด ของสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด ทว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ยังไม่สามารถปรับตัวลดลงต่อเนื่องได้ หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจเลือกที่จะขายทำกำไรออกมาบ้าง ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม เพื่อประเมินแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้ เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังเสี่ยงเผชิญ Two-Way risk โดยมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หากตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม ซึ่งต้องจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งอาจมีการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายได้ โดยเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ เนื่องจากเราคงคาดการณ์ว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง ตามการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง กดดันโดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงมีความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และคาดหวังว่าเฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ราว 2-3 ครั้ง ในปีนี้ รวมถึงอีกเกือบ 3 ครั้ง ในปีหน้า ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลง สู่ระดับ 98.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.6-99.1 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) สามารถปรับตัวขึ้นสู่โซน 3,440 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง  

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางอินเดีย (RBI) โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า RBI อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.50% แต่ RBI อาจเริ่มส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นได้ ตามแนวโน้มการชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อ และแรงกดดันจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ทางฝั่งเวียดนาม ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนาม ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือน อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ยอดการค้าระหว่างประเทศ (Exports & Imports) เป็นต้น 

ส่วนในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกรกฎาคม ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยยังมีแนวโน้ม “ติดลบ” ต่อเนื่อง ที่ระดับ -0.5% ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงฐานราคาสินค้าและบริการในปีก่อนหน้าที่อยู่ในระดับสูง

ทางฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของยูโรโซน ในเดือนมิถุนายน เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะหลัง เริ่มออกมาแย่กว่าคาด ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ส่วนในฝั่งไทย สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามเช่นกัน 


สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทนั้นยังคงมีกำลังอยู่ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ ล่าสุด ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ 2-3 ครั้ง ในปีนี้ และอีกราว 3 ครั้ง ในปีหน้า ซึ่งส่งผลให้ เงินดอลลาร์ยังไม่สามารถพลิกกลับมารีบาวด์แข็งค่าขึ้นได้ นอกจากนี้ ในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจไม่ได้มีปัจจัยหนุนมากนัก เนื่องจาก รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่เหลืออยู่ อาจไม่สามารถทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์อาจพอได้แรงหนุนบ้าง หากรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ยังคงออกมาสดใส ไม่ได้สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่แย่ลงชัดเจน เหมือนกับรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในสัปดาห์ก่อนหน้า ทว่า รายงานข้อมูลดังกล่าวก็อาจยังไม่พอจะทำให้ ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่กำลังประเมินอยู่ โดยเรามองว่า อาจจะต้องรอรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะประธานเฟด Jerome Powell ถึงจะทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ได้อย่างชัดเจน (ทั้งปรับเพิ่มและปรับลด ความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด)

หากเงินดอลลาร์ยังคงเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม เราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เช่นกัน ทว่า ควรจับตาทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำประกอบด้วย เนื่องจากราคาทองคำ (XAUUSD) ได้รีบาวด์สูงขึ้นทดสอบโซนแนวต้านระยะสั้น โดยมีแนวต้านถัดไปตั้งแต่โซน 3,400 และ 3,430 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งจะเห็นว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด และหากบรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ก็อาจเป็นเรื่องยากที่จะเห็นราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนทะลุโซนแนวต้านดังกล่าวได้ชัดเจน ทำให้ เราประเมินว่า การแข็งค่าของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดเช่นกัน ตราบใดที่ราคาทองคำไม่ได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทะลุโซนแนวต้านที่ประเมินไว้ 

ในเชิงเทคนิคัล เงินบาทยังคงมีโซนแนวรับแถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.10 บาทต่อดอลลาร์) ส่วนโซนแนวต้านได้ขยับลงมาแถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ และมีโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านถัดไป 

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน  มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.50 บาท/ดอลลาร์

#เงินบาทวันนี้ #แนวโน้มเงินบาท #ราคาทองคำ #เฟดลดดอกเบี้ย #เศรษฐกิจสหรัฐ #ค่าเงิน #ตลาดเงิน #BondYield #KrungthaiGlobalMarkets #ข่าวเศรษฐกิจ

 

เงินบาทแข็งค่ารับดอลลาร์อ่อน หลังตัวเลขจ้างงานสหรัฐต่ำกว่าคาด จับตาเฟดจ่อหั่นดอกเบี้ย

เงินบาทแข็งค่ารับดอลลาร์อ่อน หลังตัวเลขจ้างงานสหรัฐต่ำกว่าคาด จับตาเฟดจ่อหั่นดอกเบี้ย

ค่าเงินบาทประจำวันที่ 4 สิงหาคม 2568

•กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.40-32.65บาท/ดอลลาร์

•เงินบาทกลับมาแข็งค่าเร็วจากดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า หลังจ้างงานนอกภาคเกษตรออกมาที่ 73k ต่ำกว่าที่ตลาดคาด และอัตราว่างงานสูงขึ้นไปที่ 4.2% ทำใหนักลงทุนมองว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีโอกาสลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ US Treasury yields ปรับลดลงแรง

•กรรมการธนาคารกลางสหรัฐ อาเดรียนา คูเกลอร์ ลาออกจากตำแหน่งในคณะกรรมการของ Fed

•นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สั่งให้เรือดำน้ำนิวเคลียร์สองลำไปประจำการ หลังคำกล่าวยั่วยุของอดีตประธานาธิบดีรัสเซีย เมดเวเดฟ

#ค่าเงินบาทวันนี้ #เศรษฐกิจโลก #เฟดลดดอกเบี้ย #ดอลลาร์อ่อน #เงินบาทแข็ง #ข่าวการเงิน #SCBMarketUpdate #วิเคราะห์เศรษฐกิจ


 

"วิจัยกรุงศรี" ชี้ความเสี่ยงจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ และเศรษฐกิจจีนกดดันการส่งออกไทย คาดเฟดลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้

วิจัยกรุงศรี ชี้ความเสี่ยงจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ และเศรษฐกิจจีนกดดันการส่งออกไทย และคาดเฟดลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้

วันที่ 15 ก.ค.68 วิจัยกรุงศรี ระบุว่า  

เศรษฐกิจโลก
ความเสี่ยงจากนโยบายการค้าสูงขึ้นอีกครั้งหลังทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศคู่ค้าสูงถึง 20-50% ขณะที่ภาวะอุปทานส่วนเกินกดดันเศรษฐกิจจีนต่อเนื่อง

สฟรัฐฯ 
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มชะลอตัวชัดเจนขึ้นใน 2H68 คาดหนุนเฟดปรับลดดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 2 ครั้งในปีนี้ ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสหรัฐฯ ลดลง 5,000 ราย สู่ระดับ 227,000 รายในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 5 กรกฎาคม ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม รายงานจาก ADP ระบุว่า ธุรกิจเอกชนลดการจ้างงานลงในเดือนมิถุนายน ซึ่งลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 สะท้อนภาพตลาดแรงงานที่เผชิญความไม่แน่นอน 

ความตึงเครียดทางการค้าสูงขึ้นหลังประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากกว่า 27 ประเทศ ในอัตรา 20–50% รวมถึงการปรับขึ้นภาษีนำเข้าทองแดงที่ 50% โดยจะมีผลในวันที่ 1 สิงหาคม นอกจากนี้ ยังมีแผนขึ้นภาษีนำเข้ายาในอัตราสูงถึง 200% ซึ่งอาจซ้ำเติมห่วงโซ่อุปทานและค่าครองชีพของผู้บริโภค ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปีนี้ท่ามกลางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวจากแรงกดดันด้านการค้า นโยบายจำกัดผู้อพยพ สภาพการเงินที่ตึงตัว และหนี้เอกชนที่สูง จากปัจจัยดังกล่าว วิจัยกรุงศรีคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 2-3 ครั้ง ในปีนี้

ญี่ปุ่น

คาด BOJ คงอัตราดอกเบี้ยจนถึงสิ้นปีภายใต้ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจที่สูงขึ้นและเงินเฟ้อที่มีทิศทางชะลอตัว ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) รายงานว่า ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นปรับลดราคารถยนต์ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายนลงถึง 19.4% YoY ซึ่งเป็นการปรับลดลงมากสุดนับตั้งแต่ปี 2559 สะท้อนว่าบริษัทญี่ปุ่นยอมลดกำไรเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน หลังสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่น 25% ตั้งแต่เดือนเมษายน

อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นมีแนวโน้มผ่อนคลายลงในครึ่งหลังของปีจากแรงหนุนของมาตรการภาครัฐ เช่น การระบายข้าวในสต็อกและเงินอุดหนุนพลังงาน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงภายนอกประเทศยังคงสูง โดยเฉพาะประเด็นความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐฯ หลังประธานาธิบดีทรัมป์ขู่ว่าจะเก็บภาษีนำเข้า 25% กับสินค้าเกษตรและยานยนต์จากญี่ปุ่นหากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าภายในวันที่ 1 สิงหาคม ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าวรวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มลดลง วิจัยกรุงศรีคาดว่า BOJ จะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมในระยะนี้ เพื่อประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไปจนถึงสิ้นปี 2568 นี้
 

จีน 

จีนเผชิญแรงกดดันจากภาวะอุปทานส่วนเกินอย่างต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิถุนายนยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 1% YoY นานติดต่อกัน 28 เดือน ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิตหดตัวแรงขึ้นจาก -3.3% เป็น -3.6% แรงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 สอดคล้องกับกำไรภาคอุตสาหกรรมซึ่งหดตัว -9.1% ในเดือนพฤษภาคมและ -1.1% ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่อยู่ในระดับต่ำและดัชนีราคาผู้ผลิตที่ลดลงต่อเนื่อง สะท้อนถึงปัญหาอุปทานส่วนเกินในภาคการผลิตและภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งยังคงฉุดรั้งภาคธุรกิจและเศรษฐกิจโดยรวม แม้รัฐบาลพยายามกระตุ้นอุปสงค์ผ่านมาตรการอุดหนุนการแลกซื้อสินค้าใหม่ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา วิจัยกรุงศรีประเมินว่าภาวะอุปทานส่วนเกินของจีนยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน และอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าที่ระดับอุปทานส่วนเกินจะไม่ส่งผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจ นอกจากนี้ หากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ กลับมารุนแรงขึ้นอีกครั้ง ภาคการส่งออกอาจขยายตัวชะลอลง ซึ่งจะซ้ำเติมปัญหาในภาคการผลิตที่กำลังพึ่งพาอุปสงค์ต่างประเทศมากขึ้นในจังหวะที่อุปสงค์ในประเทศยังอ่อนแอ

เศรษฐกิจไทย
การส่งออกของไทยเผชิญความเสี่ยงถูกสหรัฐฯเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูงถึง 36% หากการเจรจาไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าได้ทันวันที่ 1 สิงหาคมนี้

วิจัยกรุงศรีประเมินกรณีเลวร้ายหากสหรัฐฯเก็บภาษีนำเข้ากับไทยในอัตรา 36% มูลค่าการส่งออกจะหายไปกว่า 1.62 แสนล้านบาท และหากยกเว้นภาษีนำเข้าแก่สหรัฐฯ ไทยอาจเสี่ยงเกิดภาวะ Twin Influx ในวันที่ 7 กรกฏาคม ไทยได้รับจดหมายจากสหรัฐฯ แจ้งเตรียมเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตราสูงถึง 36% โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้  หากไม่มีข้อตกลงทางการค้าใหม่เกิดขึ้น ล่าสุดรัฐบาลไทยได้ยื่นข้อเสนอทางการค้าปรับปรุงเพิ่มเติม (ดังตาราง) หลังการเจรจารอบแรกไม่ประสบความความสำเร็จ รวมถึงเร่งขอเจรจาเพื่อต่อรองให้ได้อัตราภาษีที่ลดลงต่ำกว่า 36%

หากสินค้าส่งออกของไทยต้องถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูงถึง 36% ซึ่งนับเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูงในบรรดาประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ และสูงกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเวียดนามซึ่งสามารถเจรจาลดอัตราภาษีเหลือ 20% (และ 40% สำหรับสินค้าที่ต้องสงสัยว่าถูกส่งผ่าน)  ในกรณีเลวร้ายนี้วิจัยกรุงศรีประเมินว่ามูลค่าการส่งออกของไทยจะหายไปถึง 1.621 แสนล้านบาท โดยอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ  กลุ่มสิ่งทอ เครื่องหนังและรองเท้า อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ไฟฟ้า อาหารและเครื่องดื่ม ยางและพลาสติก

ส่วนกรณีหากไทยและสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงทางการค้าที่มีลักษณะคล้ายกับข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ กับเวียดนาม โดยที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตรา 20% ขณะที่ไทยยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เป็น 0% ผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอาจรุนแรงน้อยกว่ากรณีที่มีการเรียกเก็บภาษีที่ 36% ถึง 9.3 เท่า หรือคิดเป็นมูลค่าส่งออกที่หายไป 0.174 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม การยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ดังกล่าวอาจเป็นการแก้ปัญหาหนึ่งแต่จะสร้างอีกปัญหาตามมา โดยเฉพาะความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก จากแบบจำลองพบว่าในระยะยาวการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ อาจเพิ่มขึ้นถึง 27% หรือประมาณ 1.883 แสนล้านบาท โดยกลุ่มสินค้าที่มีความอ่อนไหว อาทิ กลุ่มสินค้าเกษตร และอาหารและเครื่องดื่ม อาจเผชิญกับการหลั่งไหลเข้าของสินค้าจากสหรัฐฯ ในอัตรากว่า 100% ขณะที่กลุ่มสินค้าอื่น ๆ เช่น ยานยนต์และอุปกรณ์ขนส่ง สิ่งทอ เครื่องหนังและรองเท้า ยางและพลาสติก ก็อาจมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นในระดับเลขสองหลักเช่นกัน

การเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯมากขึ้นเพื่อแลกกับการลดภาษีอาจนำไปสู่ภาวะ "Twin Influx" หรือ การไหลทะลักเข้าของสินค้าจากสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นพร้อมกับการไหลทะลักของสินค้าจีนเข้าสู่ไทย ในท้ายที่สุด ภาวะ "Twin Influx" อาจบั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขัน และส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตในประเทศ โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมที่มีการจ้างงานถึง 28.6% ของกำลังแรงงาน (ปี 2567) ทั้งนี้ ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่รุนแรงขึ้น ประเทศไทยอาจมีทางเลือกตอบโต้ที่จำกัด ดังนั้น จึงควรเร่งขยายตลาดและเจรจาการค้ากับประเทศอื่นๆมากขึ้น และหันมาแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างในระยะยาวอย่างจริงจัง เพื่อลดแรงกดดันจากนโยบายการค้าของประเทศแกนหลัก

#เศรษฐกิจโลก #สงครามการค้า #เฟดลดดอกเบี้ย #เศรษฐกิจจีน #ภาษีการค้า #ส่งออกไทย #เศรษฐกิจสหรัฐฯ #ภาวะอุปทานส่วนเกิน #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

หุ้นไทยปิดบวก 5.68 จุด วอลุ่ม 3.4 หมื่นล้าน เด้งขึ้นท้ายตลาดหลังรัฐบาลเดินต่อได้-เก็งเฟดลดดอกเบี้ย

หุ้นไทยปิดบวก 5.68 จุด วอลุ่ม 3.4 หมื่นล้าน เด้งขึ้นท้ายตลาดหลังรัฐบาลเดินต่อได้-เก็งเฟดลดดอกเบี้ย

วันที่ 2 ก.ค.68 SET ปิดที่ 1,115.69 จุด เพิ่มขึ้น 5.68 จุด (+0.51%) มูลค่าซื้อขาย 34,958.34 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ช่วงเช้าแกว่งแดนลบก่อนดีดขึ้นมาแรงช่วงท้ายมาปิดที่ระดับสูงสุดของวัน 1,115.69 จุด หลังจากลงไปทำระดับต่ำสุด 1,103.99 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 269 หลักทรัพย์ ลดลง 195 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 179 หลักทรัพย์

นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ดีดขึ้นมาได้เล็กน้อย โดยมองว่าอยู่ในจุดที่ไม่มีแรงกดดันใหม่เข้ามาเพิ่ม หลังสถานการณ์การเมืองมีความชัดเจนมากขึ้นทำให้ตลาดคลายความกังวล เมื่อภาพรวมประเทศเดินหน้าต่อได้แม้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ต้องหยุดปฎิบัติหน้าที่นายกรัฐมตรี แต่ก็มีการแต่งตั้งผู้รักษาการนายกฯ ทำให้การออกมาตรการภาครัฐและการพิจารณางบประมาณปี 69 น่าจะไม่ติดขัด อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามการวินิจฉัยข้อกล่าวหาของ น.ส.แพทองธารต่อไป ซึ่งอาจจะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน ตลาดวันนี้ยังได้รับแรงหนุนบางส่วนจากการเจรจาการค้าสหรัฐเดินหน้าต่อ รวมถึงปัจจัยเชิงบวกจากตลาดภูมิภาคที่ยังอยู่ในระดับน่าพอใจ รวมถึง valuation ของหุ้นไทยไม่แพง และนักลงทุนคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ยหลังจากเงินเฟ้อสหรัฐไม่สูงมาก และตัวเลขเศรษฐกิจยังต่ำกว่าคาด

แนวโน้มวันพรุ่งนี้คาดตลาดแกว่งในกรอบรอปัจจัยใหม่ ๆ หลังรับรู้การเมืองและการเจรจาการค้าไปแล้ว แนะติดตามรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะการจ้างงาน และความคืบหน้าการเจรจาการค้าสหรัฐ-ไทย และประเทศคู่ค้าอื่นๆต่อไป โดยให้กรอบแนวต้าน 1,125 จุด แนวรับ 1,105 จุด

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

KTC มูลค่าการซื้อขาย 3,105.28 ล้านบาท ปิดที่ 25.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.10 บาท

ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 2,223.19 ล้านบาท ปิดที่ 281.00 บาท ลดลง 2.00 บาท

SCB มูลค่าการซื้อขาย 2,213.81 ล้านบาท ปิดที่ 120.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท

KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,994.27 ล้านบาท ปิดที่ 155.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท

DELTA มูลค่าการซื้อขาย 1,567.36 ล้านบาท ปิดที่ 105.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท

#หุ้นไทย #ข่าววันนี้ #ภาษีทรัมป์ #เฟดลดดอกเบี้ย #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

หุ้นไทยปิดเช้าบวก 3.19 จุด วอลุ่ม 2.4 หมื่นล้าน คาดหวังเฟดลดดอกเบี้ย แรงซื้อ ADVANC-TRUE-DELTA หนุน

หุ้นไทยปิดเช้าบวก 3.19 จุด วอลุ่ม 2.4 หมื่นล้าน คาดหวังเฟดลดดอกเบี้ย แรงซื้อ ADVANC-TRUE-DELTA หนุน

วันที่ 30 มิถุนายน 2568 SET ปิดเช้าที่ 1,085.61 จุด เพิ่มขึ้น 3.19 จุด (+0.29%) มูลค่าซื้อขาย 24,730 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นเช้านี้ ดัชนีฟื้นตัว ก่อนค่อย ๆ ปรับตัวลงมา โดยทำระดับสูงสุด 1,094.77 จุด และต่ำสุด 1,084.88 จุด

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน (บลป.) เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้รีบาวด์ขึ้นอย่างจำกัด หลังปรับลงมามากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยตลาดยังคงคาดหวังเรื่องธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ดัชนีได้รับแรงหนุนบางส่วนจากหุ้นรายตัวเช่นกัน ตั้งแต่ ADVANC-TRUE หลังทั้งสองต่างชนะประมูลคลื่นความถี่ใหม่เพิ่มเติม และ DELTA ที่ปรับตัวขึ้นตามหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ขณะที่ หุ้นกลุ่มธนาคารได้ปรับตัวลงเช้านี้

แนวโน้มภาคบ่าย ยังไม่มีปัจจัยใหม่ให้ติดตาม แต่ยังมีความกังวลต่อการเมืองภายในประเทศอยู่ โดยถึงแม้การชุมนุมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาจะไม่ได้มีความรุนแรงหรือการปักหลักระยะยาว แต่ในวันพรุ่งนี้ (1 ก.ค.) แนะนำให้ติดตามศาลรัฐธรรมนูญอย่างใกล้ชิด ว่าจะรับพิจารณาคำร้องหรือไม่ จากกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โดยกลุ่มผู้ชุมนุมอาจจะมีการยกระดับขึ้น ถ้าหากศาลฯ ไม่รับคำร้อง หรือนายกรัฐมนตรี ได้รับคำสั่งหยุดปฎิบัติหน้าที่ แต่ไม่ลาออกจากตำแหน่ง โดยให้แนวต้าน 1,095 - 1,100 จุด และแนวรับ 1,075 - 1,085 จุด

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

KTC มูลค่าการซื้อขาย 3,188.65 ล้านบาท ปิดที่ 23.80 บาท ลดลง 0.60 บาท

ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 2,089.72 ล้านบาท ปิดที่ 274.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท

TRUE มูลค่าการซื้อขาย 1,551.61 ล้านบาท ปิดที่ 11.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท

DELTA มูลค่าการซื้อขาย 1,053.30 ล้านบาท ปิดที่ 96.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท

KBANK มูลค่าการซื้อขาย 841.30 ล้านบาท ปิดที่ 153.00 บาท ลดลง 1.00 บาท

#หุ้นไทย #ข่าววันนี้ #SET #เฟดลดดอกเบี้ย #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ศาลรัฐธรรมนูญ

 

 

หุ้นไทยปิดบวก 6.45 จุด วอลุ่ม 4.1 หมื่นล้านตาม ตปท. คาดหวังเฟดลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น แรงซื้อ Big Cap-บาทแข็งค่าหนุน

SET ปิดวันนี้Z7 r"8"Xที่ 1,376.37 จุด เพิ่มขึ้น 6.45 จุด (+0.47%) มูลค่าซื้อขาย 41,707.49 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับตัวขึ้นเคลื่อนไหวแดนบวกตลอดทั้งวัน และลดช่วงบวกท้ายตลาด โดยดัชนีทำจุดสูงสุด 1,384.74 จุด ทำจุดต่ำสุดที่ 1,373.98 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 290 หลักทรัพย์ ลดลง 186 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 182 หลักทรัพย์

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวขึ้นตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ รับความคาดหวังการคาดการณ์โอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ยสหรัฐเร็วขึ้นมาในเดือนก.ย.นี้ จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ในช่วงเดือนพ.ย. หลังอัตรการว่างงานเดือนเม.ย.ของสหรัฐออกมาสูงกว่าคาด ทำให้เป็นปัจจัยหนุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง และคลายแรงกดดันจากที่ในช่วงที่ผ่านมาได้รับแรงกดดันจากการที่คาดการณ์ว่าเฟดจะยังตรึงดอกเบี้ยสูงยาวนานต่อไป ขณะเดียวกันยังมีแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่เข้ามาหนุน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มสื่อสาร โดยเฉพาะ TRUE ที่รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/67 ออกมาดีกว่าคาด และแรงซื้อหุ้น DELTA ที่เข้ามาช่วยหนุนดัชนี ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมา ทำให้มีเม็ดเงินต่างชาติกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทย

โดยแนวโน้มพรุ่งนี้คาดว่าแกว่งตัวไซด์เวย์ หลังจากที่ตลาดรับทราบปัจจัยสำคัญต่างไปค่อนข้างมากแล้ว และยังคงต้องติดตามการรายงานผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนในประเทศต่อ โดยให้แนวต้าน 1,380-1,385 จุด แนวรับ 1,360-1,365 จุด

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

TRUE มูลค่าการซื้อขาย 2,425.84 ล้านบาท ปิดที่ 8.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.35 บาท

CPALL (XD) มูลค่าการซื้อขาย 1,883.52 ล้านบาท ปิดที่ 58.25 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง

BDMS มูลค่าการซื้อขาย 1,701.91 ล้านบาท ปิดที่ 29.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท

DELTA มูลค่าการซื้อขาย 1,610.32 ล้านบาท ปิดที่ 73.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท

PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,562.64 ล้านบาท ปิดที่ 153.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท

#หุ้นไทย #เฟดลดดอกเบี้ย #ข่าววันนี้ #ค่าเงินบาท