GROHE Aqua เทคโนโลยีอัจฉริยะการอาบน้ำจาก GROHE

GROHE ทุกความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือการตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้อย่างไร้รอยต่อ ยกระดับประสบการณ์การใช้งาน และถ่ายทอดแนวคิด “Pure Freude an Wasser” หรือ “ความรื่นรมย์ในการใช้น้ำ” ผ่านแนวทางที่ให้ความสำคัญกับผู้บริโภค โดยขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเชิงลึกและประสบการณ์จริงจากผู้ใช้

ด้วยแนวทางดังกล่าว GROHE จึงได้พัฒนานวัตกรรมล้ำสมัยและเทคโนโลยีที่เป็นเอกสิทธิ์ที่ทำให้แบรนด์ครองความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม เพื่อส่งมอบประโยชน์ที่จับต้องได้ ยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างสรรค์ประสบการณ์แห่งสายน้ำในทุก ๆ วัน ผ่านเทคโนโลยีอัจฉริยะที่เป็นหัวใจสำคัญชื่อว่า GROHE Aqua Intelligence
GROHE Aqua Intelligence คือนิยามของนวัตกรรมที่ออกแบบเพื่อการใช้งานจริงและยกระดับประสบการณ์การอาบน้ำในทุกวัน ซึ่งรวมเอาความแม่นยำของวิศวกรรมเยอรมัน การออกแบบระดับรางวัล และแนวทางรักษ์โลกเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืนในทุกจุดสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมที่นุ่มนวล อุณหภูมิที่แม่นยำ ความปลอดภัยที่ไว้วางใจได้ หรือการกระจายสายน้ำที่สมดุลลงตัว ผลิตภัณฑ์ของ GROHE ทุกชิ้นจึงถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับกิจวัตรประจำวันให้กลายเป็นช่วงเวลาแห่งความสงบและความหรูหราอย่างแท้จริง เพื่อให้คุณได้ “เปล่งประกายความสุขในแบบของคุณ” อย่างเต็มที่ มาดูกันว่า GROHE Aqua Intelligence ทำให้คำมั่นสัญญานี้เป็นจริงได้อย่างไร

GROHE SmartControl
สัมผัสประสบการณ์การอาบน้ำที่ตอบโจทย์เฉพาะตัว ด้วย SmartControl ระบบควบคุมน้ำอัจฉริยะที่มาพร้อมอินเทอร์เฟซแบบกดและหมุนที่ใช้งานง่าย พร้อมฟังก์ชันจดจำการตั้งค่าที่คุณโปรดปราน ช่วยให้คุณกำหนดปริมาณน้ำล่วงหน้าได้ตามต้องการ สามารถสลับรูปแบบสายน้ำได้อย่างราบรื่น และเปลี่ยนจากฝักบัวเรนชาวเวอร์เป็นฝักบัวอาบน้ำได้อย่างง่ายดายในจังหวะเดียว มอบประสบการณ์การอาบน้ำที่ปรับให้ตรงกับอารมณ์ของคุณได้ในทุกวัน

GROHE TurboStat
TurboStat เทคโนโลยีควบคุมอุณหภูมิน้ำด้วยความแม่นยำสูง ที่มาพร้อมเทอร์โมเอเลเมนต์ (Thermo-Element) ซึ่งตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของแรงดันน้ำได้ภายในเวลาเพียง 0.3 วินาที จึงช่วยรักษาอุณหภูมิน้ำของคุณให้คงที่ คุณจะไม่เจอความเย็นเฉียบหรือความร้อนลวกกะทันหัน ไม่ว่าคุณจะปรับสายน้ำจากละอองอุ่นที่ผ่อนคลายไปสู่สายน้ำที่ให้ความสดชื่น TurboStat จะช่วยรักษาอุณหภูมิที่คุณตั้งไว้ให้คงที่ตลอดช่วงเวลาการอาบน้ำ มอบความสบายใจทุกครั้งให้กับคุณ

GROHE CoolTouch
ด้วยนวัตกรรมช่องระบายความร้อนภายในที่ออกแบบมาอย่างชาญฉลาด CoolTouch ช่วยให้พื้นผิวด้านนอกของตัวควบคุมน้ำอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม ปลอดภัยแม้ใช้น้ำร้อน ช่วยป้องกันการสัมผัสที่อาจก่อให้เกิดอันตรายโดยไม่ตั้งใจ มอบความอุ่นใจให้ทุกคนในครอบครัว และตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัย ให้คุณดื่มด่ำกับความสุขของการอาบน้ำได้อย่างเต็มที่ในทุกวัน

GROHE DreamSpray
DreamSpray คือเทคโนโลยีฝักบัวอัจฉริยะที่ออกแบบมาเพื่อกระจายน้ำจากทุกหัวฉีดอย่างสม่ำเสมอและสมดุล เพื่อมอบประสบการณ์สายน้ำที่นุ่มนวลและแรงดันน้ำที่สม่ำเสมอตลอดการใช้งาน ไม่ว่าคุณจะต้องการละอองเบา ๆ ยามเช้าเพื่อปลุกความสดชื่น หรือสายน้ำอันทรงพลังยามเย็นเพื่อคลายความเหนื่อยล้า DreamSpray จะเปลี่ยนทุกหยดน้ำให้กลายเป็นช่วงเวลาแห่งความรื่นรมย์อย่างแท้จริง

GROHE SilkMove
ด้วยกลไกคาร์ทริดจ์ (Cartridge) ที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนถึง 33 ชิ้น พร้อมแผ่นเซรามิกอัลลอยด์คู่และสารหล่อลื่นในตัว SilkMove มอบการควบคุมปริมาณและอุณหภูมิน้ำได้อย่างลื่นไหลและแม่นยำ แม้การปรับเพียงเล็กน้อยก็ให้สัมผัสที่นุ่มนวลต่อเนื่องตลอดอายุการใช้งาน มอบประสบการณ์ที่เหนือชั้นในทุกครั้งที่เปิดน้ำ

สัมผัส GROHE Aqua Intelligence และผลิตภัณฑ์ GROHE และ GROHE SPA พร้อมค้นพบความพิถีพิถันแห่งวิศวกรรมเยอรมันและงานดีไซน์ระดับรางวัลได้แล้ววันนี้ที่ LIXIL Experience Center อาคาร Capital Tower, All Seasons Place ถ. วิทยุ กรุงเทพฯ ได้ทุกวันจันทร์ - เสาร์ เวลา 09:00 - 18:00 น. โทร. 065-350-4661 

พาออน เซเว่น เอท ครีมปิดผมขาวเทคโนโลยีจากประเทศญี่ปุ่น  

วันที่ 16 กันยายน 2568 ย้อนวัยให้ผมสวยและดูดีเป็นธรรมชาติด้วยผลิตภัณฑ์ พาออน เซเว่น เอท (Paon Seven-eight) ครีมเปลี่ยนสีผม และครีมปิดผมขาวเทคโนโลยีจากญี่ปุ่น ที่สามารถทำเองได้อย่างง่ายดาย รวดเร็ว ภายใน 7-8 นาที ปิดผมขาวได้เนียนสนิทเป็นธรรมชาติ สีไม่หลุดจนกว่าผมขาวจะงอกใหม่ ไม่มีกลิ่นฉุนและไม่ทำให้ผมเสีย เพราะปราศจากสารแอมโมเนีย ที่เป็นตัวการทำลายเส้นผม มีทั้งหมด 4 เฉดสี น้ำตาลสว่าง (light Brown) น้ำตาลธรรมชาติ (Natural Brown) น้ำตาลเข้มประกายดำ (Darkest Brown) และ ดำธรรมชาติ (Natural Black) จำหน่าย 2 รูปแบบ แบบ Regular ราคา 250 บาท ( มีอุปกรณ์ หวีแปรง และ หวีขนาดเล็ก ) และ แบบRefill ราคา 185 บาท ( ไม่มีอุปกรณ์ )

สั่งซื้อสินค้าได้ที่ The Mall , Siam Takashimaya , Tsuruha , DONKI , Lotus , SAHA Lawson , Top market , Villa Market , กลุ่มสหกรณ์ กรุงเทพ และช่องทางออนไลน์ Facebook, Lazada , Shopee,Tiktok : OCC Beauty House Shop

 

บิทคับ เอ็กซ์เชนจ์ รับโล่เกียรติคุณ บก.ปอท. ร่วมเดินหน้าต่อต้านอาชญากรรมเทคโนโลยี

วันที่่ 8 กันายน 2568 นายอรรถกฤต ชิมผลาพิบูลย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด และพนักงานบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ผู้ให้บริการ Bitkub Exchange ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำในไทย เข้ารับมอบโล่เกียรติคุณและประกาศนียบัตรจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ในพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนา บก.ปอท. ครบรอบปีที่ 16 เพื่อเชิดชูเกียรติให้แก่หน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 ณ อาคารกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กรุงเทพฯ

นายอรรถกฤต ชิมผลาพิบูลย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด กล่าวว่า Bitkub Exchange ให้ความร่วมมือและสนับสนุนมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีกับ บก.ปอท. มาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการจัดทำแคมเปญ “บิทคับไม่มีมอม้า” ในช่วงที่ผ่านมา เพื่อรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนตื่นตัวต่อภัยบัญชีม้า ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญที่มิจฉาชีพมักใช้ในการก่ออาชญากรรมไซเบอร์ โดยการได้รับมอบโล่ในครั้งนี้สะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างบิทคับและหน่วยงานภาครัฐในการสกัดกั้นและป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัยและยั่งยืน

 

ทั้งนี้ Bitkub Exchange ยังคงให้ความสำคัญสูงสุดต่อการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและสินทรัพย์ดิจิทัลของลูกค้า โดยมุ่งพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยและยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้นอยู่เสมอ ซึ่งล่าสุดได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย SOC 2 Type 1 (ประเภทที่ 1) จากสถาบันผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งอเมริกา (American Institute of Certified Public Accountants: AICPA) นอกจากนี้ ยังมุ่งดำเนินโครงการรณรงค์เชิงสร้างสรรค์เพื่อกระตุ้นการตระหนักรู้ด้านความปลอดภัยไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทยเติบโตควบคู่ไปกับมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างมั่นคง

ซีเนียร์ คอม เปิดตัว “H-Meter Capital” ปฏิวัติวงการเช่าซื้อไทย ผู้นำด้านแพลตฟอร์มสินเชื่อดิจิทัล

“ซีเนียร์ คอม” เปิดตัว “H-Meter Capital” ชูเทคโนโลยีปฏิวัติวงการเช่าซื้อไทย ขับเคลื่อนสู่การเป็นผู้นำด้านแพลตฟอร์มสินเชื่อดิจิทัล โดย เป็นระบบปฏิบัติการธุรกิจเช่าซื้อ-ลีสซิ่งแบบครบวงจร รับมือ พ.ร.ฎ. ใหม่ ส่งรายงาน ธปท. ได้อย่างรวดเร็ว-แม่นยำ ย้ำ “ซีเนียร์ คอม“ มุ่งพัฒนาเพื่อคนไทย มั่นใจช่วยลดหนี้เสียครัวเรือน ยกระดับความโปร่งใสธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ

วันที่ 28 สิงหาคม 2568 บริษัท ซีเนียร์ คอม จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์และที่ปรึกษาด้านระบบสินเชื่อเช่าซื้อและบริหารจัดการดีลเลอร์ยานยนต์มายาวนานกว่า 33 ปี ประกาศเปิดตัวแพลตฟอร์มสินเชื่อดิจิทัลครบวงจร “H-Meter Capital Experience Version BOT Comply” อย่างเป็นทางการ ชูจุดเด่นเป็นเครื่องมือสำคัญช่วยให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบการ สามารถปรับตัวและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ใหม่ของพระราชบัญญัติการกำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อที่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2568 ได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ในฐานะบริษัทซอฟต์แวร์ไทยหวังใช้เทคโนโลยียกระดับมาตรฐานและความโปร่งใสของธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ สร้างความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภค และช่วยลดภาระหนี้ครัวเรือนในภาพรวมได้

นางสาวสุพนิต อึ่งอารี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (COO) บริษัท ซีเนียร์ คอม จำกัด กล่าวถึงวิกฤติหนี้ครัวเรือนไทยว่า ปัจจุบันหนี้ครัวเรือนไทยอยู่ในระดับ 87.4% ของ GDP ซึ่งถือเป็นหนึ่งในความเสี่ยงสำคัญต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจเช่าซื้อ-ลีสซิ่ง ที่มีสัดส่วนของหนี้ครัวเรือนกว่า 10% หรือมูลค่าถึง 1.6 ล้านล้านบาท

"ปัญหาหลักที่เราพบคือ ความรู้ความเข้าใจด้านการเงิน (Financial Literacy) ของผู้บริโภคในไทยโดยเฉพาะเรื่องเช่าซื้อยังไม่เพียงพอ เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ มักเข้าใจเพียงรายละเอียดพื้นฐาน เช่น ค่างวดที่ต้องชำระ อัตราดอกเบี้ย แต่จะละเลยข้อกำหนดแฝงในสัญญา สิทธิ์ และขั้นตอนเมื่อถูกยึดทรัพย์ รายละเอียดประกันภัยและค่าบริการเสริม รวมถึงเงื่อนไขปิดสัญญาก่อนกำหนด ดังนั้นการเข้ามาควบคุมดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างเสถียรภาพและปกป้องสิทธิของลูกหนี้“นางสาวสุพนิต กล่าว
 
ดังนั้น บริษัท จึงเปิดตัว H-Meter Capital: การปฏิวัติระบบเช่าซื้อ-ลีสซิ่ง ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้สถาบันการเงินสามารถปรับตัวได้ไวที่สุด และเริ่มต้นใช้งานได้ทันกับกำหนดการประกาศใช้ พ.ร.ฎ. เช่าซื้อ-ลีสซิ่ง ด้วยการทำงานแบบครบวงจร ใช้ได้ทั้งกลุ่มรายย่อยและรายใหญ่ สามารถบริหารจัดการสินเชื่อได้อย่างโปร่งใสและเป็นธรรม ซึ่งตอบโจทย์มาตรฐานของ ธปท. ได้อย่างสมบูรณ์
 
“สำหรับ แพลตฟอร์ม H-Meter Capital ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยทีมงานคนไทยเพื่อธุรกิจไทยโดยเฉพาะ ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานานกว่า 33 ปี ทำให้เข้าใจถึงความต้องการและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจอย่างลึกซึ้ง เพราะ H-Meter Capital ถูกออกแบบมาเป็น Turnkey Solution ที่ครอบคลุมการทำงานตั้งแต่การยืนยันตัวตน การตรวจสอบเครดิต การประเมินความเสี่ยง การสร้างใบคำขอสินเชื่อ การทำสัญญา การบริหารจัดการรายการชำระเงิน ไปจนถึงการติดตามหนี้" นางสาวสุพนิต กล่าว

ทั้งนี้ ไฮไลท์เทคโนโลยี H-Meter Capital ได้แก่ ระบบยืนยันตัวตนดิจิทัล (E-KYC) และ NDID เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ รวมทั้งเป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการช่วยประมวลผลและจัดทำเอกสารได้อย่างแม่นยำ รวมถึงการปรับเงื่อนไขสินเชื่อให้เหมาะสมกับลูกหนี้แต่ละราย

นอกจากนี้ ยังมีการคำนวณที่โปร่งใส โดยคำนวณยอดปิดบัญชีพร้อมอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรมตามสัญญา ทำให้ผู้ประกอบการสามารถปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของ พ.ร.ฎ. ได้อย่างไม่ยุ่งยากทั้งยังมี Dashboard สำหรับผู้บริหาร แสดงภาพรวมธุรกิจแบบ Real-Time วิเคราะห์ข้อมูล พยากรณ์กระแสเงินสดจากการรับชำระ อย่างไรก็ตาม อีกทั้งยังมีประโยชน์สำหรับทุกภาคส่วน เพราะระบบ Turnkey ที่เหนือกว่า

ขณะที่มุมมองของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่นั้น จะมีระบบที่ครบวงจรและมีประสิทธิภาพสูง พร้อมทีมงานมากประสบการณ์ช่วยบริหารจัดการการย้ายข้อมูลเก่าขึ้นระบบใหม่ได้ครบถ้วน พร้อมดำเนินงานต่อด้วยการออกแบบการ cut-over ที่มี downtime น้อยที่สุด เพื่อช่วยบริหารจัดการพอร์ตสินเชื่อขนาดใหญ่ได้อย่างราบรื่น ลดขั้นตอนร่างเอกสาร ส่งมอบรายงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

ส่วนด้านผู้ประกอบการรายย่อย จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการทำงาน เข้าถึงระบบมาตรฐานสูงในราคาที่เข้าถึงได้ ช่วยให้แข่งขันในตลาดได้อย่างเท่าเทียม และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร

ขณะที่ด้านมุมมองผู้บริโภค ต้องมุ่งเน้นเรื่องความโปร่งใสและเป็นธรรม โดยระบบที่ใช้ AI จะช่วยในการปรับเงื่อนไข โปรโมชั่นและคำนวณอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม ทำให้ผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรมและเข้าใจในรายละเอียดสัญญาอย่างชัดเจน

อีกทั้งยังช่วยลดภาระหนี้ ด้วยการคำนวณที่แม่นยำและเป็นธรรม ผู้บริโภคสามารถบริหารจัดการหนี้สินได้ดีขึ้น ลดโอกาสในการเกิดปัญหาหนี้เสียในระยะยาว
 
นางสาวสุพนิต กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน H-Meter Capital เริ่มให้บริการแก่บริษัทชั้นนำในวงการสินเชื่อเช่าซื้อและลีสซิ่งหลายแห่งมาระยะหนึ่งแล้ว โดยมีบัญชีผู้ใช้งานระบบ (concurrent user) กว่า 10,000 คน ปริมาณธุรกรรมเฉลี่ยกว่า 5 ล้าน รายการต่อเดือน และมีมูลค่าพอร์ตสินเชื่อที่บริหารจัดการผ่านระบบสูงกว่า 10,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานได้อย่างชัดเจน

ด้านแผนการต่อยอดเทคโนโลยีการเงินเพื่อขยายธุรกิจในอนาคต นางสุพิชชา อึงอารี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) กล่าวว่า แผนการขยายบริการของ H-Meter Capital ไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ ว่า “ระบบของ H-Meter Capital เป็นโซลูชันจัดการผลิตภัณฑ์การเงินที่เราออกแบบและพัฒนามาเพื่อลดความซับซ้อน และเร่งกระบวนการให้ผู้ประกอบการทุกขนาด ไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่หรือรายย่อย มีความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจและมีความโปร่งใส เป็นธรรมต่อผู้บริโภค ซึ่งการขยายการใช้งานจะเพิ่มมูลค่าทางการเงินในประเทศได้มาก 

“จากความสำเร็จในปัจจุบันซีเนียร์ คอม ยังคงเดินหน้าขยายศักยภาพของแพลตฟอร์ม H-Meter Capital สู่กลุ่มธุรกิจสินเชื่ออื่นๆ ได้แก่ Locked-Phone Financing, Agricultural Machinery Financing และ Home Loans สำหรับผู้ให้สินเชื่อที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Bank Lender) เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระดับครัวเรือนและสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน”นางสุพิชชา กล่าว 

ทรู x แพทยสภา เปิดเวทีคิดใหม่: เมื่อเทคโนโลยีเชื่อมโยงการแพทย์ เพื่ออนาคตใหม่ระบบสุขภาพไทยที่ก้าวไกล

วันที่  22 สิงหาคม 2568 แพทยสภา ร่วมกับ ทรู คอร์ปอเรชั่น ทรู ดิจิทัล เอ้ก ดิจิทัล และทรูไอดีซี จัดเวที “Reimagine Healthcare: Connected Health, Empowered Lives” เปิดพื้นที่ทรู ดิจิทัล พาร์ค แลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับแพทยสภา นักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรธรรมาภิบาลทางการแพทย์ ปธพ. รุ่นที่ 11 (ปธพ. 11) และหลักสูตรประกาศนียบัตรผู้นำทางการแพทย์ ปนพ. รุ่นที่ 2 แพทยสภา สถาบันมหิตลาธิเบศร และบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อต่อยอดแนวคิดสำคัญด้านการแพทย์สมัยใหม่ และบทบาทของเทคโนโลยีดิจิทัลครบวงจรจากทรู และบริษัทในเครือที่สามารถเข้ามามีส่วนร่วมขับเคลื่อนระบบการแพทย์และสาธารณสุข ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างยั่งยืน ณ แกรนด์ฮอลล์ ทรู ดิจิทัล พาร์ค (เวสต์)

“สุขภาพไทย” ไม่ใช่แค่ทันโลก แต่ต้องก้าวนำอนาคตไปด้วยกัน

งานในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก พลอากาศเอก นายแพทย์อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภาและผู้อำนวยการสถาบันมหิตลาธิเบศร เป็นประธานในงาน ซึ่งได้กล่าวถึง “อนาคตของระบบสุขภาพไทย ในยุคดิจิทัล” ว่า “คลื่นลูกใหญ่” ของเทคโนโลยี กำลัง “เขียนนิยามใหม่” ของการแพทย์ วันนี้ หมอต้องปรับตัว เปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้รักษา” เป็น “นักเชื่อมโยง” ที่เชื่อมผู้คน เชื่อมข้อมูล เชื่อมเทคโนโลยี เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างระบบสุขภาพที่ดีกว่าเดิม รู้จักใช้ข้อมูลที่มีอยู่มหาศาลอย่างมีคุณค่า เปิดใจใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่กระจุกตัว เพื่อส่งต่อไปถึงประชาชนทุกคน ไปจนถึงบนอุปกรณ์ที่เทคโนโลยีเข้าถึง ซึ่งเวทีนี้ เปรียบเสมือนห้องทดลองความคิดของอนาคตที่ทุกคนได้แลกเปลี่ยน มุมมอง ประสบการณ์ และต่อยอดกัน”

“3 C ที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนการแพทย์ไปข้างหน้า ได้แก่ 1. Connect – เชื่อมความรู้ เทคโนโลยี และจิตใจเข้าสู่การพัฒนาระบบ 2. Create – สร้างสรรค์ กล้าคิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อประชาชนที่เจ็บป่วยและมีสุขภาพที่ดีขึ้น และ 3. Collaborate – ร่วมมือกันทั้งแพทย์และบุคลากรสาขาอื่น เมื่อ คน + แพทย์ + เทคโนโลยี มาบรรจบกัน ประเทศไทยจะไม่เพียงมีระบบสุขภาพที่มั่นคง แต่ทันสมัย แข็งแรง และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นพ.อิทธพร กล่าวสรุป

ถอดบทเรียนโมเดลสุขภาพดิจิทัลจากนอร์เวย์ สู่โอกาสใหม่ของสาธารณสุขไทย

นายซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ถ่ายทอดประสบการณ์จากนอร์เวย์ ภายใต้หัวข้อ “Norway’s Health Care Industry and Leadership Vision” โดยชี้ให้เห็นถึงระบบสาธารณสุขในนอร์เวย์ที่ยึดหลักการเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึง ประชาชนทุกคนมีแพทย์ประจำตัว โรงพยาบาลส่วนใหญ่เป็นของรัฐ และการรักษาพยาบาลฟรี ส่งผลให้อายุขัยเฉลี่ยสูงถึง 82 ปี แต่ต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้รัฐบาลต้องหันมาใช้เทคโนโลยี ตั้งแต่เกือบ 30 ปีก่อนด้วย “ดิจิทัลไอดี” ที่เชื่อมโยงประวัติสุขภาพ การสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์ และระบบเวชระเบียนกลาง เพียง 5 ปีที่ผ่านมา นอร์เวย์ก้าวไปอีกขั้นด้วยการนำ 5G และ AI ให้โรงพยาบาลสามารถเชื่อมต่อเครื่องมือแพทย์แบบเรียลไทม์ เกิดการผ่าตัดทางไกล รถพยาบาลส่งข้อมูลทันทีถึงโรงพยาบาล ไปจนถึง AI ที่ช่วยวินิจฉัยมะเร็ง การเคลื่อนไหวของทารกแรกเกิดเพื่อค้นหาความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และ “สมาร์ทพิลส์” ที่สามารถบันทึกภาพภายในร่างกายแบบเรียลไทม์

“ประเทศไทยมีศักยภาพก้าวกระโดด ที่จะสร้างระบบสาธารณสุขดิจิทัลที่ล้ำหน้า ด้วยการใช้ประโยชน์จาก 5G เทคโนโลยี AI และความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างภาครัฐและเอกชน หากสามารถวางระบบดิจิทัลไอดีที่มั่นคง สร้างเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์แบบบูรณาการ ควบคู่กับการวางกรอบนโยบายอย่างเหมาะสม และส่งเสริมความร่วมมือที่แข็งแกร่งของพันธมิตร ประเทศไทยจะสามารถสร้างระบบนิเวศสุขภาพดิจิทัลสมัยใหม่ได้รวดเร็วยิ่งกว่านอร์เวย์” นายซิกเว่ กล่าวเน้นย้ำ

ทรู ชูเทคโนโลยีดิจิทัลครบวงจรเพื่อสาธารณสุขไทย

นางสาวศรินทร์รา วงศ์ศุภลักษณ์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวถึงการเปิดเวที “Reimagine Healthcare: Connected Health, Empowered Lives” ครั้งนี้ ได้นำทีมผู้บริหารทรู คอร์ปอเรชั่น และเครือซีพี ร่วมแบ่งปันองค์ความรู้ ย้ำวิสัยทัศน์ทรู ในการเป็นผู้นำบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีของไทย ที่พร้อมนำองค์ความรู้และศักยภาพด้านเทคโนโลยีดิจิทัลครบวงจร มาร่วมขับเคลื่อนระบบการแพทย์และสาธารณสุขไทย ได้แก่

นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ กรรมการบริหาร บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น และประธานกรรมการ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ได้ยกกรณีศึกษาความสำเร็จ (Healthcare Use) ของ “Intelligent Robot” หุ่นยนต์อัจฉริยะช่วยบริการรักษามะเร็งต่อมไทรอยด์ด้วยสารรังสีไอโอดีน” ที่สะท้อนมุมมอง “นวัตกรรม” ที่ชัดเจนว่าเกิดขึ้นได้จาก “ความคิดบวก” เพราะ “นวัตกรรม” ไม่ได้หมายถึงเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงกระบวนการที่มีเทคโนโลยีเป็นจิ๊กซอว์ต่อประกอบเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้กระบวนการหรือ Process ตามที่ต้องการ พร้อมแบ่งปันแนวคิดของการพัฒนาไอเดียใหม่ๆ ซึ่งจะเกิดขึ้นมาได้จากการเจอกันของคนสองกลุ่มหรือมากกว่าที่มีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน โดยตีแผ่แนวคิดผ่านกรณีตัวอย่างในการพัฒนา “หุ่นยนต์อัจฉริยะช่วยบริการรักษามะเร็งต่อมไทรอยด์ด้วยสารรังสีไอโอดีน” ที่เป็นการทำงานร่วมกันของทีมวิศวกร กับ แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ทั้งการร่วมรับฟังปัญหา สังเกตกระบวนการให้บริการผู้ป่วยจริง ทำให้เกิดนวัตกรรมหุ่นยนต์ที่มีฟังก์ชันอัดแน่นตอบโจทย์การใช้งาน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ด้วยสารรังสีไอโอดีน ทั้งยังมีรูปลักษณ์ลวดลายสีสัน หน้าจอและเสียงที่ให้ความรู้สึกเป็นมิตร ที่สำคัญ ช่วยแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ ลดปริมาณรังสีที่จะได้รับโดยตรงในระหว่างให้การรักษาผู้ป่วยลงไปได้มากถึง 25 เท่า เหลือเพียง 4% จึงช่วยลดความเสี่ยงและโอกาสที่อาจจะเกิดโรคจากการได้รับรังสีสะสมเป็นระยะเวลานานๆ ซึ่งนวัตกรรมหุ่นยนต์นี้สร้างความสุขและความพึงพอใจแก่ผู้ป่วยได้เป็นอย่างมาก นับเป็นต้นแบบของนวัตกรรมหุ่นยนต์เพื่อยกระดับบริการสาธารณสุขของไทย และสร้างคุณค่าต่อคนไทยและสังคมไทย

ในโอกาสนี้ ดร. ธีรเดช ดำรงค์พลาสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด บรรยายหัวข้อ "Patient Singularity: Precision Healthcare Through Data, AI & Robotics" ว่า “ความท้าทายสำคัญของระบบสาธารณสุขของไทย คือการที่ข้อมูลสุขภาพจำนวนมากไม่ได้ถูกนำไปใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดังนั้น เราต้องนำพลัง AI และโรโบติกส์ มาเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพทุกมิติ ตั้งแต่พันธุกรรม พฤติกรรม ไลฟ์สไตล์ ไปจนถึงสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับจากการรักษาตามอาการ สู่การดูแลสุขภาพแบบเฉพาะบุคคลที่มีความแม่นยำ ปลอดภัย และรวดเร็วยิ่งขึ้น ผ่านกรอบการทำงาน 5C - Connect, Create, Communicate, Convert, Curate ที่ช่วยสร้างอินไซต์เจาะลึก รักษาได้ตรงจุด และสื่อสารได้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย ขณะเดียวกัน ควรนำโซลูชันด้าน AI & Data-Driven Healthcare มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานรอบด้าน อาทิ AI Image Recognition, Patient Flow Analytics, Wellness & Prevention Platform และ AI Translation เป็นต้น ซึ่งเราเชื่อว่าแนวคิดและเครื่องมือเหล่านี้ จะช่วยขับเคลื่อนอนาคตระบบสาธารณสุขสู่มิติใหม่ ลดภาระงานของแพทย์ ลดต้นทุนทางการแพทย์ และยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วยได้อย่างยั่งยืน”

นอกจากนี้ นายเอกราช ปัญจวีณิน หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านดิจิทัล บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ได้ขึ้นกล่าวบรรยายพิเศษในหัวข้อ "Advancing Healthcare Industry: From Technology to Outcomes" โดยเน้นย้ำถึงบทบาทของเทคโนโลยีในการยกระดับอุตสาหกรรมการแพทย์ เสริมคุณภาพในการดูแลผู้ป่วย และสร้างชีวิตที่ดีกว่าให้กับทุกคน ท่ามกลางความท้าทายที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องเผชิญจากหลายทิศทาง ในโอกาสนี้ นายเอกราชได้ให้แนวทางด้านการวางฐานรากและโครงสร้างพื้นฐานเชิงเทคโนโลยีในทุกระดับให้เอื้อต่อการมอบบริการทางการแพทย์ที่รวดเร็วกว่า แม่นยำกว่า และวางใจได้ยิ่งกว่าเดิม นับตั้งแต่ระบบโครงข่ายแบบชาญฉลาด คลาวด์และ AI เพื่อการประมวลผลข้อมูลอย่างปลอดภัย โซลูชันสำหรับการบริหารจัดการสถานพยาบาลและทรัพยากรต่างๆ รวมถึงบริการสำเร็จรูปที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วย

นอกจากนี้ นายเอกราช ยังเสริมอีกว่า “นวัตกรรมที่ตอบโจทย์จะต้องมีความยืดหยุ่นสูง ทำงานผสานกับอุปกรณ์และระบบต่างๆ ได้อย่างลงตัว และนำมาใช้ด้วยความเข้าใจในรูปแบบการใช้งานจริงของบุคลากรทางการแพทย์”

ขณะที่ นายฐนสรณ์ ใจดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์ กล่าวในหัวข้อ “New Era of Cloud and AI Computing Power” ถึงการเลือกโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ไม่ว่าจะเป็น คลาวด์ หรือ ดาต้าเซ็นเตอร์ ที่จะสนับสนุนให้ภาคธุรกิจ Healthcare ทำ AI ได้สำเร็จ โดยแต่ละองค์กรควรเริ่มต้นจากการจัดลำดับความสำคัญ เลือกหนึ่งเป้าหมาย แล้วเลือกแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานที่สอดคล้องกับเป้าหมายที่ต้องการ พิจารณาปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ความมั่นคงของระบบ (Reliability) สามารถขยายได้ เชื่อมต่อกับระบบปัจจุบันและใช้ได้จริง ประมวลผลเร็ว มีบริการสำรองและกู้คืนระบบได้อย่างง่ายดาย (Disaster Recovery) รวมถึงการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล PDPA และความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล อีกทั้งยังควรพิจารณาบริการคลาวด์และดาต้าเซ็นเตอร์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ผู้ให้บริการมีความเชี่ยวชาญด้าน AI และให้ความยืดหยุ่นด้านค่าใช้จ่ายและการลงทุนระบบ อย่างไรก็ตาม เมื่อองค์กรเริ่มใช้ AI แล้ว ควรมีการติดตามและประเมินประสิทธิภาพและความคุ้มค่าต่อการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงและต่อยอดการใช้ AI ให้ได้ประโยชน์สูงสุด

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

“ASEAN Tools Expo 2025” เวทีศูนย์กลางเครื่องมือช่างแห่งอาเซียน ต่อยอดธุรกิจ จับคู่การค้า และอัปเดตเทคโนโลยี

งาน “ASEAN Tools Expo 2025”  ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ได้การตอบรับจากผู้ประกอบการ ผู้ผลิต นักลงทุน และช่างฝีมือทั่วประเทศ ร่วมชมเทคโนโลยีเครื่องมือช่างล่าสุดจากนานาชาติ โดยงานนี้นับเป็นเวทีสำคัญที่ผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมเครื่องมือช่างและอุตสาหกรรมผลิตต้องไม่พลาด ด้วยโอกาสมากมายในการต่อยอดธุรกิจ จับคู่การค้า และอัปเดตเทคโนโลยี ที่กำลังเปลี่ยนโฉมวงการช่างไทยให้ก้าวไกลสู่สากล ระหว่างวันที2568  ที่ผ่านมา ณ ฮอลล์ 6 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ประธานในพิธีเปิดงาน “ASEAN Tools Expo 2025” กล่าวว่า “ประเทศไทยมีโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับอนุญาตกว่า 73,710 แห่ง และมีแรงงานในระบบมากกว่า 4 ล้านคน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าอุตสาหกรรมเครื่องมือช่าง มีบทบาทอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจฐานรากและภาคการผลิตโดยรวม โดยปัจจุบันโรงงานอุตสาหกรรมกำลังปรับตัวเข้าสู่การเป็น Smart Factory ซึ่งต้องอาศัยเครื่องมือและเครื่องจักรที่มีความแม่นยำสูง เชื่อมต่อออนไลน์ได้ และควบคุมจากระยะไกล รวมถึงใช้ระบบหุ่นยนต์ขั้นสูง (Advanced Robotics) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน

นายพงศ์พล กล่าวว่า ทิศทางของอุตสาหกรรมโลกกำลังเคลื่อนไปสู่ Green Industry และ Circular Economy ซึ่งทำให้ความต้องการเครื่องมือที่ออกแบบอย่างยั่งยืน และผลิตจากวัสดุรีไซเคิลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง งาน ASEAN Tools Expo 2025 นับเป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการไทยในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์ทั้งตลาดและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่เครื่องมือพื้นฐานจนถึงระบบอัตโนมัติขั้นสูง อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ของการจับคู่ธุรกิจ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือเพื่ออนาคตของอุตสาหกรรมเครื่องมือช่างอย่างยั่งยืน

นายสุรพล อุทินทุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้บริหารการจัดงาน “ASEAN Tools Expo 2025” เผยการจัดงานในครั้งนี้ นับเป็นเวทีสำคัญระดับนานาชาติ ที่สะท้อนความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมเครื่องมือช่างและอุปกรณ์โรงงาน โดยในปีนี้ เป็นการจัดงานต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ซึ่งมีอัตราการเติบโตของพื้นที่จัดแสดงมากกว่า 50% ในทุกปี

“งานนี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของนวัตกรรมเครื่องมือช่างจากทั้งในและต่างประเทศ แต่ยังเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงโอกาสทางธุรกิจ การลงทุน และการต่อยอดนวัตกรรม ที่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมของไทยให้ทัดเทียมกับมาตรฐานสากล”

นายสุรพล กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมช่าง  การพัฒนาทักษะแรงงาน และการสนับสนุนให้เกิดการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยงาน ASEAN Tools Expo 2025 เป็นงานเดียวที่ตอบโจทย์ทุกงานช่าง นำเสนอความหลากหลายของเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ อาทิ อุปกรณ์โรงงาน เครื่องมือช่าง ปั้มลม เครื่องมือไฟฟ้า เครื่องจักรกลอัตโนมัติ เทคโนโลยี IoT สำหรับโรงงานอัจฉริยะ ฯลฯ จากต่างประเทศ ตอบรับกระแสการผลิตที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ไฮไลต์ของงานยังรวมถึงการเจรจาธุรกิจ (Business Matching) ระหว่างผู้แสดงสินค้ากับนักลงทุนจากกลุ่มประเทศอาเซียนและภูมิภาคอื่น ๆ ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญในการต่อยอดนวัตกรรม และขยายโอกาสการค้าในตลาดต่างประเทศ

“แคริว่า” ตอกย้ำผู้นำด้านเทคโนฯ AI ทางการแพทย์ คว้าใบรับรอง ISO/IEC 29110 ยกระดับคุณภาพซอฟต์แวร์สู่ระดับโลก

บริษัท แคริว่า (ประเทศไทย) จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีโครงข่ายข้อมูลสุขภาพด้วย AI ประกาศความสำเร็จ ครั้งสำคัญในการได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO/IEC 29110-4-1:2018 เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ณ NT Auditorium 

โดยการรับรองมาตรฐานดังกล่าวจัดทำขึ้นโดย บริษัท เอสจีเอส (ประเทศไทย) จำกัด (SGS (Thailand) Ltd.) ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบ การทดสอบ และการรับรองมาตรฐานชั้นนำของโลก สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นเลิศของกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ

ISO/IEC 29110 เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ซึ่งพัฒนาร่วมกันโดยองค์การระหว่างประเทศว่า ด้วยการมาตรฐาน (ISO) และคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐานสาขาอิเล็กทรอนิกส์ (IEC) โดยมุ่งเน้นการยกระดับกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับองค์กรขนาดเล็ก (Very Small Entities – VSEs) ที่มีบุคลากรไม่เกิน 25 คน ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยครอบคลุมกระบวนการสำคัญ 2 ด้านได้แก่ การบริหาร โครงการ (Project Management) และ การพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Implementation)

นายณรงค์ชัย ลิมปิยาภิรมย์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท แคริว่า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในโลกที่เทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Digital Solutions ทางการแพทย์ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ความน่าเชื่อถือและ ความปลอดภัยของซอฟต์แวร์คือสิ่งที่เราให้ความสำคัญสูงสุด

การได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC29110 ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของแคริว่า ในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ทางการแพทย์ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ (Quality) ความปลอดภัย (Security) และสามารถสืบค้นย้อนหลังได้ทุกขั้นตอน (Traceability) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและชีวิต

แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่โอกาสความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในระดับประเทศและระดับสากล และสร้างความมั่นใจว่า ทุกโซลูชันที่ส่งมอบสู่มือลูกค้าล้วนมีคุณภาพที่สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก

โดยใบรับรองมาตรฐาน ISO/IEC29110 นี้ มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2568 และจะมีอายุการรับรองไปจนถึงวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2571 ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงการรักษามาตรฐานคุณภาพอย่าง ต่อเนื่องของบริษัท

“แคริว่ายังคงทุ่มเททั้งทรัพยากรและความรู้ความสามารถ เพื่อวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี AI ทางการแพทย์ให้ก้าวล้ำ ต่อไป เรามีความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์โซลูชันที่ เข้าถึงง่าย แม่นยำ และเป็นประโยชน์ต่อสังคมในวงกว้าง เพื่อปูทาง ให้อนาคตเทคโนโลยีการแพทย์ของไทยก้าวไกล และเป็นที่ยอมรับในระดับสากลได้อย่างเต็มภาคภูมิ” นายณรงค์ชัย กล่าว

ผู้นำระบบออโตเมชันพันธุ์ไทย! “เลิศวิลัยแอนด์ซันส์” พร้อมโชว์เทคโนโลยีสุดล้ำในงาน LogiMAT & LogiFOOD Southeast Asia 2025

“เลิศวิลัยแอนด์ซันส์” ตอกย้ำผู้นำด้านระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ครบวงจร เตรียมยกทัพเทคโนโลยีแห่งอนาคต ร่วมงาน LogiMAT & LogiFOOD Southeast Asia 2025 สุดยอดเทรดโชว์โลจิสติกส์และซัพพลายเชนระดับโลก ชู 3 โซลูชันไฮไลต์! ‘FACoBOT AMR – Nachi Robot – VisionNav Robotics’ ยกระดับโลจิสติกส์ภายในโรงงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ตอบโจทย์ทุกมิติของอุตสาหกรรมยุคใหม่ได้อย่างเต็มศักยภาพ

ดร.ประพิณ อภินรเศรษฐ์ นายกสมาคมผู้ประกอบการระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ไทย (TARA) และกรรมการบริหาร บริษัท เลิศวิลัยแอนด์ซันส์ จำกัด เปิดเผยว่า ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และยกระดับขีดความสามารถผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ในยุคอุตสาหกรรม 4.0 การปรับใช้ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเร่งเรียนรู้และนำมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ซึ่งกำลังเผชิญความท้าทายในการปรับกระบวนการทำงานให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผ่านการบูรณาการเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ระบบซอฟต์แวร์ ERP (Enterprise Resource Planning) สำหรับบริหารทรัพยากรองค์กรอย่างเป็นระบบ AI สำหรับการตรวจสอบสินค้า หุ่นยนต์ที่ทำงานร่วมกับมนุษย์ในกระบวนการผลิต และระบบจัดการคลังสินค้าแบบเรียลไทม์ โดยหัวใจสำคัญคือ การจัดการข้อมูลให้สามารถเชื่อมโยงกันได้แบบไร้รอยต่อ เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว และผลักดันให้เกิดเทคโนโลยีและนวัตกรรมโลจิสติกส์ที่พัฒนาโดยฝีมือคนไทยอย่างแท้จริง

นายธนาวัฒน์ วุฒิชัยธนากร  ผู้จัดการแผนกออโตเมชั่น (Automation Manager) บริษัท เลิศวิลัยแอนด์ซันส์ จำกัด กล่าวว่า เลิศวิลัยแอนด์ซันส์ เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการชั้นนำของไทยที่มีความเชี่ยวชาญด้านการบูรณาการระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (System Integrator: SI) ด้วยประสบการณ์กว่า 20 ปี พร้อมนำเสนอเทคโนโลยีครบวงจรที่ตอบโจทย์ทุกภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ 1. ระบบหุ่นยนต์และเครื่องจักรกลอัตโนมัติ (Robot and Automation System) 2. ระบบรถเคลื่อนที่อัตโนมัติ (Autonomous Mobile Robot: AMR) และ 3. ระบบรถโฟล์คลิฟท์อัตโนมัติไร้คนขับ (Autonomous Guided Forklift: AGF) เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ในโรงงานอุตสาหกรรม ด้วยความแม่นยำ ความปลอดภัย และความคล่องตัว รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่คลังสินค้าอัจฉริยะ (Smart Warehouse) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมยุค 4.0 และยุคใหม่ที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน

บริษัท เลิศวิลัยฯ ได้เข้าร่วมออกบูธในงาน LogiMAT & LogiFOOD Southeast Asia 2025 ด้วยพื้นที่จัดแสดงกว่า 90 ตารางเมตร โดยนำเสนอเทคโนโลยีโลจิสติกส์ครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ผ่าน 3 ระบบหลักที่ตอบโจทย์การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและทันสมัย

·FACoBOT AMR: หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติ พัฒนาโดยทีมวิศวกรไทย 100% ช่วยยกระดับงานอินทราโลจิสติกส์ให้เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และปลอดภัยยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้า รองรับการใช้งานหลากหลายฟังก์ชัน ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน และสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ

·Nachi Robot: ระบบหุ่นยนต์แขนกลอุตสาหกรรมความเร็วสูง ตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ด้วยความแม่นยำ และมีประสิทธิภาพสูง

·VisionNav Robotics:  หุ่นยนต์ขนถ่ายสินค้าอัจฉริยะที่ใช้เทคโนโลยี Lidar ขั้นสูง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการคลังสินค้า ทำงานได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว และปลอดภัย ลดต้นทุน พร้อมรองรับระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ

“เลิศวิลัยฯ พร้อมรองรับการเปลี่ยนผ่านภาคโลจิสติกส์สู่ระบบอัตโนมัติที่กำลังกลายเป็นกลไกสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในยุคดิจิทัล ด้วยโซลูชันที่ครอบคลุมทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อยกระดับกระบวนการทำงานสู่ระบบ Automation, Smart Warehouse และ Fully Automation ที่พัฒนาโดยทีมวิศวกรไทย 100% ซึ่งจุดแข็งของเลิศวิลัยฯ ไม่ได้จำกัดเพียงด้านเทคโนโลยี แต่ยังรวมถึงความเข้าใจปัญหาเชิงลึกของลูกค้า การวิเคราะห์ Pain Pointอย่างแม่นยำ พร้อมแนะนำแนวทางที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุด นอกจากนี้ยังมีทีม R&D และทีมบริการหลังการขายที่พร้อมให้ความช่วยเหลือภายใน 24 ชั่วโมง ช่วยให้ลูกค้ามั่นใจว่าอุปกรณ์ทุกระบบจะได้รับการดูแลที่รวดเร็วและตรงจุด โดยปีที่ผ่านมา เลิศวิลัยฯ ได้แสดงศักยภาพผลงานของทีมวิศวกรไทยในงาน LogiMAT & LogiFOOD Southeast Asia ซึ่งได้การตอบรับเป็นอย่างดี และในปีนี้มาพร้อมโซลูชันก้าวล้ำยิ่งขึ้น เพื่อร่วมผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน” นายธนาวัฒน์ กล่าว

สำหรับงาน LogiMAT & LogiFOOD Southeast Asia 2025 จะจัดขึ้นใน วันที่ 15-17 ตุลาคม 2568 ณ ฮอลล์ 100 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ภายในงานมีกิจกรรมน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น Innovations on Logistics – นวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านโลจิสติกส์สุดล้ำจากทั่วโลก, Product Demonstration – โซนสาธิตกระบวนการโลจิสติกส์ครบวงจร โดยสมาคมการจัดการระบบคลังสินค้าไทย (TIA), Business Matching Program – พบปะและสร้างเครือข่ายกับผู้นำในวงการที่มากด้วยประสบการณ์, LogiSYM Symposium – เวทีเสวนาด้านโลจิสติกส์ในอาเซียน (ASEAN Logistics Panel) โดยวิทยากรชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศ, DIPROM Logistics Clinic Pavilion – คลินิกให้คำปรึกษาแนะนำการบริหารจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน จากกองโลจิสติกส์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมจากสมาคมและหน่วยงานต่าง ๆ ที่ร่วมสนับสนุนการจัดงาน อาทิ สมาคมการจัดการระบบคลังสินค้าไทย (TIA) สถาบันอาหาร (NFI) สมาคมผู้ประกอบการระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ไทย (TARA) สมาคมเครื่องทำความเย็นไทย (TRA) สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED) สมาคมธุรกิจคลังสินค้า ไซโล และห้องเย็น (WSCBA) และสถาบันไทย-เยอรมัน (TGI) ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและจองบูธ โทร. 084-881-6767 โปรแกรมสนับสนุนผู้ชมงานจากต่างประเทศ (Hosted Buyer Program) email: Siraporn@koelnmesse-thailand.com  อัปเดตข่าวสารและกิจกรรมต่างๆได้ที่ www.logimat-sea.com

เบดร็อค อนาไลติกส์ เปิดบ้านโชว์เทคโนฯขั้นสูง ขับเคลื่อนอนาคตอสังหาฯให้ธอส.

บริษัท เบดร็อค อนาไลติกส์ จำกัด หรือ เบดร็อค อนาไลติกส์ (Bedrock Analytics) ผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดการข้อมูล ที่ให้บริการแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ และข้อมูลเชิงพื้นที่ (Location Intelligence) ร่วมกับ ไรส์ (RISE) สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กรระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดบ้านต้อนรับคณะผู้บริหารและบุคลากรจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ในกิจกรรม Open House ภายใต้โครงการ “GHB IDEALAB by RISE” เพื่อแสดงศักยภาพของเทคโนโลยี Location Intelligence เทคโนโลยี Digital Twin เทคโนโลยีสามมิติ(3D) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน

กิจกรรมในครั้งนี้จัดขึ้น ณ บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด บริเวณ We Do Space อาคารวานิช เพลส อารีย์ วันที่ 26 มิถุนายน 2568 โดยภายในงานได้มีการเสวนาภายใต้หัวข้อ “AI in Action: The Future of Real Estate is Here”  สะท้อนบทบาทและ ความเชื่อมโยงของเทคโนโลยีในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในยุคดิจิทัลในหลากหลายมิติ

คุณสมพัสตร์ สุวพิศ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เบดร็อค อนาไลติกส์ จำกัด กล่าวว่า “ในยุคที่ข้อมูลคือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจและการพัฒนาภาคอสังหาริมทรัพย์ เทคโนโลยีจึงไม่ใช่เพียงแค่เครื่องมือ แต่เป็นแกนหลักในการช่วยตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

“เบดร็อค อนาไลติกส์ เชื่อมั่นว่าการเข้าใจและเข้าถึง ‘ข้อมูลเชิงพื้นที่’ (Location Intelligence) คือ กุญแจสำคัญสู่การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน เราจึงมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมที่ทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อนกลายเป็นเรื่องง่ายดาย แม่นยำ และสามารถนำไปใช้ได้จริง”

เบดร็อค อนาไลติกส์ ยังได้สาธิตถึงศักยภาพของเทคโนโลยีในการยกระดับการทำงานในภาคอสังหาริมทรัพย์ได้โดยตรง ควบคู่ไปกับการสร้างเมืองอัจฉริยะที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน อาทิ
● การวิเคราะห์สินเชื่อและการประเมินความเสี่ยง (Credit Analysis & Risk Assessment): โดย AI เข้ามามีบทบาทวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เช่น ข้อมูลประชากรศาสตร์ โครงสร้างพื้นฐาน และราคาที่ดินย้อนหลัง เพื่อประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกันและคาดการณ์ความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs)
●การประเมินศักยภาพโครงการอสังหาริมทรัพย์ (Project Feasibility): สร้างแบบจำลองเสมือนจริง (Digital Twin) ของโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบด้านต่าง ๆ ทั้งการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ การแสดงทิศทางลมและแสงแดด และทัศนียภาพโดยรอบ ช่วยให้ธนาคารประเมินความเป็นไปได้และความคุ้มค่าของโครงการที่ยื่นขอสินเชื่อได้อย่างรอบด้าน
●การวางแผนกลยุทธ์และการขยายตลาด (Strategic Planning & Market Expansion): วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกทางพื้นที่ (Location Intelligence) เพื่อค้นหาพื้นที่ที่มีศักยภาพและความต้องการที่อยู่อาศัยสูงแต่ยังขาดโอกาส ในการเข้าถึงสินเชื่อ (Underserved Area) ช่วยระบุพื้นที่ที่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน หรือพื้นที่ที่มี ความต้องการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นพิเศษ เพื่อวางแผนการขยายสาขาหรือหน่วยบริการเคลื่อนที่ได้ อย่างตรงจุด
●การพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน (Sustainable Urban Development): เทคโนโลยีของเบดร็อค อนาไลติกส์ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนเพื่อวางแผนพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่สอดคล้องกับผังเมืองและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs)

“เบดร็อค อนาไลติกส์ ตระหนักดีว่าธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้ดำเนินงานในการสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเราเองก็มีความปรารถนาที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสานต่อภารกิจอันทรงคุณค่านี้ เพื่อร่วมสนับสนุนให้คนไทยมีบ้านได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน”

“เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เทคโนโลยีจากเบดร็อค อนาไลติกส์ จะช่วยจุดประกายแนวคิดใหม่ๆ และตอกย้ำให้เห็นว่า เทคโนโลยี Location Intelligence เทคโนโลยี Digital Twin เทคโนโลยีสามมิติ (3D) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่คือเครื่องมือสำคัญที่จะเข้ามาพลิกโฉมวงการอสังหาริมทรัพย์และการพัฒนาเมืองให้ก้าวสู่ยุคใหม่อย่างยั่งยืน” คุณสมพัสตร์ กล่าว
 

“ทรัมป์”เตรียมจำกัดการส่งออกชิป AI ไปไทย-มาเลเซีย หวั่นจีนลักลอบนำเข้าเทคโนโลยีขั้นสูง ผ่านช่องโหว่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“ทรัมป์”เตรียมจำกัดการส่งออกชิป AI ไปไทย-มาเลเซีย หวั่นจีนลักลอบนำเข้าเทคโนโลยีขั้นสูง ผ่านช่องโหว่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สำนักข่าวต่างประเทศงานว่า เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 รัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาออกมาตรการควบคุมการส่งออกชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะจากบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Nvidia ไปยังประเทศ ไทยและมาเลเซีย เพื่อป้องกันไม่ให้จีนใช้ประเทศเหล่านี้เป็นทางผ่านในการลักลอบนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์

รายงานระบุว่า หาก ร่างกฎหมายของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ฉบับใหม่นี้ผ่านความเห็นชอบ ประเทศไทยและมาเลเซียจะถูกจัดให้อยู่ในรายชื่อประเทศที่อยู่ภายใต้ กฎการแพร่กระจาย AI (AI diffusion rule) ซึ่งเป็นแนวทางที่เริ่มต้นในช่วงปลายรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน และมีเป้าหมายเพื่อควบคุมการเข้าถึงเทคโนโลยี AI ขั้นสูง

สหรัฐฯ เคยเริ่มใช้มาตรการจำกัดการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ไปยังจีนมาตั้งแต่ปี 2022 และมีการเพิ่มความเข้มงวดอย่างต่อเนื่อง นโยบายฉบับใหม่นี้อาจรวมถึงการจำกัดการใช้ชิป AI ในศูนย์ข้อมูลที่ไม่ได้ควบคุมโดยสหรัฐ แม้จะอยู่ในประเทศพันธมิตรก็ตาม แม้นาย โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะยืนยันว่า ประเทศพันธมิตรยังสามารถซื้อชิปได้ หากใช้งานผ่านศูนย์ข้อมูลของสหรัฐเท่านั้น แต่เจ้าหน้าที่หลายฝ่ายยังคง ถกเถียงกันอย่างหนัก ว่าประเทศใดควรได้รับอนุญาต พร้อมตั้งข้อกังวลว่า จีนอาจเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ผ่าน “ช่องโหว่” ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

รายงานยังระบุว่า บริษัท Oracle ได้เร่งลงทุนในศูนย์ข้อมูลในมาเลเซีย ขณะที่การส่งออกชิปจากสหรัฐไปยังมาเลเซียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้รัฐบาลมาเลเซียให้คำมั่นว่าจะมีการควบคุมที่เข้มงวด แต่ ความกังวลของวอชิงตันยังไม่คลี่คลาย

ขณะที่ เจนเซน หวง ซีอีโอของ Nvidia ยืนยันว่า ยังไม่มีหลักฐานว่าชิป AI ของบริษัทถูกลักลอบนำเข้าไปยังประเทศที่ถูกสั่งห้ามแต่อย่างใด

#AI #ชิปAI #Nvidia #ข่าวต่างประเทศ #เทคโนโลยี #เศรษฐกิจโลก #USChinaTechWar #AIExport #สหรัฐไทย #การเมืองระหว่างประเทศ #Semiconductor #ข่าวไอที #ความมั่นคงทางเทคโนโลยี