โฟร์โมสต์ผนึกกำลังพันธมิตร “ส่งต่อรอยยิ้มให้เด็กไทย” ปีที่ 5

บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมโฟร์โมสต์ในประเทศไทยและอินโดจีน ร่วมกับพันธมิตรจากทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) กระทรวงศึกษาธิการ, กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี และมูลนิธิกระจกเงา เดินหน้าสานต่อโครงการ “โฟร์โมสต์ส่งต่อรอยยิ้มให้เด็กไทย” ปีที่ 5 (Foremost One Million Smiles 5th) เพื่อส่งมอบนมพร้อมดื่มยูเอชที โฟร์โมสต์ โอเมก้า 369 จำนวน 1,000,000 กล่อง ให้แก่เด็ก ๆ โดยเฉพาะเด็กที่มีภาวะทุพโภชนาการทั่วประเทศ เป็นการตอกย้ำความสำคัญของภารกิจในการส่งมอบโภชนาการที่ดีที่สุดให้กับเด็กผ่านผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มคุณภาพสูง โดยมุ่งหวังที่จะเติมเต็มโอกาส และส่งเสริมศักยภาพด้านโภชนาการและสารอาหารที่ดีให้แก่เด็กไทยอย่างเต็มกำลัง


 
นายวิภาส ปวโรจน์กิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ฟรีสแลนด์คัมพิน่า ในฐานะผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมโฟร์โมสต์ ไม่เพียงมุ่งเน้นดำเนินงานด้านธุรกิจเท่านั้น  แต่ต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการส่งมอบโภชนาการที่ดีให้แก่เด็กไทย เพราะที่ผ่านมาบริษัทฯ ตระหนักถึงปัญหาภาวะทุพโภชนาการที่ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของเด็กไทยมาตลอด จึงเกิดเป็น โครงการโฟร์โมสต์ส่งต่อรอยยิ้มให้เด็กไทย ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 โดยปีนี้เราได้พันธมิตรจากภาครัฐบาล และหน่วยงานเอกชนมาช่วยภารกิจส่งมอบนม 1,000,000 กล่อง ให้แก่เด็ก ๆ โดยที่ผ่านมา โฟร์โมสต์ได้มอบนมให้แก่พันธมิตร ไม่ว่าจะเป็น โรงเรียนราชประชาสมาสัยในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งได้รับเกียรติจาก นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมเป็นประธานในพิธีรับมอบ, กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งได้รับเกียรติจากนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ  เป็นตัวแทนรับมอบ เพื่อนำไปส่งต่อให้แก่เยาวชนทั่วประเทศ เพราะนมเป็นเครื่องดื่มที่มีสารอาหาร อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนั้นเด็กทุกคนจึงควรได้รับโภชนาการที่เหมาะสมเพื่อเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และพันธกิจของ   แบรนด์ในการมุ่งมั่นที่จะส่งมอบโภชนาการที่ดีให้กับผู้คนทั่วโลก และไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาเพื่อเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุด
 
จากการทำงานร่วมกันระหว่างโฟร์โมสต์ และสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ผ่านการวิจัยเชิงลึก ภายใต้โครงการ SEANUTS II  เพื่อสำรวจภาวะโภชนาการของเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 12 ปี ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย โดยผลวิจัยพบว่า เด็กไทยส่วนใหญ่ยังคงได้รับสารอาหารสำคัญที่ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ได้แก่ แคลเซียม ธาตุเหล็ก ธาตุสังกะสี วิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินดี ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการทางโภชนาการอย่างตรงจุด และส่งผลต่อความพร้อมในด้านร่างกายและจิตใจที่ดีในอนาคต รวมถึงการมีสุขภาพที่แข็งแรงยั่งยืนต่อไป
 
บริษัทไม่เพียงดำเนินโครงการเพื่อมอบสิ่งดี ๆ ให้แก่เด็ก ๆ แต่ยังให้ความสำคัญในเรื่องความยั่งยืน (Sustainability) ด้วยการหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ (Circular) เพราะทุกกล่องนมของโฟร์โมสต์สามารถนำไปรีไซเคิลและสร้างประโยชน์ต่อได้อีก  ด้วยวิธีง่าย ๆ เพียงล้างกล่องนมให้สะอาด และพับกล่องให้แบน กล่องนมก็จะเข้าสู่กระบวนการแยกขยะเพื่อนำไปแปรรูปให้กลายเป็นเยื่อกระดาษ, โพลิเมอร์ และอลูมิเนียม สำหรับการนำไปใช้ต่อในรูปแบบต่าง ๆ
 
โครงการโฟร์โมสต์ส่งต่อรอยยิ้มให้เด็กไทย ปีที่ 5 (Foremost One Million Smiles 5th) ขอเชิญชวนทุกคนร่วมสร้างรอยยิ้มและเสริมสร้างโภชนาการที่ดีให้เด็กไทย ด้วยการเป็นส่วนหนึ่งในการมอบ “โภชนาการที่ดี” เพียงซื้อนมโฟร์โมสต์ UHT รสชาติใดก็ได้ 1 ลัง ทางโฟร์โมสต์จะบริจาคนมโฟร์โมสต์ โอเมก้า 369 จำนวน 1 ลัง รวมสูงสุด 1,000,000 กล่อง ร่วมสร้างพลังแห่งการให้ได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 กันยายน 2568 ที่ร้านค้าพันธมิตรที่ร่วมรายการ เช่น Lotus, Big C, Tops, 7 Eleven, CJ, Makro และร้านค้าปลีกใกล้บ้าน เพราะรอยยิ้มของเด็กไทย เริ่มต้นจากนมกล่องเล็ก ๆ ที่คุณเลือกซื้อ

"ส.บริดจ์" ส่งทัพเยาวชนลุยศึกโลก ผู้ใหญ่ใจดียื่นมือช่วยเด็กไทย

"ส.บริดจ์" ส่ง 18 เยาวชนไทย ลุยศึกบริจด์ชิงแชมป์โลก 2025 ที่อิตาลี "ชยวัฒน์ พิเศษสิทธิ์" นายกกีฬาบริดจ์ พ้อ ไร้การเหลียวแลจาก "กองทุนกีฬาชาติ" แต่ยังโชคดีที่ได้ผู้ใหญ่ใจดีในวงการ ร่วมอนุเคราะห์งบประมาณ ส่งเด็กไทยไปแข่งขันในเวทีโลก
 

วันที่ 10 กรกฎาคม 2568 นายชยวัฒน์ พิเศษสิทธิ์ นายกสมาคมกีฬาบริดจ์แห่งประเทศไทย พร้อมด้วย คุณหญิงชดช้อย โสภณพนิช นายกกิติมศักดิ์สมาคมกีฬาบริดจ์แห่งประเทศไทย ร่วมให้โอวาทและอวยพรให้กับนักกีฬาบริดจ์เยาวชนทีมชาติไทย จำนวน 18 คน พร้อมผู้ฝึกสอนและผู้จัดการทีม ก่อนเดินทางเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาบริดจ์เยาวชนชิงแชมป์โลก "19th World Youth Teams Championships" ระหว่างวันที่ 12-17 ก.ค.68 ที่ประเทศอิตาลี โดยเยาวชนตัวแทนของไทย ผ่านการคัดเลือกจากการแข่งขันชิงแชมป์เอเชีย 2025 ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นเจ้าภาพ เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา

สำหรับนักกีฬาและผู้ฝึกสอนชุดนี้มีทั้งหมด 23 คน แข่งขันใน 3 ประเภท ประกอบด้วย รุ่นเยาวชนอายุไม่เกิน 16 ปี กฤษณ์ เรืองริวงค์, ปริชญา อร่ามเรือง, จันทิมา ทองนาม, ปัญญ์ปรียา รอดฮวบ, ปุณญิสา งามเอก, อนุรักษ์ บุญอาสา โดยมี จิรวุฑฒิ์ โถทองคำ เป็นผู้ฝึกสอน

รุ่นเยาวชนอายุไม่เกิน 21 ปี รักษณ คงศัตรา, พลกฤต จินดากูล, ชินธีร์ สายสิทธิ์, สิรภพ แสงเถื่อน, ยุทธเดช คำพร, กฤตพัฒน์ กอนเสน โดยมี ณัฐพงศ์ พิมพิสาร เป็รผู้ฝึกสอน

รุ่นอายุไม่เกิน 26 ปี ศรัณญ์ โก๊เจริญ, พริษฐ์ พรหมจันทร์, เดชาพล นิลฉาย, ศุภโชค สอนยินดี, พลากร ผ่านสำแดง, พิมพ์วรีย์ กองเงิน โดยมี ชัชชัย เสริมพงษ์พันธ์ ผู้ฝึกสอน และนายพบสิทธิ์ กมลเวชช เป็นผู้จัดการทีม

ชยวัฒน์ กล่าวว่า แม้สมาคมฯ จะไม่ได้รับการพิจารณางบประมาณสนับสนุนจากกองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ ในการส่งนักกีฬาเข้าแข่งขันรายการนี้ แต่สมาคมฯ ก็ต้องหางบประมาณสนับสนุนส่งเยาวชนชุดดังกล่าวส่งการแข่งขันให้ได้ โดยได้รับความอนุเคราะห์สนับสนุนงบประมาณจาก คุณหญิงชดช้อย โสภณพนิช และกลุ่มนักกีฬาบริดจ์อาวุโส หลาย ๆ ท่าน ร่วมกันสนับสนุน ต้องขอขอบคุณนักบริดจ์อาวุโส ทุกท่านที่มองเห็นความสำคัญของน้อง ๆ เยาวชนในวงการกีฬาบริดจ์ และนับเป็นความอบอุ่นความเอื้อเฟื้อ ต่อกันที่ยากหากีฬาอื่น ๆ เทียบเคียงได้ นับเป็นโชดดีของวงการกีฬาบริดจ์ที่มีพี่ ๆ ที่อาวุโส และมีศักยภาพในการช่วยกันสนับสนุนน้อง ๆ ที่มีความฝันทุกคน และทางนายชยวัฒน์กล่าวว่า ได้กำชับโค้ช และนักกีฬาทุกคนให้ทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มความสามารถให้สมกับที่ได้รับความกรุณาจากพี่ ๆ นักกีฬาบริดจ์อาวุโสทุกท่าน

สำหรับแฟนกีฬาบริดจ์ สามารถติดตามและให้กำลังใจนักกีฬาเยาวชนทีมชาติไทย ได้ทางเพจ Facebook สมาคมกีฬาบริดจ์แห่งประเทศไทย ที่จะเกาะติดและรายงานผลการแข่งขันให้ทราบทุกวัน.

"นฤมล"มั่นใจ แคมป์ ASC 2025 เป็นโอกาสสร้างแรงบันดาลใจด้านวิทยาศาสตร์ให้เด็กไทย

”รมว.นฤมล“มั่นใจ แคมป์ ASC 2025 เป็นโอกาสสร้างแรงบันดาลใจด้านวิทยาศาสตร์ให้เด็กไทย ชี้ การศึกษาต้องพัฒนาบุคลากรครู-นักเรียน ก่อนจะลงทุนกับเครื่องมือ

เมื่อวันที่ 4 ก.ค.68 เวลา 10.00 น.ที่กระทรวงศึกษาธิการ กรุงเทพมหานคร ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นำแถลงความพร้อมการเป็นเจ้าภาพจัดงาน Asian Science Camp 2025 (ASC2025) ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม – 6 สิงหาคม 2568 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 และ เทคโนธานี มทส.โดยมีศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา รองประธานมูลนิธิ มูลนิธิ สอวน.ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. ม.ร.ว.ชิษณุสรร สวัสดิวัตน์ ประธานคณะกรรมการดำเนินงานฯ รองศาสตราจารย์ ดร.อนันต์ ทองระอา อธิการบดี มทส.ศาสตราจารย์ ดร.สันติ แม้นศิริ คณบดีสำนักวิชาวิทยาศาสตร์  และรองประธานคณะกรรมการดำเนินงาน ร่วมแถลงข่าว 

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ครบรอบ 10 ปีแล้วที่ประเทศไทยเราเคยเป็นเจ้าภาพ ซึ่งเมื่อปี 2015 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเปิดงาน Asian Science Camp 2015 และทรงแสดงปาฐกถาเรื่อง “Young Scientists of Asia”ด้วย เป็นการเปิดโอกาสให้เยาวชนได้แลกเปลี่ยนกับเยาวชนต่างชาติ และนักวิทยาศาสตร์ระดับแนวหน้า ถือเป็นโอกาสที่ดีของเด็กและเยาวชนไทยที่จะได้ร่วมทำกิจกรรมกับเยาวชนกว่า 22 ประเทศในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งตนหวังว่า กิจกรรมดังกล่าวจะสำเร็จลุล่วงและเกิดคุณูปการเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า ความสำคัญของกิจกรรม ASC2025 ถือว่าสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการในเรื่องการปรับเปลี่ยนการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับทักษะสมัยใหม่ โดยมีเป้าหมายในการสร้างเด็กให้มีอาชีพและอนาคตที่มั่นคง ในโลกสมัยใหม่ได้ และถือเป็นกิจกรรมระดับนานาชาติที่เด็กไทยจะได้เข้าไปมีส่วนร่วมในแคมป์วิทยาศาสตร์ รวมกับเด็กในประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรมด้วย โดยจะทำให้เรื่องวิทยาศาสตร์มีอนาคตและมีความหวังในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ตนขอขอบคุณคณะทำงานทุกท่านที่ได้ทำงานกันอย่างหนักเพื่อให้เด็กและเยาวชนไทยได้มีพื้นฐานและทักษะด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสุดท้ายต้องขอขอบคุณเจ้าภาพทุก ๆ ท่านด้วย 

“ภายใต้การบริหารงานกระทรวงศึกษาธิการของทีมผู้บริหารชุดใหม่ อาจารย์หวังว่าจะได้รับความกรุณาให้คำแนะนำ และคำปรึกษาที่จะมาร่วมกันพัฒนาการศึกษา ส่วนตัวแล้วอยากจะเน้นในเรื่องของการพัฒนาบุคลากรครูและนักเรียน เป็นหลักก่อนที่จะนำงบประมาณไปจัดซื้อเครื่องมือหรือการลงทุนกับเครื่องมือต่างๆ โดยที่บุคลากรด้านการศึกษายังไม่ได้รับการพัฒนา ตรงนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ขอเน้นย้ำทุกท่าน รวมไปถึงการเรียนรู้นอกห้องเรียนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญ เพราะเราไม่ได้ดูแลเด็กนักเรียนเฉพาะในห้องเรียนเท่านั้น แต่การเรียนรู้นอกห้องเรียนก็มีความจำเป็นอย่างมากต่อสถานการณ์โลกในปัจจุบัน และหากท่านใดมีคำแนะนำ หรือข้อเสนอเชิงนโยบาย ก็สามารถส่งมาที่อาจารย์เพื่อที่จะนำมาพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกัน“ศ.ดร.นฤมล กล่าว

รบ.เตือนผู้ปกครอง “เด็กไทย” พบเป็นโรคอ้วน อันดับ 3 ของอาเซียน

“รัฐบาล”เตือนผู้ปกครองร่วมกันดูแลสุขภาพเด็กไทย พบเป็นโรคอ้วน อันดับ 3 ของอาเซียน เดินหน้าร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ทั้งในระดับชาติและท้องถิ่น เพื่อสร้างสังคมสุขภาวะที่เข้มแข็ง ห่างไกลโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)

วันนี้ (29 มิถุนายน 2568 ) เวลา 08.30 น. นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า จากข้อมูลสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า ประเทศไทยมีเด็กที่เป็นโรคอ้วนสูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศในกลุ่มอาเซียน จากพฤติกรรมบริโภคอาหารหวาน มัน เค็ม ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และการเสียชีวิตอันดับ 1 ของการเสียชีวิตทั้งหมดของคนไทยหรือเกือบ 4 แสนคนต่อปี โดยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เป็นกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง คือ ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคและไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ แต่เป็นโรคที่เกิดจากนิสัยหรือพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ซึ่งจะมีการดำเนินโรคอย่างช้า ๆ ค่อย ๆ สะสมอาการอย่างต่อเนื่อง อาทิ โรคเบาหวาน โรคมะเร็งต่าง ๆ โรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง และโรคอ้วนลงพุง

นอกจากนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ภายใต้โครงการการสื่อสารเรื่องการใช้ยาเพื่อลดความเสี่ยงโรคไต เสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการใช้ยาและส่งเสริมพฤติกรรมการใช้ยาที่ถูกต้อง ระบุว่า คนไทยป่วยโรคไตเรื้อรังทะลุ 1.13 ล้านคน ทั้งนี้ จากการสำรวจความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในบุคลากรด้านสาธารณสุขและประชาชน ปี 2567 กองบริหารการสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ภาพรวมประชาชนมีระดับความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลเพียง 64.9% ส่วนใหญ่มีระดับความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลที่เพียงพอระดับดี 43.9% ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีโรคประจำตัวจากการวินิจฉัยของแพทย์ 52.5% และมีการซื้อยาใช้เอง 50.6%

นายอนุกูล กล่าวว่า ปัญหาการใช้ยาไม่เหมาะสม การใช้ยาเกินความจำเป็นและการใช้ยาอย่างไม่ถูกต้อง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพ เช่น อาการแพ้ยาปฏิชีวนะ อาการไม่พึงประสงค์ และปัญหาการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะยากลุ่มต้านการอักเสบ (NSAIDs)  ยาชุด และสมุนไพรบางชนิด อาจมีฤทธิ์หรือคุณสมบัติทำให้ไตทำงานได้ลดลง ซึ่งจากรายงานภาวะสังคมไตรมาส 3/2567 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า คนไทยมีการป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังและมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น จากจำนวนผู้ป่วย 0.98 ล้านคน ในปีงบประมาณ 2565 เพิ่มขึ้นเป็น 1.13 ล้านคน ในปี 2567

“รัฐบาล โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มุ่งส่งเสริมความรู้ด้านสุขภาวะและพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง ทั้งในเรื่องการใช้ยาอย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงโรคไตในกลุ่มวัยทำงาน และการปรับพฤติกรรมบริโภคของเด็กไทยเพื่อป้องกันโรค NCDs ตั้งแต่วัยเยาว์ เดินหน้าร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ทั้งในระดับชาติและท้องถิ่น สร้างสังคมสุขภาวะที่เข้มแข็ง และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างยั่งยืน ผ่านการขับเคลื่อนงานสร้างเสริมสุขภาพ โดยใช้แนวคิด “สามเหลี่ยมสมดุล” เสริมสร้างศักยภาพเด็กนักเรียน ให้ตระหนักต่อการสร้างเสริมสุขภาวะ ผ่านเมนูอาหารกลางวันที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ ตลอดจนพัฒนาโครงการอาหารปลอดภัยในผู้สูงอายุ ช่วยให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพดี ลดอัตราของโรค NCDs โดยตั้งเป้าภายในปี 2568 จะมีการขยายผลโครงการไปสู่กลุ่มแกนนำผู้สูงอายุต่อไป” นายอนุกูล ระบุ

"สิงห์ซัมเมอร์แคมป์” เปิดคลาสเรียนกับนักกีฬาทีมชาติ "เอ็กซ์ตรีม-มวยไทย-แบดฯ-เทควันโด" สานฝันเด็กไทย

"สิงห์ซัมเมอร์แคมป์" เปิดโอกาสเด็กไทยเรียนรู้ฝึกทักษะกีฬาสุดท้าทาย ในคลาสนักกีฬาทีมชาติไทย 1 ใน 7 คลาสของค่ายปิดเทอมฤดูร้อน ที่เปิดโอกาสให้เยาวชนได้ฝึกฝนทักษะ ผ่าน 7 กิจกรรมที่เน้นการลงมือปฏิบัติ โดยคลาสนักกีฬาทีมชาติไทยประกอบด้วยกีฬาชนิดต่างๆ ได้แก่ แบดมินตัน, มวยไทย, กีฬาเอ็กซ์ตรีม, และเทควันโด โดยในแต่ละครั้งจะได้เรียนรู้จากโค้ชและนักกีฬาระดับทีมชาติ พร้อมสอนเทคนิคพิเศษที่จะทำให้ผู้เรียนทั้งสนุกและได้ทักษะในเวลาเดียวกัน สร้างแรงบันดาลใจในการค้นหาความชื่นชอบของตนเอง ต่อยอดความฝันเป็นนักกีฬาทีมชาติไทยในอนาคต

วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 "สิงห์ซัมเมอร์แคมป์" เปิดโอกาสเด็กไทยเรียนรู้ฝึกทักษะกีฬาสุดท้าทาย ในคลาสนักกีฬาทีมชาติไทย 1 ใน 7 คลาสของค่ายปิดเทอมฤดูร้อน โดยกีฬาแบดมินตัน สอนโดยโรงเรียนแบดมินตัน บ้านทองหยอด, มวยไทย สอนโดย ค่ายมวยบัญชาเมฆ ,เอ็กซ์ตรีม สอนโดยสมาคมกีฬาเอ็กซ์ตรีมแห่งประเทศไทย และเทควันโด สอนโดยสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย โดยในการเรียนแต่ละครั้ง น้องๆ เยาวชนจะได้เรียนกับโค้ชและนักกีฬาทีมชาติ ได้แก่ บัวขาว บัญชาเมฆ นักมวยไทยชื่อดัง เมย์-รัชนก อินทนนท์, วิว-กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักแบดมินตันทีมชาติไทย, และ เอสที-วารีรยา สุขเกษม นักสเก็ตบอร์ดทีมชาติไทย มาร่วมสอนและโชว์ทักษะในคลาสนักกีฬาทีมชาติไทย 

สำหรับค่ายฤดูร้อน "สิงห์ ซัมเมอร์แคมป์" ปีที่ 14 ประกอบด้วย 7 กิจกรรม ได้แก่ คลาสนักวิทย์, คลาสฮัลโหล-หนีฮ่าว, คลาสจูเนียร์เชฟ, คลาสหน่วยกู้ชีพ, คลาสจิตรกรเชียงราย, คลาสพลังทีมเวิร์ค และคลาสทีมชาติไทย เพื่อค้นหาตัวตนและสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กและเยาวชนอายุ 8-12 ปี ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงบริษัทในเครือทั้ง 10 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, ปทุมธานี, นครปฐม, อยุธยา, เชียงใหม่, เชียงราย, มหาสารคาม, ขอนแก่น, สิงห์บุรี และสุราษฎร์ธานี จำนวนกว่า 1,000 คน ให้ได้ใช้เวลาว่างในช่วงปิดเทอมอย่างสร้างสรรค์โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ตลอดระยะเวลา 9 สัปดาห์ ระหว่างเดือนมี.ค.-พ.ค. 68 โครงการนี้จึงมีประโยชน์ทั้งในด้านการพัฒนาทักษะชีวิต ทักษะกีฬา การสร้างแรงบันดาลใจ การอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข และการส่งเสริมสุขภาพร่างกายและจิตใจที่ดีอีกด้วย

มูลนิธิสานอนาคตการศึกษาฯ รับมอบสมาร์ทโฟนซัมซุง 384 เครื่อง ส่งมอบโรงเรียนเพิ่มโอกาสให้เด็กไทยยุคดิจิทัลอย่างเท่าเทียม

ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีคือหัวใจสำคัญที่จะทำให้การศึกษาไทยก้าวทันยุคดิจิทัล...มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี โดย ดร.เนตรชนก วิภาตะศิลปิน (ขวาสุด) กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี และคณะทำงานมูลนิธิฯ เป็นตัวแทนรับมอบสมาร์ทโฟนซัมซุง รวม 384 เครื่อง ซึ่งประกอบด้วย รุ่น Galaxy Z Flip4  จำนวน 147 เครื่อง และรุ่น Galaxy Z Fold4 จำนวน 237 เครื่อง จากบริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด

ทั้งนี้นางพรรณวลัย อินทราพิเชฐ  ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดองค์กร ที่เล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาและต้องการให้เยาวชนไทยเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียม พร้อมกันนี้ นายพงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โชว์ไร้ขีด จำกัด ในนาม BT beartai ผู้เชื่อมโยงโอกาสแห่งการให้ในการส่งมอบสมาร์ทโฟนซัมซุงคุณภาพดีที่ใช้ในการสาธิตการใช้งาน (Demo Device) ผ่านมูลนิธิฯ ให้แก่โรงเรียนคอนเน็กซ์อีดี เข้าร่วมพิธีมอบด้วย  ณ ทรู ดิจิทัล พาร์ค

การนี้มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี จะนำร่องนำสมาร์ทโฟนซัมซุงทั้ง 384 เครื่อง ไปกระจายมอบให้แก่โรงเรียนคอนเน็กซ์อีดีในแต่ละภูมิภาค เพื่อให้นักเรียนได้ใช้ค้นคว้าหาข้อมูล เสริมความรู้ ประสบการณ์ และทักษะสำคัญ อีกทั้ง ยังเป็นประโยชน์ในการจัดการเรียนรู้ในศูนย์การเรียนรู้ชุมชน หรือ Learning Center โดยเฉพาะคอร์สการเรียนรู้ออนไลน์ต่างๆ อีกทั้งใช้ในการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรใน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ในหลากหลายวิชาสำคัญ รวมถึงกิจกรรมนอกหลักสูตร ส่งเสริมการเรียนรู้ตามความสนใจของผู้เรียน โดยจะมีผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (ICT Talent) ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่ประจำแต่ละโรงเรียนภายใต้การดูแลของมูลนิธิฯ ทำหน้าที่บริหารจัดการ มีระบบการยืมคืน ให้คำแนะนำในการใช้งานสมาร์ทโฟนอย่างสร้างสรรค์และเกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมทั้งติดตามผลและจัดทำรายงานผลสัมฤทธิ์โครงการ ภาคเรียนละ 2 ครั้งอีกด้วย

“ลิซ่า”ไอดอล! “ดุสิตโพล” เผย “เด็กไทย” อยากได้ “ทุนการศึกษา” จากนายกฯ-รัฐบาลเป็นของขวัญ "วันเด็กแห่งชาติ"

เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2568 สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นเด็กไทยทั่วประเทศ เรื่อง “เสียงสะท้อนจากเด็กไทย ปี 2568” ระหว่างวันที่ 7-10 มกราคม 2568 กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กไทยอายุระหว่าง 6-18 ปี จำนวน 1,030 คน สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม พบว่า สิ่งที่เด็กไทยชอบหรือประทับใจที่สุดในวัยเรียน คือ การเล่นกับเพื่อน ๆ ในโรงเรียน ร้อยละ 66.21 นอกเหนือจากห้องเรียน เด็กไทยชอบเรียนรู้จากการดูคลิปหรือเรียนรู้จากมือถือ/แท็บเล็ตมากที่สุด ร้อยละ 76.99 ทักษะที่สำคัญสำหรับอนาคต คือ ทักษะการรู้จักป้องกันและรับมือกับภัยอันตรายทั้งในชีวิตจริงและออนไลน์ ร้อยละ 74.76 ทั้งนี้ เด็กไทยอยากเห็นประเทศไทยเปลี่ยนแปลง คือ โรงเรียนและการเรียนสนุกขึ้น ร้อยละ 61.26 ของขวัญที่อยากได้จากรัฐบาล/นายกรัฐมนตรีในวันเด็กปีนี้ คือ ทุนการศึกษา เงินช่วยเหลือ ร้อยละ 74.37 นอกจากคุณพ่อคุณแม่ คนที่เด็กไทยชื่นชมและเป็นแรงบันดาลใจ คือ ลิซ่า ลลิษา ร้อยละ 47.09 รองลงมาคือ คุณครู ร้อยละ41.26

นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล กล่าวว่า จากผลโพลสะท้อนเสียงของเด็กไทยอายุ 6-18 ปี ว่า “ความสนุก” ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของช่วงวัยนี้ ทั้งการเล่นกับเพื่อนในโรงเรียนและคาดหวังให้การเรียนในห้องเรียนสนุกมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ที่มุ่งเน้น “เรียนดี มีความสุข” หากสามารถผลักดันให้เกิดขึ้นได้ ย่อมตอบโจทย์ผู้เรียนอย่างแท้จริง ผลโพลยังชี้ให้เห็นว่าเด็กไทยตระหนักถึงภัยมิจฉาชีพออนไลน์ การพัฒนาด้านเทคโนโลยี รวมถึงชื่นชมบุคคลศิลปินระดับโลกอย่าง “ลิซ่า ลลิษา” คุณครู นักกีฬา ไปจนถึงนักการเมืองอย่าง “พิธา” และ “แพทองธาร”

คลังชง ครม.ออกสลากการกุศลหมื่นล้าน รับนโยบายฟื้นเรียนฟรี 1 อำเภอ 1 ทุน ส่งเด็กไทยเรียน ตปท.ยื่นขอทุน ก.พ.68  

คลังชง ครม.ออกสลากการกุศล 1 หมื่นล้าน รับนโยบายฟื้นเรียนฟรี 1 อำเภอ 1 ทุน ส่งเด็กไทยเรียน ตปท.ยื่นขอทุนก.พ.68 

เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.67 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลังเปิดเผยว่า เพื่อจัดหาแหล่งทุนรองรับโครงการ “หนึ่งทุน หนึ่งอำเภอ” หรือ “ODOS” ของรัฐบาล มุ่งขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลในปี 2568 กระทรวงการคลังจึงเตรียมเสนอ ครม.พิจารณา จำหน่ายสลากการกุศลวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้เป็นทุนยกระดับการศึกษาของเด็กไทยหลายโครงการ เช่น การมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียน เยาวชน มีผลการเรียนดี อำเภอละ 1 ทุน มุ่งเสริมให้เด็กไทยในหลายจังหวัดทั่วประเทศ ได้มีโอกาสเดินทางไปเรียนต่อปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยชั้นนำของต่างประเทศ และนำความรู้ประสบการณ์กลับมาพัฒนาประเทศ

สำหรับโครงการ “หนึ่งอำเภอ หนึ่งซัมเมอร์แคมป์” และโครงการอัพเกรดโรงเรียนประจำอำเภอ ให้เป็นโรงเรียนต้นแบบ เติมครู เติมเทคโนโลยี พัฒนาทักษาภาษา นำระบบ AI มาใช้ในโรงเรียน หลังเสนอ ครม.พิจารณาแล้ว คาดว่าจะออกสลากการกุศลชุดใหม่ วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท ระยะเวลา 2 ปี ประมาณ 11 ล้านฉบับ คาดว่าเริ่มขายสลากการกุศลได้ในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.68 โดยสำนักงานเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี เตรียมเสนอที่ประชุม ครม.เร็วๆ นี้ จากนั้นรายละเอียดการออกสลากการกุศล เสนอบอร์ดสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยสำนักงาน ก.พ.จะมีระบบการคัดเลือกคนเก่งเรียนดีในแต่ละอำเภอ เพื่อส่งไปเรียนในต่างประเทศ หวังฟื้นนโยบายเดิม เตรียมเปิดให้เยาวชนไทยยื่นขอทุนการศึกษาได้ในช่วงเดือนก.พ.68

#ข่าววันนี้ #เด็กไทย #สลากการกุศล #หนึ่งทุนหนึ่งอำเภอ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

เบบี้กิ๊ฟ ร่วมมือ เอเลเบเบ เปิดโครงการ "คาร์ซีทใหม่ ปลอดภัยกว่า" ส่งเสริมคาร์ซีทคุณภาพสูงให้เด็กไทย

น.ส.อรุณศรี พิริยเลิศศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบบี้ กิ๊ฟ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยถึงเจตนารมณ์ของโครงการ 'คาร์ซีทใหม่ ปลอดภัยกว่า' ว่า เบบี้กิ๊ฟ เชื่อมั่นว่าเด็กทุกคนสมควรได้รับการปกป้องดูแลอย่างดีที่สุดระหว่างการเดินทางบนรถยนต์ การร่วมมือกับ Ailebebe แบรนด์คาร์ซีทคุณภาพความปลอดภัยสูงจากประเทศญี่ปุ่น  จะช่วยยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยให้กับเด็ก ๆ ชาวไทยได้และช่วยให้ผู้ปกครองสามารถเข้าถึงคาร์ซีทคุณภาพสูงได้ง่ายขึ้น นอกเหนือจากการแลกเปลี่ยนคาร์ซีทในราคาพิเศษแล้ว เรายังมุ่งมั่นให้ความรู้เรื่องการใช้งานคาร์ซีทอย่างถูกวิธีและปลอดภัย ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจร่วมกันของเบบี้กิ๊ฟและเอเลเบเบ ที่ต้องการมอบความปลอดภัยสูงสุดให้เด็ก ๆ ทุกคนเสมอมา

โครงการ "คาร์ซีทใหม่ ปลอดภัยกว่า" จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน ถึงวันที่ 31 พฤศจิกายน 2567 โดยผู้ปกครองสามารถนำคาร์ซีทเก่าไม่จำกัดสภาพ รุ่น ยี่ห้อ มาเปลี่ยนเป็นคาร์ซีท Ailebebe รุ่น Swingmoon พร้อมรับส่วนลดสูงสุดถึง 75% ในราคาเริ่มต้นเพียง 6,900 บาท 

คาร์ซีท Ailebebe รุ่น Swingmoon เหมาะสำหรับเด็กอายุ 1 – 7 ปี หรือ น้ำหนัก 9 – 25 กิโลกรัม หรือมีส่วนสูง 75 – 120 เซนติเมตร สามารถติดตั้งได้กับรถยนต์ทุกรุ่น ด้วยระบบเข็มขัดนิรภัย ผลิตและนำเข้าโดยตรงจากประเทศญี่ปุ่น ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูงตามข้อกำหนดของสหภาพยุโรป(ECE)  มีโครงสร้างแข็งแรง สามารถปรับเอนนอนได้ในตัวถึง 3 ระดับ ช่วยให้ลูกนั่งสบายได้ตลอดทาง

นอกจากนี้ Ailebebe ยังปรับลดราคาคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดจนถึงเด็กโตทุกรุ่นตลอดโครงการนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ทุกครอบครัวได้ใช้คาร์ซีทคุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงง่าย

สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ร้านเบบี้กิ๊ฟ 6 สาขา ได้แก่ สาขา Central World, สาขา BTS วงเวียนใหญ่, สาขา นอร์ทปาร์ค (วิภาวดี-ประชาชื่น), สาขา Mega บางนา, สาขา The Crystal รามอินทรา และช่องทางออนไลน์ได้ที่ LINE ID : @babygiftretail, Facebook Instagram : BabyGiftretail 

น่าเป็นห่วง! พบเด็กไทยตกอยู่ในสภาพเนือยนิ่ง-ขาดการออกกำลังกาย “พชภ.”จับมือ “ม.มหิดล” ร่วมหาทางออก

ผลการสำรวจพบเด็กไทยตกอยู่ในสภาพเนือยนิ่ง-ขาดการออกกำลังกายเหตุสภาพสังคมเปลี่ยน พชภ.จับมือ ม.มหิดล ร่วมหาทางออก

วันที่ 7 มิถุนายน 2567 ห้องประชุมโรงแรมเอ็มบูติค จ.เชียงราย มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา(พชภ.)โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ได้มีการประชุมโครงการสร้างเสริมสุขภาวะทางกายเด็กและเยาวชนชุมชนชาติพันธุ์เขตพื้นที่ต้นน้ำจังหวัดเชียงราย โดยคณาจารย์จากโรงเรียนต่างๆที่ร่วมโครงการ เจ้าหน้าที่ สพฐ. รพสต. และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข อสม. กว่า 50 คน รวมทั้งนางเตือนใจ ดีเทศน์ กรรมการผู้ก่อตั้งมูลนิธิพชภ. และนางจุฑามาศ ราชประสิทธิ์ ผู้จัดการโครงการเพื่อส่งคืนรายงานผลการสำรวจสถานการณ์กิจกรรมทางกาย (Physical Activity) ในเด็กและเยาวชนชาติพันธุ์

นางจุฑามาศ กล่าวว่า ในปี พ.ศ. 2566 ทางโครงการได้คัดเลือก “นักสืบกายดี” จากนักเรียนแกนนำทำหน้าที่เป็นผู้เก็บข้อมูล โรงเรียน 9 แห่ง โดยนักสืบกายดีที่คัดมาจะได้รับการอบรมวิธีการเก็บข้อมูลเพื่อนๆ เรื่องสุขภาพของเพื่อนโรงเรียนเดียวกัน จำนวน 50 คน รวมทั้งหมด 450 คน ในระดับชั้น ม.1 - ม.3 หลังจากเก็บข้อมูลโครงการฯ ได้นำมาสังเคราะห์ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แล้วคืนข้อมูลให้กับโรงเรียนเครือข่ายในพื้นที่ อ.แม่ฟ้าหลวง อ.เวียงแก่น อ.แม่สรวย อ.แม่จัน รวมกว่า 30 โรงเรียน

นางจุฑามาศกล่าวว่า ส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนของเยาวชนชาติพันธุ์หลายกลุ่ม มีการวางแผนการทำงานร่วมกันในการจัดกิจกรรมทางการในโรงเรียนและแก้ไขพฤติกรรมเนือยนิ่งทำให้สุขภาพเด็ก ๆ ไม่แข็งแรง จากข้อมูลพบว่า นอกจากเด็กจะลดพฤติกรรมการเคลื่อนไหวทางกายด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เด็กที่อยู่ในโรงเรียนถูกคาดหวังจากผู้ปกครองให้เรียนสูงๆและมีวิชาชีพ จึงมีการติวเข้มเรียนพิเศษต่างๆ ทำให้เด็กต้องอยู่กับการเรียนมาก ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เด็กเคลื่อนไหวทางกายน้อยลง หลังเก็บข้อมูลและวิเคราะห์จะต้องมาออกแบบกิจกรรมร่วมกันครูในโรงเรียน ซึ่งมีกิจกรรมทางกายที่เชื่อมกับสังคม เช่นการเดินกับเพื่อนหรือสัตว์เลี้ยง กิจกรรมดั้งเดิมชาติพันธุ์ การเล่นเกม การนันทนาการกลางแจ้ง

“ทางโครงการฯ ก็ได้ร่วมหารือแลกเปลี่ยนกับอาจารย์จากมหาวิยาลัยมหิดล ที่มุ่งจะพัฒนาการส่งเสริมสุขภาวะทางกายเป็นกระแสหลัก ที่ทางมหาวิทยาลัยมหิดลได้จัดทำศูนย์ส่งเสริมสุขภาวะทางกาย 130 โรงเรียนใช้แนวทางวิทยาศาสตร์สุขภาพโดยผู้ออกแบบกิจกรรม ซึ่งทางโครงการพร้อมที่จะร่วมหารือแนวทางต่อไป นอกจากนี้ได้นำเสนอโครงการฯ ต่อทางเทศบาลท้องถิ่นในพื้นที่ที่สนใจ รวมถึงผลักดันผ่าน สพฐ.ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย” นางจุฑามาศ กล่าว

นางเตือนใจ กล่าวว่า ในอดีตนักเรียนมีการออกกำลังกายในกิจวัตรประจำวัน การปลูกพืชผัก การทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน อยู่ในที่อากาศดี รายงานกิจการศึกษาวิจัยที่ร่วมจัดทำกันในครั้งนี้ได้เป็นการเรียนรู้ร่วมกัน ทั้งครู นักเรียน อนาคตจะชักชวนผู้ปกครองเข้ามาร่วม เพราะพบว่าปัจจุบันพบว่าเด็กมีโรคต่างๆ มากขึ้น ทั้ง ความดันเบาหวาน โรคหัวใจ ไขมันพอกตับ ซึ่งในที่ประชุมครูอาจารย์ที่เข้าร่วมได้นำเสนอข้อหารือใน 3 เรื่อง คือ 1 เมนูอาหารกลางวันในโรงเรียนที่ สพฐ. กำหนดมาให้เลือกทำส่วนใหญ่เป็นเมนูอาหารภาคกลางที่เด็กไม่ชอบรับประทาน แต่ก็ต้องทำตามที่กำหนด ไม่สามารถทำเมนูของชาติพันธุ์ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ทางโรงเรียนได้พัฒนาเมนูอาหารชาติพันธุ์ ร่วมกับทางโครงการฯ ทำใน “เมนูถูกใจเด็กใกล้ฟ้า” จึงต้องการให้มีอาหารของท้องถิ่นในเมนูที่สามารถทำได้

2 คือ การแนะแนวศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมปลาย ที่ปัจจุบันต้องการให้เด็กได้เลือกเรียนตรงตามความถนัดและความต้องการในการศึกษาต่อ เพราะปัจจุบันมีปัญหาเด็กหยุดเรียนกลางคันในชั้นมัธยมปลายมากขึ้น และการแนะแนวทั้งเทอมก่อนจบ 3 ความไม่ชัดเจนเรื่องการรับนักเรียนไร้สัญชาติ  ระยะหลังมีเด็กกลุ่มนี้เข้ามามาก และเมื่อนักเรียนมาสมัครเรียน มีการรับรองตัวตนจากผู้ใหญ่บ้าน โรงเรียนก็รับเข้าเรียนตามสิทธิ พรบ.การศึกษา แต่ปัจจุบันปรากฎว่าทางฝ่ายปกครองให้ผู้อำนวยการและครูประจำชั้น ถ่ายภาพคู่กับนักเรียนไร้สัญชาติ จึงทำให้ครูเกิดความกังวลว่า แม้ทำตาม พรบ.การศึกษาแล้ว จะมีความผิดหรือไม่ ในอนาคตจึงต้องการความชัดเจน

“ทั้งสามเรื่อง ทาง พชภ.ได้เตรียมพิจารณาดำเนินการหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาและผลักดันเชิงนโยบายต่อไป” นางเตือนใจ กล่าว