"ดีพร้อม" จับมือเดลต้า คิกออฟ ดีพร้อม x เดลต้า เองเจิล ฟันด์ คอนเน็ค ปีที่ 10 ดึง 2 พันธมิตร ชู Content Marketing

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ผนึกกำลัง บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัท มีเดียแท็งค์ จำกัด และสมาคมการค้าอินฟลูเอนเซอร์ไทย เดินหน้าสร้างโอกาสแก่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ให้เติบโตผ่านโครงการ ดีพร้อม x เดลต้า เองเจิล ฟันด์ คอนเน็ค ปีที่ 10 ขยายผลต่อยอดกลยุทธ์การตลาดผ่านการสร้างเนื้อหา หรือ Content Marketing ปั้นเทรนด์การเสพคอนเทนต์ด้านนวัตกรรม เพิ่มโอกาสด้านการตลาด ขยายฐานลูกค้า และผลักดันผู้ประกอบการ
สตาร์ทอัพไปสู่ระยะเติบโต คาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าทางการตลาดได้กว่า 50 ล้านบาท พร้อมเชื่อมโยงสตาร์ทอัพไปยังแหล่งเงินทุนให้เปล่าของบริษัท เดลต้าฯ จำนวน 5 ล้านบาท ต่อไป

นายดุสิต อนันตรักษ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม เปิดเผยว่า การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ เพื่อยกระดับผลิตภาพการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้ เป็นหนึ่งในพันธกิจสำคัญที่กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งดำเนินการ โดยการนำของ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ประกอบกับนโยบายของ ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มุ่งเน้นการปรับอุตสาหกรรมเข้าสู่วิถีใหม่ โดยให้ความสำคัญในการยกระดับทุกองค์ประกอบของภาคอุตสาหกรรมควบคู่กับการสร้างความเข้มแข็งและกระจายรายได้สู่ชุมชน ด้วย ‘หัว’ และ ‘ใจ’ โดยเฉพาะเน้นการปรับเปลี่ยนธุรกิจและอุตสาหกรรมไปสู่อุตสาหกรรมศักยภาพ หรือ S-curve พร้อมปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจที่เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจในอนาคต ทั้งยังสอดคล้องกับการสร้างกลไกสนับสนุนการพัฒนาขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ ตามนโยบายของ นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อขอรับการสนับสนุนเงินทุนไปต่อยอดแนวคิดให้เกิดขึ้นเป็นธุรกิจใหม่ หรือขับเคลื่อนธุรกิจเชิงนวัตกรรมให้มีโอกาสเติบโตในเชิงพาณิชย์

โดย ดีพร้อมเดินหน้าติดปีกสตาร์ทอัพไทย ผ่านโครงการเชื่อมโยงแหล่งเงินทุนและตลาดสำหรับวิสาหกิจเริ่มต้น หรือ DIPROM x DELTA Angel Fund Connect ปีที่ 10 พร้อมเปิดกิจกรรมบ่มเพาะทักษะทางธุรกิจ และการตลาดอย่างเข้มข้น (Marketing camp) จำนวน 5 วันเต็ม รวมทั้งเชื่อมโยงเครือข่ายกับผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์ (Content creator) ปั้นเทรนด์การเสพคอนเทนต์ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย โดยได้รับความร่วมมือจากสมาคมการค้าอินฟลูเอนเซอร์ไทย ร่วมค้นหาและคัดเลือกผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์  เข้าร่วมโครงการ และมีบทบาทสำคัญในการสร้างกระแส สร้างการรับรู้ และกระจายข้อมูลให้กับผู้คนทั่วโลก ซึ่งเป็นการส่งเสริมสตาร์ทอัพให้สามารถเข้าถึงช่องทางการตลาดใหม่ๆ ขยายฐานลูกค้า และผลักดันไปสู่ระยะเติบโตมากขึ้น นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพได้ทำงานร่วมกับพันธมิตรภาคอุตสาหกรรม  เพื่อร่วมการทดลองใช้นวัตกรรม หรือ โซลูชั่นส์ในตลาดจริง (Proof of Concept: PoC) ถือเป็นมิติใหม่ของการพัฒนานวัตกรรม เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการและง่ายต่อการขยายผลในเชิงธุรกิจ และเป็นก้าวสำคัญที่ดีพร้อมมุ่งส่งเสริมในปีนี้ ก่อนเข้าสู่การนำเสนอโมเดลธุรกิจต่อแหล่งทุนในกิจกรรม Pitching Day ยิ่งไปกว่านั้น ได้มีความร่วมมือกับ บริษัท มีเดียแท็งค์ (Shark Tank Thailand) เพื่อส่งต่อสตาร์ทอัพเข้าร่วมรายการให้สามารถสร้างโอกาสในการเชื่อมโยงไปสู่นักลงทุนรายอื่นๆได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย

นายวิคเตอร์ เจิ้ง ประธานกรรมการบริหารบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทเดลต้าฯ ร่วมกับดีพร้อมในการดำเนินธุรกิจเชิง CSR โดยการคืนกลับสู่สังคมในรูปแบบการสนับสนุนทุนเพื่อพัฒนาต่อยอดให้กับสตาร์ทอัพไทยผ่านโครงการ Angel Fund นับตั้งแต่เปิดตัวโครงการในปี 2559 ได้มีการเสริมศักยภาพให้กับสตาร์ทอัพกว่า 200 ราย เป็นเงินทุนมากกว่า 33.16 ล้านบาท และช่วยสร้างงาน 927 ตำแหน่ง ซึ่งโครงการดังกล่าวมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการนำนวัตกรรมต่าง ๆ เข้าสู่ตลาดเชิงพานิชย์ได้อย่างชัดเจน สำหรับปีนี้ ทางบริษัทฯ ทุ่มเงินจำนวน 5 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการสนับสนุนเงินให้เปล่าแก่สตาร์อัพที่มีธุรกิจและผลิตภัณฑ์เชิงนวัตกรรม จำนวน 4 ล้านบาท และสนับสนุนผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์ จำนวน 1 ล้านบาท ให้สามารถต่อยอดการเริ่มต้นธุรกิจได้ และในฐานะผู้ให้การสนับสนุนด้านเงินทุนกับสตาร์ทอัพ คิดว่าโจทย์ใหญ่ของสตาร์ทอัพไทยในปีนี้ คือ การเร่งคิดค้นนวัตกรรมหรือเทคโนโลยี เพื่อแก้ไขปัญหาของโลกในบริบทต่าง ๆ อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง หรือ Climate change ซึ่งมีผลกระทบต่อพวกเราทุกคนหรือจากสถานการณ์ปัจจุบันที่พวกเราต้องการสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ เพื่อให้คุณภาพชีวิตของพวกเราดีขึ้น

ทั้งนี้โครงการกําลังเติบโตขึ้น โดยในปีนี้ได้มีพันธมิตรใหม่อย่างสมาคมการค้าอินฟลูเอนเซอร์ไทย และ Shark tank มาเสริมความแข็งแกร่ง จึงอยากจะกระตุ้นให้สตาร์ทอัพทุกคนใช้ประโยชน์จากโอกาสเหล่านี้ เพื่อเรียนรู้จากธุรกิจชั้นนำในประเทศไทยและสร้างความมั่นใจ โดยการเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ และตระหนักว่าชีวิต คือการเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้า ซึ่งหวังว่าทุกคนจะสนุกกับความท้าทายในเหล่านี้ พร้อมกับนำความคิดไปต่อยอดพัฒนาธุรกิจไปสู่อีกระดับต่อไป วิคเตอร์ เจิ้ง กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับผู้ประกอบที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการเพื่อสนับสนุนการจัดตั้งธุรกิจ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองส่งเสริมผู้ประกอบการและธุรกิจใหม่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม โทรศัพท์ 0 2430 6873 ต่อ 1625 หรือติดตามความเคลื่อนไหวและข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่ www.diprom.go.th และ www.facebook.com/dipromindustry

GPSC-เดลต้า ประเทศไทย บรรลุข้อตกลง ร่วมศึกษาโซลูชันพลังงานหมุนเวียน ชูนวัตกรรมพลังงานสะอาด

GPSC – เดลต้า บรรลุข้อตกลงร่วมมือศึกษาการจัดหาไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ทั้งรูปแบบ On-site และภายใต้ Direct PPA หรือผ่าน TPA พร้อมเดินหน้าสู่ RE 100 ด้วยเทคโนโลยีนวัตกรรมพลังงาน เพื่อการบริหารจัดการพลังงานครบวงจร และเป็นเครื่องมือสำคัญของภาคการผลิตและส่งออกสินค้าคาร์บอนต่ำ รับมือกติกาการค้าโลกเข้มข้น ใช้สินค้าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  

เมื่อวันที่ 19 ก.พ.68 นายมนัสชัย คงรักษ์กวิน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่พัฒนาธุรกิจ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. เปิดเผยว่า นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ GPSC ได้ร่วมลงนามความร่วมมือศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดหาพลังงานหมุนเวียน หรือแสวงหาโอกาสการพัฒนาแนวทางการลดการปลดปล่อยคาร์บอนฯ ร่วมกับนวัตกรรมด้านการจัดการพลังงาน ผ่านสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct Power Purchase Agreement: Direct PPA) และ/หรือ ผ่านการขอใช้บริการระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลที่สาม (Third Party Access: TPA) กับ นายแจ็คกี้ จาง ประธานฝ่ายบริหารและปฏิบัติการ (COO) และ นายเคอร์ติส คู ผู้อำนวยการธุรกิจประจำประเทศไทย บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้นำระดับโลกด้านการจัดการพลังงานและผู้ให้บริการโซลูชันสีเขียวอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย IoT โดย GPSC จะเป็นผู้จัดหาพลังงานหมุนเวียนด้วยนวัตกรรมและโซลูชั่นต่างๆ ด้านการบริหารจัดการพลังงานอย่างครบวงจร เป็นไปตามนโยบายของ เดลต้า ที่มีความต้องการใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้ 100% (RE 100) สู่เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่ตั้งเป้าไว้ในปี 2573

สำหรับแผนการศึกษาในครั้งนี้ จะพิจารณาพลังงานหมุนเวียน และการใช้น้ำเย็นคาร์บอนต่ำที่เหมาะสม ซึ่งสามารถนำมาใช้ร่วมกับเทคโนโลยีด้านจัดการพลังงาน ที่จะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้พลังงานที่มีเสถียรภาพในการป้อนกำลังไฟฟ้าเพื่อการผลิต ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ระบบกักเก็บพลังงาน พร้อมด้วยการวางระบบส่งและโซลูชันด้านการบริหารจัดการพลังงานอย่างครบวงจร บริหารจัดการต้นทุนด้านพลังงาน และเป็นไปตามข้อกำหนดการส่งออกไปยังต่างประเทศ ป้องกันผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการผลิต ทั้งนี้ GPSC และ เดลต้า จะพัฒนาโครงการที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) เพื่อเดินหน้าสู่การลดคาร์บอนฯ ร่วมกัน

“GPSC ในฐานะองค์กรชั้นนำด้านนวัตกรรมพลังงาน มุ่งมั่นเติบโตในพลังงานหมุนเวียนที่มีความเชี่ยวชาญ ทั้งเทคโนโลยี และการบริการโซลูชัน พร้อมให้บริการในการออกแบบเชิงบูรณาการให้สอดรับความต้องการของลูกค้า สอดคล้องกับสองกลยุทธ์ทางธุรกิจที่สำคัญ ได้แก่ S2 Scale-Up Green Energy และ S4 Shift to Customer-Centric Solutions  จากกลยุทธ์ 4S ซึ่งประกอบด้วย S1 สร้างความแข็งแกร่งพร้อมขยายการให้บริการให้ธุรกิจหลัก (Strengthen and Expand the Core)  S2 การพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียน (Scale-Up Green Energy) S3 การลงทุนด้านนวัตกรรมจากธุรกิจใหม่ (New S-curve) และ S4 บริการโซลูชันด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า (Shift to Customer-Centric Solutions) อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพัฒนาแหล่งผลิตพลังงานหมุนเวียนประเภทต่างๆ ตามเป้าหมายที่สามารถตอบสนองความต้องการใช้พลังงานหมุนเวียนของ เดลต้า ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายมนัสชัย กล่าว 

นายแจ็คกี้ จาง ประธานฝ่ายบริหารและปฏิบัติการ (COO) ของบริษัทเดลต้า ประเทศไทย กล่าว “ความยั่งยืนคือหัวใจของเดลต้า เรามุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจโดยใช้นวัตกรรมและให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งในยุคที่มีความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดคือพันธกิจสำคัญของเรา โดยเรามุ่งหวังใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ภายในปี 2573 และบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมของเดลต้า เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับการยอมรับจากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ เช่นเดียวกับ GPSC ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงเจตนารมณ์เดียวกันของทั้งสองบริษัทในการสร้างความยั่งยืน ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพด้านพลังงานสะอาด การจัดเก็บพลังงาน และผลักดันการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน”

โดยจากสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่เป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน ส่งผลให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมต้องปรับเปลี่ยนการใช้พลังงาน โดยเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน หรือพลังงานสะอาดมากขึ้น รวมถึงปัจจัยทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลต่อราคาพลังงานให้มีความผันผวนในระดับสูง และข้อกำหนดการค้าระหว่างประเทศที่เข้มข้นในเรื่องการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ผู้ประกอบการผลิตสินค้าต้องแสวงหาการพัฒนาพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งปัจจุบัน GPSC มีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางด้านพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม สอดรับกับผู้ประกอบที่แสวงหานวัตกรรมการผลิตไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและบริบทใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

เดลต้า  อีเลคโทรนิคส์ ในฐานะพลเมืององค์กรระดับโลกและผู้นำด้านการจัดการพลังงานและความร้อน เดินหน้าพัฒนาโซลูชันที่เป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พลังงานยั่งยืนเข้าถึงได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  โดยบริษัทไม่ได้เพียงแต่อิงตามกระแสเท่านั้น แต่ยังมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์กำลังขั้นสูง ที่จะช่วยส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด ระบบจัดเก็บพลังงานอัจฉริยะ และระบบการจัดการพลังงานที่ตอบโจทย์ความต้องการในปัจจุบัน ด้วยความร่วมมือกับ GPSC เดลต้ามุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมให้กับภาคอุตสาหกรรมและชุมชนสู่อนาคตที่ยั่งยืน

"ดีพร้อม" จับมือ "เดลต้า" อัดฉีดเงินทุนหนุนธุรกิจสตาร์ทอัพไทยภายใต้โครงการ “DIPROM x DELTA ANGEL FUND” ปี 9

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM) กระทรวงอุตสาหกรรม ผนึกกำลัง บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) อัดฉีดเงินทุนหนุนสตาร์ทอัพไทยปรับฐานสตาร์ทอัพไทย สู่ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมระดับสากล ภายใต้โครงการ “DIPROM x DELTA ANGEL FUND 2024” ซึ่งในปีนี้ นับเป็นปีที่ 9 ที่ DIPROM และ DELTA ได้ร่วมมือกันพัฒนาความรู้และทักษะการดำเนินธุรกิจให้แก่ Startup รวมถึงสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน อันจะนำไปสู่การยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการและประเทศต่อไป โดยในปีนี้ได้มอบเงินทุนจำนวน 10 ทีม รวมเงินทุนสนับสนุนทั้งสิ้น 5,000,000 บาท พร้อมโชว์นวัตกรรม อาทิ อากาศยานไร้คนขับขึ้นลงแนวดิ่งประสิทธิภาพสูง, วัสดุดูดซับและห้ามเลือดรูปแบบฟองน้ำที่ทำจากพอลิเมอร์ธรรมชาติ, แพลตฟอร์มไมโครอาเรย์แบบละลายได้สำหรับการนำส่งยา, อุปกรณ์ช่วยพลิกตัวอัตโนมัติเพื่อป้องกันแผลกดทับ และ อุปกรณ์ AI Audiologist สำหรับการคัดกรอง วิเคราะห์ และแนะนำการได้ยิน รวมไปถึงนวัตกรรมใหม่ๆ ที่พร้อมเข้าสู่ตลาดเชิงพาณิชย์ คาดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในปีนี้กว่า 80 ล้านบาท

นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวถึงความสำคัญของโครงการว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมหรือ DIPROM มีความมุ่งมั่นในการสนับสนุนและพัฒนาผู้ประกอบการสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการดำเนินธุรกิจ ดังนั้น จึงเดินหน้าส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการเริ่มต้นใหม่ หรือสตาร์ทอัพ เพื่อนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งได้ร่วมมือกับ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในโครงการ “DIPROM x DELTA ANGEL FUND” อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 โดยยังคงมุ่งเน้นให้การสนับสนุนเงินทุนเพื่อการจัดตั้งวิสาหกิจเริ่มต้น ด้วยการบ่มเพาะสตาร์ทอัพ ในกลุ่มอุตสาหกรรม S-Curve และ New S-Curve เพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์พัฒนานวัตกรรมหรือเทคโนโลยีในระยะเวลาจำกัด การสร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนต่อยอดธุรกิจ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ในเชิงพาณิชย์ รวมทั้งส่งต่อนวัตกรรมใหม่ๆไปยังภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้นวัตกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ ในการดำเนินธุรกิจในภาพรวม

โดยในปี  2567 ทางโครงการได้เพิ่มเติมหัวข้อการใช้นวัตกรรมในรูปแบบการดำเนินธุรกิจ และอยู่ในสาขา Deep Technology และ Soft Power เพื่อให้ผู้ประกอบการมีความสามารถในการพัฒนา และยกระดับธุรกิจ ให้สามารถแข่งขันได้ในปัจจุบัน โดยมี 10 ทีมที่มีนวัตกรรมโดดเด่นและมีศักยภาพในการเติบโต อาทิ

• อากาศยานไร้คนขับขึ้นลงแนวดิ่งประสิทธิภาพสูง: เทคโนโลยีโดรนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม ตอบสนองความต้องการในด้านการพัฒนาธุรกิจ อาทิ โดรนขนส่งเวชภัณฑ์เพื่อเข้าถึงบริการทางการแพทย์ในพื้นที่ห่างไกล โดรนเฝ้าระวังพื้นที่ป้องกันการบุกรุก เป็นต้น

• วัสดุดูดซับและห้ามเลือดรูปแบบฟองน้ำจากพอลิเมอร์ธรรมชาติ: นวัตกรรมที่สามารถหยุดการไหลของเลือดและเร่งกระบวนการหายของแผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีศักยภาพในการใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินทางการแพทย์

• แพลตฟอร์มไมโครอาเรย์สำหรับการนำส่งยา: เทคโนโลยีที่สามารถนำส่งยาในระดับไมโคร ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาและลดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์

• อุปกรณ์ช่วยพลิกตัวอัตโนมัติเพื่อป้องกันแผลกดทับ: อุปกรณ์ที่ช่วยพลิกตัวผู้ป่วยอัตโนมัติเพื่อลดความเสี่ยงของแผลกดทับ ซึ่งจะช่วยยกระดับการดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาลและบ้านพักคนชรา

• อุปกรณ์ AI Audiologist สำหรับการคัดกรองและวิเคราะห์การได้ยิน: เทคโนโลยี AI ที่ช่วยในการวิเคราะห์การได้ยินและให้คำแนะนำในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ที่มีปัญหาทางการได้ยิน

นายวิคเตอร์ เจิ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การสนับสนุนสตาร์ทอัพเป็นหนึ่งในภารกิจหลักของบริษัทเรา เพราะเราเชื่อว่าธุรกิจสตาร์ทอัพบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและนวัตกรรมของประเทศ ในฐานะที่เป็นหน่วยงานเอกชนที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เรามองเห็นถึงความสำคัญของการร่วมมือกับภาครัฐเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ โดยการเข้าร่วมในโครงการ “DIPROM x DELTA ANGEL FUND” ในปีนี้เราได้มอบเงินสนับสนุนให้กับ 10 ทีมที่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในพัฒนาเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน จำนวน 5,000,000 บาท การสนับสนุนของเรามุ่งเน้นไปที่การให้ทุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การสร้างโอกาสในการเข้าถึงตลาด รวมถึงการเสริมสร้างทักษะการบริหารจัดการธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถขยายตลาดและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก เราเชื่อว่า การร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐในโครงการนี้จะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นการลงทุนที่มีคุณค่าต่ออนาคตของธุรกิจไทย โดยบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จะยังคงเดินหน้าสนับสนุนและร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมการเติบโตและการพัฒนาของธุรกิจสตาร์ทอัพและ SMEs ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง”

ทั้งนี้ ผลจากการดำเนินงานตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการได้รับทุนสนับสนุนจากบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จำนวน 207 ทีม (จากทั้งหมด 415 ทีม) รวมมูลค่ากว่า 33.16 ล้านบาท โดยในปี พ.ศ.2564 บริษัท สามารถคอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมสนับสนุนทุนให้แก่ผู้ประกอบการ จำนวน 25 ทีม รวมมูลค่า 580,000 บาท ซึ่งการสนับสนุนเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจสตาร์ทอัพและกระตุ้นการเติบโตของนวัตกรรมในประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวอีกด้วย

“ออริจิ้น” ปิดดีลขายบิ๊กล็อตคอนโดให้ “เดลต้า” 415 ยูนิต มูลค่ากว่า 1,000 ล้าน รับเงินแล้วกว่า 80% ทยอยโอนกรรมสิทธิ์ใน Q2-3/2567

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ปิดดีลขายบิ๊กล็อต 2 คอนโดมิเนียมโซน BTS สายสีเขียวฝั่งสมุทรปราการ “ไนท์บริดจ์ สุขุมวิท-เทพารักษ์” และ “ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ สายลวด สเตชั่น” ให้ “เดลต้า” รวม 415 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้าน รับเงินแล้วกว่า 80% พร้อมทยอยโอนกรรมสิทธิ์ใน Q2-3/2567 หลังเดลต้ามองโอกาสได้ที่พักฟังก์ชันครบ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่ม Expat เข้าพักระหว่างทำงานระยะสั้น-กลางในไทยเดินหน้าโอนกรรมสิทธิ์ต่อเนื่อง พร้อมลุยคว้าบิ๊กล็อตโซนแหล่งงาน-นิคมกับหลากบริษัทเพิ่มเติม

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทสามารถปิดดีลขายคอนโดมิเนียมโซน BTS สายสีเขียวฝั่งสมุทรปราการ แบบบิ๊กล็อต จำนวน 2 โครงการ 415 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 1,023 ล้านบาท ให้แก่ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ผู้นำโซลูชันการจัดการพลังงานและความร้อนและผู้นำธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยโครงการที่ขายบิ๊กล็อตในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.ไนท์บริดจ์ สุขุมวิท-เทพารักษ์ (Knightsbridge Sukhumvit-Thepharak) โครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ พร้อมอยู่ จำนวน 137 ยูนิต มูลค่ารวม 368 ล้านบาท และ 2.ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ สายลวด สเตชั่น (Origin Plug & Play Sailuat Station) โครงการคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้แห่งเดียวในสมุทรปราการ ที่มาพร้อมกับฟังก์ชันห้องเพดานสูง จำนวน 278 ยูนิต มูลค่า 655 ล้านบาท

“นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการเดินหน้าธุรกิจในรูปแบบใหม่ๆ เราไม่ได้จำกัดแค่การขายคอนโดให้แก่ผู้อยู่อาศัยเองทั่วไป แต่เรามองตลาดให้กว้างขึ้น ด้วยการขายคอนโดให้แก่บริษัทที่มีความมั่นคง มีฐานการผลิตในประเทศไทย และต้องการที่อยู่อาศัยให้พนักงานจำนวนมาก ดีลนี้สะท้อนถึงความไว้วางใจของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเดลต้าที่มีต่อเครือออริจิ้น และสะท้อนถึงโอกาสของเราต่อตลาดที่อยู่อาศัยติดรถไฟฟ้าใกล้แหล่งงาน” นายพีระพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ รายการขายบิ๊กล็อตให้กับกลุ่มเดลต้าในครั้งนี้ บริษัทได้รับเงินมาแล้วกว่า 80% แบ่งเป็น ยอดโอนกรรมสิทธิ์จากโครงการพร้อมอยู่ไนท์บริดจ์ สุขุมวิท-เทพารักษ์ และเงินรับล่วงหน้าโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ สายลวด สเตชั่น ก่อนที่โครงการจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 1/2568 เพื่อเป็นสวัสดิการให้กลุ่ม Expat ของ DELTA ที่เข้ามาประจำการทำงานระยะสั้น-กลางในไทย

นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า โมเดลการขายแบบบิ๊กล็อตนั้น ถือเป็นโมเดลที่ช่วยสร้างทั้งยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่บริษัทได้อย่างรวดเร็ว เช่น กรณีโครงการออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ สายลวด สเตชั่น นั้น ยอดขายแบบบิ๊กล็อตคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 25% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด และยังช่วยให้บริษัทได้รับยอดโอนกรรมสิทธิ์เข้ามารวดเร็วกว่าการขายในรูปแบบปกติ ส่งผลดีต่อการบริหารจัดการสภาพคล่อง ช่วยให้รอบของการใช้เงินทุนสั้นลง

โดยที่ผ่านมา นอกเหนือจากการพัฒนาสินค้าให้มีฟังก์ชันใหม่ๆ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของผู้บริโภค อาทิ ห้องเพดานสูง 4.2 เมตร ฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของทั้งคนและสัตว์เลี้ยง บริษัทยังมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมทางการตลาดใหม่ๆ ควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทมีโมเดลการขายสินค้ากับทั้งกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง กลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุนระยะยาวภายใต้ Origin Investment Property Program ตลอดจนกลุ่มลูกค้าต่างชาติ การเปิดตลาดกลุ่มลูกค้าแบบ B2B ที่ซื้อสินค้าแบบบิ๊กล็อต จะเป็นอีกหนึ่งโมเดลที่บริษัทเดินหน้าเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าบริษัทที่ต้องการที่พักที่มีฟังก์ชันการอยู่อาศัยครบวงจร

“เรายังมีโครงการคอนโดมิเนียมที่สามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าแบบ B2B ได้อีกหลายแห่ง ทั้งในแถบ BTS สายสีเขียวฝั่งสมุทรปราการ ซึ่งใกล้แหล่งภาคการผลิตและโลจิสติกส์ แถบเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ใกล้นิคมอุตสาหกรรม พร้อมตอบโจทย์หลากหลายกลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรม” นายพีระพงศ์ กล่าว

สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 158 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 1/2567) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin), โซ ออริจิ้น (So Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิ ออริจิ้น (The Origin), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton),ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (Britania) รวมมูลค่าโครงการกว่า 247,795 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจให้บริการลูกบ้าน ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และ 4.ธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) กลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร

"ออริจิ้น" จับมือ "เดลต้า" ยกระดับบ้าน-คอนโด-โรงแรม สู่ความยั่งยืน ส่งมอบนวัตกรรมกรีนและ Smart Home พลิกโฉมประสบการณ์การใช้ชีวิต

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ หรือ ORI ผนึกกำลัง “เดลต้า” เตรียมส่งมอบนวัตกรรมสมาร์ทโฮม-นวัตกรรมอาคารเขียว อาทิ นวัตกรรมพลังงานแสงอาทิตย์, EV Charger สู่โครงการบ้านจัดสรร-คอนโด-โรงแรม ใหม่ในเครือออริจิ้น สร้างสังคมคาร์บอนต่ำ ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้บริโภคสู่ความยั่งยืน นำร่องใน 3 โครงการ ภายใน ไตรมาส 2/2567 นี้ พร้อมร่วมลุยกิจกรรมเพื่อสังคมและกิจกรรมการตลาดทั้งในและต่างประเทศ

นางอารดา จรูญเอก ประธานอำนวยการ และกรรมการกำกับดูแลบรรษัทภิบาลเพื่อความยั่งยืน บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า บริษัทได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ผู้นำโซลูชันการจัดการพลังงานและความร้อนและผู้นำธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ในการนำนวัตกรรมสมาร์ทโฮม และนวัตกรรมอาคารเขียว (Green Building Solutions) ของ DELTA มาใช้ภายในโครงการพัฒนาใหม่ในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ทั้งกลุ่มโครงการบ้านจัดสรรภายใต้บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI โครงการคอนโดมิเนียมภายใต้บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ORIGIN VERTICAL และโรงแรมภายใต้บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) หรือ ONEO

“วันนี้ประเด็นสำคัญที่ผู้คนทั่วโลกต่างตระหนักร่วมกันคือเรื่องความยั่งยืน ผู้คนต้องการมีชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดีต่อสุขภาพมากขึ้น และมีนวัตกรรมอัจฉริยะมากขึ้น ออริจิ้นในฐานะหนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ มุ่งมั่นสร้างความร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อมาร่วมส่งมอบนวัตกรรมที่ช่วยสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ หรือ Low-carbon society ให้ผู้บริโภค DELTA ถือเป็นพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนสอดคล้องกัน และเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีนวัตกรรมกรีนและนวัตกรรมอัจฉริยะต่างๆ อย่างครบถ้วน เชื่อว่าสินค้าของ DELTA จะเข้ามาช่วยเติมเต็มความสุข ยกระดับประสบการณ์การใช้ชีวิตให้แก่ผู้บริโภคในบ้าน คอนโดมิเนียม และโรงแรมของเราได้” นางอารดา กล่าว

ทั้งนี้เบื้องต้น บริษัทจะนำสินค้าและนวัตกรรมของ DELTA อาทิ EV Charger, ERV Wall Type, UV Sanitizer, Smart Pole เข้ามานำร่องใช้ในโครงการใหม่ในเครือออริจิ้น ดิ ออริจิ้น อี 22 สเตชั่น, เบลกราเวีย ราชพฤกษ์-นครอินทร์ ภายในช่วง ไตรมาส 2/2567 นี้ และจากนั้น จะทยอยนำไปใช้ในโครงการใหม่อื่นๆ รวมถึงดำเนินกิจกรรมอื่นๆ ร่วมกันต่อไป

ด้านนายแจ็คกี้ จาง ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่าง DELTA และออริจิ้น ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการยกระดับการใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้มากยิ่งขึ้น โดยโซลูชันการจัดการคุณภาพอากาศภายในอาคารของเดลต้าสามารถช่วยแก้ไขปัญหาใหญ่อย่างมลพิษทางอากาศ PM2.5 ในประเทศไทย พร้อมช่วยส่งเสริมสุขภาพและการเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ ขณะเดียวกัน DELTA ยังคงมุ่งมั่นร่วมกับพันธมิตรภาคอสังหาริมทรัพย์ดำเนินการส่งมอบโซลูชันระบบอัตโนมัติและระบบเฝ้าระวังความปลอดภัยอัจฉริยะที่หลากหลาย ควบคู่กับโซลูชั่นสถานีชาร์จรถไฟฟ้าตลอดจนพลังงานสีเขียวเพื่อสภาพแวดล้อมการทำงานและการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน

โดยความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระยะยาวครั้งนี้มุ่งเน้นให้ประโยชน์แก่ลูกค้าของออริจิ้น ด้วยการส่งมอบสินค้าและโซลูชันที่หลากหลายของ DELTA ตั้งแต่กลุ่มสมาร์ทโฮมโซลูชัน อาทิ ระบบอาคารอัตโนมัติ ระบบเฝ้าระวังความปลอดภัยอัจฉริยะ และโซลูชันการจัดการคุณภาพอากาศภายในอาคาร เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัย ความเป็นอยู่ที่ดี พร้อมช่วยประหยัดพลังงาน นอกจากนี้ DELTA จะร่วมมือกับออริจิ้นในการพัฒนาโซลูชันอาคารสีเขียวโดยใช้โซลูชันการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน และระบบกักเก็บพลังงานที่มีประสิทธิภาพของ DELTA นอกจากนี้ ออริจิ้น และ DELTA ยังมีแผนจะดำเนินงานด้านกลยุทธ์การตลาดร่วมกัน อาทิ การจัดอีเวนท์ภายในประเทศ การจัดอีเวนท์ในต่างประเทศ การทำโรดโชว์ ขณะเดียวกัน ยังมีความมุ่งมั่นจะเดินหน้าทำกิจกรรมเพื่อสังคมและชุมชนร่วมกัน ตอบโจทย์การสร้างสังคมและชุมชนที่ยั่งยืนอีกด้วย

สำหรับ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA เป็น ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันการจัดการพลังงานและความร้อนและผู้นำธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในเครือ Delta Electronics, Inc. มีกลุ่มธุรกิจครอบคลุมตั้งแต่ กลุ่มพาวเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มระบบอัตโนมัติ กลุ่ม Mobility และกลุ่มระบบโครงสร้างพื้นฐาน โดดเด่นด้วยโซลูชันประหยัดพลังงานที่ผ่านการวิจัยและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีสำนักงานขายอยู่ในหลากภูมิภาคสำคัญทั่วโลก รวมถึงมีฐานการผลิตและศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D center) ในไทย และนานาประเทศ

ขณะที่ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 158 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 1/2567) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin), โซ ออริจิ้น (So Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิ ออริจิ้น (The Origin), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton),ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (Britania) รวมมูลค่าโครงการกว่า 247,795 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจให้บริการลูกบ้าน ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และ 4.ธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) กลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร

DELTA ออกแถลงการณ์พนักงานประท้วงขอโบนัส 8.5 เดือนพร้อมเงิน 5 หมื่นบาท

DELTA ออกแถลงการณ์พนักงานประท้วงขอโบนัส 8.5 เดือนพร้อมเงิน 5 หมื่นบาท

จากกรณีกลุ่มพนักงานในโรงงานเดลต้า นิคมเวลโกรว์ จ.ฉะเชิงเทรา ประท้วงขอโบนัส 8.5 เดือน บวกเงิน 50,000 บาทนั้น บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ถึงแถลงการณ์เกี่ยวกับการเจรจาที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างบริษัทและสหภาพแรงงาน โดยระบุว่าเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุเข้าใจผิดและให้ความชัดเจนแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสาธารณชน

บริษัทขอชี้แจง 2 ประเด็นที่ปรากฏในสื่อและรายงานออนไลน์ ที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาข้อเรียกร้องที่กำลังดำเนินอยู่ระหว่างบริษัทกับสหภาพแรงงานดังนี้

1.ในด้านผลกำไร : เดลต้าประเทศไทย ขอชี้แจงว่า ไม่เคยแจ้งกับสหภาพแรงงานหรือฝ่ายอื่นใดว่าบริษัทไม่มีผลกำไร การกล่าวอ้างดังกล่าวถือว่าไม่ถูกต้อง รายได้และสถานะทางการเงินของบริษัททั้งหมดเป็นไปตามที่รายงานอย่างเป็นทางการผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และบนเว็บไซต์ของบริษัทที่สาธารณชนสามารถเข้าถึงได้

2.ด้านโบนัสสำหรับสิ้นปี 2566 : เดลต้าประเทศไทย ขอชี้แจงว่าไม่เคยแจ้งกับสหภาพแรงงานหรือฝ่ายอื่นใดว่าบริษัทปฏิเสธที่จะจ่ายโบนัสประจำปี หรือเงินบวกพิเศษให้กับพนักงาน เนื่องจากบริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาทางกฎหมาย บริษัทจึงไม่สามารถยืนยันรายละเอียดเช่น อัตราการจ่ายโบนัสในปี 2566 ซึ่งทั้งหมดเป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับของประเทศไทยที่ยังเปิดเผยไม่ได้หากการเจรจายังไม่ยุติ อย่างไรก็ตาม บริษัทจะสื่อสารกับสหภาพแรงงานและพนักงานทุกคนอย่างต่อเนื่อง เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดดังกล่าว บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันกับสหภาพแรงงาน และยินดีรับฟังการหารืออย่างเปิดเผย เพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน

ในทุกๆปี บริษัทจะทบทวนแพ็กเกจค่าตอบแทนร่วมกับสหภาพแรงงาน โดยนโยบายค่าตอบแทนและสวัสดิการนั้นจะสอดคล้องกับพระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. 2541 เสมอ บริษัทบริหารจัดการค่าตอบแทน เงินเดือน และค่าจ้างโดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆเช่น คุณสมบัติ ประสบการณ์ ระดับการทำงาน ตำแหน่ง ความรับผิดชอบ และผลการปฏิบัติงานส่วนบุคคล โดยมีการเปรียบเทียบกับอัตราเงินเดือนของบริษัทอื่นที่มีลักษณะธุรกิจคล้ายคลึงกัน ทั้งด้านอัตราค่าจ้างในประเทศ สภาวะตลาดและอุปสงค์ รวมถึงผลการดำเนินงานของบริษัท

สุดท้ายนี้ฝ่ายบริหารของบริษัทยังยืนยันและยึดมั่นในหลักการดำเนินธุรกิจให้เกิดความยั่งยืนและประโยชน์ต่อสังคม โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ดีที่สุดในเรื่องการจ่ายเงินเดือน และโครงสร้างสวัสดิการแก่พนักงานของเราให้มีความทัดเทียมกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย ขณะเดียวกัน บริษัทต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่านโยบาย ทิศทาง กลยุทธ์ และวิธีการที่ใช้จะสามารถสนับสนุนให้บริษัทเติบโตได้อย่างยั่งยืนดังที่หวัง ซึ่งจะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อทุกฝ่าย

นอกเหนือจากสหภาพแรงงานแล้ว บริษัทยังต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายที่มีความสำคัญต่อความสำเร็จของบริษัท และการเติบโตที่ยั่งยืนในวันข้างหน้า บริษัทกำลังมองหาความร่วมมือที่สร้างสรรค์มากขึ้นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และหวังว่าจะนำเดลต้าไปสู่ความสำเร็จในอีกระดับร่วมกัน

 

#DELTA #โบนัส #เดลต้า #สหภาพแรงงาน #ตลาดหลักทรัพย์

 

“DPAINT” กางแผนธุรกิจตั้งเป้าโต 100% ใน 3 ปี รายได้มากกว่า 2 พันล้าน ชูกลยุทธ์ 360 Integrated Developme

บมจ.สีเดลต้า หรือ DPAINT เปิดแผนธุรกิจปี 2566 ชูกลยุทธ์ 360 Integrated Development เต็มรูปแบบ ปักธงรายได้โต 100% ภายในปี 2568 คาดมีรายได้แตะ 2,000 ล้านบาท แต่งตั้ง CO-CEO เสริมแกร่งทีมผู้บริหาร ตอกย้ำศักยภาพความเป็นผู้นำสีแห่งนวัตกรรมและเคมีภัณฑ์ก่อสร้างแบบครบวงจร

นายรณฤทธิ์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สีเดลต้า หรือ “DPAINT” เปิดเผยว่า “ บริษัทฯ มีวิสัยทัศน์ที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และมุ่งสู่การเป็น 1 ในผู้นำในอุตสาหกรรมสี และ เคมีก่อสร้างแบบครบวงจร โดยบริษัทฯได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้น 100% ภายใน 3 ปี ด้วยกลยุทธ์ธุรกิจ 360 Integrated Development เต็มรูปแบบ ซึ่งจะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนใน อัตราปีละ 30 % โดย DPAINT ได้วางแผนกลยุทธ์ที่หลากหลายคือ 1. เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มสีทาอาคารและเคมีก่อสร้าง 2. พัฒนาช่องทางการจัดจำหน่าย  3. มุ่งเน้นตลาดสีระดับพรีเมียม และระดับกลาง  4. เพิ่มรายได้จากการขายโครงการ  5. ขยายตลาดประเทศกลุ่ม CLMV  6. ลงทุนหรือร่วมทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้าง Synergy  7. เสริมทีมบริหารระดับสูงและระดับกลาง เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ บริษัทฯ ได้แต่งตั้งนายมงคล ตั้งใจพิทักษ์ ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม หรือ Co-CEO ร่วมกับนายรณฤทธิ์ ตั้งคารวคุณ โดยบริษัทฯ เชื่อมั่นว่า นายมงคล ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง ในบริษัทชั้นนำด้านอุตสาหกรรมสี เคมีภัณฑ์ก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างของไทยหลายแห่ง อาทิ กลุ่ม SCG (ปูนซิเมนต์ไทย) และกลุ่ม บมจ. ทีโอเอ และมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในสายงานมากกว่า 30 ปี จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของ DPAINT ภายใต้แผนกลยุทธ์ผู้นำสีแห่งนวัตกรรม และเคมีภัณฑ์ก่อสร้างในรูปแบบต่างๆ อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ การขยายช่องทางการขายสินค้า เพิ่มสินค้าเข้าขยายสู่ตลาด CLMV การร่วมทุนหรือเพิ่มพันธมิตร (Joint Venture) และการเข้าซื้อกิจการ (M&A) รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพทีมงานขาย รวมไปถึงการต่อยอดธุรกิจให้มีความเติบโตแบบก้าวกระโดด จนสามารถเพิ่มความสามารถการแข่งขันในระดับสากลได้ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้อย่างดี”

นายมงคล ตั้งใจพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท สีเดลต้า จำกัด (มหาชน) หรือ DPAINT เปิดเผยว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของบมจ.สีเดลต้า หนึ่งในผู้นำด้าน สีทาอาคารและเคมีภัณฑ์ก่อสร้างของไทย สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2566 ได้กำหนดเป้ารายได้ให้เติบโตประมาณ 1,200 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโตกว่า 30% ด้วยการเน้นจับกลุ่มตลาดระดับพรีเมียมและระดับกลาง ซึ่งเป็นเซกเมนต์ใหญ่ ที่ให้ผลตอบแทนที่ดี และเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมทั้งขยายธุรกิจกลุ่มเคมีก่อสร้างให้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ อีกทั้งแนวคิดการพัฒนาโครงการร่วมกับพันธมิตร โดยจะนำศักยภาพพร้อมทั้งความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาส่งเสริมและพัฒนาตามกลยุทธ์ของบริษัทฯ เพื่อต่อยอดความแข็งแกร่งของธุรกิจ

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ล่าสุดอย่างต่อเนื่องทั้งกลุ่มสีทาอาคาร และเคมีก่อสร้าง เป็นความมุ่งมั่นตั้งใจของบริษัทฯ ที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อรองรับกับทุกการใช้งาน และตรงกับความต้องการของทุกกลุ่มลูกค้าในตลาด โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย สะดวกต่อการใช้งาน  อีกทั้งบริษัทฯ ยังได้คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย การเข้ามาดำรงตำแหน่งในครั้งนี้ ผมมีความตั้งใจที่จะเดินหน้าสานต่อนโยบายตามกลยุทธ์ของบริษัทฯ เพื่อแสวงหาโอกาส ในการลงทุนทั้งทางด้านธุรกิจสี เคมีภัณฑ์ก่อสร้าง และการพัฒนาสินค้าในรูปแบบต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ พร้อมสร้างผลการดำเนินงานและขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตต่อเนื่องอย่างมั่นคงและยั่งยืน

นายอรรถพล ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บมจ. สีเดลต้า หรือ “DPAINT” เปิดเผยถึงทิศทางการเติบโตทางการเงินของบริษัทฯ ว่า “ DPAINT เห็นโอกาสการฟื้นตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งโครงการแนวราบและโครงการอาคารสูง ที่จะส่งผลดีต่อธุรกิจสี เคมีภัณฑ์ก่อสร้าง และวัสดุก่อสร้าง ตลอดจนโอกาสจากธุรกิจฮาร์ดแวร์ที่ยังมีโอกาสการเติบโตได้อีกมาก นอกจากนี้กำไรขั้นต้นในปี 2566 ยังมีแนวโน้มค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากราคาวัตถุดิบบางส่วนเริ่มทยอยปรับตัวลดลง อีกทั้ง บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้การเติบโตภายใน 3 ปีข้างหน้า หรือในปี 2568 คาดว่าจะมีรายได้รวมอยู่ที่ 2,000 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนรายได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มสีทาอาคาร 2. กลุ่มเคมีภัณฑ์และก่อสร้าง และกลุ่มอื่นๆ

DPAINT มีนโยบายสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง ด้วยการลงทุนหรือร่วมทุนกับพันธมิตรธุรกิจที่พร้อมจะเติบโตไปพร้อมกัน ล่าสุดคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติการลงทุนใน บริษัท โฮมเพ้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นเครือข่ายศูนย์จำหน่ายสีทาอาคารชั้นนำของไทย มีการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเข้าถือหุ้นในอัตรา 15% ด้วยงบลงทุนไม่เกิน 75 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ได้ศึกษาวิเคราะห์สถานะพร้อมประเมินมูลค่าบริษัทฯ ด้วยการลดกระแสเงินสดเสร็จสิ้นแล้ว โดย บริษัท โฮมเพ้นท์ จำกัด มีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในอนาคตอันใกล้เพื่อสนับสนุนให้บริษัทฯ เติบโตอย่างยืน นอกจากนี้  DPAINT ยังได้ศึกษาการลงทุนในโครงการและธุรกิจต่างๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ถือหุ้นและกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ