"เจแอลแอล" แต่งตั้ง "กฤช ปิ่มหทัยวุฒิ" นั่งกรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย

เจแอลแอล แต่งตั้ง กฤช ปิ่มหทัยวุฒิ เป็นกรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย

เจแอลแอลประกาศแต่งตั้งคุณกฤช ปิ่มหทัยวุฒิ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการคนใหม่ประจำประเทศไทย และยังคงดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วยธุรกิจบริการด้านการลงทุนต่อไป โดยจะมีผลในวันที่ 1 กรกฎาคม การแต่งตั้งกรรมการผู้จัดการคนใหม่ในครั้งนี้ สะท้อนจุดมุ่งหมายระยะยาวและความเชื่อมั่นของเจแอลแอลที่มีต่อประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญสำหรับกลยุทธ์การเติบโตของเจแอลแอลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โดยในฐานะกรรมการผู้จัดการ คุณกฤชจะดูแลรับผิดชอบการดำเนินงานทั้งหมดของเจแอลแอลในประเทศไทย ได้แก่ การกำกับดูแลหน่วยธุรกิจต่างๆ การพัฒนาองค์กรและบุคลากร การกำหนดกลยุทธ์ การกำกับดูแลผลประกอบการขององค์กร พร้อมกับรับผิดชอบการดูแลลูกค้าในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่กำลังมีพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงมากยิ่งขึ้น ตลอดรวมถึงการเป็นผู้นำทีมผู้บริหารภายในประเทศ

คุณไมเคิล แกลนซี กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล ประจำประเทศไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และ เวียดนาม กล่าวว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ภาคธุรกิจอสังริมทรัพย์ของไทยได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และจากการที่เราคาดว่าพัฒนาการที่เกิดขึ้นนี้จะยังคงดำเนินต่อไปในทศวรรษที่กำลังจะมาถึง เราจำเป็นต้องมีผู้นำที่เต็มไปด้วยพลังและความคิดสร้างสรรค์เข้ามาช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจในระยะต่อไปของเรา

คุณกฤชมีความเป็นผู้นำสูงโดยธรรมชาติ  และเป็นผู้ที่พัฒนาธุรกิจ Capital Markets ของเจแอลแอลในประเทศไทยให้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของตลาดอย่างไร้ข้อสงสัย โดยธุรกิจ Capital Markets ที่คุณกฤชรับหน้าที่ดูแล มีความโดดเด่นในฐานะที่ปรึกษาด้านการลงทุนที่สามารถแก้ไขปัญหาและปิดดีลใหญ่ ๆ ของประเทศไทยที่มีความซับซ้อนสูงให้กับลูกค้าของเราได้อย่างต่อเนื่อง

ภายใต้การนำของคุณกฤช เราเชื่อว่า วัฒนธรรมการทำงานที่มุ่งเน้นผลสำเร็จสูงสุดให้แก่ลูกค้าของเรา ซึ่งได้รับการปลูกฝังภายใต้การนำของคุณกฤชในธุรกิจบริการด้านการลงทุนของเจแอลแอล จะสะท้อนออกมาในหน้าที่รับผิดชอบต่าง ๆ ที่กว้างขึ้นในฐานะกรรมการผู้จัดการของเราในตลาดที่มีพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงสูงอย่างประเทศไทยต่อไป

คุณกฤชจะยังคงทำหน้าที่ปัจจุบันต่อไปด้วยในฐานะหัวหน้าหน่วยธุรกิจบริการด้านการลงทุน โดยตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา คุณกฤชมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาธุรกิจของเจแอลแอล ด้านบริการเกี่ยวกับการลงทุนและที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ ในปี 2567 ทีม Capital Markets ที่นำโดยคุณกฤช มีบทบาทสำคัญในการทำให้เจแอลแอล ได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนอันดับ 1 ของประเทศไทย โดย MSCI Real Assets ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 ด้วยส่วนแบ่งการตลาดในประเทศไทยที่สูงถึง 93.6% และจากการเข้ารับแต่งตั้งครั้งนี้ คุณกฤชจะเป็นหนึ่งในทีมผู้บริหารในระดับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเจแอลแอลอีกด้วย

ก่อนเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ คุณกฤชรับผิดชอบธุรกิจบริการด้านการลงทุนของเจแอลแอล ตั้งแต่ปี 2562 และยังเคยรับผิดชอบงานในฝ่ายบริการงานวิจัยและให้คำปรึกษาของเจแอลแอลในหลากหลายภาคส่วนเป็นเวลา 5 ปีก่อนหน้า โดยคุณกฤชจะนำประสบการณ์เหล่านี้มาพัฒนาองค์กรและบริการให้แก่ลูกค้าของเจแอลแอล ในตำแหน่งใหม่ที่ได้รับมอบหมายนี้

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับหน้าที่กรรมการผู้จัดการและจะนำพาเจแอลแอลไปสู่การเติบโตในระยะต่อไป ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอลมีบุคลากรที่มากความสามารถ ประสบการณ์เชิงลึกที่ครอบคลุมหลากหลายองค์ความรู้ และเคสความสำเร็จมากมายในการให้บริการลูกค้าของเราในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งสิ่งที่ได้กล่าวมานี้เป็นส่วนสำคัญกับพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของเรา และทำให้เราสามารถให้บริการที่มีคุณภาพสูงและเหนือความคาดหมายแก่ลูกค้าของเราในทุกภาคส่วนได้อย่างต่อเนื่อง” คุณกฤชกล่าว

ตลอดกว่า 200 ปีที่ผ่านมา เจแอลแอล (JLL) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของโลก ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าในด้านการซื้อ ขาย เช่า สร้าง บริหารจัดการ และลงทุนสำหรับอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น สำนักงาน โรงงาน โกดัง โรงแรม ที่อยู่อาศัย หรือศูนย์การค้า เจแอลแอล ได้รับการจัดอันดับโดยนิตยสารฟอร์จูนให้อยู่ในกลุ่มบริษัทชั้นนำ 500 บริษัท โดยในปีที่ผ่านมามีรายได้ทั่วโลกรวมทั้งสิ้น 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบันดำเนินธุรกิจในกว่า 80 ประเทศทั่วโลก พนักงานของเราทั่วโลกรวมกว่า 110,000 คน ผสมผสานแพลตฟอร์มการให้บริการระดับโลกของบริษัทเข้ากับความเชี่ยวชำนาญของทีมงานในระดับประเทศ เราเป็นองค์กรที่ถูกขับเคลื่อนด้วยจุดประสงค์ที่ต้องการกำหนดอนาคตอสังหาริมทรัพย์เพื่อโลกที่ดีกว่า เราช่วยให้ลูกค้า พนักงาน และชุมชนของเราพบกับวิถีใหม่ที่สดใสกว่าที่เคย (SEE A BRIGHTER WAYSM) เจแอลแอล เป็นชื่อแบรนด์และเครื่องหมายการค้าของ Jones Lang LaSalle Incorporated ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ jll.com

อนาคตอสังหาริมทรัพย์ไทย 68 "เจแอลแอล" เจาะเทรนด์สำคัญพลิกโฉมตลาด ขับเคลื่อนการลงทุน

เจแอลแอล ประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของโลก เผยภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเน้นถึง 4 ปัจจัยหลักที่กำหนดทิศทางตลาดในปี 2568 ได้แก่ การที่ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นประเทศสำคัญที่ได้รับประโยชน์จากกลยุทธ์ China+1 ซึ่งกำลังดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศอย่างมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ ขณะเดียวกัน เทรนด์การกลับเข้ามาทำงานที่สำนักงานช่วยกระตุ้นความต้องการพื้นที่สำนักงานระดับพรีเมียมเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การปรับปรุงและเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์กลายเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน สำหรับภาคธุรกิจโรงแรม แนวโน้มยังคงเป็นบวก พร้อมแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนที่ต่อเนื่อง ขณะที่ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของนักท่องเที่ยวผลักดันให้ทั้งเจ้าของธุรกิจโรงแรมและผู้ประกอบการโรงแรมต้องมีความคิดสร้างสรรค์และยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน

บทบาทของประเทศไทยในกลยุทธ์ China+1 และระบบห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมมูลค่าสูง
ประเทศไทยได้ก้าวขึ้นเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับผู้ผลิตที่มองหาทางเลือกในการขยายฐานการผลิตนอกประเทศจีน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ โดยประเทศไทยได้รับความสนใจมากขึ้นจากผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์จากไต้หวันและจีน ควบคู่ไปกับการเข้ามาของผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของโลก ที่เข้ามาตั้งโรงงานแห่งใหม่ในไทยเพื่อรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ดาต้าเซ็นเตอร์ และพลังงาน 

นายร็อดดี อัลลัน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการงานวิจัยภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกของเจแอลแอล กล่าวว่า การเติบโตของ AI และความต้องการเซมิคอนดักเตอร์ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นตลาดสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง สิทธิประโยชน์ในด้านการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และหน่วยงานภาครัฐอื่นๆยังช่วยดึงดูดผู้ผลิตต่างชาติรายใหญ่ที่ต้องการลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และสร้างฐานการผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ ดาต้าเซ็นเตอร์ยังขยายตัวอย่างรวดเร็วจากความต้องการโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการพัฒนา AI และการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล แนวโน้มเหล่านี้กำลังกำหนดยุคใหม่ให้กับภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมของไทย โรงงานผลิตใหม่ๆ 

การกลับเข้ามาทำงานที่สำนักงาน (Return-To-Office): ความต้องการพื้นที่ทำงานระดับพรีเมียมที่เพิ่มขึ้น
ในขณะที่บริษัทต่างๆ ทบทวนกลยุทธ์เชิงพื้นที่และสภาพแวดล้อมในการทำงาน เทรนด์การกลับมาทำงานที่สำนักงานกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความต้องการพื้นที่สำนักงานคุณภาพสูงในย่านศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ (CBA)เพิ่มขึ้น โดยหลายองค์กรกำหนดให้พนักงานกลับเข้ามาทำงานที่อาคารสำนักงานมากขึ้น ทำให้เกิดการขยายและปรับปรุงพื้นที่ เพื่อดึงดูดและรักษาบุคลากรคุณภาพสูง

นายไมเคิล แกลนซี่ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล ประจำประเทศไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม กล่าวว่า เราเห็นการกลับมาของเทรนด์การทำงานแบบไฮบริด โดยองค์กรใหญ่ ๆ ได้เพิ่มจำนวนวันที่ต้องทำงานในสำนักงานเป็น 3-4 วันต่อสัปดาห์โดยเฉลี่ย ซึ่งส่งผลให้เกิดความต้องการพื้นที่สำนักงานระดับพรีเมียมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการมิกซ์ยูส (Mixed-used) ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของพนักงานที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ หลายบริษัทที่เคยลดขนาดสำนักงานเริ่มตระหนักว่าบริษัทต้องการพื้นที่มากขึ้นเพื่อรองรับพนักงานที่กลับเข้ามาทำงานในสำนักงาน ส่งผลให้เกิดการขยายตัวในตลาด โดยคุณภาพของสำนักงานกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกงาน ทำให้เจ้าของอาคารและผู้เช่าที่ลงทุนในการปรับปรุงพื้นที่จะได้เปรียบในการรองรับเทรนด์สำคัญที่กำลังเกิดขึ้นนี้ 

พื้นที่สำนักงานใหม่ในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ระดับพรีเมียมในโครงการมิกซ์ยูส ในขณะที่อาคารเก่าหลายแห่งถูกปรับเปลี่ยนหรือพัฒนาใหม่เป็นพื้นที่ทำงานแบบอเนกประสงค์มากขึ้น นอกจากนี้ ในย่านศูนย์กลางธุรกิจพื้นที่สำนักงานเกรด A+ มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาสูงถึง 3.7% ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตของค่าเช่าทั้งตลาดที่อยู่ที่ 1.0%

การเสริมสร้างมูลค่าสินทรัพย์และการพัฒนาพอร์ตโฟลิโอเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน
เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงพอร์ตโฟลิโอเพื่อรักษาผู้เช่าและเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ โดยในปัจจุบันมีอาคารสำนักงานเพียง 30% ของตลาดที่ได้การรับรองมาตรฐานอาคารเขียว เช่น LEED และ WELL รวมถึง WiredScore ตลอดปี 2567 มีอาคารสำนักงานถึง 13 โครงการ พื้นที่รวมกว่า 358,000 ตารางเมตร ที่ได้รับการปรับปรุงตามมาตรฐานอาคารเขียว พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกของอาคารให้สอดคล้องกับความต้องการของสถานที่ทำงานยุคใหม่

ในตลาดศูนย์การค้า ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ต่างปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและพฤติกรรมของผู้บริโภคในประเทศ ผู้ประกอบการหลายรายได้ประกาศแผนปรับปรุงและปรับตำแหน่งศูนย์การค้าในย่านใจกลางกรุงเทพฯ ในขณะที่ คอมมูนิตี้มอลล์ขนาดเล็กกำลังกลับมาได้รับความนิยมเพื่อตอบโจทย์การจับจ่ายใช้สอยในพื้นที่

ตลาดโรงแรมของไทย: ความสามารถในการฟื้นตัว และแนวโน้มเชิงบวกในอนาคต
ภาคธุรกิจโรงแรมของไทยกำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลง โดยมีทั้งการเปิดตัวแบรนด์ใหม่และกลยุทธ์การรีแบรนด์ที่เข้ามากำหนดทิศทางการแข่งขัน ธุรกิจโรงแรมทั้งแบบซอฟต์แบรนด์ (Soft Brands) และคอลเลกชันแบรนด์ (Collection Brands) จากผู้ประกอบการรายใหญ่ กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันแบรนด์ใหม่ โดยเฉพาะไลฟ์สไตล์แบรนด์ ก็เริ่มเข้าสู่ตลาดเพื่อสร้างจุดขายในตลาดที่มีการแข่งขันสูงของไทย นอกจากนี้ กรุงเทพฯ ยังเห็นการกลับมาของแบรนด์ดั้งเดิมที่เคยอยู่ในตลาดประเทศไทย ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่กลับคืนสู่ภาคธุรกิจโรงแรมของประเทศ

นายรัฐวัฒน์ คูวิจิตรสุวรรณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายบริการที่ปรึกษาและบริหารสินทรัพย์ หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม เจแอลแอล กล่าวว่า "แม้ผลการดำเนินงานของโรงแรมจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่เราคาดว่าการเติบโตจะอยู่ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับการฟื้นตัวที่ทำสถิติสูงสุดในช่วงสองปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ เรายังคาดการณ์การเติบโตที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) และการจัดงานแต่งงาน นักลงทุนมีความรอบคอบมากขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่สินทรัพย์มูลค่าสูงในทำเลพรีเมียมและมีความเปิดรับทรัพย์สินประเภทกรรมสิทธิ์เช่าระยะยาว (Leasehold) มากขึ้น โดยเฉพาะในย่านสำคัญของกรุงเทพฯ และพื้นที่รีสอร์ตริมชายหาด" 

สำหรับในปี 2568 ปริมาณการซื้อขายโรงแรมคาดว่าจะสูงถึง 13,000 ล้านบาท โดยสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีของประเทศ และสะท้อนถึงความน่าสนใจของไทยในฐานะจุดหมายหลักด้านการลงทุนและแนวโน้มเชิงบวกของนักลงทุนต่อตลาดโรงแรมที่มีศักยภาพของประเทศ

ประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนระดับภูมิภาค
ในขณะที่ประเทศไทยยังคงดึงดูดเงินทุนจากต่างชาติและเสริมสร้างสถานะในฐานะศูนย์กลางการลงทุนเชิงกลยุทธ์ เจแอลแอลยังคงมุ่งมั่นที่จะช่วยนักลงทุน ผู้พัฒนาโครงการ และเจ้าของสินทรัพย์ให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ด้วยความเชี่ยวชาญเชิงลึกในแนวโน้มตลาด การปรับเปลี่ยนสินทรัพย์ และภาคธุรกิจที่มีการเติบโตสูง เจแอลแอลพร้อมที่จะช่วยลูกค้าเปิดโอกาสใหม่ ๆ และสร้างมูลค่าในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง

โดยตลอดกว่า 200 ปีที่ผ่านมา เจแอลแอล (JLL) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของโลก ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าในด้านการซื้อ ขาย เช่า สร้าง บริหารจัดการ และลงทุนสำหรับอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น สำนักงาน โรงงาน โกดัง โรงแรม ที่อยู่อาศัย หรือศูนย์การค้า เจแอลแอล ได้รับการจัดอันดับโดยนิตยสารฟอร์จูนให้อยู่ในกลุ่มบริษัทชั้นนำ 500 บริษัท โดยในปีที่ผ่านมามีรายได้ทั่วโลกรวมทั้งสิ้น 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบันดำเนินธุรกิจในกว่า 80 ประเทศทั่วโลก พนักงานของเราทั่วโลกรวมกว่า 110,000 คน ผสมผสานแพลตฟอร์มการให้บริการระดับโลกของบริษัทเข้ากับความเชี่ยวชำนาญของทีมงานในระดับประเทศ เราเป็นองค์กรที่ถูกขับเคลื่อนด้วยจุดประสงค์ที่ต้องการกำหนดอนาคตอสังหาริมทรัพย์เพื่อโลกที่ดีกว่า เราช่วยให้ลูกค้า พนักงาน และชุมชนของเราพบกับวิถีใหม่ที่สดใสกว่าที่เคย (SEE A BRIGHTER WAYSM) เจแอลแอล เป็นชื่อแบรนด์และเครื่องหมายการค้าของ Jones Lang LaSalle Incorporated ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ jll.co.th 

"เจแอลแอล" คาดการณ์ลงทุนอสังหาฯไทยปี 68 เติบโตแข็งแกร่ง โดยมีภาคธุรกิจโลจิสติกส์-ที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรีเป็นตัวขับเคลื่อน

เจแอลแอล ประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของโลก รายงานว่าตลาดการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปี 2567 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีนิคมอุตสาหกรรม โรงแรม และดาต้าเซ็นเตอร์เป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโต ความสนใจจากนักลงทุนที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่องและนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ ทำให้เจแอลแอลคาดการณ์ว่าแนวโน้มดังกล่าวจะดำเนินต่อไปในปี 2568 ซึ่งจะเปิดโอกาสสำคัญให้กับหลายภาคธุรกิจ

2567: ปีแห่งการเติบโตของการลงทุนเชิงกลยุทธ์

ตลาดการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปี 2567 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยสินทรัพย์บางประเภทได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นพิเศษ ปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการลงทุนคือการสนับสนุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติสามารถถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ ส่งผลให้ธุรกิจโรงแรม ดาต้าเซ็นเตอร์ และนิคมอุตสาหกรรมมีการลงทุนที่คึกคักมากขึ้น

นายกฤช ปิ่มหทัยวุฒิ หัวหน้าแผนกตลาดทุนประจำประเทศไทย บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จํากัด (JLL) กล่าวว่า "ตลาดการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 เติบโตอย่างแข็งแกร่งในภาคธุรกิจหลัก โดยเจแอลแอลให้คำปรึกษาด้านการลงทุนรวมมูลค่า 38,000 ล้านบาท ครอบคลุมสินทรัพย์และรูปแบบการลงทุนที่หลากหลาย ไฮไลต์สำคัญ ได้แก่ ดีลเช่าระยะยาวที่ดินแปลงใหญ่ในย่านราชดำริ ดีลซื้อที่ดินของผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลกในนิคมอุตสาหกรรม ดีลการซื้อที่ดินย่านบางนาเพื่อพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ และดีลเช่าที่ดินระยะยาวเพื่อพัฒนาโรงแรมในทำเลศักยภาพบนถนนสุขุมวิท ดีลเหล่านี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในศักยภาพของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนระดับภูมิภาค"

ตลาดการลงทุนโรงแรมในปี 2567 มีความคึกคักอย่างมาก โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 22,000 ล้านบาท จาก 15 ดีล ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยการซื้อขายในแต่ละปีตั้งแต่ปี 2553 ถึง 10,000 ล้านบาท โดยกรุงเทพฯ ครองตำแหน่งผู้นำตลาด ซึ่งมีมูลค่าการซื้อขายคิดเป็นเกือบ 50% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด ตามมาด้วยภูเก็ตและเชียงใหม่ โดย นางสาวพิมพ์พะงา ยมจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการลงทุนด้านโรงแรม บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ จํากัด (JLL) กล่าวว่า "ปี 2567 ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดโรงแรม ด้วยดีลสำคัญอย่างการซื้อขายโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ สุขุมวิท ซึ่งถือเป็นดีลซื้อขายสินทรัพย์เดี่ยว (Single-Asset) ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติการณ์"

แนวโน้มปี 2568: ปีแห่งโอกาสการลงทุน

เจแอลแอลคาดการณ์ว่าตลาดการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568 จะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมี 4 กลุ่มสินทรัพย์หลักเป็นตัวขับเคลื่อน ได้แก่ โลจิสติกส์และอุตสาหกรรม ดาต้าเซ็นเตอร์ โรงแรม และที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี โดย นายกฤช ปิ่มหทัยวุฒิ ให้ความเห็นว่า

"ด้วยสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบัน เราพบว่า นักลงทุนและผู้ผลิตจากต่างประเทศให้ความสนใจลงทุน ในประเทศไทยมากขึ้น โดย BOI มีบทบาทสำคัญในการดึงดูดกลุ่มนักลงทุนเหล่านี้ผ่านมาตรการจูงใจ ทั้งในรูปแบบสิทธิ ประโยชน์ทางภาษีและมาตรการส่งเสริมอื่น ๆ นอกจากนี้ ความต้องการดิจิทัลสเปซที่เพิ่มขึ้น ทำให้ดาต้าเซ็นเตอร์เติบโต อย่างรวดเร็ว โดยการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของอุตสาหกรรมนี้ มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับความต้องการอสังหาริมทรัพย์ทั่วไป ขณะเดียวกัน ตลาดที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรียังคงได้รับความสนใจ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับอัลตราลักชัวรีในทำเลศูนย์กลางธุรกิจ ซึ่งสามารถดึงดูดกลุ่มผู้ซื้อระดับไฮเอนด์ทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง หากได้รับการพัฒนาให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ปีนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับทั้งนักลงทุนและเจ้าของสินทรัพย์ โดยกุญแจสู่ความสำเร็จคือการเข้าใจภาพรวมตลาด การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก และการกำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสินทรัพย์แต่ละประเภท ทั้งนี้ เจแอลแอล มุ่งเน้นการใช้ข้อมูลเชิงลึก การวิจัยตลาด และองค์ความรู้ด้านอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างมูลค่าสูงสุดให้แก่ลูกค้าของเรา"

สำหรับธุรกิจโรงแรมในปี 2568 ยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย นางสาวพิมพ์พะงา กล่าวว่า "ตลาดการลงทุนโรงแรมยังคงมีความหลากหลาย ทั้งดีลประเภท Core/Core-Plus และ Value-Add/Opportunistic โดยในปี 2568 ยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากผู้ขายสามารถใช้ประโยชน์จากผลประกอบการที่ดีขึ้นของ โรงแรม รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างคงที่ ทำให้เราคาดการณ์ว่ามูลค่าการทำธุรกรรมจะสูงกว่า 13,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศตั้งแต่ปี 2553 ประมาณ 12%"

นายไมเคิล แกลนซี่ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล ประจำประเทศไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และ เวียดนาม เน้นย้ำถึงความน่าสนใจในระดับภูมิภาคว่า  "เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับความสนใจอย่างมากจากการเปลี่ยนแปลง ในภูมิรัฐศาสตร์โลก โดยประเทศไทยเป็นผู้นำในกระแสนี้และได้รับประโยชน์จากแนวโน้มดังกล่าว เราเห็นความสนใจ จากนักลงทุนต่างชาติในกลุ่มโลจิสติกส์และอุตสาหกรรม ดาต้าเซ็นเตอร์ และโรงแรม รวมถึงผู้ผลิตที่ต้องการขยาย การลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทย โอกาสในการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้เป็นปัจจัยหลัก ที่ขับเคลื่อนการเติบโต พร้อมกับปัจจัยสนับสนุนในภาพรวมที่ช่วยสนับสนุนกลุ่มโลจิสติกส์และอุตสาหกรรม ดาต้าเซ็นเตอร์ และอุตสาหกรรมโรงแรมและการท่องเที่ยว" แนวโน้มนี้สอดคล้องกับความพยายามของรัฐบาลในหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อธุรกิจ รวมถึงการให้สิทธิประโยชน์และการผ่อนปรน กฎระเบียบเพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น

“การขยายตัวของโครงการที่เน้นความยั่งยืนและอาคารเขียวทั่วทั้งภูมิภาคนี้ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนโอกาสการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ยั่งยืนและมีวิสัยทัศน์ในตลาดที่กำลังเติบโต การพัฒนาเมืองอัจฉริยะในประเทศอย่างมาเลเซีย ไทย และเวียดนาม เป็นแนวโน้มที่น่าสนใจและดึงดูดนักลงทุนในด้านเทคโนโลยี พร้อมเปิดโอกาสในการเติบโตระยะยาว นอกจากนี้ การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลที่เติบโตอย่างรวดเร็วในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ยังนำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆในธุรกิจเทคโนโยลีสำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ (PropTech) และอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับอีคอมเมิร์ซ การพัฒนาเหล่านี้กำลังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของภูมิภาค พร้อมเปิดโอกาสการลงทุนที่หลากหลาย”

ประเทศไทยกับบทบาทศูนย์กลางการลงทุนระดับภูมิภาค

ประเทศไทยมีจุดแข็งทั้งในด้านแรงงานที่มีคุณภาพ แหล่งพลังงานที่อุดมสมบูรณ์ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและโรงแรมที่แข็งแกร่ง ซึ่งทำให้ประเทศมีความน่าสนใจอย่างยิ่ง นักลงทุนต่างชาติเริ่มให้ความสนใจในด้านความยั่งยืน และพลังงานทดแทนมากขึ้น ส่งผลให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศที่มุ่งเน้นในด้านเหล่านี้สามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทยได้

เจแอลแอลยังคงมุ่งมั่นใช้ความเชี่ยวชาญในการช่วยลูกค้ารับมือกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยการนำข้อมูลเชิงลึกที่ทีมวิจัยของบริษัท ฯ ได้มีการรวบรวมและจัดทำบทวิเคราะห์ในหลากหลายแง่มุม ไปใช้ในการให้คำปรึกษาและพัฒนากลยุทธ์ให้แก่ลูกค้าของบริษัทฯอย่างต่อเนื่อง  โดยเจแอลแอลยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางอนาคตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย

"เจแอลแอล" เผยดีมานด์พื้นที่เช่าสำนักงานในไทย สะท้อนเทรนด์การทำงานแห่งโลกอนาคต

เจแอลแอล ประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของโลก เผยบทวิเคราะห์จากผลสำรวจ Future of Work 2024 ที่เจาะลึกประเด็นสำคัญเกี่ยวกับโลกของการทำงาน ตั้งแต่เรื่องเทคโนโลยี การออกแบบ ไปจนถึงแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG: Environmental, Social, and Governance)

จากการวิเคราะห์ของเจแอลแอลพบว่า ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ผู้เช่าพื้นที่สำนักงานในไทยหันมาย้ายไปเช่าอาคารสมัยใหม่มากกว่าอาคารที่เช่าอยู่ในปัจจุบันมากขึ้นเรื่อย ๆ  ซึ่งคาดว่า แนวโน้มนี้จะดำเนินต่อเนื่องไปถึงปี 2571 โดยมีแรงหนุนจากการเปิดตัวอาคารสำนักงานใหม่ระดับพรีเมียมในย่านธุรกิจหลัก การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับองค์กรบริษัทในการทบทวนกลยุทธ์ Future of Work เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดแรงงาน พร้อมทั้งปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐาน ESG ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

“พื้นที่สำนักงานรูปแบบใหม่ที่หลั่งไหลเข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมากสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในภูมิทัศน์ของสถานที่ทำงาน” นายไมเคิล แกลนซี่ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล ประจำประเทศไทยและอินโดนีเซีย กล่าว “นอกจากนี้ ยังนับเป็นโอกาสครั้งสำคัญสำหรับองค์กรต่าง ๆ ในการปรับกลยุทธ์การออกแบบพื้นที่ทำงานให้ตอบโจทย์พนักงานทั้งในด้านความยืดหยุ่นและความยั่งยืน พร้อมทั้งส่งเสริมประสิทธิภาพและนวัตกรรมในการทำงานอีกด้วย”

ผลสำรวจ Future of Work 2024 ระบุว่า องค์กรทั่วโลกให้ความสำคัญกับการออกแบบสถานที่ทำงานในฐานะปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร แนวโน้มนี้เริ่มเห็นชัดขึ้นสำหรับในประเทศไทย จากความต้องการ “สถานที่ทำงานในอุดมคติ” (Destination Workplaces) ที่ผสานเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย การใช้งานอย่างอเนกประสงค์ และแนวคิดด้านความยั่งยืนเข้าไว้ด้วยกัน ผลสำรวจ พบว่า 65% ขององค์กรทั่วโลก มีแผนเพิ่มการลงทุนในด้านความยั่งยืนของสถานที่ทำงาน ขณะที่เกือบ 80% คาดว่าสำนักงานของตนจะใช้งาน AI ได้อย่างเต็มรูปแบบภายในปี 2573 ซึ่งแนวโน้มเหล่านี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนในการพัฒนาอาคารสำนักงานสมัยใหม่ในไทย

“การออกแบบสถานที่ทำงานกำลังกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้บริษัทในประเทศไทยบรรลุเป้าหมายทั้งในเรื่องการดึงบุคลากรที่มีความสามารถเข้ามาร่วมงาน รวมถึงเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม” นายอนาวิล เจียมประเสริฐ หัวหน้าแผนกบริการงานวิจัยและให้คำปรึกษา บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จํากัด (JLL) กล่าว “ความต้องการพื้นที่สำนักงานที่ใหม่และทันสมัย สามารถรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในการให้ลำดับความสำคัญในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งสถานที่ทำงานในปัจจุบันจะต้องสามารถสะท้อนคุณค่าขององค์กร สร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่พนักงาน และมีส่วนร่วมในพันธกิจด้าน ESG ที่ครอบคลุมมากขึ้น”

ความสนใจในเรื่องความยั่งยืนที่ขยายตัวมากขึ้นกำลังส่งเสริมการลงทุนเพื่อปรับปรุงพื้นที่เดิม การออกแบบหมุนเวียน (Circular Design) ที่เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และการสร้างอาคารที่พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ อาคารสำนักงานยุคใหม่ในประเทศไทยเปิดโอกาสให้ธุรกิจต่าง ๆ นำแนวคิดเหล่านี้ไปปรับใช้ พร้อมช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน งานวิจัยยังพบว่า พื้นที่ทำงานที่ออกแบบโดยคำนึงถึงความยั่งยืนเป็นที่นิยมภายในกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดย 71% ของคนเจเนอเรชั่น Z และมิลเลนเนียลให้ความสำคัญกับตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเมื่อตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัยหรือที่ทำงาน

“พื้นที่สำนักงานในปัจจุบันต้องทำมากกว่าแค่รองรับการทำงาน แต่ยังต้องสร้างแรงบันดาลใจ ส่งเสริมการคิดค้นนวัตกรรม และแสดงถึงความรับผิดชอบขององค์กรอีกด้วย" นายสตีเฟน เทเลอร์ กรรมการผู้จัดการ บริการบริหารโครงการก่อสร้าง ออกแบบ และตกแต่ง ประจำประเทศไทย บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ แอ๊ดไวซอรี่ จำกัด กล่าว “งานวิจัยของเราเน้นย้ำถึงศักยภาพของการออกแบบที่ใช้วิทยาศาสตร์เป็นหลักเพื่อเปลี่ยนสถานที่ทำงานให้เป็นสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมสุขภาวะที่ดี และตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน”

โดยความต้องการพื้นที่สำนักงานระดับพรีเมียมที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทยสะท้อนถึงแนวโน้มในระดับภูมิภาคและทั่วโลกที่มุ่งเน้นสภาพแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพสูง โดย 64% ขององค์กรที่ตอบแบบสอบถามคาดว่าจำนวนพนักงานจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญภายในปี 2573 และมากกว่าครึ่งหนึ่งคาดว่าจะขยายพื้นที่สำนักงานของตน การมีสำนักงานที่ทันสมัยและสามารถปรับตัวได้จึงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเป้าหมายเหล่านี้

รายงานวิจัย Future of Work 2024 ของเจแอลแอล ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการออกแบบสถานที่ทำงานที่ส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายขององค์กร ตั้งแต่การเพิ่มความพึงพอใจของพนักงานจนถึงการปฏิบัติตามข้อผูกพันด้าน ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) ขณะที่ตลาดสำนักงานในประเทศไทยยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจต่าง ๆ จึงมีโอกาสในการเป็นผู้นำด้านการสร้างสถานที่ทำงานแห่งอนาคต

การสำรวจนี้ จัดทำขึ้นทุกสองปีตั้งแต่ปี 2554 โดยได้ศึกษาถึงโลกของการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป และชี้โอกาสในการลงทุนในการออกแบบสถานที่ทำงานที่สามารถเสริมสร้างความพึงพอใจ สุขภาวะที่ดี และประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน ปีนี้การสำรวจได้วิเคราะห์ลำดับความสำคัญ ความท้าทาย และกลยุทธ์ของผู้นำธุรกิจและบริษัทอสังหาริมทรัพย์ (CRE: Corporate Real Estate) กว่า 2,300 คนทั่วโลก

"เจแอลแอล ประเทศไทย" ฉลอง 35 ปีแห่งการร่วมสร้างสรรค์อนาคตของวงการอสังหาฯ ไทย

เจแอลแอล ประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของโลก ฉลองการดำเนินธุรกิจครบรอบ 35 ปี ซึ่งเป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอันยาวนานของบริษัทสู่ความเป็นเลิศในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ และเติบโตไปพร้อมกับวิวัฒนาการของภาคธุรกิจอสังหา ฯ ในประเทศไทยตลอด 3 ทศวรรษที่ผ่านมา  

โครงการอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยในยุคแรกๆส่วนใหญ่เป็นโครงการที่มีรูปแบบการใช้งานเพียงอย่างเดียว และค่อยๆพัฒนาไปเป็นโครงการมิกซ์ยูส ที่มีการผสานอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆเข้าด้วยกัน จนกระทั่งในปัจจุบัน ตลาดอสังหา ฯ เดินทางเข้าสู่ยุคใหม่ที่มีการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสที่นำเสนอการใช้งานหลากหลายรูปแบบเข้าด้วยกันโดยสมบูรณ์ โครงการที่ล้ำสมัยเหล่านี้ยังเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง สิ่งอำนวยความสะดวกและมาตรฐานระดับโลก ทั้งหมดนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาของผู้เช่าและผู้ใช้สอยพื้นที่ทั่วไป

วิสัยทัศน์ของเจแอลแอลต่ออนาคตวงการอสังหาริมทรัพย์

เจแอลแอลเล็งเห็นแนวโน้มในอนาคตและได้ระบุถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของตลาดอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ทั่วโลก พร้อมคาดการณ์ผลกระทบหลักต่อการพัฒนาธุรกิจอสังหาฯในประเทศไทย ทั้งนี้บริการต่างๆของบริษัทจะมีความสอดคล้องไปกับ “อนาคตของวงการอสังหาริมทรัพย์”  ซึ่งประกอบด้วยกลยุทธ์ที่ครอบคลุมในหลายมิติ โดยบริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืนเป็นอันดับแรก เนื่องจากกำลังเป็นหัวข้อหลักในการสนทนาและกระบวนการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจอสังหา ฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เจแอลแอลมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนโดยการลงมือปฏิบัติในเห็นเป็นตัวอย่าง ทั้งนี้เพื่อที่จะสามารถให้คำปรึกษาเพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนทั้งในด้านธุรกิจอสังหาฯ พร้อมกับการมีส่วนร่วมสร้างสรรค์โลกที่ดีกว่าอย่างยั่งยืน

เจแอลแอลกำลังเตรียมพร้อมสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 5 ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของเทคโนโลยีในการกำหนดรูปแบบอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ในอนาคต บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญและน้อมรับการเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทฯ กำลังให้ความสนใจอย่างมาก เนื่องด้วยบริษัทฯ ตระหนักดีว่าการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและ AI ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถช่วยให้นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการปฏิบัติงานและยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้งานทั่วไปได้จริง  

นอกจากนี้ เจแอลแอลยังมุ่งส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนภายในองค์กรและตอบสนองความต้องการในสถานที่ทำงานเพื่อเสริมสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายในการส่งเสริมความตระหนักรู้ถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำคัญของปัจจัยด้านสังคม เจแอลแอลจึงกำหนดวิสัยทัศน์และให้คำแนะนำแก่ลูกค้าในโลกของการทำงานยุคใหม่ ที่ซึ่งพนักงานในธุรกิจต่าง ๆ สามารถกำหนดรูปแบบเวลาและสถานที่ทำงานของพวกเขาเองได้มากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับความคาดหวังของผู้คนที่โน้มเอียงไปสู่การสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน

การวิเคราะห์ข้อมูลนับว่ามีบทบาทสำคัญในกลยุทธ์ของเจแอลแอล โดยบริษัทฯ กำลังบุกเบิกความเป็นผู้นำทางความคิดเกี่ยวกับ เมือง กลุ่มธุรกิจเฉพาะสาขา และกระแสเงินทุน ซึ่งความสามารถในการเข้าถึงฐานข้อมูลที่ครอบคลุมกว่าคู่แข่งทั้งในไทยและทั่วภูมิภาค ทำให้เจแอลแอลสามารถสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจบนพื้นของฐานข้อมูลได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ความสำเร็จของเจแอลแอล ประเทศไทย

เมื่อพิจารณาจากความสำเร็จตลอดหลายปีที่ผ่านมา เจแอลแอล ประเทศไทย ก้าวขึ้นมาในฐานะผู้นำในหลายภาคธุรกิจ สำหรับภาคธุรกิจตลาดทุน บริษัทฯ ได้ให้คำแนะนำด้านการลงทุน การปล่อยเช่าและซื้อขายอสังหาริมทรัพย์มูลค่ารวมกว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงปี 2559-2566 โดยฝ่ายตลาดทุนของบริษัทฯ สามารถปิดการขายที่มีความซับซ้อนและมูลค่าสูงได้สำเร็จหลายโครงการในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่งให้บริษัทฯ ขึ้นแท่นบริษัทที่ปรึกษาอันดับหนึ่งสำหรับลูกค้าที่กำลังต้องการซื้อที่ดินหรือสินทรัพย์ กลยุทธ์การขายและปล่อยเช่าสินทรัพย์ มองหาพันธมิตรร่วมทุน และบริการจัดหาแหล่งเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาฯ

สำหรับภาคธุรกิจโลจิสติกส์และอุตสาหกรรม เจแอลแอล ได้ปิดกการขายที่ดินหลายแปลงขนาดรวมประมาณ 1,600 เฮกเตอร์ (10,000 ไร่) ในช่วงปี 2561-2566 สำหรับภาคธุรกิจโรงแรมและบริการต้อนรับ เจแอลแอลได้เป็นตัวแทนซื้อขาย โรงแรมถึง 54 แห่ง รวมมูลค่ากว่า 66,000 ล้านบาทนับตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งรวมถึงการเจรจาซื้อขายโรงแรมมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ตอกย้ำในด้านความเป็นผู้นำ ความเชี่ยวชาญ และความสำเร็จในภาคธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง

ในฐานะผู้นำตลาดตัวจริงในด้านการจัดการอสังหาริมทรัพย์และสินทรัพย์ เจแอลแอลได้บริหารพอร์ตโฟลิโอสินทรัพย์รวมมากกว่า 7.1 ล้านตารางเมตรทั่วประเทศไทย ซึ่งรวมถึงโครงการระดับโลกที่เพิ่งเปิดใหม่ไปเมื่อไม่นานมานี้อย่าง One Bangkok นอกจากนี้แผนกงานบริการวิจัยและให้คำปรึกษาของบริษัทได้รับรางวัล SEA Research Team of The Year ประจำปี 2567 จากทาง RICS (Royal Institution of Chartered Surveyors) และได้ให้คำปรึกษากับโครงการมากกว่า 360 โครงการ มีมูลค่าโครงการรวมเกินกว่า 500,000 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2558 ถึงปัจจุบัน

ความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศของเจแอลแอล ประเทศไทย ยังเห็นได้อย่างชัดเจนจากสำนักงานในกรุงเทพฯ ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานระดับ LEED Gold ด้านประสิทธิภาพการใช้พลังงานอันยอดเยี่ยม และเป็นสำนักงานแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้การรับรอง WELL Platinum ซึ่งถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ของพื้นที่สำนักงานที่ให้ความสำคัญด้านสุขภาพของผู้คนเป็นหลัก นอกจากนี้ เจแอลแอล ประเทศไทย ยังผ่านการรับรอง Great Place to Work® โดยพนักงาน 87% ยืนยันว่ามีประสบการณ์เชิงบวกในสำนักงานใหญ่ การยกย่องเหล่านี้สะท้อนถึงความทุ่มเทของเจแอลแอลในการสร้างวัฒนธรรมของสถานที่ทำงานได้อย่างโดดเด่น ผ่านการให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน

มุมมองบริการรูปแบบใหม่

เจแอลแอลกำลังปรับปรุงรูปแบบการนำเสนอบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการที่กำลังเปลี่ยนแปลงของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผ่าน 4 แผนงานหลัก ได้แก่ บริการด้านกลยุทธ์การจัดพื้นที่สำนักงานและการบริหารการเปลี่ยนแปลง (Workplace Strategy & Change Management) เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้สำนักงานสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พื้นที่และสนับสนุให้การเปลี่ยนแปลงดำเนินไปอย่างราบรื่น ผ่านการจัดลำดับความสำคัญของความต้องการที่แท้จริงของพนักงานและการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปรับเปลี่ยนได้ที่ช่วยเพิ่มกำลังผลผลิต นอกจากนี้ เจแอลแอลยังได้นำเสนอบริการด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Energy & Sustainability Services: ESS) เพื่อสนับสนุนลูกค้าบนเส้นทาง ESG โดยนำเสนอโซลูชันที่ออกแบบมาอย่างเหมาะสม เพื่อพัฒนาแนวทางปฏิบัติงานที่ยั่งยืนและชี้แนะถึงวิธีการบรรลุเป้าหมายด้าน ESG อย่างเป็นรูปธรรม

ฝ่ายปรับปรุงและพัฒนาสินทรัพย์ (Asset Enhancement) จะช่วยแก้ไขกลยุทธ์การบริหารสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่ามาตรฐานตลาด โดยปรับปรุงประสิทธิภาพและปรับคุณสมบัติให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เช่าที่กำลังเปลี่ยนแปลง ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มมูลค่าพอร์ตโฟลิโอให้สูงสุดภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูงนี้ และเพื่อสนับสนุนบริการเหล่านี้ บริการให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี (Tech Advisory) ของเจแอลแอลจะช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจเลือกเทคโนโลยีสำหรับนำไปปรับใช้ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการดำเนินงานและการบริหารทรัพย์สิน

แผนงานทั้ง 4 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเจแอลแอลในการนำเสนอนวัตกรรมที่พร้อมรับมือกับอนาคตเพื่อเพิ่มมูลค่าในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเจแอลแอลวางตำแหน่งบริษัทฯ ในฐานะผู้นำด้านการตอบสนองความต้องการที่หลากหลายและการเปลี่ยนแปลงไปของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ผ่านการนำเสนอบริการที่ครอบคลุมซึ่งตอบโจทย์ด้าน กลยุทธ์ในที่ทำงาน ความยั่งยืน การยกระดับสินทรัพย์ และการใช้งานเทคโนโลยีที่เหมาะสม

นายไมเคิล แกลนซี่ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล ประจำประเทศไทยและอินโดนีเซีย กล่าวว่า “ในโอกาสการฉลองการดำเนินงานในประเทศไทย 35 ปี เราไม่เพียงแค่มองย้อนกลับไปถึงความสำเร็จของเราเท่านั้น หากยังมุ่งหน้าสู่อนาคตที่เรากำลังสร้างสรรค์ต่อไป ความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืน การนำเทคโนโลยีมาใช้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ และโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลของเจแอลแอล ทำให้เรากลายเป็นแนวหน้าของวิวัฒนาการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของวันนี้”

นายอนาวิล เจียมประเสริฐ หัวหน้าแผนกบริการงานวิจัยและให้คำปรึกษา บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จํากัด (JLL) กล่าวว่า “การดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ทำให้เราสามารถสร้างฐานข้อมูลเชิงลึกที่แข็งแรงและครอบคลุมมากที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้เรายังคงสานต่อความเป็นผู้นำทางความคิด พร้อมนำเสนอบริการงานวิจัยและให้คำปรึกษาคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนลูกค้าของเราให้สามารถลงุทนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีความท้าทายด้วยความมั่นใจ”

นอกจากการฉลองความสำเร็จในครั้งสำคัญนี้ เจแอลแอล ประเทศไทยประกาศความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์อนาคตของวงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อโลกที่ดีกว่า ผ่านการนำเสนอโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมใหม่ พร้อมคำแนะนำที่ดีเยี่ยมจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อลูกค้าในประเทศไทยและที่อื่นๆทั่วโลก

"เจแอลแอล" เผยการเติบโตอุตฯรถยนต์ไฟฟ้าในไทย กระตุ้นตลาดอสังหาฯ เชิงพาณิชย์ขยายตัวต่อเนื่อง

ประเทศไทยมีความพร้อมสูงในการเป็นศูนย์กลางการผลิตและนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ชั้นนำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยข้อมูลของเจแอลแอล (NYSE: JLL) ระบุว่าศักยภาพในการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐและการลงทุนจากต่างประเทศ จะมีมูลค่าอย่างน้อย 6.5 พันล้านดอลลาร์ (ราว 220,000 ล้านบาท) ภายในปี 2573 และจะเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ และสนับสนุนให้ประเทศสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านการผลิตและนวัตกรรมในระดับภูมิภาค

เจแอลแอลคาดการณ์ว่าขนาดของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่จำเป็นต่อการสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของไทยนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการตามนโยบาย “30@30” ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลไทยที่กำหนดเป้าหมายให้รถยนต์ที่ผลิตในประเทศ 30% ต้องเปลี่ยนเป็นรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2573 นั้น นับว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะส่งเสริมการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ภาคอุตสาหกรรมนับตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป ซึ่งนโยบาย 30@30 นั้นประกอบด้วยเงินอุดหนุนจำนวนมาก การลดภาษี และมาตรการ EV 3.5 ที่ครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่ปี 2567-2570

“ประเทศไทยได้แสดงความชัดเจนผ่านการดำเนินการตามนโยบาย 30@30 และมาตรการ EV 3.5 ว่าเรามีความมุ่งมั่นและแรงผลักดันสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของภูมิภาค แรงจูงใจเหล่านี้สามารถดึงดูดทั้งกลุ่มนักลงทุน ผู้ผลิต และซัพพลายเออร์ในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างมาก แต่หากต้องการสร้างศักยภาพของอุตสาหกรรมให้ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติอย่างแท้จริง เราไม่อาจมองข้ามบทบาทของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ซึ่งถือเป็นรากฐานในการสร้างความยั่งยืนในระยะยาวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไปได้” นายไมเคิล แกลนซี่ กรรมการผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทยและอินโดนีเซีย บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์  (JLL) กล่าว

โดยในปี 2567 การผลักดันด้านกลยุทธ์ของไทยสามารถดึงดูดเงินทุนเข้าสู่อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าได้ทั้งจากในและต่างประเทศ โดยมีมูลค่าการลงทุนสะสมที่ทำสัญญาแล้วประมาณ 1.8 พันล้านดอลลาร์ โดยเงินทุนก้อนใหญ่นี้ยังรวมถึงเงินลงทุน 1.4 พันล้านดอลลาร์ (49 พันล้านบาท) จากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในจีนซึ่งรวมถึงบริษัทบีวายดี  (BYD) และเงินลงทุน 4.4 พันล้านดอลลาร์ (150 พันล้านบาท) โดยผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่น

นอกจากนี้ เพื่อการบรรลุเป้าหมายตามนโยบาย 30@30 เพื่อให้สามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 30% จากทั้งหมดตามเป้าหมายภายในปี 2573 ประเทศไทยจำเป็นต้องผลิตแบตเตอรี่มากกว่า 34 GWh ให้ได้จากภายในประเทศ ทำให้ต้องมีการแสวงหาพื้นที่เพื่อการผลิตและพื้นที่สำหรับอุตสาหกรรมใหม่นี้ด้วย โดยข้อมูล ณ สิ้นปี 2566 ไทยมีจำนวนรถยนต์ไฟฟ้ารวมที่ 167,000 คัน ซึ่งคิดเป็น 26.4% ของเป้าหมายปี 2573 ซึ่งต้องมีรถยนต์ไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 440,000 คัน

นายไมเคิล แกลนซี่กล่าวย้ำว่า “การวิจัยและพัฒนามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขันของประเทศไทยในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจำเป็นต้องมีโครงการอสังหาริมทรัพย์เฉพาะทางที่สามารถรองรับการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง การผลิตจำนวนมาก และการเชื่อมต่อกับห่วงโซ่อุปทานได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

สำหรับกิจกรรมและการพัฒนาที่สำคัญหลายด้านยังช่วยตอกย้ำว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยกำลังเติบโต และเพื่อรักษาและกระตุ้นแรงผลักดัน ประเทศไทยจึงควรให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา (R&D) โดยเสนอเงินอุดหนุนและการลดหย่อนภาษีให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์ที่สร้างศูนย์การวิจัยและพัฒนา ยกตัวอย่างผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อย่างฮุนไดและศูนย์วิจัยเทคโนโลยียานยนต์จีน (CATARC) ก็ได้จัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาขึ้นในประเทศแล้ว นอกจากนี้ บีวายดียังได้เปิดตัวคลังชิ้นส่วนอะไหล่แห่งใหม่ในกรุงเทพฯ รวมถึงเทสลาก็ได้สร้างโรงงานแบบครบวงจร ซึ่งประกอบด้วยศูนย์บริการและคลังชิ้นส่วนอะไหล่ไว้ในแห่งเดียว เจแอลแอลยังคาดการณ์ถึงการเติบโตที่เพิ่มสูงขึ้นของทุกภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับระบบนิเวศอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็น ซอฟต์แวร์และการบูรณาการปัญญาประดิษฐ์ (AI) เทคโนโลยีแบตเตอรี่ ยางรถยนต์ และชิ้นส่วนยาง

“การลงทุนจากต่างประเทศที่หลั่งไหลเข้ามาแสดงให้เห็นถึงความได้เปรียบทางการแข่งขันของประเทศไทยในภาคธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การผสานสิ่งจูงใจจากภาครัฐ แรงงานที่มีทักษะ และโครงสร้างพื้นฐานในปัจจุบัน จะทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดใจสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั้งรายใหม่และผู้ที่มีประสบการณ์ อย่างไรก็ตาม การลงทุนในด้านการผลิต การวิจัยและพัฒนา และอสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ ในระบบนิเวศให้ครอบคลุมมากขึ้น จะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเปลี่ยนความมุ่งมั่นสู่เป้าหมายด้านรถยนต์ไฟฟ้าของไทย ให้เกิดขึ้นจริงอย่างยั่งยืน ซึ่งจะทำให้ภาคอุตสาหกรรมของไทยมีความแตกต่างและโดดเด่นไปอีกหลายทศวรรษ” นายไมเคิล แกลนซี่ กล่าวทิ้งท้าย