เงินบาทวันนี้เปิด 32.40 อ่อนเล็กน้อย จับตาประชุม กนง.วันนี้ชี้ทิศดอกเบี้ย 

เงินบาทวันนี้เปิด 32.40 อ่อนเล็กน้อย จับตาประชุม กนง.วันนี้ชี้ทิศดอกเบี้ย 

วันที่ 13 สิงหาคม 2568 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงเล็กน้อยในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 32.29-32.50 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจะมีจังหวะอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงวันหยุดทำการของตลาดการเงินไทย หลังเงินดอลลาร์ พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลง ทว่า เงินบาทก็พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นและมีจังหวะทดสอบโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ หลังในช่วงคืนที่ผ่านมา ผู้เล่นในตลาดได้ปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุม FOMC เดือนกันยายน จากรายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกรกฎาคม ล่าสุด ที่ออกมาผสมผสาน โดยอัตราเงินเฟ้อ CPI ยังคงทรงตัวที่ระดับ 2.7% น้อยกว่าคาดเล็กน้อย (2.8%) ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI สูงขึ้นสู่ระดับ 3.1% สูงกว่าคาดเล็กน้อย (3.0%) อนึ่งการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังราคาทองคำเผชิญแรงกดดันจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม 

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของ BOE แต่ยังคงมั่นใจว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้ง ในปีนี้

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตาม รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด พร้อมรอลุ้น ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกรกฎาคม และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ในเดือนสิงหาคม ซึ่งในรายงานเดียวกันนั้น จะมีรายงานอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation Expectations) ระยะสั้นและระยะยาว พร้อมกันนั้นผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI เดือนกรกฎาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ PCE ที่ทางเฟดจับตาใกล้ชิด หลังรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกรกฎาคม นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อย่างใกล้ชิด ว่าจะมีมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้ 

▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนและอังกฤษ ผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนมิถุนายน ซึ่งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าวจะเป็นหนึ่งในข้อมูลที่ผู้เล่นในตลาดจะใช้ประกอบการประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดได้ทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของทั้ง ECB และ BOE ในปีนี้ลง

▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน และผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาของทางการจีน ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือน อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) รวมถึงราคาบ้านใหม่ และราคาบ้านมือสอง ในเดือนกรกฎาคม ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม ในเดือนมิถุนายน   

▪ ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เดือนสิงหาคม ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 1.50% ได้ อย่างไรก็ดี เรามองว่า กนง. อาจเลือกที่จะคงดอกเบี้ยไปก่อนได้ หลังทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ไม่ได้ต่างจากสมมติฐานของ กนง. ก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ และคณะกรรมการ กนง. ส่วนใหญ่อาจยังคงให้ความสำคัญกับจังหวะเวลาและประสิทธิผลของการลดดอกเบี้ย ภายใต้ขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (Policy Space) ที่มีจำกัด และหาก กนง. เลือกที่จะคงดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ เรามองว่า ภายใต้ผู้ว่าฯ ธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ ที่มาพร้อมกับคณะกรรมการนโยบายการเงินคนใหม่ 1 ท่าน (ดร. เชาว์ เก่งชน) กนง. ก็อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม ควบคู่ไปกับการใช้เครื่องมืออื่นๆ เพิ่มเติม ในการประคับประคองเศรษฐกิจไทย โดยในเบื้องต้น เราประเมินว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ยถึงระดับ 1.25% ภายในต้นปี 2026 และมีโอกาสที่อาจจะลดดอกเบี้ยมากกว่าที่ประเมินได้ 

สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เราคงมุมมองว่า เงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้ทั้งด้านอ่อนค่าและแข็งค่า) ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งเราประเมินว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดได้คาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนกันยายน และการลดดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ ไปพอสมควรแล้ว ทำให้เรามองว่า เงินบาทมีความเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้ ในกรณีที่ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งเรามองว่าต้องรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ และจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวของเงินบาทก็เริ่มสอดคล้องกับทิศทางราคาทองคำมากขึ้น ทำให้ เรามองว่า ต้องจับตาทิศทางราคาทองคำด้วยเช่นกัน ซึ่งบรรยากาศในตลาดการเงินก็จะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ หลังตลาดได้รับรู้แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปพอควรแล้ว

หากผู้เล่นในตลาดเพิ่มโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ ในกรณีที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด และบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ก็ออกมาสนับสนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ย เงินดอลลาร์ก็เสี่ยงอ่อนค่าลงต่อ และอาจเห็นการปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ หนุนให้ เงินบาทแข็งค่าขึ้นเข้าใกล้โซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.10 บาทต่อดอลลาร์) แต่หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด พร้อมกับภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดบ้าง ก็อาจหนุนการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ ส่วนราคาทองคำเสี่ยงย่อตัวลง กดดันให้เงินบาทอาจอ่อนค่าเหนือโซนแนวต้านแรก 32.50 บาทต่อดอลลาร์ และมีโอกาสอ่อนค่าทดสอบแนวต้านถัดไป 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้ 

อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน (หรืออ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน)

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เราคงมองเงินดอลลาร์ยังคงเสี่ยงผันผวนสูงและเผชิญ Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้สองทิศทาง) ขึ้นกับการปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาด ซึ่งจะขึ้นกับรายงายข้อมูลเศรษฐกิจและมุมมองของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.00-32.75 บาท/ดอลลาร์ ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.50 บาท/ดอลลาร์

#ค่าเงินบาท #เงินบาทวันนี้ #กรุงไทย #ตลาดเงิน #เฟด #กนง #ดอกเบี้ย #ราคาทองคำ #เศรษฐกิจไทย #ค่าเงิน #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

 

เงินบาทแข็งแตะ 32.30 บาท หลังดัชนีภาคบริการสหรัฐฯแผ่ว ดันราคาทองคำพุ่ง

เงินบาทแข็งแตะ 32.30 บาท หลังดัชนีภาคบริการสหรัฐฯแผ่ว ดันราคาทองคำพุ่ง

วันที่ 6 สิงหาคม 2568 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ทดสอบโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้ง (แกว่งตัวในกรอบ 32.30-32.48 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) ซึ่งสามารถปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้านระยะสั้น 3,380-3,390 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง หลังรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) ของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 50.1 จุด (สูงกว่า 50 จุด สะท้อนถึง ภาวะขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการบริการ) แย่กว่าที่ตลาดคาดไว้พอสมควร ทำให้ ผู้เล่นในตลาดยังคงมีความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทยังคงถูกชะลอไว้แถวโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม อาทิ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ (ภาษีนำเข้าสินค้าหมวดยาและ Semiconductor) รวมถึง การคัดเลือกเจ้าหน้าที่เฟดท่านใหม่ ในตำแหน่ง Board of Governor และจะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ FOMC ของเฟด เพื่อมาแทน Adriana Kugler (Board of Governor) ที่ได้ลาออกไป 

บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ ออกมาแย่กว่าคาด ขณะเดียวกัน รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนในช่วงนี้ ก็เริ่มสะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ มากขึ้น กดดันให้ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.49% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.15% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนในช่วงนี้ที่ส่วนใหญ่ออกมาสดใส ขณะเดียวกัน ความหวังการเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด ก็มีส่วนช่วยหนุนการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ระยะยาวฝั่งยุโรป ซึ่งส่งผลดีต่อบรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นยุโรปด้วยเช่นกัน  

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แถวระดับ 4.20% แม้จะมีจังหวะปรับตัวลดลงราว 3-4bps บ้าง จากรายงานข้อมูลดัชนี ISM Services PMI ล่าสุด ของสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด ทว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ยังไม่สามารถปรับตัวลดลงต่อเนื่องได้ หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจเลือกที่จะขายทำกำไรออกมาบ้าง ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม เพื่อประเมินแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้ เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังเสี่ยงเผชิญ Two-Way risk โดยมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หากตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม ซึ่งต้องจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งอาจมีการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายได้ โดยเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ เนื่องจากเราคงคาดการณ์ว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง ตามการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง กดดันโดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงมีความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และคาดหวังว่าเฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ราว 2-3 ครั้ง ในปีนี้ รวมถึงอีกเกือบ 3 ครั้ง ในปีหน้า ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลง สู่ระดับ 98.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.6-99.1 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) สามารถปรับตัวขึ้นสู่โซน 3,440 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง  

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางอินเดีย (RBI) โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า RBI อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.50% แต่ RBI อาจเริ่มส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นได้ ตามแนวโน้มการชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อ และแรงกดดันจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ทางฝั่งเวียดนาม ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนาม ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือน อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ยอดการค้าระหว่างประเทศ (Exports & Imports) เป็นต้น 

ส่วนในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกรกฎาคม ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยยังมีแนวโน้ม “ติดลบ” ต่อเนื่อง ที่ระดับ -0.5% ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงฐานราคาสินค้าและบริการในปีก่อนหน้าที่อยู่ในระดับสูง

ทางฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของยูโรโซน ในเดือนมิถุนายน เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะหลัง เริ่มออกมาแย่กว่าคาด ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ส่วนในฝั่งไทย สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามเช่นกัน 


สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทนั้นยังคงมีกำลังอยู่ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ ล่าสุด ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ 2-3 ครั้ง ในปีนี้ และอีกราว 3 ครั้ง ในปีหน้า ซึ่งส่งผลให้ เงินดอลลาร์ยังไม่สามารถพลิกกลับมารีบาวด์แข็งค่าขึ้นได้ นอกจากนี้ ในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจไม่ได้มีปัจจัยหนุนมากนัก เนื่องจาก รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่เหลืออยู่ อาจไม่สามารถทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์อาจพอได้แรงหนุนบ้าง หากรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ยังคงออกมาสดใส ไม่ได้สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่แย่ลงชัดเจน เหมือนกับรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในสัปดาห์ก่อนหน้า ทว่า รายงานข้อมูลดังกล่าวก็อาจยังไม่พอจะทำให้ ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่กำลังประเมินอยู่ โดยเรามองว่า อาจจะต้องรอรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะประธานเฟด Jerome Powell ถึงจะทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ได้อย่างชัดเจน (ทั้งปรับเพิ่มและปรับลด ความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด)

หากเงินดอลลาร์ยังคงเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม เราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เช่นกัน ทว่า ควรจับตาทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำประกอบด้วย เนื่องจากราคาทองคำ (XAUUSD) ได้รีบาวด์สูงขึ้นทดสอบโซนแนวต้านระยะสั้น โดยมีแนวต้านถัดไปตั้งแต่โซน 3,400 และ 3,430 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งจะเห็นว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด และหากบรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ก็อาจเป็นเรื่องยากที่จะเห็นราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนทะลุโซนแนวต้านดังกล่าวได้ชัดเจน ทำให้ เราประเมินว่า การแข็งค่าของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดเช่นกัน ตราบใดที่ราคาทองคำไม่ได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทะลุโซนแนวต้านที่ประเมินไว้ 

ในเชิงเทคนิคัล เงินบาทยังคงมีโซนแนวรับแถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.10 บาทต่อดอลลาร์) ส่วนโซนแนวต้านได้ขยับลงมาแถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ และมีโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านถัดไป 

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน  มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.50 บาท/ดอลลาร์

#เงินบาทวันนี้ #แนวโน้มเงินบาท #ราคาทองคำ #เฟดลดดอกเบี้ย #เศรษฐกิจสหรัฐ #ค่าเงิน #ตลาดเงิน #BondYield #KrungthaiGlobalMarkets #ข่าวเศรษฐกิจ

 

เงินบาทปิดแข็งค่าแตะ 32.43 บาท/ดอลลาร์ รับแรงหนุนราคาทองคำพุ่ง จับตากรอบพรุ่งนี้ 32.35–32.55

เงินบาทปิดแข็งค่าแตะ 32.43 บาท/ดอลลาร์ รับแรงหนุนราคาทองคำพุ่ง จับตากรอบพรุ่งนี้ 32.35–32.55

วันที่ 4 ส.ค.68 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดอยู่ที่ 32.43/45 บาท/ดอลลาร์ จากเปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 32.50/52 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหว Sideway down ในกรอบ 32.43 - 32.52 บาท/ ดอลลาร์ เงินบาทเคลื่อนไหวตามราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้น ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่า ทั้งนี้เงินบาทยังเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับสกุลเงินในภูมิภาค สำหรับคืนนี้ยังไม่มีตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่ต้องติดตาม ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 32.35 - 32.55 บาท/ดอลลาร์ 

#เงินบาทวันนี้ #ค่าเงินบาท #เงินบาทแข็งค่า #ราคาทองคำ #ค่าเงิน #ข่าวเศรษฐกิจ #อัตราแลกเปลี่ยน #ตลาดเงิน #Forexไทย #ราคาทอง

 

 

เงินบาทอ่อนเล็กน้อย หลังสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้า 19% จับตาเศรษฐกิจจีน-เงินเฟ้อสหรัฐฯ

เงินบาทอ่อนเล็กน้อย หลังสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้า 19% – จับตาเศรษฐกิจจีนและเงินเฟ้อสหรัฐฯ

ค่าเงินบาทประจำวันที่ 1 สิงหาคม 2568
•กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.70-32.95 บาท/ดอลลาร์
•เงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อยหลังสหรัฐฯประกาศเก็บภาษีจากไทย 19% ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศอื่นในภูมิภาค ภาครัฐไทยกล่าวว่าเตรียมออกมาตรการเยียวยาเกษตรกร
•เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PCE) สหรัฐฯ ออกมาที่ 0.3%MOM เท่ากับที่ตลาดคาด และออกมาที่ 2.8%YOY ด้านการใช้จ่ายผู้บริโภคปรับสูงขึ้น 0.1%MOM โดยมาจากการใช้จ่ายสินค้าไม่คงทนเป็นสำคัญ
•PMI ภาคการผลิตของจีนออกมาที่ 49.3 ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 49.7 และสะท้อนการหดตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน

#เงินบาทวันนี้ #SCBMarketView #ภาษีนำเข้า #เศรษฐกิจสหรัฐ #PMIจีน #เงินเฟ้อCorePCE #ดอลลาร์แข็ง #ข่าวเศรษฐกิจ #ตลาดการเงิน #SCB

เงินบาทเปิดอ่อนแตะ 32.79 บาทต่อดอลลาร์ กังวลเฟดชะลอลดดอกเบี้ย ตลาดจับตาตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ

เงินบาทเปิดอ่อนแตะ 32.79 บาทต่อดอลลาร์ กังวลเฟดชะลอลดดอกเบี้ย ตลาดจับตาตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ

วันที่ 1 สิงหาคม 2568 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลง เข้าใกล้ขอบบนของโซนแนวต้าน 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.66-32.79 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตามการทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน ปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 2.6% สูงกว่าที่ตลาดคาดเล็กน้อย (ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE ก็ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 2.8% สูงกว่าที่ตลาดคาดเช่นกัน) อีกทั้ง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ก็ยังออกมาดีกว่าคาด สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังคงสดใสอยู่ ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างปรับลดโอกาสที่เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้ เหลือ 30% จากเดิมที่ประเมินไว้ราว 40%-45% ก่อนรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม หลังการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวลดลงหลุดโซนแนวรับ 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง อย่างไรก็ดี ในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย เงินบาทเริ่มชะลอการอ่อนค่าลงบ้าง ตอบรับข่าวทางการสหรัฐฯ ปรับอัตราภาษีนำเข้ากับสินค้าจากไทยเป็น 19% ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ในช่วง 20%-25% และดีกว่าที่ทางการสหรัฐฯ ได้ขู่ไว้ที่ระดับ 36% หากไม่บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ 

บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นการประกาศอัตราภาษีนำเข้าใหม่ต่อบรรดาประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ รวมถึง รายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Apple และ Amazon ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญแรงกดดันจากแนวโน้มเฟดยังคงไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย และแรงขายหุ้นบริษัทยา หลังทางการสหรัฐฯ ได้เร่งรัดให้บริษัทยารายใหญ่ ปรับลดราคายาตามใบสั่งแพทย์ ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.37% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลงกว่า -0.75% ตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ ที่ออกมาน่าผิดหวัง อาทิ Sanofi -7.8% นอกจากนี้ บรรดาหุ้นบริษัทยายุโรป ก็เผชิญแรงกดดันตามการปรับตัวลดลงของบรรดาหุ้นกลุ่มยาสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน 

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้น สู่ระดับ 4.37% สอดคล้องกับการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังผู้เล่นในตลาดทยอยรับรู้ รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ที่ออกมาสูงกว่าคาด รวมถึงรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ที่ออกมาดีกว่าคาด เรายังคงประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หากตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นได้ หลังตลาดรับรู้ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls)  ซึ่งเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ หลัง Risk-Reward มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโซน 4.40%-4.50%  สำหรับบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ (สามารถเน้นทยอยซื้อ Buy on Dip ได้)

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Up หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ต่างออกมาดีกว่าคาด (อัตราเงินเฟ้อ PCE สูงกว่าคาด) ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงอาศัยจังหวะเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ในการขายทำกำไรการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ในช่วงที่ผ่านมาบ้าง ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้น สู่ระดับ 100 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.7-100.1 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ การปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งหนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างปรับตัวสูงขึ้น ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ย่อตัวลงกลับสู่โซน 3,330-3,340 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง  

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วง 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) รวมถึง อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) และอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Average Hourly Earnings) นอกจากนี้ ในช่วง 21.00 น. ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และผลกระทบจากนโยบายการค้าต่อภาคการผลิตอุตสาหกรรม ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม โดย ISM ในเดือนกรกฎาคม 

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งอาจส่งผลต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า ECB มีโอกาสเพียง 50% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในปีนี้ 

ทางฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิต (Caixin Manufacturing PMI) ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งจะเน้นบริษัทขนาดเล็ก-กลาง ส่วนในฝั่งไทย จะมีรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิต และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (Business Sentiment) ในเดือนกรกฎาคม  

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ส่วนในฝั่งไทย สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามเช่นกัน 


สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงอ่อนค่าลงบ้าง ตราบใดที่ผู้เล่นในตลาดต่างทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งจะหนุนให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ พร้อมกดดันให้ราคาทองคำเสี่ยงย่อตัวลง (หรืออย่างน้อยแกว่งตัว Sideways) อย่างไรก็ดี เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ หลังสหรัฐฯ ได้ประกาศอัตราภาษีนำเข้ากับสินค้าไทยในระดับ 19% ซึ่งถือว่า ดีกว่าที่ตลาดคาด 20%-25% บ้าง (แม้จะแย่กว่าสมมติฐานของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 18% เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ) 

ทั้งนี้ เรามองว่า แม้ไทยจะเผชิญอัตราภาษีนำเข้าในระดับที่ไม่ได้สูงอย่างที่ตลาดเคยกังวล แต่เรามองว่า ควรจับตาการปรับสถานะถือครองของบรรดานักลงทุนต่างชาติ ว่าจะมีการ Sell on Fact และขายทำกำไร สินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทย และบอนด์ไทย บ้างหรือไม่ ซึ่งหากมีการทยอยขายทำกำไรการถือครองสินทรัพย์ไทยออกมาบ้างในช่วงนี้ ก็อาจเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง 

อนึ่ง เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในคืนนี้ โดยเฉพาะ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ เนื่องจากสถิติในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา สะท้อนว่า เงินบาทเสี่ยงผันผวน ในกรอบ +/- 1 SD ได้ถึง +0.60%/-0.30% ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา เราพบว่า ผู้เล่นในตลาดดูจะตอบรับกับรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ มากพอสมควร ทำให้การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์นั้นทะลุกรอบ +/- 1 SD ได้ไม่ยาก อย่างเช่นในสัปดาห์นี้ เงินบาทอ่อนค่าลงแรงเกินกรอบ +1 SD หลังรับรู้รายงานข้อมูลยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP 

อย่างไรก็ตาม เราคงมองว่า ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังไปพอสมควร ว่า รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ ควรสะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่สดใสอยู่ ทำให้ หากตลาดผิดหวังกับรายงานข้อมูลดังกล่าว ก็อาจทำให้เกิดการ Repricing หรือปรับมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดใหม่อีกครั้ง กดดันให้ ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวลดลง ทำให้เงินบาทยังคงมีความเสี่ยง Two-Way risk หรือพร้อมจะเคลื่อนไหวได้สองทิศทางอยู่ 

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน  มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.65-32.95 บาท/ดอลลาร์

#เงินบาทวันนี้ #ตลาดเงินตลาดทุน #KrungthaiGlobalMarkets #อัตราแลกเปลี่ยน #ตลาดโลก #เฟด #NonfarmPayrolls #เงินเฟ้อสหรัฐ #ราคาทองคำ #ข่าวเศรษฐกิจ

 

เงินบาทอ่อนค่าเร็ว! หลุด 32.80 หลัง GDP สหรัฐโตแรง เฟดคงดอกเบี้ย

เงินบาทอ่อนค่าเร็ว! หลุด 32.80 หลัง GDP สหรัฐโตแรงเฟดคงดอกเบี้ย

ค่าเงินบาทประจำวันที่ 31 กรกฎาคม 2568

•กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.55-32.80บาท/ดอลลาร์

•เงินบาทอ่อนค่าเร็วจากดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นตามเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดี และ Fed คงดอกเบี้ยที่ 4.25-4.50% โดยที่ยังไม่ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในครั้งหน้า ทำให้ Treasury yields ปรับลดลง และหุ้นลง

•GDP ไตรมาส 2 ของสหรัฐฯ ออกมาที่ 3.0% annualized สูงกว่าตลาดคาดที่ 2.6% ส่วนเลขจ้างงาน (ADP) ออกมาที่ 104,000 ตําแหน่งสูงกว่าคาดเช่นกัน

•นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าจากอินเดีย 25% แต่จะเก็บภาษีจากเกาหลีใต้เพียง 15% 

#ค่าเงินบาท #เงินบาทวันนี้ #ดอลลาร์แข็งค่า #Fedคงดอกเบี้ย #GDPสหรัฐ #เศรษฐกิจโลก #ตลาดเงิน #SCBMarketUpdate #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้


 

เงินบาทปิดตลาดอ่อนค่าแตะ 32.45 บาท/ดอลลาร์ จับตาเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย-ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ

เงินบาทปิดตลาดอ่อนค่าแตะ 32.45 บาท/ดอลลาร์ จับตาเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย-ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ

วันที่ 30 ก.ค.68 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดที่ 32.45 บาท/ดอลลาร์ จากเปิดตลาดเมื่อเช้าอยู่ที่ระดับ 32.38/39 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.33 - 32.48 บาท/ดอลลาร์ วันนี้เงินบาทค่อนข้างแกว่งออกข้าง ในขณะที่สกุลเงินในภูมิภาคเคลื่อนไหวแบบผสมทั้งแข็งค่าและอ่อนค่า โดยคืนนี้ตลาดรอติดตามผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งตลาดคาดว่าเฟดจะยังคงดอกเบี้ยไปก่อนในรอบนี้ ในขณะเดียวกันตลาดยังรอฟังถ้อยแถลงของประธานเฟดว่าจะส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ในการลดดอกเบี้ยในเดือนก.ย. นอกจากนี้คืนนี้ยังมีการรายงานตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.ค. จาก ADP และผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/68 ของสหรัฐฯ ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 32.35 - 32.55 บาท/ดอลลาร์

#เงินบาทวันนี้ #ค่าเงินบาท #ดอลลาร์สหรัฐ #เฟด #ตลาดเงิน #เศรษฐกิจสหรัฐ #เงินบาทอ่อนค่า #ประชุมเฟด #ค่าเงิน #GDPสหรัฐ

เงินบาทปิดทรงตัวที่ 32.43 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่ามากสุดในภูมิภาค จับตาข้อมูลแรงงานสหรัฐฯ คืนนี้

เงินบาทปิดทรงตัวที่ 32.43 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่ามากสุดในภูมิภาค จับตาข้อมูลแรงงานสหรัฐฯ คืนนี้

วันที่ 29 ก.ค.68 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดที่ระดับ 32.43/44 บาท/ดอลลาร์ ทรงตัวจากช่วงเช้าเปิดตลาดที่ระดับ 32.44 บาท/ดอลลาร์ ทั้งนี้ ระหว่างวันเงินบาทยังไร้ปัจจัยใหม่ โดยเคลื่อนไหวในกรอบ 32.42 - 32.50 บาท/ดอลลาร์ เคลื่อนไหวอ่อนค่าไปในทิศทางเดียวกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค โดยเงินบาทอ่อนค่าสุดในภูมิภาค ปัจจัยเรื่องความขัดแย้งชายแดนไทยกัมพูชา ค่อนข้างมีผลจำกัดต่อเงินบาท เนื่องจากเมื่อคืนที่ผ่านมา ได้มีข่าวการหยุดยิงตอนเที่ยงคืน แต่สถานการณ์จริงยังไม่ได้มีการหยุดยิง และล่าสุดสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้ออกมาโพสต์ขอบคุณที่ไทยและกัมพูชาทำข้อตกลงในการหยุดยิงด้วย

สำหรับคืนนี้ รอติดตามตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน และอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนมิ.ย.ของสหรัฐฯ คาดว่า วันพรุ่งนี้ เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.30 - 32.65 บาท/ดอลลาร์ 

#เงินบาทวันนี้ #ค่าเงินบาท #เงินบาทอ่อนค่า #ข่าวเศรษฐกิจ #ค่าเงินดอลลาร์ #ตลาดเงิน #JOLTS #เศรษฐกิจไทย #ข่าวการเงิน #เงินบาทล่าสุด #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

เงินบาทอ่อนค่าแตะ 32.50 ต่อดอลลาร์ กังวลสถานการณ์ไทยกัมพูชา กดดันตลาดเงิน-ทองคำ

เงินบาทอ่อนค่าแตะ 32.50 ต่อดอลลาร์ กังวลสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กดดันตลาดเงิน-ทองคำ

วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า และวันจันทร์ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวทยอยอ่อนค่าลง ทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ในลักษณะ Sideways Up  (แกว่งตัวในกรอบ 32.33-32.51 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ โดยเฉพาะในช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังเงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลงหนักสู่ระดับ 1.16 ดอลลาร์ต่อยูโร อีกครั้ง แม้ว่าทางสหภาพยุโรป (EU) จะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ทว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างกังวลผลกระทบจากข้อตกลงการค้าดังกล่าวกับหลายอุตสาหกรรมของยุโรป สะท้อนผ่านการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นยุโรป (ดัชนี STOXX600) ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม หลังราคาทองคำ (XAUUSD) ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องเข้าใกล้โซนแนวรับ 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งยังคงเห็นแรงซื้อ Buy on Dip จะผู้เล่นในตลาดบางส่วน และช่วยพยุงราคาทองคำเหนือโซนดังกล่าวได้ 

สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้โดยรวมเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลง และมีแรงซื้อสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ ทว่า เงินบาทก็เผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าตามจังหวะการปรับตัวลงของราคาทองคำ และความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ พร้อมรอลุ้น ผลการประชุม FOMC ของเฟด และ BOJ รวมถึง รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ และรายงานผลประกอบการหุ้นเทคฯ ใหญ่ สหรัฐฯ

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ประเด็นสำคัญจะมีอยู่ 4 ประเด็น คือ 1. ผลการประชุม FOMC ของเฟด 2. รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ โดยเฉพาะ ข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) 3. แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ หลังถึงกำหนด Deadline 1 สิงหาคม ที่ทางการสหรัฐฯ ให้เวลากับบรรดาประเทศคู่ค้าในการเจรจาข้อตกลงการค้า เพื่อลดอัตราภาษีนำเข้าที่จะถูกเรียกเก็บ และ 4. รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะ บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Meta, Microsoft, Apple และ Amazon โดยในส่วนการประชุม FOMC ของเฟด นั้น เราประเมินว่า คณะกรรมการ FOMC ส่วนใหญ่ อาจมีมติเห็นชอบให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25-4.50% เพื่อประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ให้รอบด้าน ขณะเดียวกันภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ตลาดแรงงานก็ยังคงสดใสอยู่ ทำให้เฟดไม่จำเป็นต้องเร่งรีบลดดอกเบี้ย ทว่า อาจมีคณะกรรมการ FOMC บางท่าน อาทิ Christopher Waller และ Michelle Bowman ที่อาจสนับสนุนการลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ โดยอาจให้เหตุผลว่า ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณชะลอตัวลงชัดเจน ส่วนนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อาจไม่ได้กระทบต่อแนวโน้มเงินเฟ้อของสหรัฐฯ มากนัก

▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนและทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนกรกฎาคม อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะสั้นและระยะยาว โดย ECB รวมถึงอัตราการเติบโตเศรษฐกิจยูโรโซน ในไตรมาสที่ 2  โดยหลังรับรู้การประชุม ECB ล่าสุด ในสัปดาห์ที่ผ่านมา บรรดาผู้เล่นในตลาดได้ทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ ECB โดยประเมินว่า ECB มีโอกาสราว 68% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 1 ครั้ง ในปีนี้ จากเดิมที่ผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจว่า ECB จะลดดอกเบี้ยได้

▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยเราประเมินว่า BOJ อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% เพื่อรอประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ทั้งนี้ เรามองว่า BOJ อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย 25bps ได้ในการประชุม BOJ เดือนธันวาคม  หากเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงขยายตัวได้ดี ส่วนอัตราเงินเฟ้อก็ยังคงมีแนวโน้มอยู่ที่ระดับเป้าหมาย 2.0% ได้ในระยะกลาง-ยาว นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนมิถุนายน ส่วนในฝั่งจีน ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ในเดือนกรกฎาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ท่ามกลางความหวังว่า การเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อาจดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและนำไปสู่ข้อตกลงการค้าได้ในที่สุด     

▪ ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามภาวะภาคการผลิตของไทย ผ่านรายงานดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index) อัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization) ในเดือนมิถุนายน รวมถึง ดัชนี PMI ภาคการผลิต และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (Business Sentiment) เดือนกรกฎาคม ซึ่งจะเป็นอีกข้อมูลที่ช่วยสะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ต่อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจอื่นๆ ของไทยได้ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามผลการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ รวมถึง การเจรจาหยุดยิงระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ได้ ทั้งนี้ เราหวังว่า การหยุดยิงจะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และนำไปสู่การเจรจายุติความขัดแย้ง เพื่อฟื้นฟูสันติภาพและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 

“When the rich wage war it's the poor who die.” 
By Jean-Paul Sartre, Le Diable et le Bon Dieu


สำหรับ แนวโน้มเงินบาท แม้เราคงมุมมองว่า เงินบาทมีความเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้ แต่เรายอมรับว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัด และเงินบาทเสี่ยงเผชิญ Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้ทั้งด้านอ่อนค่าและแข็งค่า) ขึ้นกับทิศทางของเงินดอลลาร์และราคาทองคำ โดยต้องรอลุ้น ทั้ง ผลการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งอาจขึ้นกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ว่าทั้งสองฝ่ายจะปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงได้หรือไม่) รวมถึง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง ข้อมูลการจ้างงาน อนึ่ง เราประเมินว่า หากบรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ซึ่งจะขึ้นกับรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนและแนวโน้มนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ภาพดังกล่าวก็อาจยังคงกดดันราคาทองคำต่อ ทำให้เงินบาทอาจขาดปัจจัยหนุนฝั่งแข็งไปบ้าง 

นอกจากนี้ เรามีความกังวลว่า เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลงได้ไม่ยาก หากสุดท้ายไทยยังไม่บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ และเผชิญอัตราภาษีนำเข้า 36% ซึ่งอาจเป็นไปได้ หากสถานการณ์การสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา ยังคงดำเนินต่อไป แม้จะมีการเจรจาหยุดยิงเกิดขึ้น โดยหากอ้างอิงการอ่อนค่าของเงินบาท หลัง Liberation Day เราประเมินว่า เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลงราว 1.2% หรือมีโอกาสอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ (หากอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านแรก 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน) ส่วนโซนแนวรับจะยังคงอยู่แถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.10 บาทต่อดอลลาร์)

อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน (หรืออ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน)


ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์เสี่ยงผันผวนสูงและจะเผชิญ Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้สองทิศทาง) ขึ้นกับการปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาด ซึ่งจะปรับเปลี่ยนไปตาม รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ และแนวโน้มนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward  มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.10-33.00 บาท/ดอลลาร์ ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.65 บาท/ดอลลาร์

#เงินบาทวันนี้ #ค่าเงินบาท #แนวโน้มเงินบาท #ราคาทองวันนี้ #เศรษฐกิจโลก #เฟดประชุม #FOMC #ตลาดเงิน #ค่าเงินเอเชีย #ข่าวเศรษฐกิจ #บาทอ่อน #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

เงินบาทแข็งค่าสุดรอบ 2 ปี หลังดอลลาร์อ่อน-นักลงทุนลดถือสินทรัพย์ปลอดภัย

เงินบาทแข็งค่าสุดรอบ 2 ปี หลังดอลลาร์อ่อน-นักลงทุนลดถือสินทรัพย์ปลอดภัย

ค่าเงินบาทประจำวันที่ 24 กรกฎาคม 2568

-กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.00-32.30 บาท/ดอลลาร์

-เงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่ามากที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2022 โดยยังเป็นผลจากดัชนีเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง หลังความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยของนักลงทุนโลกลดลง

-เงินยูโรแข็งค่าขึ้นหลังมีรายงานว่า สหภาพยุโรปและสหรัฐฯ ใกล้บรรลุข้อตกลงการค้า โดยสหรัฐฯ จะเก็บภาษีนำเข้ายุโรปที่ 15% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่

-ศาลรัฐธรรมนูญขยายเวลาให้ น.ส.แพทองธาร ชี้แจงข้อกล่าวหากรณีคลิปเสียงคุยโทรศัพท์กับฮุน เซน ถึงวันที่ 31 กรกฎาคมนี้

#ค่าเงินบาท #เงินบาทวันนี้ #ดอลลาร์อ่อน #ยูโรแข็ง #เศรษฐกิจโลก #ข่าวการเงิน #SCB #ธนาคารไทยพาณิชย์ #เจรจาการค้า #แพทองธาร #ข่าวเศรษฐกิจ #ข่าวการเมือง #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้