มาแล้ว! เปิดจดหมายฉบับเต็ม "จุลพงศ์" ขอโทษ "เนวิน–ตระกูลชิดชอบ–ชาวบุรีรัมย์" ยอมรับอภิปรายเขากระโดงเป็นเท็จทั้งหมด

มาแล้ว !! เปิดจดหมายฉบับเต็ม 2 หน้า “จุลพงศ์" ขอโทษ "เนวิน-ตระกูลชิดชอบ-ชาวบุรีรัมย์" ยอมรับอภิปรายที่ดินเขากระโดงเป็นข้อมูลเท็จทั้งหมด 


วันที่ 30 ก.ย.68  ผู้สื่อข่าวได้เปิดจดหมาย ของนาย จุลพงศ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน  จำนวน 2 หน้า เขียนเมื่อวันที่ 12 ก.ค.68  ซึ่งเขียนถึงนายเนวิน ชิดชอบ และครอบครัวตระกูล “ชิดชอบ” เมื่อเพื่อขอโทษและแสดงความรับผิดชอบต่อการอภิปรายเกี่ยวกับที่ดินเขากระโดง ที่ได้อภิปรายในสภาฯ เพื่อลงมติไม่ไว้างโจนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 68


ทำที่ สภาผู้แทนราษฎร เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร


วันที่  12 กรกฎาคม พ.ศ. 2568


เรื่อง ขอโทษและแสดงความรับผิดขอบต่อคำอภิปรายเกี่ยวกับที่ดินเขากระโสง


เรียน นายเนวิน ชิดชอบ และครอบครัวตระกูลชิดชอบ


ตามที่ข้าพเจ้าได้อภิปรายในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายก


วันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2568 โดยมีข้อความส่วนหนึ่งในการอภิปรายของข้าพเจ้าได้พาดพิงครอบครัวตระกูลชิดชอบ กรณีที่ดินเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีเนื้อหาอันเป็นความเท็จซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของท่านและครอบครัวตระกูลชิดชอบว่าใช้อิทธิพลทางการเมืองขัดขวางหน่วยราชการในการปฏิบัติตามกฎหมายและคำพิพากษาของศาลฎีกาเพื่อยึดถือที่ดินในพื้นที่บริเวณเขากระโดงจังหวัดบุรีรัมย์มาเป็นของท่านและและครอบครัวตระกูลชิดชอบ ซึ่งระหว่างการอภิปรายดังกล่าวข้าพเจ้าได้อ้างอิงถึงแผนที่ที่ดินบริเวณเขากระโดงที่การถไฟแห่งประเทศไทยอ้างว่าเป็นที่ดินของ รฟท.ประมาณห้าพันกว่าไร่นั้น


ข้าพเจ้าขอกราบเรียนว่า เนื้อหาในการอภิปรายของข้าพเจ้าดังกล่าวข้างต้น ล้วนเป็นไปตามบทหรือสคริป์ที่ทีมงานของข้าพเจ้าจัดทำ โดยข้าพเจ้าประมาทเลินเล่อมิได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ความถูกต้องของแผนที่และข้อมูลประกอบการอภิปรายที่ทีมงานของข้าพเจ้าได้รับจากการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยละเอียดด้วยตนเอง ประกอบกับข้าพเจ้าเพิ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรกและไม่เคยอภิปรายไว้วางใจในสภาผู้แทนราษฎรมาก่อน ข้าพเจ้าจึงหลงเชื่อว่าแผนที่และข้อมูลที่ข้าพเจ้าได้รับจากกานรถไฟแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐนั้น เป็นข้อมูลที่เป็นจริงและถูกต้องทุกประการ เป็นเหตุให้ข้าพเจ้านำเสนอข้อมูลเท็จต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร และต่อมาเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ผู้รับมอบอำนาจและทนายความของท่านได้แสดงให้ข้าพเจ้าทราบถึงข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน เกี่ยวกับข้อเท็จจริงและข้อมูล ทางประวัติศาสตร์ ตลอดจนแผนที่แท้จริงเกี่ยวกับที่ดินเขากระโดง ซึ่งเป็นสาระสำคัญ ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยไม่ได้แจ้งให้ข้าพเจ้าทราบ


บัดนี้ ข้าพเจ้าได้เข้าใจโดยแจ้งชัดว่า แท้จริงแล้วท่านและครอบครัวตระกูลชิดชอบ มิได้มีเจตนาที่จะครอบครองที่ดินบริเวณเขากระโดงโดยผิดกฎหมายมาตั้งแต่ต้นและไม่เคยใช้อิทธิพลทางการเมืองบังคับให้หน่วยราชการดำเนินการใด ๆ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตนแต่อย่างใด ตลอดจนท่านและครอบครัวตระกูลชิดชอบ เจตนาที่จะปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย เพื่อรักษากระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยไว้อีกด้วย


ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น ข้าพเจ้าสำนึกผิดในการกระทำของข้าพเจ้าและยอมรับว่าเนื้อหาการอภิปรายดังกล่าวเป็นข้อมูลเท็จทั้งหมด ข้าพเจ้าจึงขอใช้โอกาสนี้แสดงความสำนึกผิด โดยขอแสดงความเสียใจและขออภัยอย่างสูงต่อ นายเนวิน ชิดชอบ ครอบครัวตระกูลชิดชอบทุกท่าน และประชาชนชาวบุรีรัมย์ ที่ได้รับผลร้ายจากการกระทำของข้าพเจ้า และเพื่อแสดงความจริงใจในความสำนึกผิดของข้าพเจ้าในครั้งนี้  ข้าพเจ้าประสงค์จะบริจาคเงินให้แก่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ จำนวน 10,000 บาท เพื่อเป็นการขอโทษแก่ประชาชนชาวบุรีรัมย์ ที่ได้รับผลกระทบจากการอภิปรายของข้าพเจ้า รวมทั้งเผยแพร่เนื้อหาข้อความ ตามหนังสือฉบับนี้บนหน้าเพจของข้าพเจ้าในแอพลิเคชั่นเฟซบุ๊ก (โดยปักหมุดไว้บนหน้าแรกของหน้าข้าพเจ้า) เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 7 วัน


ทั้งนี้ ข้าพเจ้าหวังว่าท่านและครอบครัวตระกูลชิดชอบทุกท่านจะเห็นความจริงใจของข้าพเจ้าและให้อภัยในการกระทำที่ผิดพลาดของข้าพเจ้าในครั้งนี้  ซึ่งเป็นการกระทำผิดในฐานความผิดนี้ครั้งแรกในชีวิต

จึงเรียนมาเพื่อพิจารณา
ขอแสดงความนับถือ
(นายจุลพงศ์ อยู่เกษ)
สมาชิกสภาผู้แทนสภาผู้แทนราษฎร

 

#จุลพงศ์อยู่เกษ #เนวินชิดชอบ #เขากระโดง #พรรคประชาชน #จดหมายขอโทษ #ข่าวการเมือง #สภา #อภิปรายไม่ไว้วางใจ #บุรีรัมย์ #Siamrathการเมือง #ข่าววันนี้ #ดราม่าการเมือง #ชาวบุรีรัมย์

“อนุทิน” เยือนถิ่นเก่า “มหาดไทย” ยันยุคนี้จะไม่แทรกแซงคดี “เขากระโดง” ลั่น ใครคาใจให้ไปฟ้องเอง

“อนุทิน” เยือนถิ่นเก่า “มหาดไทย” ลั่น ยุคนี้จะไม่แทรกแซงคดี “เขากระโดง” ปล่อยให้ใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย ย้ำจะไม่ตรวจสอบคณะกรรมการชุด “เดชอิศม์” เหตุปลัดมหาดไทยแถลงชัดแล้ว ใครคาใจให้ไปฟ้องเอง เผย “อธิบดี ปค.”ชงดึงโป๊กเกอร์อยู่ในบัญชีการพนัน

เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2568 ที่กระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงหลักในการทำงานเกี่ยวกับคดีเขากระโดงว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ไม่มีการวางหลักในเรื่องใดทั้งสิ้น ผิดว่าไปตามผิด ถูกก็ให้ความเป็นธรรมเขา

เมื่อถามว่าเห็นด้วยกับแนวทางของนายพิพัฒน์ รัชกิจปราการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่จะให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ฟ้องรายแปลงหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า อะไรที่กฎหมายทำได้ก็ควรที่จะเป็นไปตามนั้น แต่จะไม่กลั่นแกล้ง และจะไม่ทำให้มีได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ที่พรรคเพื่อไทยเตรียมถล่มในการแถลงนโยบาย และพร้อมชี้แจงหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า พร้อมชี้แจง

เมื่อถามว่า จะมีการตรวจสอบคำสั่งคณะกรรมการเขากระโดงที่นายเดช อิศม์ ขาวทอง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งและมีคำสั่งเพิกถอนที่ดินเขากระโดง โดยใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 วรรค 8 หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ไม่ต้องตรวจสอบ เพราะเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ก่อนที่พวกตนจะเข้ามา ได้ติดตามข่าวโดยปลัดกระทรวงมหาดไทย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมที่ดิน และอธิบดีกรมที่ดินคนปัจจุบัน ได้ร่วมกันแถลงข่าวอย่างชัดเจน ว่าได้กระทำการข้ามขั้นตอนในหลายประเด็น และคณะกรรมการได้มีการตรวจสอบแล้วพบว่า สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว ส่วนใครที่คาใจหรือไม่พอใจในมติของคณะกรรมการมาตรา 61 สามารถใช้สิทธิ์ไปฟ้องตามช่องทางที่กฎหมายกำหนดได้

เมื่อถามต่อว่า คณะกรรมการที่ตรวจสอบมีคำสั่งให้เพิกถอนที่ดินเขากระโดงตามมาตรา 61 วรรค 8 หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า จะมีหรือไม่มีก็แล้วแต่ สามารถใช้สิทธิ์ได้อย่างเต็มที่ สิ่งที่ตนเองพูดได้เพียงอย่างเดียวคือจะไม่มีการแทรกแซงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนนี้ เพราะนายกรัฐมนตรีสั่งไม่ให้แทรกแซงอย่างเด็ดขาด โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะสั่งรัฐมนตรีช่วยมหาดไทยทุกคนว่าไม่ให้แทรกแซงเด็ดขาด

เมื่อถามว่าจะมีการเพิกถอนหรือดึงไพ่โป๊กเกอร์กลับมาขึ้นบัญชีการพนันหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า จะพิจารณา ซึ่งอธิบดีกรมการปกครองได้นำร่างเพิกถอนให้ตนเองพิจารณาแล้ว แต่ตนเองจะไม่ทำอะไรที่หุนหันพลันแล่น ขาดสติ แต่จะพิจารณาด้วยความละเอียด และสอบถามผู้ที่มีความรู้ ว่าจะได้หรือเสียประโยชน์อะไร ทุกอย่างจะมีการกลั่นกรอง โดยใช้ดุลยพินิจเพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นหลัก

ภูมิธรรมแซะอนุทิน "ผู้ยิ่งใหญ่"!! ฟาดพรรคประชาชนปมเบรกเขากระโดง

ภูมิธรรม ฟาดแรงปมกรมที่ดินสั่งยุติถอนโฉนดเขากระโดง ย้ำเป็นที่ดินพระราชทาน เหน็บ อนุทิน "ผู้ยิ่งใหญ่" พร้อมจี้พรรคประชาชนตอบสังคม

เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย ออกมาแสดงจุดยืนต่อกรณีกรมที่ดินมีคำสั่งให้ยุติการเพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดง โดยให้เหตุผลว่าข้อเท็จจริงไม่เพียงพอที่จะยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

นายภูมิธรรมกล่าวถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ว่าเป็น “ผู้ยิ่งใหญ่” พร้อมเตือนว่า “ถ้ากล้าจะทำอะไรแบบนี้ ก็ต้องคิดให้ดีๆ” ทั้งนี้ได้ย้ำว่าที่ดินเขากระโดงเป็น “ที่ดินพระราชทาน” จากรัชกาลที่ 5 และมีพระราชกฤษฎีกาในสมัยรัชกาลที่ 6 รองรับอย่างชัดเจน ซึ่งแตกต่างจากกรณีที่ดินของนางปารีณา ไกรคุปต์ ที่เป็นที่ดินของหลวงเพื่อจัดสรรให้ราษฎร

เขายังระบุว่า ตนได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว และสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลสืบเนื่องจากการที่พรรคประชาชนจับมือโหวตร่วมกับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งพรรคประชาชนต้องตอบคำถามกับประชาชนให้ได้ว่ารู้สึกอย่างไรต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

#ภูมิธรรม #เขากระโดง #อนุทิน #กรมที่ดิน #พรรคเพื่อไทย #พรรคประชาชน #ภูมิใจไทย

“กรมที่ดิน” ชะงักเพิกถอนที่ดินเขากระโดง ชี้ รฟท.ยื่นฟ้องศาลแล้ว ให้รอผลคำพิพากษา

“กรมที่ดิน” ชะงักเพิกถอนที่ดินเขากระโดง ชี้ รฟท.ยื่นฟ้องศาลแล้ว ให้รอผลคำพิพากษา

(17 ก.ย.68) กรมที่ดิน ได้ออกเอกสารข่าว กรณี การดำเนินการกับที่ดินบริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ตามที่สื่อมวลชนให้ความสนใจในประเด็นการดำเนินการกับที่ดินบริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ และกระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน กรณี ไม่เพิกถอนโฉนดที่ดินบริเวณเขากระโดง กรมที่ดินขอสรุปประเด็นเพื่อชี้แจง ดังนี้

๑. ตามคำพิพากษาศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ ภาค ๓ กรมที่ดินได้ดำเนินการแล้ว ดังนี้

๑.๑ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๔๒ – ๘๗๖/๒๕๖๐ ลงวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ดำเนินการยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของราษฎร จำนวน ๓๕ รายที่ฟ้องคดี พร้อมทั้งจำหน่าย ส.ค. ๑ ออกจากทะเบียนการครอบครองที่ดินแล้ว 

๑.๒ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๐๒๗/๒๕๖๑ ลงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ อธิบดีกรมที่ดินได้มีคำสั่งให้แก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ใน น.ส. ๓ ข. เลขที่ ๒๐๐ หมู่ที่ ๙ ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ (บางส่วน) ตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน แล้ว

๑.๓ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓ คดีหมายเลขแดงที่ ๑๑๑๒/๒๕๖๓ ลงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๓ สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ รวม ๓ ฉบับ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓ แล้ว

ดังนั้น กรมที่ดินจึงได้ดำเนินการตามคำพิพากษาศาลทั้งสามคดีครบถ้วนแล้ว

๒. ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ๕๘๒/๒๕๖๖ ลงวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๖  ให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา ๖๑ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เพื่อดำเนินการกับที่ดินแปลงอื่นจำนวน ๙๙๕ แปลง ที่อยู่ในบริเวณที่การรถไฟฯ อ้างสิทธิ   ซึ่งอธิบดีกรมที่ดินได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ ตามคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว คณะกรรมการสอบสวนฯ ได้รวบรวมพยานหลักฐานแล้ว ข้อเท็จจริงยังไม่ชัดเจน เป็นที่ยุติว่าที่ดินเป็นของการรถไฟฯ และการออกโฉนดที่ดินในพื้นที่เขากระโดงเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย  จึงมีความเห็นไม่สมควรเพิกถอนโฉนดที่ดิน อธิบดีกรมที่ดินได้พิจารณาความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนฯ แล้วเห็นชอบด้วย จึงมีคำสั่งให้ยุติเรื่อง การรถไฟฯ จึงได้อุทธรณ์คำสั่งยุติดังกล่าว ซึ่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน พิจารณาแล้วเห็นว่า คำสั่งยุติเรื่องของอธิบดีกรมที่ดินชอบ ด้วยกฎหมายจึงยกอุทธรณ์ของการรถไฟฯ และกรมที่ดินได้แจ้งสิทธิการฟ้องคดีให้การรถไฟฯ ทราบแล้ว

๓. เนื่องจากคำสั่งให้ยุติเรื่องตามข้อ ๒ การรถไฟฯ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุดให้เรียกอธิบดีกรมที่ดินมาไต่สวน เนื่องจากเห็นว่า อธิบดีกรมที่ดินยังดำเนินการไม่ครบถ้วนตามคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่ออธิบดีกรมที่ดินตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ จึงเป็นการดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลางแล้ว ส่วนการรังวัดหาแนวเขตที่ดินของการรถไฟฯ เป็นเพียงข้อแนะนำของศาล ซึ่งกรมที่ดิน ก็ได้ดำเนินการแล้วเช่นกัน แต่หากการรถไฟฯ เห็นว่า อธิบดีกรมที่ดินดำเนินการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ การรถไฟฯ ก็ชอบที่จะยื่นเป็นคำร้องต่อศาลปกครองชั้นต้นที่ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดี ซึ่งเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณามีคำสั่งหรือไต่สวน ศาลปกครองสูงสุดจึงยกคำร้องของการรถไฟฯ

๔. การรถไฟฯ จึงได้ฟ้องกรมที่ดิน อธิบดีกรมที่ดินและปลัดกระทรวงมหาดไทย ต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๘ เพื่อให้เพิกถอนคำสั่งยุติเรื่องและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ซึ่งขณะนี้ศาลได้รับคำฟ้องไว้พิจารณาและอยู่ระหว่างกรมที่ดินทำคำให้การต่อสู้คดี  

๕. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายเดชอิศม์ ขาวทอง) ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินกรณียุติเรื่อง ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบฯ เห็นว่า อธิบดีกรมที่ดินยังดำเนินการไม่ครบถ้วน ก่อนการมีคำสั่งให้ยุติเรื่อง จึงเห็นควรให้อธิบดีกรมที่ดินทบทวนคำสั่งยุติเรื่องดังกล่าว กรมที่ดินพิจารณาแล้วขอเรียนว่า ที่ผ่านมากรมที่ดินได้ดำเนินการครบถ้วนแล้วทั้งตามคำพิพากษา ศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ ภาค ๓ คำพิพากษาศาลปกครองกลาง ประกอบกับปัจจุบันการรถไฟฯ ก็ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางตามข้อ ๔ แล้ว ทุกฝ่ายจึงควรรอผลคำพิพากษาของศาล อันจะทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้รับหลักประกันความเป็นธรรมตามกระบวนการจากองค์กรตุลาการที่ได้รับการยอมรับ อย่างไรก็ตาม หากการรถไฟฯ เห็นว่าตนมีสิทธิในที่ดินดีกว่า ก็ไม่ตัดสิทธิการรถไฟฯ ที่จะไปใช้สิทธิทางศาลยุติธรรม

ประสานดีเอสไอ “รฟท.” เลื่อนแจ้งความเอาผิดเรื่อง “เขากระโดง”ไม่มีกำหนด

ความคืบหน้าการสืบสวนเรื่องร้องเรียนการครอบครองและการออกเอกสารสิทธิในที่ดินบริเวณเขากระโดงจังหวัดบุรีรัมย์ อันอาจเป็นที่ดินของรัฐ ซึ่งอธิบดีดีเอสไอมีคำสั่งสืบสวน และดีเอสไอได้ดำเนินการสอบสวนปากคำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบรวบรวมพยานหลักฐานพบกลุ่มบุคคลและเจ้าหน้าที่ รฟท.เกี่ยวข้อง ซึ่งก่อนหน้านี้ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ติดต่อว่าจะมอบให้ฝ่ายกฎหมายเข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อขอให้ดำเนินการสอบสวนตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง พร้อมมอบเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องในวันที่4 ก.ย. เวลา 14.00 น.นั้น

 

ล่าสุด เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2568 พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผอ.กองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย รฟท.ได้ประสานกลับมายังตน ขอเลื่อนการเข้าแจ้งความร้องทุกข์ออกไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด  กรณีนี้พนักงานสอบสวนดีเอสไอตรวจสอบพบ กลุ่มบุคคลและเจ้าหน้าที่การรถไฟเข้าไปเกี่ยวข้อง และการรถไฟฯเป็นผู้เสียหายจึงประสานรฟท.ไปให้มาแจ้งความดำเนินคดีอาญากับกลุ่มบุคคลและเจ้าหน้าที่การรถไฟแห่งประเทศไทย  และเจ้าหน้าที่รัฐอื่นในการเข้ายึดถือครอบครองที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย บริเวณพื้นที่เขากระโดง ต.เสม็ด และ ต.อิสาณ อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ หากรฟท.ไม่มาแจ้งร้องทุกข์ ก็เข้าข่ายละเลยการปฏิบัติหน้าที่  ดีเอสไอจะทำหนังสือแจ้งรฟท.อีกครั้งให้มาแจ้งความร้องทุกข์ หากยังไม่มาอีก ก็จะประชุมพนักงานสอบสวน ดำเนินการทางกฎหมายกับผู้บริหารการรถไฟฯ   เรียกสอบบุคคลที่เกี่ยวข้องฐานเป็นผู้สนับสนุนเพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป

ก้าวแรกรัฐบาลอนุทิน กับ 2 แผลใหญ่ทางการเมือง!!

การเมืองไทยเดินมาถึงอีกจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 สภาผู้แทนราษฎรเตรียมลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยชื่อที่ถูกจับตามากที่สุดคือ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ผู้ที่กำลังจะก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ภายใต้แรงหนุนหลักจากพรรคประชาชน

 หากเกมโหวตผ่านไปอย่างราบรื่น นี่คือก้าวแรกของรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของอนุทินท่ามกลางเงาสลัว เพราะเบื้องหลังชัยชนะทางการเมืองครั้งนี้ ยังมี “2บาดแผลใหญ่” ที่อาจกลายเป็นจุดอ่อนร้ายแรงของรัฐบาล

บาดแผลแรกคือ คดีที่ดินเขากระโดง ที่ลากยาวมาตั้งแต่ปี 2560 เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาชัดเจนว่าที่ดินบริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย ไม่ใช่ของเอกชน แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา การเพิกถอนโฉนดกลับแทบไม่คืบหน้า ทั้งที่คำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการปล่อยปละละเลย

ล่าสุดเดือนสิงหาคม 2568 ภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกมาแถลงย้ำว่าที่ดินเขากระโดงเป็นของรัฐ และได้สั่งการให้กรมที่ดินเร่งดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ออกโดยมิชอบ คำแถลงนี้ไม่เพียงกดดันกลไกของรัฐ แต่ยังสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อพรรคภูมิใจไทย เพราะสังคมเชื่อมโยงโดยตรงกับตระกูลชิดชอบ ซึ่งเป็นแกนนำสำคัญของพรรค

กรณีเขากระโดงจึงกลายเป็น “แผลใหญ่ทางการเมือง” ของภูมิใจไทยในสายตาประชาชน การถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวพันกับการบุกรุกที่ดินสาธารณะ ทำให้ความน่าเชื่อถือถูกกัดกร่อน ยิ่งเมื่อกระทรวงมหาดไทยอยู่ภายใต้การดูแลของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นคู่แข่งทางการเมืองโดยตรง ประเด็นนี้ยิ่งถูกขยายผลเป็นอาวุธในการโจมตี

บาดแผลที่สองคือ คดีฮั้วเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่กำลังเดินหน้าเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญ เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนส่วนกลางซึ่งร่วมมือกันระหว่าง กกต. และ DSI ได้สรุปสำนวนส่งให้ กกต. ชุดใหญ่พิจารณา โดยระบุรายชื่อผู้ถูกกล่าวหามากถึง 229 คน แบ่งออกเป็น ส.ว. 138 คน และกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยรวมถึงเครือข่ายอีก 91 คน กระทำผิดตามมาตรา 70 ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.

เมื่อไหร่ที่สำนวนคดีในมือ กกต. ถูกส่งต่อไปยังศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง และมีการประทับรับฟ้อง ส.ว. 138 คนอาจถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที

ขณะเดียวกัน การที่กรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยถูกระบุชื่อเป็นผู้ถูกกล่าวหา ทำให้ภาพลักษณ์พรรคถูกโยงเข้ากับพฤติกรรมการเลือกตั้งที่ไม่โปร่งใส จนเกิดแรงกดดันอย่างรุนแรงจากสังคม

 การถูกตั้งคำถามว่าพรรคเกี่ยวพันกับการฮั้วเลือกตั้ง ทำให้คดีนี้ถูกมองว่าอาจลุกลามไปถึงการยุบพรรค หาก กกต. และศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยไปในทิศทางดังกล่าว

เมื่อสองคดีมารวมกัน กลายเป็นเงาทะมึนที่ปกคลุมอนาคตของรัฐบาลใหม่ ภาพของอนุทินที่กำลังจะได้รับการโหวตเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 จึงไม่ใช่ภาพที่สง่างามไร้รอยด่าง หากแต่เป็นภาพของผู้นำที่เริ่มต้นก้าวแรกด้วยการถูกสังคมตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใส และมาตรฐานจริยธรรมทางการเมือง

พรรคเพื่อไทยในฐานะคู่แข่งโดยตรงย่อมไม่ปล่อยโอกาสนี้หลุดมือ มีการคาดการณ์ว่าหลังอนุทินได้รับการโหวตเป็นนายกฯ จะมีการรวมรายชื่อ ส.ส. เพื่อยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยความเป็นนายกรัฐมนตรีของอนุทิน โดยใช้เหตุผลว่าเข้าข่ายขาดคุณสมบัติ ละเมิดมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง และไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตอันเป็นที่ประจักษ์ ด้วยการอ้างอิงจากทั้งคดีเขากระโดงและคดีฮั้วเลือกตั้ง ส.ว.

ทันทีที่การเคลื่อนไหวดังกล่าวหากเกิดขึ้น จะกลายเป็นแรงกระแทกครั้งใหญ่ต่อรัฐบาลที่ยังไม่ทันเริ่มทำงาน

ดังนั้นแม้เส้นทางสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของอนุทินจะใกล้ความจริง แต่การเมืองไทยไม่เคยมีชัยชนะที่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ ก้าวแรกของรัฐบาลใหม่อาจกลายเป็นก้าวที่สะดุด หากศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องและมีคำสั่งเบื้องต้นให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับผู้นำคนก่อน ๆ

บทวิเคราะห์จากหลายฝ่ายจึงมองตรงกันว่า รัฐบาลอนุทินกำลังจะเริ่มต้นด้วยภาระหนักหน่วงกว่ารัฐบาลใดในอดีต เพราะไม่เพียงต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคม แต่ยังต้องต่อสู้กับ “สองแผลใหญ่ทางการเมือง” ที่กัดกร่อนความน่าเชื่อถือ และไม่ต่างจากระเบิดเวลาที่พร้อมจะทำลายเสถียรภาพของรัฐบาลตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้าสู่ทำเนียบ

 

#อนุทิน #ภูมิใจไทย #เขากระโดง #ฮั้วเลือกตั้งสว #พรรคเพื่อไทย #ข่าวการเมืองล่าสุด #นายกรัฐมนตรีคนที่32

 

"ศุภชัย" เรียกสติ DSI หยุดท่าทีไม่สุจริต ก่อนองค์กรสูญความไว้วางใจ

"ศุภชัย" ตอก "DSI" หยุดท่าทีไม่สุจริต กลับไปยืนอยู่ในหลักยุติธรรมแท้จริง อย่ารับใช้นักการเมืองจนหมดความไว้วางใจจากประชาชน เตือนผู้บริหารองค์กรก่อนจะสายไป

วันที่ 2 ก.ย.68 นายศุภชัย ใจสมุทร ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย พรรคภูมิใจไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวSuphachai Jaismut เตือนสติ DSI  ทำงานควรอยู่ในหลักของกฎหมาย อย่าทำเพื่อสนองการเมือง ระบุว่า...


การที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ออกมาเคลื่อนไหวในคดีเขากระโดง โดยระบุถึงการครอบครองที่ดินโดยมิชอบ การอำพรางนิติกรรม และการบุกรุกลำคลองสาธารณะ ทั้งที่ขณะนี้ยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด และยังไม่มีคำสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิของกรมที่ดินในที่ดินพิพาท 995 แปลง ถือเป็นพฤติการณ์ที่สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งต่อการฝ่าฝืนหลักกฎหมาย และแสดงถึงความพยายามใช้อำนาจสอบสวนเบื้องต้นในทางที่เกินเลย

ในทางกฎหมาย DSI ยังไม่ได้มีคำสั่งรับเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษตามกระบวนการตามมาตรา 21 แห่ง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 ที่จะต้องผ่านการพิจารณาโดยคณะกรรมการคดีพิเศษเสียก่อน การที่เจ้าหน้าที่ DSI ในระดับบริหารออกมาแสดงท่าทีชี้นำต่อสาธารณะถึงความผิด หรือกล่าวหาว่ามีการอำพรางนิติกรรม ทั้งที่กระบวนการยังไม่เริ่มต้น ย่อมสุ่มเสี่ยงต่อการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลตามรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน

ที่สำคัญกว่านั้น ข้อเท็จจริงในปัจจุบันคือ การรถไฟแห่งประเทศไทยยังไม่มีเอกสารสิทธิรับรองกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท นอกเหนือจากบางแปลงที่มีคำพิพากษาเฉพาะราย ยิ่งไปกว่านั้น กรมที่ดินได้ใช้อำนาจตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินโดยแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนอย่างเป็นทางการแล้ว และคณะกรรมการได้มีมติ “ไม่เพิกถอน” โฉนดที่ดินจำนวน 995 แปลง เนื่องจากไม่มีหลักฐานชัดเจนเพียงพอว่าเอกสารสิทธิเหล่านั้นออกโดยไม่ชอบ

เมื่อข้อพิพาทนี้ยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขดำที่ 395/2568 และยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด DSI จึงไม่มีอำนาจใดในการเข้าชี้นำสาธารณะ หรือตั้งข้อกล่าวหาอาญาใด ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกระทำไปเพื่อสนองกระแสทางการเมือง

หากการสอบสวนของ DSI ถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อ “ตอบสนองนโยบายของรัฐมนตรี” หรือกลุ่มการเมืองใด และไม่ยึดหลักกฎหมายเป็นที่ตั้ง การกระทำของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบย่อมตกอยู่ในฐานะผู้ใช้อำนาจโดยมิชอบ ซึ่งไม่เพียงละเมิดหลักนิติธรรมเท่านั้น แต่ยังสุ่มเสี่ยงต่อความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ในการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วย

ขอเตือนด้วยความห่วงใยว่า กฎหมายมีไว้ให้เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติตาม ไม่ใช่ให้ตีความตามใจผู้มีอำนาจ การที่ DSI ในวันนี้เดินเข้าสู่เกมการเมืองอย่างเต็มตัว โดยแสดงบทบาทเป็น “เครื่องมือ” แทนที่จะเป็น “หลักประกันความยุติธรรม” คือการทำลายชื่อเสียงขององค์กรเสียเอง

ในระบอบประชาธิปไตย เจ้าหน้าที่รัฐต้องยึดหลักความเป็นกลาง ยึดหลักกฎหมาย และไม่สยบยอมต่อแรงกดดันทางการเมือง หรือเจตนาแฝงใดๆ ที่อาจฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมาย

DSI จึงควรหยุดการแสดงท่าทีที่อาจถูกมองว่าไม่สุจริต และกลับไปยืนอยู่บนหลักฐาน กฎหมาย และความยุติธรรมอย่างแท้จริง ก่อนที่ความไว้วางใจของประชาชนจะพังทลายไปมากกว่านี้ และจะสายไปสำหรับผู้บริหารองค์กรนี้

"ศุภชัย" โต้เดือด! "เดชอิศม์" ปัด “ภูมิใจไทย”เอี่ยวฮั้วเลือก ส.ว.-เขากระโดง เตือนอย่าดึงการเมืองป่วนกระบวนการยุติธรรม

"ศุภชัย" โต้เดือด! "เดชอิศม์" ปัด “ภูมิใจไทย”เอี่ยวฮั้วเลือก ส.ว.-เขากระโดง เตือนอย่าดึงการเมืองป่วนกระบวนการยุติธรรม

เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2568 ที่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) นายศุภชัย ใจสมุทร ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการโพสต์เฟสบุ๊กถึงกรณีที่ นายเดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวพาดพิงกระทบภาพลักษณ์พรรคภูมิใจไทย ว่า อยากจะบอกกับนายเดชอิศม์ว่า มีความเป็นคนไม่พอ แต่ก็เป็นคนที่มีคุณธรรม ส่วนกรณีที่นายเดชอิศม์ พาดพิงว่าพรรคภูมิใจไทยเกี่ยวข้องกับกระบวนการเลือก สว.นั้น ตนขอชี้แจงว่า อยู่ในขั้นตอนการสืบสวน เวลานี้ยังไม่มีข้อเท็จจริงว่าใครเป็นผู้ต้องหากระทำความผิด และต้องถูกสังคมรังเกียจ ซึ่งตนมองว่าเรื่องนี้ฝ่ายการเมืองเข้าไปยุ่งเกี่ยว ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้าไปทำคดีอย่างมิชอบ

นายศุภชัย กล่าวต่อว่า ขณะที่เรื่องคดีเขากระโดง นายเดชอิศม์เป็นคนที่รับผิดชอบเรื่องนี้ มาวันแรกก็ดูคึกคักว่าจะเพิกถอน จนวันนี้ไม่รู้กี่เดือนก็ยังไม่ได้ทำ และควรรอกระบวนการของศาลที่จะต้องตัดสินคดี พร้อมย้ำว่าเรื่องทั้งหมดคือเรื่องทางการเมือง ตนจึงยืนยันว่าทั้งสองประเด็นนี้ยังมีผู้บริสุทธิ์อยู่ นายเดชอิศม์ไม่ควรยกเรื่องเหล่านี้มาโจมตีอ้างว่าพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคที่น่ารังเกียจ ไม่น่าจะคุยด้วย และอยากกล่าวเตือนอีกว่า นายเดชอิศม์เป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ การกระทำก็ย่อมผูกพันกับพรรค ท่านต้องเรียนรู้กับการเป็นเลขาธิการพรรคการเมืองที่ดี ท่านมาแบบทางลัด เรียนลัด ข้อสอบรั่วด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้

เมื่อถามว่า เป็นการกล่าวหาที่แรงไปหรือไม่ ว่าคดีฮั้วเลือก สว.เลวร้ายกว่าการทำรัฐประหารร้อยครั้ง นายศุภชัย กล่าวว่า เป็นสิ่งที่นายเดชอิศม์กล่อมตัวเอง แต่ตนเข้าใจอยู่ เพราะคนที่มีตำแหน่งรัฐมนตรีแล้วหลุดออกไปก็คงยังทำใจไม่ได้ ในฐานะเพื่อนมนุษย์ก็ต้องแผ่เมตตาให้เขา

เมื่อถามถึงกรณีที่ นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้ความเห็นถึงอำนาจการยุบสภา นายศุภชัย กล่าวว่า เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาก็เคยให้สัมภาษณ์ว่ารัฐบาลรัฐสั่งการไม่สามารถยุบสภาได้ และเกรงว่าจะเป็นการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท เราต้องเข้าใจว่าการยุบสภา เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ไม่ได้เป็นของผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี ที่ทำงานประจำ เรื่องดังกล่าวถือเป็นอำนาจพิเศษ ขอเตือนว่าอย่าหาทำปล่อยให้กระบวนการเดินไปด้วยตัวเอง

“ภูมิธรรม” เผยสิ้นก.ย. "ที่ดินเขากระโดง" ชัดเจน เพิกถอนก่อน ถ้าไม่พอใจไปท้วงที่ศาล ปมสนามบอล-สนามแข่งรถ ชี้เจ้าของจริงตัดสิน

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 28 ส.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าเรื่องการเพิกถอนที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ อธิบดีกรมที่ดินคนใหม่ได้เซ็นหรือยัง ว่า ยัง ภายในสิ้นเดือน ก.ย. น่าจะชัดเจนทั้งหมด เพราะขณะนี้ท่านเพิ่งมารับตำแหน่ง โดยได้มีการประชุมและดูสภาพปัญหาทั้งหมดแล้ว เราไม่ได้กระเหี้ยนกระหือรือผลีผลามจะทำ เราทำตามกระบวนการกฎหมาย เท่าที่ดูไทม์ไลน์น่าจะมีข่าวดีที่ชัดเจนช่วงสิ้นเดือน ก.ย.ว่าเราได้ทำตามกฎหมาย 

 

เมื่อถามถึงความชัดเจนของพื้นที่สนามฟุตบอลและสนามแข่งรถ ต้องรื้อถอนหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ต้องว่าตามกฎหมาย โดยอิงคำพิพากษาศาลทั้งหมด ตนประชุมกับทุกส่วนแล้ว ตามไทม์ไลน์ที่วางไว้จะดำเนินการบางประการและเปิดโอกาสให้ทักท้วง ซึ่งกระบวนการทางกฎหมายเราจะเดินถึงที่สุด ส่วนการทักท้วงไปว่ากันที่ศาล

 

เมื่อถามย้ำว่า หมายความว่าจะเพิกถอนก่อนค่อยทักท้วงทีหลัง หรือจะเปลี่ยนเป็นการเช่า นายภูมิธรรม กล่าวว่า มันเป็นคนละขั้นตอน อยู่ๆ ไปตัดสินไม่ได้ สมมุติว่าถ้าเราไปอยู่ที่ดินของหลวง ใครเป็นเจ้าของพื้นที่นั้นเขาก็เป็นคนตัดสินใจ หากมีฝ่ายที่อยากจะเปลี่ยนแปลงอะไร หรืออยากขอความเยียวยาช่วยเหลืออะไรตามกฎหมายที่ทำได้ก็ต้องให้ผู้มีอำนาจเป็นเจ้าของที่แปลงนั้น เราต้องว่าไปตามสิทธิ์ของแต่ละคน ใครมีหลักฐานได้ที่ดินมาก่อนมีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตสร้างทางรถไฟหลวง หรือก่อนพระเจ้าอยู่หัวจะพระราชทานก็ว่าไป แต่ถ้ามาหลังจากนั้นไม่ว่าจริงหรือไม่ ก็ผิดกฎหมายทั้งนั้น ส่วนจะผิดกฎหมายในขั้นตอนที่ต้องดำเนินการอย่างไร ก็ว่าอีกเรื่อง เพราะหากพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานก็เป็นที่หลวงมาตั้งแต่ต้น พระราชกฤษฎีกาที่ออกมาในรัชกาลที่ 6 ประกาศชัดเจนว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของหลวง  

 

นายภูมิธรรม กล่าวว่า การที่ที่ดินแปลงนี้เป็นของหลวง สิ่งที่ศาลต้องการให้ทำอย่างเดียวคือ ปรับให้มาตราส่วนของกรมที่ดินและการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ตรงกัน ตอนนี้เกือบจะเรียบร้อยแล้ว ก็ถือว่าเรียบร้อยแล้วได้ เพราะหลังจากนี้ได้มีการรังวัดใหม่ ไปดูแล้ว มาปรับกันแล้ว ถ้าสองฝ่ายชัดเจนตรงนี้จะเป็นแผนที่ประกอบการดำเนินการและประกาศให้ผู้อยู่ในพื้นที่รับทราบ เพื่อให้ได้รู้ว่าถูกกล่าวหาว่าเข้ามาในที่ดินของหลวง ซึ่งโฉนดต่างๆ ที่ได้มา ต้องถือว่าได้มาโดยมิชอบ ส่วนจะตรงไหน แล้วใครจะรับผิดชอบ ก็ว่าไป ถ้าชัดเจนทั้งหมด กรมที่ดินสามารถประกาศยกเลิกโฉนดเดิมแล้วให้ไปเรียกร้องเอา

 

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะใช้ช่องทางตามมาตรา 61 วรรค 8 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เพิกถอนที่ดินใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า คงหลายส่วน ตนเล่ากระบวนการไปแล้ว ขั้นตอนมีหลายอย่าง มีกรรมการที่ต้องขึ้นมา และยังมีกรณีของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อีก ต้องว่าไปตามนั้น ตนมีหน้าที่ทำให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาล สรุปอย่างไรก็แค่นั้น ส่วนกระบวนการหลังจากนี้เป็นเรื่องของกรมที่ดิน รฟท. และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ได้รับผลกระทบ 

"รฟท."เปิดศึก "กรมที่ดิน" กลางวง "กมธ.ปกครอง" ซัด ไม่รอผลสำรวจชิงใช้อำนาจไม่เพิกถอน "ที่ดินเขากระโดง"

 

วันที่ 20 ส.ค.2568 เวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การปกครอง สภาผู้แทนราษฎร ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาประเด็นปัญหาแนวเขตที่ดินเขากระโดง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นข้อพิพาทระหว่างกรมที่ดิน และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยมีนายกรวีร์ ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย เป็นประธานการประชุม

นายเจนกิจ เชฏฐวาณิชย์ รองอธิบดีกรมที่ดิน ชี้แจงว่า การได้มาซึ่งที่ดินของการรถไฟฯ ต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติการจัดวางทางรถไฟ พ.ศ. 2464 และมีพระราชกฤษฎีกาที่เกี่ยวข้อง 2 ฉบับ ซึ่งทั้งสองฉบับต้องมีแผนที่แนบท้ายในราชกิจจานุเบกษา แต่จากการตรวจสอบกลับไม่พบ ทำให้ไม่สามารถยืนยันได้ว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตพระราชกฤษฎีกาจัดซื้อหรือไม่

ด้านนายเศรษฐสีห์  เหล็งบุญ ผู้ว่าการรถไฟ (ทนายความ) ชี้แจงว่า ในอดีตการออกพระราชกิจจานุเบกษาจะออกเฉพาะข้อความในตัวกฎหมายเท่านั้น ไม่ได้มีการแนบแผนที่ท้ายเหมือนปัจจุบัน และย้ำว่า "แผนที่ทางรถไฟเกิดก่อนกฎหมาย" โดยทีมสำรวจได้จัดทำแผนที่เส้นทางก่อนที่จะมีการออกกฎหมายจัดซื้อ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมาย แม้จะไม่ได้ปรากฏในราชกิจจานุเบกษาก็ตาม และมีหลักฐานยืนยันไม่ได้เป็นแผนที่ที่ลอยมา

ผู้แทน รฟท. กล่าวเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของคดีว่า แม้ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาให้ที่ดินเป็นของการรถไฟฯ แล้ว กรมที่ดินยังคงอ้างว่าไม่ได้เป็นคู่ความ จึงได้มีการตั้งคณะกรรมการตามคำสั่งศาลปกครองกลาง เพื่อสำรวจและตรวจสอบแนวเขตที่ดินร่วมกับ รฟท.

อย่างไรก็ตาม ผู้แทน รฟท. ได้กล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการสำรวจว่า "ระหว่างที่กำลังจัดทำแบบ ร.ว.9 ร่วมกัน อธิบดีกรมที่ดินได้ชิงมีมติก่อนว่าไม่เพิกถอน เนื่องจากไม่มีเอกสารหลักฐานว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของการรถไฟฯ" ซึ่งเป็นการใช้อำนาจก่อนที่การสำรวจจะแล้วเสร็จ และหากรออีกไม่กี่วัน ทางอธิบดีกรมที่ดินก็จะสามารถใช้แบบ ร.ว.9 เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาได้ ทำให้ รฟท. ต้องนำคดีนี้ไปฟ้องศาลปกครองเพื่อเพิกถอนคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดินในท้ายที่สุด