โอกาส "ผู้ประกอบการไทย" ในเขตเศรษฐกิจพิเศษของสปป.ลาว

 

สปป.ลาว เป็นหนึ่งในประเทศเพื่อนบ้านที่ผู้ประกอบการไทยสามารถพิจารณาเข้าไปลงทุนในการผลิตสินค้าและให้บริการได้ โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งจะมีรถไฟความเร็วสูงลาว-จีน เป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยยกระดับการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ในระยะข้างหน้า

Krungthai COMPASS ประเมินเขตเศรษฐกิจพิเศษของลาวที่มีศักยภาพในแต่ละด้าน ได้แก่ 1) เขตสะหวัน-เซโน และไชยเชษฐา มีศักยภาพด้านอุตสาหกรรมผลิต เป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยในธุรกิจบริการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น ซ่อมเครื่องจักร วางระบบดิจิทัล อีกทั้งประเมินว่า หากผู้ประกอบการไทยลงทุนในธุรกิจฉีดขึ้นรูปพลาสติก ในเขตสะหวัน-เซโน จะสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ราว 11% จากต้นทุนแรงงานและพลังงานที่ลดลงราว 52% และ 32% ตามลำดับ 2) เขตธาตุหลวง มีศักยภาพในด้านการท่องเที่ยว เป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยในธุรกิจกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โรงแรมและรีสอร์ต 3) เขตบ่อเต็นและ ดงโพสี มีศักยภาพด้าน Trade & Logistic เป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยในธุรกิจกลุ่มโลจิสติกส์และธุรกิจขนส่ง การเงิน และธนาคาร การท่องเที่ยว และโรงแรม

 

สำหรับนักลงทุนไทยที่สนใจจะเข้าไปลงทุนในลาวควรศึกษากระบวนการในการเข้าไปลงทุนตามประเภทธุรกิจที่ต้องการเข้าไปลงทุน อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยท้าทายสำคัญที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน ได้แก่ ความไม่แน่นอนของกฎหมายและระเบียบของลาว ค่าเงินกีบที่มีทิศทางอ่อนค่า และแรงงานที่มีทักษะรองรับกิจการที่จะลงทุน ซึ่งนักลงทุนไทยต้องติดตามสถานการณ์และเตรียมความพร้อมสำหรับความท้าทายเหล่านี้

“สิงคโปร์-มาเลเซีย”จับมือผุด “เขตศก.พิเศษ” ใหญ่กว่า “เซินเจิ้น” 2 เท่า

สองผู้นำสิงคโปร์และมาเลเซีย จรดปากกาลงนาม จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ครอบคลุมพื้นที่พรมแดนสองประเทศ หรือใหญ่กว่าเซินเจิ้น 2 เท่า ตั้งเป้าส่งอานิสงส์สร้างงานนับแสนตำแหน่ง พร้อมเพิ่มมูลค่าเม็ดเงินกว่าปีละ 2.6 หมื่นล้านดอลล์

เมื่อวันที่ 7 ม.ค.68 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ พร้อมด้วยนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ร่วมกันเป็นประธานในพิธีลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการจัดตั้ง “เขตเศรษฐกิจพิเศษยะโฮร์-สิงคโปร์” หรือ “เจเอส-เอสอีซี” เมื่อวันอังคารนี้ ที่เมืองปุตราจายา ซึ่งเป็นเมืองใหญ่และศูนย์กลางการปกครองของประเทศมาเลเซีย

โดยเขตเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าว ครอบคลุมพื้นที่ของทั้งสองประเทศ โดยเชื่อมระหว่างรัฐยะโฮร์ทางตอนใต้ของมาเลเซียกับประเทศสิงคโปร์ ส่งผลให้เขตเศรษฐกิจพิเศษข้างต้น มีขนาดใหญ่กว่าประเทศสิงคโปร์ 4 เท่า และใหญ่กว่านครเซินเจิ้น เมืองสำคัญทางเศรษฐกิจของจีนถึง 2 เท่า

พร้อมกันนี้ ทางการทั้งสองประเทศ ยังตั้งเป้าหมายว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษนี้ จะช่วยสร้างงานใหม่ได้มากกว่า 100,000 ตำแหน่ง และเพิ่มมูลค่าเม็ดเงินให้สะพัดมากกว่า 26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573) หรืออีก 5 ปีข้างหน้า

การค้าชายแดนและผ่านแดน ก.ค.67 ขยายตัวต่อเนื่อง +21.7% รวม 7 เดือนแรกโต 5.9%

การค้าชายแดนและผ่านแดน ก.ค.67 ขยายตัวต่อเนื่อง +21.7% รวม 7 เดือนแรกโต 5.9% วางแผนต่อยอดความสำเร็จโครงการ “มหกรรมการค้าชายแดน” ต่อในปี 68

เมื่อวันที่ 5 ก.ย.67 นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยตัวเลขการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน เดือนกรกฎาคม 2567 มีมูลค่าการค้ารวม 158,101 ล้านบาท ขยายตัว 21.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการส่งออก 87,089 ล้านบาท (+15.5%) และการนำเข้า 71,011 ล้านบาท (+30.2%) โดยไทยได้ดุลการค้า 16,078 ล้านบาท ทำให้การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 มีมูลค่าการค้ารวม 1,070,384 ล้านบาท (+5.9%) เป็นการส่งออก 621,405 ล้านบาท (+4.7%) และการนำเข้า 448,979 ล้านบาท (+7.7%) โดยไทยได้ดุลการค้าในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 ทั้งสิ้น 172,427 ล้านบาท 

โดยการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ เดือนกรกฎาคม 2567 มีมูลค่าการค้ารวม 82,748 ล้านบาท (+14.4%) เป็นการส่งออก 50,631 ล้านบาท (+12.2%) การนำเข้า 32,117 ล้านบาท (+18.0%) และไทยได้ดุลการค้า 18,514 ล้านบาท โดยการค้าชายแดนกับมาเลเซีย มีมูลค่าสูงสุด 30,228 ล้านบาท (+32.9%) รองลงมา คือ สปป.ลาว 21,941 ล้านบาท (+12.3%) เมียนมา 15,721 ล้านบาท (-14.0%) และกัมพูชา 14,859 ล้านบาท (+26.2%) ซึ่งสินค้าส่งออกชายแดนสำคัญในเดือนกรกฎาคม 2567 ได้แก่ น้ำมันดีเซล 2,870 ล้านบาท ส่วนประกอบเครี่องโทรสารและโทรศัพท์ 2,099 ล้านบาท และน้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ 1,464 ล้านบาท ส่งผลให้ 7 เดือนแรกของปี 2567 การค้าชายแดนมีมูลค่าการค้ารวม 576,218 ล้านบาท (+4.2%) เป็นการส่งออก 356,083 ล้านบาท (+2.86%) การนำเข้า 220,136 ล้านบาท (+6.4%) และไทยได้ดุลการค้ารวมทั้งสิ้น 135,947 ล้านบาท

ขณะที่ด้านการค้าผ่านแดนไปประเทศที่สาม เดือนกรกฎาคม 2567 มีมูลค่าการค้ารวม 75,353 ล้านบาท (+30.7%) เป็นการส่งออก 36,459 ล้านบาท (+20.3%) และการนำเข้า 38,894 ล้านบาท (+42.3%) โดยการค้าผ่านแดนไปจีน มีมูลค่าสูงที่สุด 43,734 ล้านบาท (+24.6%) รองลงมาคือ สิงคโปร์ และเวียดนาม มีมูลค่า 8,515 ล้านบาท (+29.8%) และ 7,470 ล้านบาท (+31.1%) ตามลำดับ ซึ่งสินค้าส่งออกผ่านแดนสำคัญในเดือนกรกฎาคม 2567 ได้แก่ ทุเรียนสด 9,740 ล้านบาท ยางแท่ง TSNR 4,072 ล้านบาท และฮาร์ด ดิสก์ ไดรฟ์ 3,184 ล้านบาท ส่งผลให้ 7 เดือนแรกของปี 2567 การค้าผ่านแดนมีมูลค่าการค้ารวม 494,166 ล้านบาท (+8.0%) เป็นการส่งออก 265,323 ล้านบาท (+7.2%) การนำเข้า 228,843 ล้านบาท (+9.0%) และไทยได้ดุลการค้ารวมทั้งสิ้น 36,480 ล้านบาท 

อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเผยว่า การค้าชายแดนและผ่านแดนของไทยขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน โดยการส่งออกชายแดนและผ่านแดนขยายตัวในทุกหมวดสินค้า ทั้งสินค้าเกษตรกรรม (เช่น ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง) +24.6% สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร (เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง และน้ำมันปาล์ม) +4.4% สินค้าอุตสาหกรรม (เช่น ฮาร์ด ดิสก์ ไดรฟ์ และแล็ปท็อป) +15.9% และสินค้าพลังงาน (เช่น น้ำมันดีเซล และน้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ) +3.4% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการสินค้าพลังงานและสินค้าอุปโภคบริโภคจากไทยของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สปป.ลาว และกัมพูชาที่ยังมีอยู่สูง รวมถึงความต้องการยางพาราในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นทำให้การส่งออกสินค้ายางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง เช่น น้ำยางข้น ยางแท่ง ยางแผ่นรมควัน และไม้ยางพาราแปรรูป ขยายตัวสูงในตลาดมาเลเซีย จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

สำหรับการค้าชายแดนและผ่านแดนของไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อเนื่องตลอดช่วงระยะเวลาที่เหลือของปี 2567 ซึ่งที่ผ่านมา กรมฯ ได้ดำเนินกิจกรรมต่างๆ ภายใต้ “ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการค้าและการลงทุนชายแดนและผ่านแดน ปี 2567-2570” มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการสนับสนุนการยกระดับศักยภาพและการอำนวยความสะดวกของด่านชายแดนและระบบขนส่ง/โลจิสติกส์ การส่งเสริมและใช้ประโยชน์จากกรอบความตกลงและกรอบความร่วมมือต่างๆ ตลอดจนการดำเนินโครงการขยายการค้าการลงทุนชายแดนและเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ “มหกรรมการค้าชายแดน” จำนวน 3 ครั้ง ได้แก่ จ.มุกดาหาร (28 ก.พ.-3 มี.ค.67) จ.กาญจนบุรี (26-30 มิ.ย.67) และล่าสุดที่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 15-18 ส.ค.67 ที่ผ่านมา เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนชายแดนและผ่านแดนของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งอำนวยความสะดวกทางการค้าและพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความเข็มแข็งให้กับเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านการผลักดันและส่งเสริมการค้าชายแดน โดยกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2568 กรมฯ มีแผนจะดำเนินโครงการขยายการค้าการลงทุนชายแดนและเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษอย่างต่อเนื่อง เพื่อต่อยอดความสำเร็จของโครงการฯ ในการเป็นกลไกกระตุ้นเศรษฐกิจบริเวณชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน อันจะนำไปสู่การบรรลุผลการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคต่อไป

#การค้าชายแดน #ข่าววันนี้ #ส่งออก #เขตเศรษฐกิจพิเศษ

 

"สุริยะ" ยันแลนด์บริดจ์เกิดในรัฐบาลนี้แน่นอน คาดเริ่มก่อสร้างไตรมาส 3/69

"สุริยะ" ยันแลนด์บริดจ์เกิดในรัฐบาลนี้แน่นอน คาดเริ่มก่อสร้างไตรมาส 3/69

เมื่อวันที่ 2 ก.ย.67 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมทะเลอ่าวไทย-อันดามัน (ชุมพร-ระนอง) หรือโครงการแลนด์บริดจ์ว่ากระทรวงคมนาคม และรัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยจะเดินหน้าผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในยุคนี้แน่นอน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติ รวมถึงผลักดันเศษรฐกิจไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน

สำหรับแผนการดำเนินงานในขณะนี้นั้น สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) อยู่ระหว่างการทำหนังสือบรรจุวาระการจัดทำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ พ.ศ. .... หรือ พ.ร.บ.SEC เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กพศ.) เพื่อให้มีมติมอบหมาย สนข. เป็นผู้จัดทำร่าง พ.ร.บ.SEC ก่อนเข้าสู่กระบวนการอื่นๆ และเสนอร่าง พ.ร.บ.เข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในเดือน ก.ย.68

ทั้งนี้เมื่อ พ.ร.บ.SEC มีผลบังคับใช้แล้ว จะมีการจัดตั้งสำนักงาน SEC และเข้าสู่แผนงานอื่นๆตามแผนต่อไป โดยในส่วนการออกแบบทางรถไฟ และทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) รวมถึงการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) คาดว่าสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) จะพิจารณารายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม EIA แล้วเสร็จในปี 2568 สอดคล้องกับการออกแบบท่าเรือ และการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) และส่งให้ สผ.พิจารณาแล้วเสร็จในปี 2568 เช่นเดียวกัน

ส่วนกระบวนการคัดเลือกเอกชนนั้น การจัดทำร่างเอกสารเชิญชวนผู้ลงทุนในการร่วมลงทุนโครงการ (RFP) คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/69 และน่าจะคัดเลือกผู้ลงทุนได้ภายในไตรมาส 2/69 จากนั้นจะออก พ.ร.ฎ.เวนคืนที่ดิน ก่อนเสนอ ครม.อนุมัติโครงการภายในไตรมาส 2/69 จากนั้นจะสามารถลงนามสัญญากับผู้ชนะการประกวดราคาและเริ่มก่อสร้าง โดยการก่อสร้างระยะที่ 1 คาดว่าจะเริ่มได้ในไตรมาส 3/69 แล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในช่วงปลายปี 573 ตามแผนที่กำหนดไว้

ขณะที่การจัดตั้งคณะทำงานร่วมกับบริษัท Dubai Port World (DP World) นั้น เนื่องจาก DP World ต้องการศึกษารายละเอียดโครงการฯ รวมทั้งแสดงถึงความพร้อมที่จะเข้าร่วมลงทุนโครงการในประเทศไทย อย่างไรก็ตามหากผู้ประกอบการเอกชนรายใด ทั้งประเทศจีน และประเทศอื่นๆทั่วโลก ต้องการจะตั้งคณะทำงานร่วมกับประเทศไทย สามารถแสดงความประสงค์มาได้ทันที โดยยืนยันว่ากระทรวงคมนาคม และรัฐบาลไทย มีความยินดีต้อนรับนักลงทุนจากทั่วทุกมุมโลก และไม่ได้ผูกมัด หรือกีดกันรายใดรายหนึ่ง ทั้งนี้ยืนยันว่า ทุกกระบวนการในการดำเนินการมีความโปร่งใส มีธรรมาภิบาล สามารถตรวจสอบได้

#ข่าววันนี้ #คมนาคม #แลนด์บริดจ์ #เขตเศรษฐกิจพิเศษ #ลงทุน

 

 

 

รัฐบาล โดย อว. หนุนอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ สร้างผู้ประกอบการเชื่อมระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้

รัฐบาล โดย อว. หนุนอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ สร้างผู้ประกอบการเชื่อมระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ ตั้งเป้าปี 67 ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาลสู่ตลาดโลก 

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เดินหน้าสนับสนุนอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ สร้างผู้ประกอบการเชื่อมระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ ตั้งเป้าปี 67 ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาลสู่ตลาดโลก

นายคารม กล่าววว่า อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ภาคใต้ มีภารกิจหลักที่สำคัญ คือ การสนับสนุน ส่งเสริม และพัฒนาผู้ประกอบการหรือภาคเอกชน โดยใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ผสานความเชื่อมโยงระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และภาคชุมชนท้องถิ่น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจและอุตสาหกรรม ตลอดจนผลักดันผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ภาคใต้ ยังมีจุดเด่นเรื่องของการเชื่อมโยงอัตลักษณ์พื้นที่ โดยเฉพาะอย่างอย่างการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ยางพารา และมีการส่งเสริมนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมฮาลาล รวมถึงมีการส่งเสริมให้เกิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยรัฐบาลมีนโยบายที่จะส่งเสริมให้เกิดระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาไปสู่การเป็นประตูเศรษฐกิจแห่งภูมิภาคที่มีศักยภาพในการเชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมขนส่ง และการค้าของประเทศ ซึ่งอุทยานวิทยาศาสตร์ จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่บนฐานนวัตกรรม และกลไกสำคัญในการพัฒนา 

“รัฐบาล โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมจะผลักดันอย่างเต็มที่  ให้อุทยานวิทยาศาสตร์มีบทบาทนำในการจัดทำแผนพัฒนาระเบียงระเบียงเศรษฐกิจในภาคใต้และภาคอื่น เพื่อกระจายความเติบโตทางเศรษฐกิจ ลดความเลื่อมล้ำ สร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจไทยในทุกพื้นที่ โดยตั้งเป้าให้อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคภาคใต้ เป็นศูนย์กลางในการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการฮาลาลของประเทศ ในปี 2567 ซึ่งจะมุ่งเน้นการขับเคลื่อน “อุตสาหกรรมฮาลาลสู่ตลาดโลก” เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการฮาลาลด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงส่งเสริมและสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกสินค้าและบริการฮาลาลที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียนและระดับโลก” นายคารม ย้ำ

"อีอีซี" ขยายโอกาสการค้าลงทุน ไทย-จีน ผนึกกำลังสร้างความร่วมมือเขตเศรษฐกิจพิเศษสองประเทศ EEC-GBA

อีอีซี ผนึกกำลังสร้างความร่วมมือระหว่างเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กับเขตความร่วมมือกวางตุ้ง - ฮ่องกง – มาเก๊า (GBA) “เลขาธิการจุฬา” ชูยุทธศาสตร์ชักชวนการลงทุน มุ่งสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง พร้อมร่วมเป็นสักขีพยานความร่วมมือทางธุรกิจภาคเอกชนไทยและจีน รวม 10 โครงการ อาทิ ความร่วมมือในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม ความร่วมมือด้านยานยนต์ไฟฟ้า ความร่วมมือการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม การศึกษาระดับอาชีวะ โลจิสติกส์ อาหารและยา เป็นต้น  

เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.66 นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ อีอีซี เข้าร่วมปาฐกถาพิเศษภายในงาน ประชุมสัมมนาความร่วมมือเศรษฐกิจการค้าจีน (กวางตุ้ง)และไทย หรือ China (Guangdong) – Thailand Economic Cooperation Conference ซึ่งจัดโดยรัฐบาลมณฑลกวางตุ้ง ร่วมกับคณะกรรมการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมณฑลกวางตุ้ง หรือ CCPIT โดยมีนายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย นายหวัง เว่ย โจง ผู้ว่าการมณฑลกวางตุ้ง และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ นักธุรกิจชั้นนำจากภาคเอกชนของทั้งประเทศไทย และประเทศจีน เข้าร่วมงานฯ ณ โรงแรมแชงกรี ล่า กรุงเทพฯ 

นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการอีอีซี กล่าวว่า การจัดประชุมสัมมนาความร่วมมือเศรษฐกิจการค้าจีน (กวางตุ้ง)และไทยครั้งนี้ ถือเป็นการสร้างโอกาสความร่วมมือระหว่างเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(EEC) ของไทย และเขตความร่วมมือกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า (GBA) โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือด้านส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว(BCG) เป็นต้น โดยประเทศจีนนับเป็นคู่ค้าอันดับต้นๆของไทยมายาวนาน และมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจทั้งด้านการค้าการลงทุนที่สนับสนุนซึ่งกันและกันมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความร่วมมือ EEC ของไทย กับ GBA ของจีนครั้งนี้จะสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือของทั้งสองประเทศให้มีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น 

ทั้งนี้ EEC กับ GBA จะร่วมมือกันส่งเสริมและสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ทั้งการค้าและการลงทุน โดยในส่วนของ EEC ได้วางยุทธศาสตร์และกรอบความร่วมมือไทย - จีน ได้แก่ การเชื่อมต่อ EEC และ GBA ขยายการค้าการเสริมสร้างความร่วมมือด้านนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ขยายความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม การส่งเสริมความร่วมมือด้านการแพทย์แผนจีน และการศึกษาระดับอาชีวศึกษา 

“ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ภาคธุรกิจของจีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทชั้นนำของโลกในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางในการขับเคลื่อน EEC ของไทย โดยเฉพาะในกลุ่มคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมายของอีอีซี โดยมั่นใจว่า การจัดประชุมสัมมนาครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญนำไปสู่การสร้างความร่วมมือที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นในทุกมิติ” 

นอกจากนี้ภายในงานประชุมสัมมนาความร่วมมือเศรษฐกิจการค้าจีน และไทยยังมีการลงนามความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระหว่างภาคเอกชนของไทยกับจีน (Signing Ceremony) ซึ่งได้มีการจับคู่ทางธุรกิจรวมกว่า 10 โครงการ อาทิ ความร่วมมือในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม ความร่วมมือในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อุตสาหกรรมอาหารและไบโอ อุตสาหกรรมโลจิสติกส์และบริการ เพื่อเป็นก้าวสำคัญสร้างความร่วมมือระหว่าง EEC และ GBA สู่ความสำเร็จและยั่งยืนต่อไป