สบพ.จัดประชุม 5th Aviation National Symposium ส่งเสริมงานวิจัยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินไทย

วันที่ 4 กันยายน 2568 ดร.วราภรณ์ เต็มแก้ว รองผู้ว่าการฝ่ายบริหาร สถาบันการบินพลเรือน เป็นประธานเปิดโครงการงานประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 5 (5th Aviation National Symposium) โดยมีคณะผู้บริหาร คณาจารย์ และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา เข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง เพื่อแลกเปลี่ยนและนำเสนอผลงานวิชาการและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการบิน รวมทั้งสิ้น 15 ผลงาน จากหน่วยงานและสถาบันการศึกษาชั้นนำ พร้อมได้รับการสนับสนุนจาก 11 หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมจัดงานในครั้งนี้ เมื่อวันที่ 3 กันยายน ที่ผ่านมา 

ดร.วราภรณ์ เต็มแก้ว รองผู้ว่าการฝ่ายบริหาร สถาบันการบินพลเรือน (สบพ.) เปิดเผยว่า สบพ.ในฐานะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจภายใต้กระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็นสถาบันแรกของประเทศไทยที่ผลิตบุคลากรด้านวิชาชีพการบิน มีวิสัยทัศน์ที่จะเป็นศูนย์กลางความเป็นเลิศด้านการบินด้วยมาตรฐานระดับสากล เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมการบินของประเทศและภูมิภาคอาเซียน โดยตระหนักถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสำคัญในโลก (Mega Trend) ที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการบินทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี กฎหมาย และสิ่งแวดล้อม

 “การวิจัยเป็นเครื่องมือสำคัญในการนำความรู้ทางวิชาการมาใช้ค้นหาความจริงใหม่อย่างมีระบบ ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งในเชิงทฤษฎีและปฏิบัติ ช่วยแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพและถูกต้อง ซึ่งสถาบันการบินพลเรือนให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการบูรณาการองค์ความรู้วิชาการเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมการบินของไทยให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืน” ดร.วราภรณ์ กล่าว

นอกจากนี้ ภายใต้นโยบายของกระทรวงคมนาคมที่มุ่งผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการผลิตและซ่อมบำรุงอากาศยานของภูมิภาคอาเซียน อาชีพในอุตสาหกรรมการบินจึงต้องการบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคสูง พร้อมด้วยประสบการณ์ที่เพียงพอ สถาบันการศึกษาจึงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนากำลังคนให้มีความพร้อมตั้งแต่ระดับพื้นฐานจนถึงระดับสูง โดยผ่านกระบวนการวิจัยและพัฒนาความรู้ที่เป็นระบบและมีคุณภาพ เพื่อสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ช่วยยกระดับอุตสาหกรรมการบินให้มีศักยภาพสูงสุด

โครงการประชุมวิชาการฯ ครั้งนี้จึงเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้อาจารย์ นักศึกษา และนักวิชาการนำเสนอผลงานด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีในการบริหารจัดการอุตสาหกรรมการบิน พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สายการบิน และภาคบริการท่องเที่ยว เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นเมืองแห่งอุตสาหกรรมการบินชั้นนำของภูมิภาค

สำหรับปีนี้มีผลงานวิชาการจำนวน 15 ผลงาน แบ่งเป็นการนำเสนอภาคบรรยาย 12 ผลงาน และการนำเสนอด้วยโปสเตอร์อีก 3 ผลงาน ครอบคลุม 8 สาขาวิชา ได้แก่ ธุรกิจการบิน, การท่องเที่ยว, การศึกษาและการเรียนการสอนด้านการบิน, ดิจิทัลและเทคโนโลยี, สังคมและสิ่งแวดล้อม, วิศวกรรมการบิน, โลจิสติกส์การบิน และสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากหลายหน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงคมนาคม, สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.), สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี, กรมท่าอากาศยาน, สมาคมตัวแทนขนส่งสินค้าทางอากาศไทย, บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

ทั้งนี้ เพื่อมุ่งส่งเสริมการเผยแพร่บทความและผลงานวิชาการของนักศึกษา พนักงาน และบุคคลทั่วไปสู่สาธารณชน เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสารงานวิจัยระหว่างนักศึกษา หน่วยงานรัฐ เอกชน และเครือข่ายพันธมิตรทางด้านการบินและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพิ่มศักยภาพในการจัดการเรียนการสอน พัฒนาคุณภาพหลักสูตร และยกระดับคุณภาพการศึกษาให้ตอบโจทย์ตลาดแรงงานอุตสาหกรรมการบิน การจัดประชุมวิชาการครั้งนี้ สถาบันการบินพลเรือนมุ่งหวังว่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและพัฒนางานวิจัยด้านการบินของประเทศ ให้เกิดความเข้มแข็งและยั่งยืนในอนาคต

CAAT เดินหน้ายกระดับการบินไทยสู่ Aviation Hub ชี้อุตสาหกรรมการบินกำลังกลับมาเจริญเติบโต

CAAT แถลงผลการดำเนินงานในช่วง 5 เดือน ถึงสถานการณ์ของอุตสาหกรรมการบินไทยในปัจจุบัน ซึ่งมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง และได้วางทิศทางเชิงรุกเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค (Aviation Hub) ในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2568 ประเทศไทยมีผู้โดยสารทางอากาศราว 72.68 ล้านคน เป็นผู้โดยสารเส้นทางภายในประเทศ 33.37 ล้านคน เส้นทางระหว่างประเทศ 39.31 ล้านคน และมีเที่ยวบินรวมราว 467,000 เที่ยวบิน แม้จำนวนผู้โดยสารและเที่ยวบินยังคงต่ำกว่าช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 อยู่ 13.11% แต่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากตลาดหลัก ได้แก่ ยุโรป เอเชียใต้ และอินเดีย สำหรับตลาดจีน แม้จะยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ เนื่องจากความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและพฤติกรรมนักท่องเที่ยวจีนที่เปลี่ยนไป เน้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ แต่ CAAT อยู่ระหว่างหารือกับทางการจีนเพื่อผ่อนผันการใช้สิทธิ Slot ให้เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สายการบินของไทยสามารถนำอากาศยานไปให้บริการในตลาดสำคัญอื่น ๆ ชั่วคราว เพื่อชดเชยการชะลอตัวของตลาดจีน

วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) เผยว่า ขณะนี้อุตสาหกรรมการบินกำลังกลับมาเจริญเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และมีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน หน่วยงานกำกับดูแลจึงต้องเร่งพัฒนาให้ระบบการบินของไทยมีความพร้อมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน มาตรฐานความปลอดภัย และบริการ เพื่อรองรับบทบาท Aviation Hub อย่างเป็นรูปธรรม โดยช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา CAAT ได้ดำเนินการอนุญาตและกำกับดูแลกิจการการบินในหลายด้านสำคัญ เช่น การออกใบรับรองสนามบินสาธารณะให้กับท่าอากาศยานพิษณุโลก สมุย และกระบี่ รวมทั้งออกใบอนุญาตประกอบกิจการการบินพลเรือนประเภทการขนส่งทางอากาศเพื่อการพาณิชย์แบบประจำมีกำหนด (AOL) ให้สายการบินใหม่ 2 ราย คือ บริษัท อินทิรา (2009) แอร์ และบริษัท สยามวิงส์ แอร์ไลน์ จำกัด และออกใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศ (AOC) ให้แก่ EZY Airlines ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการเดินอากาศรายใหม่

ด้านการส่งเสริมอุตสาหกรรมการบิน CAAT ได้จัดทำแผนปฏิบัติการเร่งด่วน (Quick Win Action Plan) ขับเคลื่อนใน 2 ช่วงหลัก ได้แก่: ช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค. – มิ.ย.) มุ่งส่งเสริมธุรกิจเครื่องบินส่วนบุคคล (Private Jet) ทบทวนเกณฑ์อายุและมาตรฐานการใช้งานอากาศยาน ส่งเสริมให้เกิด Urban Traffic Management (UTM) รวมทั้งส่งเสริมการเจรจาเพื่อเปิดเส้นทางบินตรงสู่สหรัฐอเมริกา ภายหลังไทยได้รับคืนสถานะ FAA CAT1 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ช่วงครึ่งปีหลัง (ก.ค. – ธ.ค.) มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการบิน เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการบินภูมิภาค ส่งเสริมและสนับสนุนศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ที่สุวรรณภูมิ ดอนเมือง และภูเก็ต พร้อมยกระดับกระบวนการอนุญาตด้วยเทคโนโลยี เช่น ระบบ Fast Track และส่งเสริมการให้บริการเครื่องบินน้ำ หรือ Sea Plane รวมถึงการจัดตั้งสนามบินน้ำ (Water Aerodromes)

พลอากาศเอก มนัท กล่าวว่า CAAT ยังเตรียมความพร้อมเพื่อรับการตรวจประเมินจากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ในโครงการ Universal Safety Oversight Audit Programme Continuous Monitoring Approach (USOAP CMA) ช่วงปลายเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายนนี้ โดยจะมีการตรวจประเมินในด้านต่างๆ เช่น มาตรฐานสนามบิน ความสมควรเดินอากาศ การปฏิบัติการบิน การบริการการเดินอากาศ ฯลฯ ทั้งในสำนักงานและการลงพื้นที่หน่วยงานต่างๆ ในการกำกับดูแลของ CAAT เพื่อประเมินประสิทธิภาพของระบบกำกับดูแลความปลอดภัยด้านการบินของประเทศ ทั้งนี้ หากประเทศไทยได้รับคะแนนสูงจากการตรวจของ ICAO จะช่วยเสริมความเชื่อมั่นจากสายการบิน นักลงทุน และผู้โดยสารทั่วโลก อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสในการเปิดเส้นทางบินใหม่ และยกระดับภาพลักษณ์ความปลอดภัยด้านการบินของไทยในเวทีนานาชาติ

นอกจากนี้ CAAT ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น การผลักดันระบบบริหารจราจรอากาศยานไร้คนขับ (UTM) การจัดตั้งเขตห้วงอากาศเฉพาะสำหรับอากาศยานไร้คนขับ ส่งเสริมการใช้ห้วงอากาศระดับต่ำ ส่งเสริมการใช้งานโดรนในภาคส่วนต่างๆ เช่น โลจิสติกส์ เกษตรกรรม และการตรวจตรา รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมโดรนในอนาคต และ CAAT ได้จัดทำเอกสารแนวทางการกำกับดูแลการให้บริการอากาศยานขึ้นลงทางดิ่งไฟฟ้า (eVTOL) และอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (UAS) ฉบับแรกของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อเป็นกรอบความร่วมมือในการพัฒนาและควบคุมเทคโนโลยี AAM อย่างเป็นระบบและปลอดภัย นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดงาน ICAO AAM Symposium ในปี พ.ศ. 2569 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่งานสำคัญระดับโลกนี้จะจัดขึ้นในเอเชีย สะท้อนถึงบทบาทเชิงรุกของประเทศไทยในการขับเคลื่อนอนาคตของการบินและการขนส่งทางอากาศในภูมิภาค

พลอากาศเอก มนัท กล่าวว่า ด้วยบทบาทของอุตสาหกรรมการบินในฐานะกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และความมั่นคงของประเทศ CAAT ยังคงมุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลและส่งเสริมการพัฒนาในทุกมิติ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ความปลอดภัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อวางรากฐานที่มั่นคงให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคอย่างยั่งยืนในอนาคต

เวียตเจ็ทรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2568 เดินหน้าขยายเส้นทาง-จับมือพันธมิตรระดับโลก สะท้อนความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการบินภูมิภาค

บริษัท เวียตเจ็ท เอวิเอชั่น จอยท์ สต็อก (HOSE: VJC) รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2568 โดยมีกำไรรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 24 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงการขยายตัวในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่องและประสิทธิภาพด้านการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ยืนยันความเป็นผู้นำด้านการเชื่อมต่อในภูมิภาค

จากงบการเงินประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2568 เวียตเจ็ทมีกำไรเติบโตอย่างโดดเด่น โดยมีรายได้จากการขนส่งทางอากาศ รวมอยู่ที่ 17.92 ล้านล้านดอง (ประมาณ 690 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และมีกำไรก่อนหักภาษีอยู่ที่ 820,000 ล้านดอง (ประมาณ 31.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 จากปีก่อนหน้า

ทั้งนี้ เวียตเจ็ทรายงานรายได้รวมในไตรมาสแรกของปี 2568 อยู่ที่ 17.952 ล้านล้านดอง (ประมาณ 690 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ขณะที่กำไรก่อนหักภาษีอยู่ที่ 836,000 ล้านดอง (ประมาณ 32.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า รายได้เสริมในไตรมาสนี้อยู่ที่กว่า 6.223 ล้านล้านดอง (ประมาณ 239.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 35 ของรายได้รวม สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการสร้างรายได้จากบริการเสริมที่แข็งแกร่งของสายการบิน

ในช่วงสามเดือนแรกของปี เวียตเจ็ทให้บริการผู้โดยสารกว่า 6.87 ล้านคน ผ่านเที่ยวบินเกือบ 38,700 เที่ยว เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ร้อยละ 9 และ 12 ตามลำดับ โดยมีเครือข่ายเส้นทางรวมทั้งสิ้น 137 เส้นทาง แบ่งเป็นเส้นทางภายในประเทศ 40 เส้นทาง และเส้นทางระหว่างประเทศ 97 เส้นทาง

ในไตรมาสแรกของปี 2568 เวียตเจ็ทได้เพิ่มเครื่องบินใหม่ 2 ลำเข้าสู่ฝูงบิน ส่งผลให้จำนวนเครื่องบินรวมอยู่ที่ 106 ลำ ซึ่งนับว่าเป็นฝูงบินที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค สายการบินฯ ยังคงแสดงศักยภาพด้านการดำเนินงานด้วยอัตราขนส่งผู้โดยสารเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 87 และอัตราความน่าเชื่อถือทางเทคนิคอยู่ที่ร้อยละ 99.72

เวียตเจ็ทยังได้เปิดตัวเส้นทางบินระหว่างประเทศใหม่จำนวน 4 เส้นทาง โดยเชื่อมกรุงฮานอยแลโฮจิมินห์ซิตี้ของเวียดนามกับเมืองสำคัญในจีน ได้แก่ ปักกิ่งและกวางโจว และในอินเดีย ได้แก่ เบงกาลูรูและไฮเดอราบาด ซึ่งช่วยขยายเครือข่ายการบินและเสริมสร้างโอกาสทางการตลาดในภูมิภาคเอเชียได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ สายการบินฯ ยังได้ประกาศแผนเปิดให้บริการเส้นทางบินตรงใหม่อีก 2 เส้นทาง ได้แก่ ฟูโกว๊ก – สิงคโปร์ และ โฮจิมินห์ซิตี้ – โอ๊คแลนด์ (ประเทศนิวซีแลนด์) โดยคาดว่าจะเริ่มให้บริการภายในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับเครือข่ายเส้นทางระหว่างประเทศของเวียตเจ็ท และตอบสนองความต้องการเดินทางที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 เวียตเจ็ทมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 98.766 ล้านล้านดอง (ประมาณ 3.79 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 2.12 และอัตราส่วนสภาพคล่องอยู่ที่ 1.5 ซึ่งสะท้อนถึงฐานะทางการเงินที่มั่นคง และสามารถรักษาระดับความปลอดภัยตามมาตรฐานของอุตสาหกรรมการบินได้อย่างต่อเนื่อง

เวียตเจ็ทเปิดศักราชปี 2568 ด้วยการเปิดเที่ยวบินแรกสู่สหรัฐอเมริกา พร้อมเดินหน้าหารือความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์กับพันธมิตรหลักในสหรัฐฯ มูลค่าสูงถึง 14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อรวมกับข้อตกลงที่มีอยู่เดิมกับพันธมิตรระยะยาวอย่าง โบอิ้ง (Boeing) จีอี (GE) แพรตต์แอนด์วิตนีย์ (Pratt & Whitney) และบริษัทชั้นนำอื่น ๆ ทำให้มูลค่าความร่วมมือรวมของเวียตเจ็ทเข้าใกล้ 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ สายการบินฯ ยังได้ลงนามในข้อตกลงจัดหาเงินทุนสำหรับเครื่องบินมูลค่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐกับ Carlyle Aviation Partners เพื่อเสริมศักยภาพการเติบโตในระยะยาว

เวียตเจ็ทยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินบทบาทด้านมนุษยธรรมอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้ส่งมอบเครื่องมือและสิ่งของช่วยเหลือที่จำเป็น น้ำหนักรวมกว่า 60 ตัน ไปยังประเทศเมียนมาร์ เพื่อสนับสนุนการบรรเทาทุกข์และช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ตอกย้ำเจตนารมณ์ของสายการบินฯ ในการยืนหยัดเคียงข้างสังคมในยามวิกฤต พร้อมร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในระดับภูมิภาค

โปรแกรมสะสมคะแนน SkyJoy ของเวียตเจ็ทได้รับการยกย่องในเวทีระดับภูมิภาค ด้วยรางวัล “การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลยอดเยี่ยม (Best Use of Digital Technology)” จากงาน Asia Pacific Loyalty Awards 2025 สะท้อนถึงความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและการมอบประสบการณ์ที่เหนือระดับให้แก่ผู้โดยสาร ขณะเดียวกัน เวียตเจ็ทยังคว้ารางวัลด้านทรัพยากรบุคคลระดับโลกอีก 3 รางวัล ตอกย้ำความสำเร็จในการบริหารจัดการบุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ AirlineRatings ได้จัดอันดับให้เวียตเจ็ทเป็น “สายการบินต้นทุนต่ำที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2568 (World’s Best Ultra Low Cost Carrier in 2025)” และยกให้เป็นหนึ่งในสายการบินที่ปลอดภัยที่สุดในโลก สะท้อนมาตรฐานด้านความปลอดภัยและคุณภาพการให้บริการในระดับสากล

ความสำเร็จเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้เวียตเจ็ทก้าวสู่การบรรลุเป้าหมายอันทะเยอทะยานในปี 2568 ได้อย่างมั่นคง ท่ามกลางกระแสการเติบโตอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมการบินในระดับโลก

77 ปี วิทยุการบินฯ มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมการบินอย่างยั่งยืน

บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) ครบรอบการดำเนินงาน 77 ปี  มุ่งมั่นพัฒนาการให้บริการการเดินอากาศให้เกิดความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล เพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการรองรับปริมาณเที่ยวบินขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค 

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในโอกาสครบรอบการดำเนินงานปีที่ 77ของ บวท. ได้เน้นย้ำนโยบาย ‘คมนาคมเพื่อโอกาสประเทศไทย’ ให้ บวท. สานต่อโครงการสำคัญต่าง ๆ เพื่อพัฒนาการให้บริการการเดินอากาศให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ และนวัตกรรมมาใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับเที่ยวบิน พัฒนาบุคลากรด้านการบิน เพื่อรองรับการเติบโตและพัฒนาอุตสาหกรรมการบินอย่างยั่งยืน เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

นายสุรชัย หนูพรหม รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บวท. กล่าวว่า บวท.ได้เร่งขยายขีดความสามารถในการรองรับปริมาณเที่ยวบิน เพิ่มประสิทธิภาพ  การให้บริการการเดินอากาศ อาทิ การจัดทำเส้นทางบินใหม่เพิ่มเติมได้แก่ เส้นทางบินด้านเหนือของประเทศไปยังลาวและจีน และอยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำเส้นทางบินด้านตะวันตกจากประเทศไทยไปยังพม่า อินเดีย อีกทั้งได้ดำเนินการออกแบบและพัฒนาโครงสร้างห้วงอากาศและเส้นทางบิน เข้า-ออก สนามบินที่มีความซับซ้อนของการจราจรทางอากาศสูง (Metroplex) ซึ่งจะเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการเดินอากาศของประเทศไทยให้มีศักยภาพสูงยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันได้ริเริ่มโครงการ High Intensity Runway Operation(HIRO) โดยดำเนินการออกแบบวิธีปฏิบัติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ  การใช้งานทางวิ่ง เพิ่มความสามารถในการรองรับเที่ยวบิน ลดการสิ้นเปลืองน้ำมันและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งโครงการนี้ได้รับรางวัลชมเชย รัฐวิสาหกิจดีเด่น ประเภทรางวัลการดำเนินงานอย่างรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมดีเด่น ประจำปี 2567

นายสุรชัย หนูพรหม กล่าวเพิ่มเติมว่า“อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของ บวท. คือ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้มอบใบรับรองบริการการเดินอากาศ 5 ด้าน ประกอบด้วย ด้านบริการระบบการสื่อสาร ระบบช่วยการเดินอากาศและระบบติดตามอากาศยาน (Communication, Navigation & Surveillance: CNS) ด้านบริการออกแบบวิธีปฏิบัติการบินด้วยเครื่องวัดประกอบการบิน (Instrument Flight Procedure Design: IFPD) ด้านการให้บริการจัดการจราจรทางอากาศ ประเภทการจัดการความคล่องตัวของการจราจรทางอากาศ (Air Traffic Flow Management: ATFM)  และประเภทการจัดการห้วงอากาศ (Air Space Management: ASM) และด้านการให้บริการจัดการจราจรทางอากาศ ประเภทบริการจราจรทางอากาศ (Air Traffic Services: ATS) เป็นการยืนยันและสร้างความเชื่อมั่นว่า บวท. คำนึงถึง     ความปลอดภัยและมาตรฐานการให้บริการการเดินอากาศเป็นสำคัญ

นอกจากนี้ บวท. มุ่งพัฒนาการให้บริการจราจรทางอากาศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้แนวคิด Green Air Traffic Management (Green ATM) ตามแนวทางขององค์กรผู้ให้บริการการเดินอากาศสากล (Civil Air Navigation Services Organization: CANSO) โดยได้ปรับปรุงกระบวนการในการบริหารจราจรทางอากาศ ทั้งการให้บริการภาคพื้นและระหว่างทำการบินเพื่อบริหารจัดการเที่ยวบินให้มีความสะดวก รวดเร็วและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้สายการบิน สามารถประหยัดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และจะส่งผลโดยตรงต่อการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อขับเคลื่อนสู่การเป็นองค์กรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

เปิดบทสรุป “เส้นทางสู่ความยั่งยืนในอุตฯการบินไทย" ความร่วมมือ 4 ภาคส่วน กุญแจสู่ Net Zero

CADT DPU เผย บทสรุปเวทีสัมมนา “เส้นทางสู่ความยั่งยืนในอุตสาหกรรมการบินของไทย" ความร่วมมือจาก 4 ภาคส่วนคือกุญแจสู่ Net Zero 

วันที่ 20 มี.ค.68 วิทยาลัยการพัฒนาและฝึกอบรมด้านการบิน (CADT) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ร่วมกับชมรมสถาบันการศึกษาและบุคลากรด้านการบินประเทศไทย (ชสบ.) จัดโครงการสัมมนาและเสวนาเรื่อง "SDGs in Thailand Aviation Industry Forum : เส้นทางสู่ความยั่งยืนของอุตสาหกรรมการบินของไทย" โดยมี ผศ.ดร.พัทธนันท์ เพชรเชิดชู รองอธิการบดีสายงานวิชาการ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เป็นประธานกล่าวเปิดงาน ภายในงานมีผู้แทนจากองค์กรในอุตสาหกรรมการบินมาร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน โอกาสและความท้าทายในอนาคต ณ ห้องประชุมปรีดี พนมยงค์ อาคารเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

อาจารย์ปวรรัตน์ สุภิมารส รักษาการคณบดีวิทยาลัยการพัฒนาและฝึกอบรมด้านการบิน (CADT) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ได้กล่าวรายงานสถานการณ์ในอุตสาหกรรมการบินว่า อุตสาหกรรมการบินเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว แต่ในขณะเดียวกันก็มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ไม่อาจมองข้าม ปัจจุบันองค์กรการบินระหว่างประเทศ ทั้ง องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) และ สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association:IATA ) ได้กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในการลดการปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 ส่งผลให้สายการบินทั่วโลกรวมถึงสายการบินไทยต้องปรับตัวและหามาตรการรองรับ ดังนั้น เป้าหมายของการจัดงานเสวนาในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทยไปสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนหรือ SDGs และร่วมกันพัฒนาให้เติบโตควบคู่ไปกับสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน

อาจารย์ยงยุทธ ลุจินตานนท์ ผู้จัดการภูมิภาคประจำประเทศไทย ลาว และเมียนมาร์ สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) เปิดเผยว่า IATA กำลังเตรียมรับมือกับความท้าทายในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ของภาคการบินภายในปี 2050 โดยมีบทบาทสำคัญ 3 ประการ คือ 1.) การสร้างความร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรมการบิน ผู้ผลิต และภาครัฐ เพื่อขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย Net Zero ผ่านโปรแกรมต่างๆ ที่มี Road Map ชัดเจน 2.) การให้ความรู้แก่ผู้โดยสาร สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ของการใช้เชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel : SAF) และความสำคัญของการลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมการบิน และ 3.) การสนับสนุนเทคโนโลยี โดย IATA ได้พัฒนาระบบและเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น One ID ที่ใช้เทคโนโลยี Biometric เพื่อยืนยันตัวตนและระบบ ONE Record สำหรับขนส่งสินค้า ซึ่งช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในกระบวนการให้บริการ โดยตัวอย่างโครงการสำคัญที่เป็นรูปธรรมของ IATA มีดังต่อไปนี้

SAF: ไทยเริ่มทดลองใช้เชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำในหลายสายการบิน โดย IATA สนับสนุนอุตสาหกรรมการบินไทยให้ยั่งยืนผ่านการทดลองบินด้วยน้ำมัน SAF เพื่อลดการปล่อยคาร์บอน ปัจจุบันได้รับความร่วมมือจากผู้ผลิตเชื้อเพลิงชั้นนำที่เริ่มผลิตและจำหน่าย SAF ตามแนวโน้มการบินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ONE Record: ยกระดับการขนส่งสินค้าทางอากาศด้วยดิจิทัล โดย Cathay Pacific Cargo ร่วมขับเคลื่อนมาตรฐานซัพพลายเชนสู่ระบบดิจิทัลในโครงการนำร่องของ IATA เพื่อบูรณาการข้อมูลชิปเมนท์บนแพลตฟอร์มเดียว เพิ่มความโปร่งใส ประสิทธิภาพ และลดการใช้กระดาษ มีเป้าหมายให้ใช้งานร่วมกันได้ภายใน 1 มกราคม 2026

One ID: อนาคตของการเดินทางด้วยเทคโนโลยี Biometric ที่ IATA สนับสนุนให้สนามบินและสายการบินใช้เทคโนโลยีดังกล่าว เพื่อลดความยุ่งยากของเอกสาร ผู้โดยสารสามารถยืนยันอัตลักษณ์ล่วงหน้าและเดินผ่านทุกด่านโดยไม่ต้องแสดงเอกสาร ช่วยให้การระบายคิวผู้โดยสารคล่องตัวขึ้น

การบรรลุเป้าหมาย Net Zero ไม่ใช่หน้าที่ของอุตสาหกรรมการบินหรือผู้ผลิตเพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนดังนี้ 

ผู้โดยสาร : ต้องมีส่วนรับผิดชอบในการตระหนักถึงผลกระทบของการเดินทางต่อสิ่งแวดล้อม และยอมรับความเป็นไปได้ที่ราคาตั๋วเครื่องบินอาจสูงขึ้น เพื่อสนับสนุนการดำเนินการด้าน Net Zero 

สายการบิน : ต้องโปร่งใสในการบริหารจัดการรายได้เพิ่มเติมจากผู้โดยสาร เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาด้านความยั่งยืนอย่างแท้จริง 

ผู้ประกอบการ : ต้องเร่งพัฒนาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดการปล่อยคาร์บอน และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภาครัฐ: มีบทบาทสำคัญในการออกนโยบายสนับสนุนที่ชัดเจนและรวดเร็ว โดย IATA เสนอให้มี Single Command รวบรวมคณะกรรมการจากหลายหน่วยงานภาครัฐ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายด้านความยั่งยืนให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ตาม IATA มีประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับภาครัฐในหลายประเทศ ซึ่งสามารถนำมาเป็นแนวทางและตัวอย่างเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในประเทศไทย

คาดการณ์ว่าระหว่างปี 2023-2043 การเติบโตของสายการบินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะอยู่ที่ 5.1% โดยจะมีผู้โดยสารเดินทางมาใช้บริการมากถึง 2,609 ล้านราย ถือเป็นภูมิภาคที่มีผู้โดยสารเดินทางมากที่สุดในโลก เพื่อรองรับการเติบโตนี้อย่างยั่งยืน IATA เสนอ 5 กุญแจสำคัญที่ต้องดำเนินการเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจการบิน ได้แก่ 1.Capacity: การเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น 2.Safety, Security & Operations: การรักษามาตรฐานความปลอดภัยและการดำเนินงาน 3.Sustainability: การพัฒนาอย่างยั่งยืน 4.Advocacy: การสนับสนุนและผลักดันนโยบายที่เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม และ5.Digital Transformation: การปรับเปลี่ยนสู่ระบบดิจิทัล

ในช่วงเสวนา หัวข้อ “การบินยั่งยืน : โอกาสและความท้าทายในอนาคต” ดำเนินรายการโดย นาวาอากาศเอก ดร.วีรชน นรานุต มีผู้แทนจากสายการบินชั้นนำของไทย ประกอบด้วย นายทวิโรจน์ ทรงกำพล ประธานเจ้าหน้าที่สายกลยุทธ์องค์กร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน),นายวินธัส ดาโอะ ผู้ช่วยผู้จัดการแผนกอำนวยการบิน สายการบิน ไทย แอร์เอเชีย,กัปตันโสภณ พิฆเณศวร Flight Operation Director บริษัท Siam Land Flying นายเกียรติศักดิ์ เทียนศิริยกานนท์ Quality Supervisor สายการบิน ไทย ไลอ้อน แอร์ และนางสาวณิชาภา ถิ่นพังงา ผู้จัดการแผนกบูรณาการความยั่งยืนองค์กร บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้แลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับมาตรการลดคาร์บอน 4 ด้านหลัก คือ 1.) ปรับปรุงฝูงบินโดยเปลี่ยนเป็นเครื่องบินรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า 2.) ปรับใช้เส้นทางบินตรงเพื่อประหยัดเชื้อเพลิง 3.) ลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ที่ลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 20% และ4.) คัดแยกขยะจากทุกเที่ยวบิน เพื่อบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ พร้อมแปรรูปวัสดุรีไซเคิลเป็นอุปกรณ์สำหรับพนักงาน อาทิ สายคล้องบัตรและเครื่องแบบ รวมถึงการประยุกต์ใช้ระบบดิจิทัลควบคุมปริมาณอาหารบนเครื่องลดการสูญเสียอาหาร

อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายสำคัญ ได้แก่ ข้อจำกัดด้านมาตรฐานการรับรองคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย รวมถึงต้นทุนที่สูงในการดำเนินงานด้านความยั่งยืน โดยเฉพาะการใช้น้ำมัน SAF และยังมีความจำเป็นในการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อขอรับรองคาร์บอนเครดิตและดำเนินการด้านความยั่งยืน

ผู้แทนจากสายการบินของไทยมีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐในการสนับสนุนการลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมการบิน ดังนี้

1.ภาครัฐควรมีนโยบายเชิงรุกในการส่งเสริมการใช้และผลิต SAF ในประเทศ รวมถึงมาตรการลดภาษีนำเข้า SAF

2.ภาครัฐควรสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยคาร์บอนในอุตสาหกรรมการบิน

3.สนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างสนามบินที่รองรับเทคโนโลยีสีเขียว

4.จัดตั้งกองทุนสนับสนุนด้านเงินทุนให้กับอุตสาหกรรมการบิน หรือให้เงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำสำหรับสายการบินที่ดำเนินการลดคาร์บอน

การสัมมนาครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินของไทยสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนหรือ SDGs ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

CADT DPU จัดสัมมนา "SDGs in Thailand Aviation Industry Forum" อัปเดตอุตฯการบิน

CADT DPU ร่วมกับ ชสบ. จัดสัมมนา “SDGs in Thailand Aviation Industry Forum : เส้นทางสู่ความยั่งยืนของอุตสาหกรรมการบินของไทย” รวมกูรูด้านการบินเพื่ออัปเดตแนวโน้มอุตสาหกรรมการบินกับเป้าหมาย Net Zero จาก IATA พร้อมเสวนาแลกเปลี่ยนมุมมองแนวทางการพัฒนาสู่เป้าหมาย SDGs 18 มี.ค.นี้ ที่ ห้องประชุมเฉลิมพระเกียรติ DPU ร่วมงานฟรี !! 

วันที่ 4 มี.ค.68 อาจารย์ปวรรัตน์ สุภิมารส รักษาการคณบดีวิทยาลัยการพัฒนาและฝึกอบรมด้านการบิน (CADT) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เปิดเผยว่า CADT DPU ร่วมกับ ชมรมสถาบันการศึกษาและบุคลากรด้านการบินประเทศไทย (ชสบ.) กำหนดจัดโครงการสัมมนาและการเสวนา เรื่อง “SDGs in Thailand Aviation Industry Forum : เส้นทางสู่ความยั่งยืนของอุตสาหกรรมการบินของไทย” ทั้งนี้ เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับเป้าหมาย SDGs และความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนในอุตสาหกรรมการบิน และยังเป็นเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงานที่สอดคล้องกับ SDGs ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างสายการบิน หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และองค์กรอุตสาหกรรมการบินระหว่างประเทศ และเพื่อกระตุ้นให้เกิดการนำแนวทาง SDGs ไปปรับใช้ในแผนการดำเนินงานขององค์กรที่เกี่ยวข้อง โดยงานดังกล่าวจัดขึ้นในวันที่ 18 มีนาคม 2568 เวลา 08.30 – 12.00 น. ณ ห้องประชุมเฉลิมพระเกียรติ 6-1 (ปรีดี พนมยงค์) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์  

ภายในงานมีการบรรยายพิเศษ เรื่อง “SDGs and the Future of Aviation” และบทบาทของ IATA ในการผลักดันเป้าหมาย Net Zero โดยอาจารย์ยงยุทธ ลุจินตานนท์ ผู้จัดการภูมิภาคประจำประเทศไทย ลาว กัมพูชา และ เมียนมาร์ สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ ( IATA: International Air Transportation Association) นอกจากนี้ ยังมีเวทีเสวนา โดย ผู้แทนจากสายการบินและองค์กรเอกชน ร่วมนำเสนอแนวทางการดำเนินงานเพื่อบรรลุ SDGs "การบินยั่งยืน : โอกาสและความท้าทายในอนาคต" ดำเนินรายการ โดย นาวาอากาศเอก ดร.วีรชน นรานุต

รักษาการคณบดี CADT DPU กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปัจจุบันอุตสาหกรรมการบินมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ในระดับโลก การเติบโตของอุตสาหกรรมย่อมส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินงานภายใต้กรอบเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติเพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่สมดุลในทุกมิติของอุตสาหกรรมการบิน ทั้งนี้ องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ได้กำหนดเป้าหมาย Net Zero ในอุตสาหกรรมการบิน ให้บรรลุภายในปี 2050 ซึ่งเป็นการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ให้สุทธิเป็นศูนย์ โดยใช้แนวทางสำคัญ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ การปรับปรุงการดำเนินงาน การใช้เชื้อเพลิงการบินยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuels: SAF) และการชดเชยคาร์บอนผ่านโครงการ CORSIA (Carbon Offsetting and Reduction Scheme for International Aviation)

นอกจากนี้ สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ยังได้นำเป้าหมายนี้ไปกำหนดเป็นเป้าหมายขององค์กรตนเอง โดยมุ่งเน้นความร่วมมือกับสมาชิกสายการบินทั่วโลกเพื่อสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมและความยั่งยืนในอุตสาหกรรมการบินเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ

“ในเรื่องนี้อุตสาหกรรมการบินของประเทศไทยจะเป็นไปในรูปแบบใดบ้าง จึงอยากให้มีเวทีแลกเปลี่ยนแนวคิดการดำเนินงานของภาคส่วนต่าง ๆ ว่ามีการเตรียมความพร้อมอย่างไร ซึ่งที่ผ่านมาจะค่อนข้างโฟกัสเรื่องการใช้เชื้อเพลิงยั่งยืน แต่ในมุมมองเรื่องสิ่งแวดล้อม ยังมีเรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น การจัดการขยะบนเครื่องบิน การบริหารจัดการด้านอื่น ๆ 

การจัดสัมมนาในครั้งนี้ จึงเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ตัวแทนจากสายการบิน หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตลอดจนผู้แทนจากองค์กรระหว่างประเทศ ได้มานำเสนอแนวทางการดำเนินงานที่สอดคล้องกับเป้าหมาย SDGs และร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อสร้างแนวทางที่เป็นรูปธรรมและกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือในระดับอุตสาหกรรม” รักษาการคณบดี CADT DPU กล่าว

อาจารย์ปวรรัตน์ กล่าวในตอนท้ายว่า การสัมมนาครั้งนี้ ยังเป็นโอกาสสำคัญของนักศึกษาที่เข้าร่วมงาน ซึ่งจะก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมการบินในอนาคต ได้ตระหนักในเรื่องของสิ่งแวดล้อมและทราบถึงความท้าทายด้านความยั่งยืนเพื่อที่จะได้เตรียมความพร้อมให้กับตนเองก่อนเข้าสู่สายงานด้านนี้ 

ผู้สนใจร่วมงาน ฟรี!! ลงทะเบียนออนไลน์ได้ที่ https://forms.gle/EVeMR3qKTT7hX1j5A

CAAT ลุ้นอุตสาหกรรมการบินของไทยติดท๊อป 9 ของโลกปี 76 ลุยแก้ปัญหาตั็วแพง ทำราคาให้เหมาะสม-อยู่ได้ทุกฝ่าย

นายสุทธิพงษ์ คงพูล ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานประจำปี 2567 ภาพรวมผู้โดยสารมีจำนวน 140 ล้านคน เพิ่มขึ้น 15.12% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และมีการฟื้นตัว 85.14% เมื่อเทียบกับสภาวะปกติ ขณะที่ปริมาณเที่ยวบินในปี 2567 ในภาพรวมมีจำนวนมากถึง 8.8 แสนเที่ยวบิน หรือเพิ่มขึ้น 11.90% เมื่อเทียบกับปี 2566 ขณะที่ปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศมีการเติบโตมากกว่าสถานการณ์ปกติ คิดเป็น 101.63% เมื่อเทียบกับปี 2562 และมีจำนวนมากกว่าปี 2566 ถึง 22.4% จึงกล่าวได้ว่าอุตสาหกรรมการบินในปี 2568 มีทิศทางในการฟื้นตัวและสามารถกลับมาเติบโตได้ในระดับเดียวกันกับปี 2562 

ขณะที่ปัจจุบันตลาดอุตสาหกรรมการบินของไทยมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 19 ของโลก และมีการคาดการณ์จากสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ หรือ IATA ว่าตลาดการบินของไทยมีโอกาสขยายตัวจนขึ้นสู่อันดับที่ 9 ของโลกภายในปี 2576 ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นศูนย์กลางการบินที่มีบทบาทสำคัญในภูมิภาคและระดับโลกอย่างชัดเจน ดังนั้นแล้วหน่วยงานด้านการบินจะต้องเร่งเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการพัฒนาขีดความสามารถในการให้บริการ การรักษามาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล รวมทั้งต้องเร่งผลักดันโครงการสำคัญต่างๆ ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม 

โดยในด้านการออกใบอนุญาตปี 2567 CAAT ได้ออกใบรับรองการดำเนินงานสนามบินสาธารณะเพิ่มเติมอีก 4 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ ท่าอากาศยานหาดใหญ่ ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานี ออกใบอนุญาตประกอบกิจการการบินพลเรือน หรือ AOL เพิ่ม 3 ราย ประกอบด้วย 1. บริษัท แอร์ เอเอ็มบี จำกัด 2. บริษัท บีบีเอ็น แอร์ไลน์ (ประเทศไทย) จำกัด และ 3. บริษัท ไทย แอร์โรสเปซ อินดัสทรีส์ จำกัด และต่ออายุ AOL 5 ราย 

นอกจากนี้ ได้ออกใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศ หรือ AOC ให้ 4 ราย คือ 1. บริษัท พัทยา แอร์เวย์ส จำกัด 2. บริษัท สยามชีเพลน จำกัด 3. บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น แอนด์ เทคโนโลยี จำกัด และ 4. บริษัท ไทย ซีเพลน จำกัด ทำให้มีสายการบินเข้ามาในตลาดการบินเพิ่มขึ้น ขณะที่จำนวนอากาศยานที่มีทะเบียนและได้รับใบสำคัญสมควรเดินอากาศสะสมจนถึงปี 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 656 ลำ เพิ่มขึ้นจากปี 2566  จำนวน 47 ลำ คิดเป็น 4.46%

ขณะที่ผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาราคาตั๋วเครื่องบิน พบว่า มาตรการการเพิ่มเที่ยวบินพิเศษช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ที่สายการบินให้ความร่วมมือ และมีที่นั่งเพิ่มขึ้นกว่า 70,000 ที่นั่งนั้น ทำให้ตั๋วเครื่องบินมีราคาลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและผู้โดยสารเข้าถึงราคาตั๋วเครื่องบินได้มากขึ้น และในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ CAAT ได้หารือ ร่วมกับสายการบินและผู้ให้บริการทุกหน่วยงานในการเตรียมมาตรการรองรับด้านต่างๆ  เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกในการเดินทางและได้ราคาตั๋วเครื่องบินที่เหมาะสม 

อย่างไรก็ตามแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาตั๋วเครื่องบิน นั้น CAAT อยู่ระหว่างการเก็บข้อมูล เพื่อศึกษาวิเคราะห์สำหรับการทบทวนหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง นำมาปรับสมดุลด้านราคาตั๋วทุกมิติให้เกิดประสิทธิภาพ-ประสิทธิผลมากขึ้น เช่น การเพิ่มความสามารถให้กับระบบการบินของประเทศ อาทิ เที่ยวบิน สายการบิน ศูนย์ซ่อมอากาศยาน เป็นต้น 

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า ได้เตรียมความพร้อมผลักดันให้ประเทศไทยกลับเข้าสู่ FAA CAT 1 ซึ่งประโยชน์จะเกิดขึ้นเศรษฐกิจประะทศไทย อาทิ สายการบินของไทยสามารถจัดสรรเที่ยวบินบินตรงไปยังสหรัฐอเมริกาได้ ,สายการบินของไทยทั้งสายการบินใหม่ และสายการบินเดิม สามารถเพิ่มเทียวบินไปยังประเทศที่อ้างอิงผลการตรวจสอบของ FAA เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น หรือฮ่องกง ได้ ,นักบินสัญชาติไทยมีโอกาสในการทำงาน กับสายการบินต่างชาติเพิ่มมากขั้น และเพื่อเพิ่มโฮกาสทางเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของประเทศไทย

 

 

DAA เปิดอบรม 9 หลักสูตร รักษาความปลอดภัยด้านการบิน รับอุตสาหกรรมการบินและท่องเที่ยวฟื้นตัว

สถาบันการบิน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU Aviation Academy : DAA ) เปิดอบรม 9 หลักสูตร ด้านความปลอดภัยด้านการบิน ตลอดปี 2568 ทั้งระบบ online และ On-site  ตั้งเป้าพัฒนาทักษะบุคลากรด้านการบิน รองรับอุตสาหกรรมการบินและท่องเที่ยวฟื้นตัว

วันที่ 6 ธ.ค.67 นางสาวสุนันทา พาสุนันท์ ผู้จัดการแผนกลยุทธ์และการตลาด สถาบันการบิน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU Aviation Academy : DAA)  กล่าวว่า สถาบันการบิน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางความเป็นเลิศด้านการฝึกอบรมการบิน ด้วยหลักสูตรที่ได้รับการรับรองจาก สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association : IATA) และหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นโดยทีมผู้เชี่ยวชาญของสถาบันเอง ครอบคลุมทั้งด้าน Safety & Security และ Skill Development ที่ตอบสนองความต้องการในตลาดแรงงาน โดยเปิดอบรม 9 หลักสูตร ด้านการรักษาความปลอดภัยด้านการบิน ตลอดปี 2568 ทั้งระบบ online และ On-site โดยรับใบประกาศนียบัตรจาก IATA ใน 6 หลักสูตร และจาก DAA ใน 3 หลักสูตร

ทั้งนี้ เพื่อตอบรับการฟื้นตัวและการเติบโตของอุตสาหกรรมการบิน  โดยการคาดการณ์ของ IATA ระบุว่า จำนวนผู้โดยสารทางอากาศทั่วโลกจะเติบโตถึง 2.1 เท่าภายในปี 2568 และเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จะมีอัตราการเติบโตสูงสุดคิดเป็น 2 ใน 3 โดยประเมินว่าในช่วงปีดังกล่าวจะมีจำนวนผู้โดยสารที่เดินทางทางอากาศสูงถึง 8,600 ล้านคน และสัดส่วน 46%เดินทางในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

“ในปัจจุบัน อุตสาหกรรมการบินกำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ โดยเฉพาะในส่วนของผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยและการจัดการสนามบิน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความมั่นคงและการเติบโตของอุตสาหกรรม ดังนั้น สถาบันการบิน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์  จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินสู่อนาคต ด้วยการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะที่ตอบโจทย์ เพื่อรองรับบุคลากรอุตสาหกรรมการบินที่ขาดแคลนอย่างทันท่วงที และจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะกลับมาเต็มรูปแบบในช่วงสิ้นปี 2568”  นางสาวสุนันทา กล่าว

ผู้จัดการแผนกลยุทธ์และการตลาด DAA กล่าวเพิ่มเติมว่า 9 หลักสูตร ดังกล่าว จัดขึ้นสำหรับบุคลากรที่ทำงานเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยด้านการบิน อาทิ เจ้าหน้าที่ภาคพื้น และพนักงานสายการบินที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย วิศวกร ผู้อำนวยการด้านการบิน หรือ ลูกเรือที่ปฏิบัติงานบนเครื่องบิน เช่น นักบิน พนักงานต้อนรับ เป็นต้น

สำหรับหลักสูตรที่ได้รับความนิยมใน 3  อันดับแรก ประกอบด้วย 1.) Aviation Security Awareness: AVSEC เป็นหลักสูตรที่เจาะลึกมาตรฐานด้านการรักษาความปลอดภัยทางอากาศและภาคพื้น ตามมาตรฐาน IATA  โดยผู้เข้าอบรมจะได้เรียนรู้เทคนิคการรักษาความปลอดภัยในสนามบินและระบบการบิน 2.) SMS Fundamentals (Online Course) ผู้เข้าอบรมจะได้เรียนรู้หลักการของระบบการจัดการความปลอดภัย (SMS) สำหรับอุตสาหกรรมการบิน ตามมาตรฐาน IATA และสามารถพัฒนาทักษการจัดการความปลอดภัยอย่างยั่งยืน  และ 3.) Human Factors and CRM หลักสูตรสร้างความเข้าใจในด้านการจัดการทีมงานในสถานการณ์ที่มีความกดดันสูง โดยผู้เข้าอบรมจะได้รับการพัฒนาทักษะการสื่อสารและการตัดสินใจเพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด

นอกจากนี้ ยังมีอีก 6 หลักสูตรที่น่าสนใจ อาทิ Aviation Safety Fundamentals  เรียนรู้พื้นฐานด้านความปลอดภัยการบินและตามมาตรฐาน IATA  และ Human Factors and Safety Management Fundamentals  เข้าใจปัจจัยมนุษย์ที่ส่งผลต่อความปลอดภัย และการจัดการเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ตามมาตรฐาน IATA Aviation Security Awareness : In-Flight Crew  หลักสูตเพิ่มความสามารถในการรักษาความปลอดภัยบนเครื่องบิน ตามมาตรฐาน IATA   โดยผู้เข้าอบรมจะได้เรียนรู้เรื่องการจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉินและป้องกันภัยคุกคาม หลักสูตรนี้เหมาะสำหรับ ลูกเรือที่ปฏิบัติงานบนเครื่องบิน เช่น นักบิน พนักงานต้อนรับ ส่วน SMS for Ground Operations (Online Course) หลักสูตรอบรมแบบเจาะลึกการจัดการความปลอดภัยในปฏิบัติการภาคพื้นดิน ตามมาตรฐาน IATA  โดยเรียนรู้การวิเคราะห์และปรับปรุงความปลอดภัยในปฏิบัติการต่าง ๆ

ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่ https://www.daatraining.com/ หรือ โทร.061-863-7991

สกพอ.ชวนนักลงทุนแคนาดา สร้างโอกาสดึงการลงทุนอุตสาหกรรมการบิน-โลจิสติกส์-การศึกษา-BCG สู่พื้นที่อีอีซี

"สกพอ." ชวนนักลงทุนแคนาดา สร้างโอกาสดึงการลงทุนอุตสาหกรรมการบิน โลจิสติกส์ การศึกษา และ BCG สู่พื้นที่อีอีซี

ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี ได้นำคณะเดินทางเยือนประเทศแคนาดา ระหว่างวันที่ 15 - 18 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา เพื่อชักชวนการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ ได้แก่ การบินและโลจิสติกส์ การศึกษา และอุตสาหกรรม Bio-Circular-Green (BCG) โดยเฉพาะด้านเกษตรอัจฉริยะ ระบบการจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และพลังงานสะอาด ซึ่งในระหว่างการจัดกิจกรรม คณะผู้แทน สกพอ.ได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทและหน่วยงานต่าง ๆ เช่น CAE, CDPQ, PSP, DIMONOFF & AMOTUS, McGill University INNOVEE เป็นต้น โดยได้นำเสนอศักยภาพและสิทธิประโยชน์สำหรับการลงทุนในประเทศไทย เพื่อชักชวนให้บริษัทเหล่านี้ลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) พร้อมทั้งหารือความเป็นไปได้ในการขยายความร่วมมือด้านการลงทุนและการพัฒนาเทคโนโลยีรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย 

สำหรับการเยือนประเทศแคนาดาในครั้งนี้ คณะจาก สกพอ. ได้จัดการประชุมหารือกับกลุ่มผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเศรษฐกิจ BCG ร่วมกับ Trade Commissioner Services โดยมีผู้ประกอบการและหน่วยงานภาครัฐของแคนาดาด้านเกษตรอัจฉริยะ เศรษฐกิจสีเขียวและเศรษฐกิจหมุนเวียน จำนวน 10 บริษัท/หน่วยงาน และการประชุมหารือกับกลุ่มผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ ร่วมกับ Investissement Quebec International โดยมีผู้ประกอบการแคนาดาด้านการบิน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบินและโลจิสติกส์ จำนวน 8 บริษัท/หน่วยงาน ทั้งนี้ สกพอ. ได้นำเสนอโอกาสทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายในประเทศไทยด้วย และผู้ประกอบการแคนาดามีความสนใจในการขยายโอกาสในการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น และตลาดเอเชียถือเป็นพื้นที่เป้าหมายที่สำคัญ จึงถือเป็นโอกาสของพื้นที่อีอีซี ในการรองรับการลงทุนในอนาคต และ Trade Commissioner Services และ Investissement Quebec International เห็นพ้องในการสนับสนุนกิจกรรมเพื่อประชาสัมพันธ์โอกาสการลงทุนในพื้นที่อีอีซีกับสมาชิกในอนาคตด้วย

นอกจากนี้ ดร. จุฬา สุขมานพ เลขาธิการ อีอีซี ได้นำเสนอในหัวข้อ “EEC Opportunities for Sustainability” ในงาน Canada-ASEAN Conference and Award ณ นครมอนทรีออล โดยมี  Canada-ASEAN Business Council (CABC) เป็นหน่วยงานหลักในการจัดงาน ซึ่งมีผู้แทนภาครัฐและภาคเอกชนจากแคนาดา ที่มีความสนใจในโอกาสการลงทุนในภูมิภาค ASEAN เข้าร่วมงานกว่า 150 คน การจัดกิจกรรมชักชวนการลงทุนในครั้งนี้ ถือเป็นการสานต่อจากผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีของทั้ง 2 ประเทศ ในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 44 ที่ผ่านมา โดยเห็นพ้องในการขยายความร่วมมือในด้านการศึกษา และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกัน 

โฆษกรัฐบาล เผยนายกฯสั่งการเดินหน้าเพิ่มขีดความสามารถอุตสาหกรรมการบิน-การท่องเที่ยว

โฆษกรัฐบาล เผยนายกฯสั่งการเดินหน้าเพิ่มขีดความสามารถอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยว รองรับการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวของประเทศตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอย่างยั่งยืน

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการวางระบบโครงสร้างพื้นฐาน และปัจจัยจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่คลี่คลายลง ทำให้การดำเนินงานด้านปริมาณการจราจรทางอากาศของท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของท่าอากาศยานไทย (ทอท.) เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น อุตสาหกรรมการบินและภาคการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว ทั้งในด้านจำนวนเที่ยวบิน และกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น

โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า ท่าอากาศยานไทยทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ มีจำนวนเที่ยวบินเพิ่มขึ้นร้อยละ 62.22 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ที่ 639,891 เที่ยวบิน และมีผู้โดยสารรวมทั้งหมด 100.06 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 114.31 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน 

ในขณะที่ กำไรสุทธิของ ทอท. อยู่ที่ 8,790.87 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีผลขาดทุนกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยมีรายได้มาจากการขายหรือการให้บริการ ทั้งจากกิจการการบิน การเพิ่มขึ้นของรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์จากธุรกิจร้านค้าปลอดอากร ธุรกิจการบริหารกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ธุรกิจจัดส่งอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจบริการภาคพื้นและซ่อมบำรุง 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลายลง ประกอบกับที่รัฐบาลมีนโยบายมาตรการ VISA Free ให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน คาซัคสถาน สาธารณรัฐอินเดียและไต้หวัน ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ที่ถือเป็นรายได้สำคัญของประเทศ โดย ทอท. ยังได้เดินหน้าเพิ่มศักยภาพของท่าอากาศยานและการขนส่งทางอากาศ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มมากขึ้น ให้นักท่องเที่ยว และผู้ใช้บริการได้รับการบริการที่รวดเร็ว และมีการเดินทางที่สะดวกสบาย ที่ล่าสุด นายกฯ ได้เป็นประธานในพิธีเปิดให้บริการอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite 1: SAT-1) พร้อมระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติเชื่อมต่อระหว่างอาคาร SAT-1 กับอาคารผู้โดยสารหลัก ทำให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นเป็น 60 ล้านคนต่อปี

“เพื่อรองรับการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวของประเทศ ประกอบกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นศักยภาพประเทศ ขานรับและเร่งดำเนินการพัฒนาท่าอากาศยานอย่างครบวงจร ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับเที่ยวบิน และผู้โดยสารได้อีกเป็นจำนวนมาก นายฏรัฐมนตรีสั่งการให้ดูแลความสะดวกสบาย ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ช่วยเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมการบิน และการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งในท้ายที่สุดจะรวมเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ฟื้นฟูเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ”  นายชัย กล่าว