"กรุงศรี ออโต้" เผยพฤติกรรมผู้ใช้รถใหม่ทั่วภูมิภาค พบคนกรุงนิยมอีวี-กระบะครองใจอีสาน-ดิจิทัลบูมภาคใต้-เก๋งและกระบะตอบโจทย์คนเหนือ

“กรุงศรี ออโต้” ผู้นำธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ครบวงจร เครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เผยอินไซต์ผู้ใช้รถตามภูมิภาค อ้างอิงจากข้อมูลการขอสินเชื่อยานยนต์ ชี้กรุงเทพฯและปริมณฑล นำเทรนด์ใช้รถอีวี  เน้นผ่อนสั้น-จบไว ภาคเหนือนิยมรถกระบะและรถเก๋งขนาดกลางเน้นความคุ้มค่าและความทนทาน ภาคอีสาน ใช้กระบะเป็นเครื่องมือสร้างรายได้ของคนทุกเจเนอเรชัน โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นสร้างตัว ขณะที่ภาคตะวันออกขับเคลื่อนด้วยรถเก๋งขนาดกลางและขนาดใหญ่ในเขตเมืองอุตฯ ส่วนภาคใต้ใช้กระบะฝ่าภูเขา–ชายฝั่ง พร้อมขึ้นแท่นภูมิภาคที่มีการใช้บริการสินเชื่อยานยนต์ดิจิทัลสูงเป็นอันดับสองของประเทศ

นายคงสิน คงคา ประธานเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ประเทศไทยมีความหลากหลายในเชิงภูมิประเทศและโครงสร้างประชากร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อแนวโน้มการเลือกซื้อและการขอสินเชื่อยานยนต์ ซึ่งจากการที่ กรุงศรี ออโต้ ได้ศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้รถในแต่ละภูมิภาค พร้อมนำมาวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก พบว่า รถเก๋งขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มไฮบริด ได้รับความนิยมมากขึ้น ในขณะที่ผู้ใช้รถ Gen X อายุระหว่าง 45-60 ปี ที่มีรายได้ตั้งแต่ 45,000 บาทขึ้นไป ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีแนวโน้มเลือกใช้รถเก๋งขนาดใหญ่และรถกระบะ เพื่อความสะดวกสบาย ใช้งานในครัวเรือนและการประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรม”

“จากอินไซต์ความแตกต่างของผู้ใช้รถในแต่ละภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นประเภทรถที่ได้รับความนิยม อาชีพ รายได้ พฤติกรรมการขอสินเชื่อ หรือแม้แต่การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล ทำให้กรุงศรี ออโต้ ไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้รถทั่วประเทศ เพื่อเป้าหมายในการเป็นที่ 1 ในใจผู้ใช้รถ ที่สามารถออกแบบโซลูชันให้สามารถตอบโจทย์ได้อย่างตรงจุด ครอบคลุม และเข้าใจบริบทของผู้ใช้รถในแต่ละพื้นที่อย่างแท้จริง” นายคงสิน กล่าวเสริม

เมืองหลวงนำเทรนด์! คนกรุงนิยมรถใหม่ พร้อมเทใจให้รถอีวี

กรุงเทพมหานครยังคงเป็นหัวใจของธุรกิจยานยนต์ในประเทศไทย โดยครองอันดับหนึ่งของประเทศในด้านยอดขายรถยนต์ ด้วยสัดส่วนที่สูงกว่าภูมิภาคอื่นอย่างต่อเนื่อง โดยรถยนต์ที่ได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างชัดเจนคือ รถยนต์ไฟฟ้า และรถเก๋งขนาดใหญ่ โดยในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า มีแบรนด์ยอดนิยม 5 อันดับแรก ได้แก่ BYD, AION, MG, Deepal (CHANGAN) และ GWM ORA ส่วนหนึ่งมาจากการติดตั้งสถานีชาร์จที่ครอบคลุมทั่วพื้นที่กว่า 1,500 แห่ง รวมถึงการติดตั้งที่ชาร์จภายในบ้านหรือที่อยู่อาศัยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับความต้องการนวัตกรรมยานยนต์ที่ทันสมัยและประหยัดพลังงาน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ต้องเผชิญกับการจราจรหนาแน่นในชีวิตประจำวัน ขณะที่รถเก๋งขนาดใหญ่ก็ได้รับความนิยมเช่นกัน เนื่องจากมีทางเลือกที่หลากหลาย ทั้งจากแบรนด์ญี่ปุ่นและยุโรป และในหลากหลายรูปแบบขุมพลัง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์สันดาป (ICE) ไฮบริด (HEV) หรือปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) เพื่อรองรับความต้องการที่แตกต่างกันของผู้ใช้รถ นอกจากนี้ พฤติกรรมการขอสินเชื่อของผู้ใช้รถในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีแนวโน้มเลือกผ่อนชำระในระยะเวลาที่สั้นกว่าภูมิภาคอื่น โดยส่วนใหญ่เลือกผ่อนในช่วง 4-5 ปี สะท้อนถึงศักยภาพในการชำระหนี้และการวางแผนปิดภาระทางการเงินภายในระยะเวลาที่สามารถควบคุมได้

รถเล็ก-ใหญ่ครองใจ คนภาคกลางเลือกรถตอบโจทย์ทั้งชีวิตและธุรกิจ

นอกเหนือจากกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ความนิยมในรถเก๋งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เพิ่มขึ้นในเขตภาคกลางเช่นกันซึ่งรวมกันคิดได้เป็นสัดส่วนสูงถึง 43.3% ของทั้งภูมิภาค สะท้อนถึงพฤติกรรมการเลือกใช้รถที่หลากหลายและตอบโจทย์ตามลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน สำหรับรถเก๋งขนาดใหญ่ ความต้องการที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับการขยายตัวของเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจ ซึ่งทำให้ผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าของกิจการ นิยมเลือกใช้รถที่รองรับการเดินทางไกลและใช้งานในเชิงธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่รถเก๋งขนาดเล็กก็ยังคงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ด้วยขนาดที่กะทัดรัด คล่องตัว และประหยัดค่าใช้จ่าย เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน

คนเหนือใช้งานจริงจัง กระบะ–เก๋งขนาดกลางตอบโจทย์

ภาคเหนือเป็นภูมิภาคที่มียอดขายรถกระบะและรถยนต์นั่งส่วนบุคคลขนาดกลางสูงที่สุด เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ โดยไม่นับรวมกรุงเทพฯ และปริมณฑล สะท้อนพฤติกรรมการเลือกใช้รถที่สอดคล้องกับลักษณะการใช้ชีวิตและภูมิประเทศของพื้นที่ โดยรถกระบะได้รับความนิยมสูงสุดจากความสามารถในการรองรับการใช้งานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางข้ามจังหวัดในพื้นที่ภูเขา หรือการใช้งานในเชิงพาณิชย์และธุรกิจ ซึ่งสอดคล้องกับบทบาทของภาคเหนือในฐานะหัวเมืองท่องเที่ยวและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภูมิภาค ขณะเดียวกัน รถเก๋งขนาดกลางก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกหลัก จากความอเนกประสงค์ในการใช้งานที่เหมาะกับทั้งชีวิตประจำวันและการเดินทางระยะไกล นอกจากนี้ ภาคเหนือยังเป็นภูมิภาคที่มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าสูงที่สุดในประเทศเมื่อไม่รวมกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าประเภทซีดาน ซึ่งเริ่มได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น

อีสเทิร์นซีบอร์ดไลฟ์สไตล์ครบครัน! รถเก๋งขนาดกลาง-ใหญ่และรถไฟฟ้ารุกตลาด

ภาคตะวันออก ประกอบด้วยจังหวัดสำคัญที่ผสานศักยภาพด้านอุตสาหกรรมขนาดใหญ่กับการท่องเที่ยวอย่างลงตัว โดยเฉพาะจังหวัดระยองที่มีโรงงานอุตสาหกรรมมากกว่า 165 แห่ง และพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) อย่างจังหวัดชลบุรีและฉะเชิงเทรา พร้อมกับการเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ซึ่งมีประชากรแฝงและความต้องการใช้งานรถยนต์ส่วนบุคคลในระดับสูง โดยรถเก๋งขนาดกลางและใหญ่ได้รับความนิยมและมีสัดส่วนถึง 51.7% ของยอดขายรถทั้งหมด และภาคนี้ยังมีการเติบโตของรถไฟฟ้าอเนกประสงค์ ที่มากที่สุดอยู่ที่ 62% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

กระบะคือของมันต้องมี! อีสาน Gen Z ใช้สร้างตัว

ภาคอีสานหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นพื้นที่กว้างใหญ่และครอบคลุมหลายจังหวัด ทำให้ผู้ใช้รถ นิยมทั้งรถเก๋งขนาดใหญ่และรถกระบะเพื่อรองรับการเดินทางและการใช้งานที่หลากหลาย โดยรถเก๋งขนาดใหญ่ได้รับความนิยมในฐานะตัวเลือกที่สะดวกสบายสำหรับการเดินทางระยะไกล ขณะที่รถกระบะยังคงเป็นหนึ่งในตัวเลือกหลักของผู้ใช้รถในภาคอีสาน โดยมีสัดส่วนยอดขายรองลงมาจากภาคเหนือ ด้วยความเหมาะสมสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันและประกอบอาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Z (อายุไม่เกิน 28 ปี) ที่มักเลือกใช้รถกระบะตอนเดียวสำหรับประกอบอาชีพ และกลุ่ม Gen X (อายุ 45-60 ปี) รวมถึง Baby Boomer (อายุมากกว่า 61 ปี) ที่นิยมรถกระบะสองตอนซึ่งใช้งานได้หลากหลาย ทั้งกิจกรรมครอบครัวและการเดินทางส่วนตัว โดยทั้งสองประเภทนี้รวมกันมีสัดส่วนถึง 43.1% ของยอดขายทั้งหมด

ภาคใต้ขับกระบะลุยภูเขา–ชายฝั่ง คล่องเทคโนโลยีติดอันดับ 2 สินเชื่อยานยนต์ดิจิทัล

ภาคใต้เป็นภูมิประเทศที่มีความหลากหลายทั้งภูเขาและชายฝั่งทะเล ทำให้ผู้ใช้รถในภาคใต้นิยมใช้รถกระบะและรถอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ (PPV) ที่ตอบโจทย์ด้านการใช้งานในพื้นที่ ทั้งในชีวิตประจำวันและในบริบทของการท่องเที่ยวในท้องถิ่น ซึ่งมีสัดส่วนถึง 40.6% ของยอดขายรถทั้งหมด สะท้อนถึงความต้องการใช้งานรถที่เน้นความทนทานและสมรรถนะ นอกจากนี้ อีกหนึ่งพฤติกรรมเด่นของผู้ใช้รถในภาคใต้ คือ การเปิดรับช่องทางดิจิทัล เห็นได้จากสัดส่วนการขอสินเชื่อยานยนต์ดิจิทัลถึง 80% เป็นอันดับสองของประเทศ รองจากกรุงเทพฯ ที่ 94% แสดงให้เห็นว่าผู้ใช้รถในภาคใต้ไม่เพียงมีความคุ้นเคยกับการใช้งานออนไลน์ แต่ยังไว้วางใจบริการทางการเงินผ่านระบบดิจิทัลเป็นอย่างมาก

ยอดขายรถยนต์ไทยไตรมาสแรกปี 2568 ลดลง 6.68% อีวีบุกตลาด-พิษสงครามการค้า

ยอดขายรถยนต์ไทยไตรมาสแรกปี 2568 ลดลง 6.68% อีวีบุกตลาด-พิษสงครามการค้า

วันที่ 29 เมษายน 2568 นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์  ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนมี.ค.68 มีทั้งสิ้น 129,909 คัน เพิ่มขึ้น 12.49% จากเดือน ก.พ.68  แต่ลดลง 6.06% จากเดือนมี.ค.67 เพราะผลิตส่งออกลดลง 9.36 % จากการผลิตรถยนต์นั่งลดลงถึง 51.18%  เพราะมีการเปลี่ยนรุ่นรถบางรุ่นของรถยนต์นั่ง แต่ผลิตรถยนต์นั่งเพื่อจำหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้น 35.01% เพราะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั้ง BEV และ PHEV เพิ่มขึ้น แต่ผลิตรถกระบะลดลง 29.32% ตามยอดขายรถกระบะยังคงลดลง ส่งผลให้จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ใน 3 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-มี.ค.68) มีจำนวนทั้งสิ้น 352,499 คัน ลดลง 14.88% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

ทั้งนี้ในเดือนมี.ค.68 ผลิตเพื่อส่งออกได้ 83,217 คัน เท่ากับ 64.06% ของยอดการผลิตทั้งหมดลดลง 9.36% จากเดือนมี.ค.67  ส่งผลให้ 3เดือนแรกของปีนี้ผลิตเพื่อส่งออกได้ 236,796 คัน ลดลง 13.48% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ มี.ค.68 ผลิตได้ 46,692 คัน เพิ่มขึ้น 0.36% จากเดือน มี.ค.67  ส่งผลให้ 3 เดือนแรกผลิตได้ 115,703 คัน ลดลง 17.62% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

โดยยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนมี.ค.68 มีจำนวนทั้งสิ้น 55,798 คัน เพิ่มขึ้น 13.15% จากเดือนก.พ. 68 และลดลง 0.54% จากมี.ค.67 จากรถกระบะที่ยังคงขายลดลง 7.84% เพราะการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินที่ยังกังวลหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจของประเทศเติบโตในอัตราต่ำ และค่าครองชีพสูง ส่งผลให้ 3 เดือนแรกปีนี้ รถยนต์มียอดขาย 153,193 คัน ลดลง 6.45% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

ขณะที่การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปเดือนมี.ค.68 ส่งออกได้ 80,914 คัน ลดลง 0.50% จากเดือนที่แล้ว และลดลง14.91% จากมี.ค.67 เพราะมีการเปลี่ยนรุ่นรถยนต์นั่งบางรุ่น และจากการเข้มงวดในการลดการปล่อยคาร์บอนของบางประเทศและการเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกของจีนในบางประเทศคู่ค้า จึงส่งออกลดลงในตลาดออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกากลางและอเมริกาใต้ อย่างไรก็ตามส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์และอะไหล่เพิ่มขึ้นทั้งในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น โดยมูลค่าการส่งออกรถยนต์เดือนมี.ค.68 อยู่ที่ 57,416.07 ล้านบาท ลดลง 15.47% จากมี.ค.67 ส่งผลให้ 3 เดือนแรกของปีนี้ ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 220,139 คัน ลดลง 18.63% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือนมีนาคม 2568  จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 9,905 คัน เพิ่มขึ้น 33.20% จากเดือนมี.ค.67 ส่งผลให้ 3 เดือนแรกของปีนี้มีจดทะเบียนใหม่สะสม 31,991 คัน เพิ่มขึ้น 7.66% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV มีจำนวนทั้งสิ้น 258,982 คัน เพิ่มขึ้น 60.51% จากปี 67

นอกจากนี้ต้องจับตาเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน และยังต้องรอนโยบายสหรัฐที่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย 36% ใน 90 วัน รวมถึงประเทศอื่นๆอีก ซึ่งแต่ละประเทศอัตราไม่เท่ากันจึงต้องดูว่าเราเสีย 36% จริงหรือไม่ เพราะกลุ่มยานยนต์เสียภาษีเดิมอยู่ 25% และเพิ่มอีกเป็น 27.5% อีกทั้งรถจักรยานยนต์ไทยส่งไปสหรัฐถือเป็นตลาดใหญ่อันดับ 1 อาจจะต้องรอการเจรจาระหว่างกันอีกครั้งถึงจะสามารถสรุปยอดผลิตรถยนต์โดยรวมทั้งปีได้อีกครั้ง จากเดิมที่คาดการณ์กำลังการผลิต 1.5 ล้านคันต่อปี

โดยปีที่แล้วเราส่งออกทั้งหมด 3 แสนล้านดอลลาร์ ส่งไปสหรัฐ 5.4 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็นตลาดใหญ่สุดมีสัดส่วน 18% ดูว่าจากที่ตั้งกำแพงภาษีจะทำให้เราส่งออกลดน้อยลงหรือไม่ แต่จะหายไปแน่นอนคือรถยนต์ที่นั่งราว 3-4 หมื่นคันจากการเปลี่ยนรุ่นรถ ในขณะที่ชิ้นส่วนมียอดส่งออก 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์ไปทั่วโลก ส่งไปสหรัฐ 1.5 พันล้านดอลลาร์ 

#ยอดขายรถยนต์ #ข่าววันนี้ #อีวี #สงครามการค้า #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

"บีโอไอ" บุกอินเดีย ดึงลงทุนการแพทย์-อีวี-เซมิคอนดักเตอร์

"บีโอไอ" เผยผลการเยือนอินเดีย รุกดึงการลงทุน 3 อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เปิดโต๊ะเจรจากลุ่มอุตสาหกรรมยาและอุปกรณ์การแพทย์ชั้นนำแดนภารตะ เสริมแกร่ง “เมดิคัล ฮับ” ของภูมิภาค พร้อมเจรจา TATA Motor ดึงลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ขณะที่ผู้ให้บริการออกแบบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงสนใจตั้งฐานในไทยรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

วันที่ 28 มีนาคม 2568 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ผลการนำคณะบีโอไอเยือนเมืองไฮเดอราบัด และเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย ระหว่างวันที่ 24 – 27 มีนาคม ที่ผ่านมา เพื่อพบหารือและเจรจาแผนการลงทุนเป็นรายบริษัทกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทยักษ์ใหญ่อินเดียในอุตสาหกรรมยาและอุปกรณ์การแพทย์ รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ และอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ รวม 15 บริษัท โดยบีโอไอได้นำเสนอศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในฐานะแหล่งลงทุนที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง 3 กลุ่มหลัก ซึ่งบริษัทอินเดียมีความเชี่ยวชาญ และเป็นผู้นำเทคโนโลยีระดับโลก โดยบริษัทเหล่านี้มีความสนใจขยายธุรกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน และประเทศไทย
 
- กลุ่มอุตสาหกรรมยาและอุปกรณ์การแพทย์  บีโอไอได้จัดประชุมร่วมกับผู้ประกอบการอินเดียที่อยู่ในเขต Medical Device Park เพื่อนำเสนอข้อมูลการลงทุนและมาตรการสนับสนุนด้าน Medical Hub นอกจากนี้ ยังได้หารือรายบริษัท เช่น บริษัท Sahajanand Medical Technologies (SMT) ผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์สำหรับการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดอันดับ 1 ของอินเดีย มีแผนลงทุนในไทยเพื่อผลิตลิ้นหัวใจเทียมและอุปกรณ์ขดลวดถ่าง (Stent) สำหรับการรักษาหลอดเลือดหัวใจและการทำบอลลูน และมีแผนสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาในไทย  บริษัท MSN Laboratories ผู้ผลิตยารายใหญ่ของโลก ปัจจุบันมีฐานการผลิตและวิจัยในหลายภูมิภาค ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรปและเอเชีย โดยมีแผนลงทุนทำวิจัยในไทย และขยายตลาดเข้าสู่อาเซียน  บริษัท ACG Capsules ผู้ผลิตแคปซูล ยาเม็ด และเครื่องจักรบรรจุยารายใหญ่ของโลก ได้ลงทุนสร้างโรงงานที่จังหวัดระยอง มูลค่ากว่า 2,100 ล้านบาท เพื่อผลิตแคปซูลจากเจลาตินและพืชด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง โดยมีแผนตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาในไทยด้วย และบริษัท Natural Remedies ผู้ผลิตอาหารเสริมจากสมุนไพรสำหรับปศุสัตว์อันดับ 1 ของอินเดีย และอันดับ 3 ของโลก มีแผนลงทุนทำวิจัยและพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยในไทย และศูนย์วิจัยของบริษัทผลิตเนื้อสัตว์ชั้นนำ เช่น ซีพี, เบทาโกร และสหฟาร์ม เพื่อยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยของอาหารสัตว์  

- กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ คณะบีโอไอได้หารือกับบริษัท TATA Motor ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของอินเดีย มีแผนรุกขยายธุรกิจด้านรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ (รถบรรทุก และรถบัส) ในต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดรถยนต์พวงมาลัยขวา โดยเพิ่งมีการดึงผู้บริหารชาวอินเดียจากค่ายรถยนต์รายใหญ่ในประเทศไทย ให้ไปคุมทัพด้านการขยายธุรกิจรถยนต์นั่งของกลุ่ม TATA Motor ในต่างประเทศด้วย
 
- กลุ่มอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์  คณะบีโอไอได้หารือกับนายกสมาคมอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ของอินเดีย (India Electronics and Semiconductor Association: IESA) ซึ่งมีสมาชิกกว่า 400 บริษัท โดยได้นำเสนอนโยบายรัฐบาลไทยและการจัดตั้งบอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ แผนพัฒนาบุคลากร และความพร้อมของระบบนิเวศ โดยบีโอไอจะจับมือสมาคมฯ จัดกิจกรรมดึงดูดการลงทุนร่วมกันที่เมืองบังกาลอร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก ในช่วงเดือนตุลาคมนี้ด้วย นอกจากนี้ ยังได้หารือแผนลงทุนของ บริษัท Tessolve Semiconductor ซึ่งทำตั้งแต่การออกแบบชิป (IC Design) การทดสอบชิป การออกแบบแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) และการให้บริการอบรมด้านวิศวกรรมแก่บริษัทผลิตชิปชั้นนำของโลก โดยภายในปีนี้ บริษัทมีแผนลงทุนจัดตั้งศูนย์ทดสอบชิปและให้บริการทางวิศวกรรมแก่บริษัทด้านเซมิคอนดักเตอร์ในไทยด้วย

“อินเดียเป็นหนึ่งในมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่มีอัตราเติบโตสูงที่สุดของโลก และเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีหลายสาขา เช่น ยาและอุปกรณ์การแพทย์ เทคโนโลยีชีวภาพ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ดิจิทัล และเคมีภัณฑ์ ขณะนี้อยู่ในช่วงเวลาสำคัญที่นักลงทุนอินเดียกำลังขยายการลงทุนในต่างประเทศ ภายใต้นโยบาย Act East Policy ของรัฐบาลอินเดีย ที่มุ่งขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจกับประเทศในอาเซียน การเยือนอินเดียครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อทำให้นักลงทุนอินเดียมองเห็นศักยภาพและความพร้อมของไทยในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และพิจารณาเลือกไทยเป็นฐานการลงทุนหลักในอาเซียน ทั้งด้านการผลิต การวิจัยและพัฒนา ศูนย์โลจิสติกส์ของภูมิภาค รวมถึงสร้างความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วย” นายนฤตม์ กล่าว

ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2558 - 2567) มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากกลุ่มนักลงทุนอินเดียจำนวน 161 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 13,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมยา อุปกรณ์การแพทย์ เคมีภัณฑ์ และเครื่องประดับ

#บีโอไอ #อินเดีย #อีวี #เซมิคอนดักเตอร์ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

"บีโอไอ" เร่งดึงผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยเข้าสู่ซัพพลายเชน EV ผนึกกำลัง GAC AION จัดงาน “AION Sourcing Day”

"บีโอไอ" จับมือ GAC AION ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่จากจีน เร่งดึงผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยเข้าสู่ซัพพลายเชน EV ผ่านการเจรจาธุรกิจในงาน “AION Sourcing Day” ยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจรในอาเซียน เผยยอดเจรจาธุรกิจ 74 บริษัท คาดเกิดมูลค่าซื้อขายชิ้นส่วนในประเทศเพิ่มอีกกว่า 2,250 ล้านบาท 

เมื่อวันที่ 7 พ.ย.67 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 บีโอไอ และบริษัท GAC AION ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ ได้ร่วมกันจัดงาน “AION Sourcing Day” ณ โรงแรมรามา การ์เด้นส์ กรุงเทพฯ เพื่อจัดหาชิ้นส่วนจากผู้ผลิตในประเทศสำหรับสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัท ซึ่งได้เริ่มเปิดโรงงานผลิตตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยเน้น 7 กลุ่มชิ้นส่วนสำคัญ ได้แก่ Interior Parts, Exterior Parts, Electrical and Electronics Parts, Chassis Parts, Car Body Parts, Traction Motor Parts และ Battery Parts โดยมีผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศเข้าร่วมงานกว่า 400 คน จาก 220 บริษัท และในจำนวนนี้ มีผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้เจรจาธุรกิจเป็นรายบริษัทกับ GAC AION จำนวน 74 บริษัท คาดว่าจะทำให้เกิดมูลค่าซื้อขายชิ้นส่วนในประเทศกว่า 2,250 ล้านบาท 

โดยบริษัท ไอออน ออโตโมบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทในเครือ GAC Group ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำระดับโลกจากประเทศจีน ด้วยยอดขายสะสมกว่า 2.5 ล้านคันทั่วโลก และเป็นบริษัทที่ใหญ่อันดับ 165 ของโลกจาก Fortune Global 500 โดย GAC AION ได้ตัดสินใจสร้างฐานการผลิตแห่งแรกนอกประเทศจีนที่ไทย ณ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง ด้วยมูลค่าเงินลงทุนกว่า 5,600 ล้านบาท โดยเฟสแรกได้ลงทุน 1,300 ล้านบาท เพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) กำลังการผลิต 20,000 คันต่อปี โดยมีแผนจะขยายการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง และปัจจุบันยังใช้สำนักงานในไทยเป็น Regional Headquarters ในภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย

“การจัดงานครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำความร่วมมือระหว่างบีโอไอกับ GAC AION ในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยเฉพาะการยกระดับผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย ให้มีโอกาสเข้าสู่ Supply Chain ของ EV ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายชิ้นส่วนในประเทศ การรับช่วงการผลิต การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติ ซึ่งจะเกิดประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่าย โดย GAC AION ก็จะได้พบกับซัพพลายเออร์ในประเทศที่มีคุณภาพ มาตรฐาน และมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับค่ายรถยนต์ระดับโลกมาแล้ว อีกทั้งมีที่ตั้งอยู่ใกล้โรงงานของ GAC AION จะช่วยให้โรงงานสามารถผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีต้นทุนโลจิสติกส์ที่ลดลง ขณะที่ผู้ประกอบการไทยก็จะได้เรียนรู้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากการเข้ามาลงทุนของบริษัทชั้นนำจากต่างประเทศ” นายนฤตม์ กล่าว

นายโอเชียน หม่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอออน ออโตโมบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า GAC AION ต้องการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิต จำหน่าย และการส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนำระบบการผลิตที่ครบวงจรมาใช้ในประเทศไทย ไม่เพียงแค่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แต่รวมถึงชิ้นส่วน แบตเตอรี่ และสถานีชาร์จ โดยจะร่วมกันส่งเสริมระบบซัพพลายเชนที่แข็งแกร่งในประเทศไทย เพื่อผลักดันอุตสาหกรรม EV ในไทยสู่ตลาดโลก โดยปัจจุบัน GAC AION มีโชว์รูม 50 แห่งทั่วประเทศ และจะเพิ่มเป็น 100 แห่งในปี 2568 และตั้งเป้าหมายขยายสถานีชาร์จให้ครบ 1,000 แห่ง ภายในปี 2570 นอกจากนี้บริษัทจะเริ่มขยายสายการผลิตเพื่อผลิตรถรุ่น AION V ในช่วงกลางปี 2568 อีกด้วย

“GAC AION มีความเชื่อมั่นในอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย และพร้อมที่จะสนับสนุนนโยบาย 30@30 ของรัฐบาลไทยอย่างเต็มที่ ด้วยการลงมือปฏิบัติจริง เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทย ให้ก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเราจะดำเนินงานตามแนวคิดการพัฒนาที่เน้นการเติบโตในระยะยาว ผลประโยชน์ร่วมกัน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยตั้งใจที่จะขยายฐานในประเทศไทย และนำระบบที่ครบวงจรเข้ามาพัฒนาต่อยอดในประเทศ งาน sourcing day ในครั้งนี้เป็นการยืนยันเจตนารมณ์ของ GAC Aion ที่จะช่วยผลักดันผู้ประกอบการไทยให้สามารถเติบโตสู่ระดับโลก” นายโอเชียน หม่า กล่าว

นอกจากนี้ GAC AION มีเป้าหมายชัดเจนที่จะพัฒนาซัพพลายเชน รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับผู้ผลิตชิ้นส่วนในไทย โดยปัจจุบันมีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศกว่าร้อยละ 47 และมีแผนจะเพิ่มการใช้ชิ้นส่วนในประเทศให้มากขึ้นในอนาคต โดยเหตุผลสำคัญของ GAC AION ในการเลือกผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยมี 3 ประการ คือ 1) ชิ้นส่วนจากผู้ผลิตไทยมีคุณภาพและมาตรฐาน 2) กลุ่มชิ้นส่วนที่เป็นชิ้นขนาดใหญ่จะมีโอกาสมาก เพราะหากนำเข้าจากต่างประเทศ จะมีต้นทุนการขนส่งสูงกว่าการจัดซื้อในประเทศ และ 3) การจัดซื้อในประเทศมีข้อได้เปรียบเรื่องการบริการหลังการขาย ที่มีความสะดวกและรวดเร็วกว่า

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา บีโอไอได้จัดกิจกรรม Sourcing Day ร่วมกับผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าไปแล้ว 5 ราย ได้แก่ BYD, NETA, MG, CHANGAN และ BMW ซึ่งคาดว่าจะทำให้เกิดมูลค่าซื้อขายชิ้นส่วนในประเทศกว่า 45,000 ล้านบาท

#บีโอไอ #ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย #ข่าววันนี้ #อีวี #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ยานยนต์ไฟฟ้า

  

                                             

ไทยพาณิชย์ผนึกรัฐ-พันธมิตรอีวี แนะเอสเอ็มอีไทยเดินหน้าขนส่งสีเขียวสร้างการเติบโตยั่งยืน

ไทยพาณิชย์ผนึกรัฐ-พันธมิตรอีวี แนะเอสเอ็มอีไทยเดินหน้าขนส่งสีเขียวสร้างการเติบโตยั่งยืน

ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมกับภาครัฐ และพันธมิตรอีวี จัดงาน “Supply chain ขับเคลื่อนธุรกิจ ด้วยขนส่งสีเขียว” เพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสร้างศักยภาพในการแข่งขันด้วยการเสริมระบบนิเวศด้านความยั่งยืนด้วยยานยนต์ไฟฟ้า จัดการเสวนาเรื่อง “ขนส่งสีเขียว เปลี่ยนธุรกิจ SME ให้ยั่งยืน” เพื่อแนะแนวทางการวางแผนลดต้นทุนด้านการใช้พลังงานและวางกลยุทธ์การใช้รถยนต์ไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย นายพูนพัฒน์ โลหารชุน กรรมการสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย และ ประธานกรรมการ บริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี จำกัด นายวรพจน์ รื่นเริงวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โชเซ่น ดิจิตอล จำกัด นายสุรพงษ์ สาเรชพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีพีเอส เทคโนโลยี จํากัด (มหาชน) นางสาวอุษณีย์  ถิ่นเกาะแก้ว นักวิชาการส่งเสริมการลงทุน กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ดร.พงศ์ศักดิ์ ตฤณธวัช Head Of  Robinhood Academy ร่วมด้วย พร้อมข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าของไทยในปี 2024 โดยนางสาวฐิตา เภกานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC)  โดยมี นายศุภฤทธิ์ เมฆอรุณกมล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงาน SME Bangkok 1 ธนาคารไทยพาณิชย์ และ นายภาสิต เขียววิชัย ผู้อำนวยการ SME Business Director สายงาน SME Partnership & Supply Chain ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้การต้อนรับและร่วมเวทีเสวนา

ภายในงานยังได้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีพบกับพันธมิตรด้านธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าและ EV Charger จาก บริษัท ชั้นนำ ร่วมนำเสนอผลิตภัณฑ์และออกบูธภายในงานได้แก่ บริษัท โชเซ่นเทคโนโลยี จำกัด ,บริษัท บีพีเอส เทคโนโลยี จํากัด (มหาชน) , บริษัท อี วี ไพร มัส จำกัด , บริษัท ศรีนครชัยอินเตอร์เทรดดิ้ง จํากัด , บริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี จำกัด , บริษัท จิซทิกซ์ จำกัด , บริษัท เอ็มคิว อินเตอร์ จํากัด , และ ภายในงานสนับสนุนเงินทุนของธนาคารในภาคธุรกิจรถยนต์ ในธุรกิจ SME โดยธนาคารไทยพาณิชย์พร้อมให้การสนับสนุนสินเชื่อเพื่อสนับสนุนความยั่งยืนแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเพื่อสร้างการเติบโตเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน

#ไทยพาณิชย์ #ข่าววันนี้ #อีวี #เอสเอ็มอีไทย #ขนส่งสีเขียว

 

"พิมพ์ภัทรา" ดันอุตสาหกรรมต้นน้ำรับอีวี เตรียมลิเทียมผลิตแบตเตอรี่

รมว.อุตสาหกรรมสั่ง กพร. เร่งจัดหาแหล่งวัตถุดิบสำหรับผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ผลสำรวจเบื้องต้นพบแหล่งลิเทียมที่มีศักยภาพสามารถนำมาเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตแบตเตอรี่ในเชิงพาณิชย์ ขานรับมติ ครม.เริ่มใช้มาตรการ EV 3.5 ตั้งแต่ 2 ม.ค.67 เป็นต้นไป

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าลิเทียมเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนสำหรับใช้เป็นพลังงานขับเคลื่อนยานยนต์ไฟฟ้าหรือ EV จึงได้สั่งการให้ กพร. เร่งสำรวจแหล่งแร่ลิเทียมที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างความมั่นคงและเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตว่าประเทศไทยจะมีลิเทียมในการผลิตแบตเตอรี่เพื่อรองรับการตั้งฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศได้ สอดรับกับนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรมในการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน

นายอดิทัต วะสีนนท์ รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กล่าวว่า ที่ผ่านมา กพร. ในฐานะเป็นหน่วยงานหลักในการจัดหาและบริหารจัดการวัตถุดิบเพื่อรองรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ได้อนุญาตอาชญาบัตรพิเศษจำนวน 3 แปลง เพื่อสำรวจแหล่งลิเทียมในพื้นที่อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา ซึ่งจากผลการสำรวจพบว่า หินอัคนีเนื้อหยาบมากสีขาวหรือหินเพกมาไทต์ซึ่งเป็นหินต้นกำเนิดที่นำพาแร่เลพิโดไลต์สีม่วงหรือแร่ที่มีองค์ประกอบของลิเทียมมาเย็นตัวและตกผลึกจนเกิดเป็นแหล่งลิเทียมที่มีศักยภาพ 2 แหล่ง ได้แก่ แหล่งเรืองเกียรติ มีปริมาณสำรองประมาณ 14.8 ล้านตัน เกรดลิเทียมออกไซด์เฉลี่ย 0.45% และแหล่งบางอีตุ้มที่อยู่ระหว่างการสำรวจขั้นรายละเอียดเพื่อประเมินปริมาณสำรอง โดยลิเทียมจากแหล่งเรืองเกียรติ หากมีการอนุญาตประทานบัตรเพื่อทำเหมือง คาดว่าจะสามารถนำแร่ลิเทียมมาเป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาด 50 kWh ได้ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคัน ที่สำคัญคือเทคโนโลยีการแต่งสินแร่ลิเทียมในปัจจุบันสามารถควบคุมและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนได้เป็นอย่างดี


นอกจากนี้ กพร.ได้พัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถ Reuse และ Recycle แบตเตอรี่ที่ใช้แล้วและนำกลับมาใช้เป็นแหล่งพลังงานซ้ำ (Second Life EV Batteries) สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก อาคารบ้านเรือน สำนักงาน หรือโรงงานอุตสาหกรรมอย่างครบวงจร เพื่อรองรับการบริหารจัดการแบตเตอรี่ที่ผ่านการใช้งานแล้วในอนาคตตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนอีกด้วย

“นโยบาย EV 3.5 ของรัฐบาลสร้างแรงจูงใจให้บริษัทยานยนต์ไฟฟ้ารายใหม่ๆเข้ามาตั้งฐานการผลิตภายในประเทศ ซึ่งหากประเทศไทยมีปริมาณสำรองลิเทียมเป็นจำนวนมาก ย่อมเป็นส่วนสำคัญที่สร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่มูลค่าเป็นสัดส่วนที่สูงมากของรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ จะส่งผลดีต่อโครงสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและซัพพลายเชนทั้งระบบ ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจทั้งด้านการลงทุนและการจ้างงาน กพร. จึงเร่งดำเนินการอนุญาตอาชญาบัตรให้มีการสำรวจแหล่งลิเทียมเพื่อกำหนดเป็นเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองเพิ่มเติม และจะเร่งอนุญาตประทานบัตรทำเหมือง เพื่อรองรับการเป็นฐานการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคต่อไป” นายอดิทัตกล่าว

 

#อีวี #พิมพ์ภัทราวิชัยกุล #แบตเตอรี่ #ยานยนต์ไฟฟ้า

 

ส.อ.ท.เผยส่งออกรถยนต์เดือนต.ค.แตะ 105,726 คัน EV มาแรงยอดจดทะเบียนใหม่ 9,808 คัน ขยายตัว 400.41%

ส.อ.ท.เผยส่งออกรถยนต์เดือนต.ค.แตะ 105,726 คัน EV มาแรงยอดจดทะเบียนใหม่ 9,808 คัน ขยายตัว 400.41%

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธาน และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในเดือนต.ค.66 อยู่ที่ 158,734 คัน ลดลง 7.02% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน และลดลง 3.27% จากเดือน ก.ย.66 ซึ่งเป็นการลดลง 3.57% จากการผลิตเพื่อส่งออกเพราะฐานสูงในปีที่แล้ว และลดลง 11.65% จากการผลิตเพื่อขายในประเทศ ในส่วนของการผลิตรถกระบะที่ลดลง 27.44% ตามยอดขายรถกระบะที่ลดลง 37.93% ส่งผลให้ยอดการผลิตรถยนต์ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้มีทั้งสิ้น 1,544,705 คัน เพิ่มขึ้น 0.65% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือน ต.ค.66 มีจำนวนทั้งสิ้น 58,963 คัน ลดลง 8.75% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน และลดลง 5.03% จากเดือน ก.ย.66 จากการลดลงของยอดขายรถกระบะ 37.93% เพราะสถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ รวมทั้งยอดขายรถพีพีวีลดลง 19.32% จากการออกรถรุ่นใหม่ของรถ SUV หลายรุ่น รวมทั้งรถบรรทุกขายลดลง 14.48% จากเศรษฐกิจชะลอตัวด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่ล่าช้าออกไป ซึ่งกระทบการลงทุนของภาครัฐและการส่งออกหลายสินค้ายังคงลดลงซึ่งกระทบอำนาจซื้อจากการลดเวลาการทำงานลง ส่งผลให้ยอดขายในประเทศช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 645,833 คัน ลดลง 7.51% จากปี 2565 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ยอดขายในประเทศลดลงต่อเนื่อง ประชาชนมีความต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนรถยนต์สันดาปลดลงจาก 93.02% มาอยู่ที่ 71.77%

ส่วนยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เดือน ต.ค.66 อยู่ที่ 105,726 คัน เพิ่มขึ้น 12.20% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน และมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 96,333.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.44% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ยอดส่งออก 10 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ต.ค.66) อยู่ที่ 927,625 คัน เพิ่มขึ้น 15.86% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 799,165.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.86% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้เป็นอีกเดือนที่มียอดส่งออกเกิน 1 แสนคัน ปีนี้น่าจะส่งออกได้ทะลุเป้า 1.05 ล้านคัน อาจถึง 1.1 ล้านคัน มูลค่าการส่งออกเกิน 1 ล้านล้านบาท เนื่องจากยอดขายในประเทศคู่ค้ายังเติบโตได้ดี

ขณะที่สถานการณ์จดทะเบียนใหม่ยานยนต์ไฟฟ้ายังคงขยายตัวต่อเนื่องตามมาตรการส่งเสริมของคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) โดยในเดือน ต.ค.66 มียอดจดทะเบียนใหม่ 9,808 คัน ขยายตัวเพิ่มขึ้น 400.41% ส่งผลให้ช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้มียอดจดทะเบียนใหม่ทั้งสิ้น 77,737 คัน ขยายตัวเพิ่มขึ้น 409.98% โดยยานยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV เดือน ต.ค.66 อยู่ที่ 6,613 คัน เพิ่มขึ้น 31.31% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน และช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้มียอดจดทะเบียนสะสม 72,036 คัน เพิ่มขึ้น 31.34% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ยานยนต์ไฟฟ้าประเภท HEV เดือน ต.ค.66 อยู่ที่ 6,613 คัน เพิ่มขึ้น 31.31% จากเดือนเดียวกันปีก่อน และช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้มียอดจดทะเบียนสะสม 72,036 คัน เพิ่มขึ้น 31.34% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนยานยนต์ไฟฟ้าประเภท PHEV เดือน ต.ค.66 อยู่ที่ 849 คัน ลดลง 5.56% จากเดือนเดียวกันปีก่อน และช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้มียอดจดทะเบียนสะสม 10,383 คัน เพิ่มขึ้น 7.14% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้นับถึงสิ้นเดือน ต.ค.66 มียานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV จำนวนทั้งสิ้น 109,488 คัน เพิ่มขึ้น 312.74% จากปีก่อน, ประเภท HEV จำนวนทั้งสิ้น 330,771 คัน เพิ่มขึ้น 31.91% จากปีก่อน และประเภท PHEV จำนวนทั้งสิ้น 52,677 คัน เพิ่มขึ้น 29.14% จากปีก่อน

 

 

#ยานยนต์ไฟฟ้า #อีวี #ส่งออกรถยนต์ #สอท #ส่งออก

 

"บีโอไอ" ยันไทยเนื้อหอม เยอรมนี-ฝรั่งเศส สนใจลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์อีวี

บีโอไอเผยความสำเร็จกิจกรรมชักจูงการลงทุนในประเทศเยอรมนี – ฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 18-23 มิ.ย.66 เจาะกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนยานยนต์ (อีวี) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ รวมไปถึงอุตสาหกรรมการแพทย์และบริการด้านสุขภาพ หลายรายสนใจขยายลงทุนในไทยป้อนตลาดกลุ่มลูกค้าเอเชีย ล่าสุดบีโอไอ เตรียมจัดทัพโรดโชว์เมืองฉงชิ่งและเฉิงตู เมืองสำคัญทางตะวันตกของประเทศจีน ระหว่างวันที่ 27 มิ.ย.-1 ก.ค.66 ดึงอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำมาลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง

นายวิรัตน์ ธัชศฤงคารสกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยถึงความสำเร็จจากการเดินสายเพื่อชักจูงการลงทุน ณ ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และสาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 18 – 23 มิถุนายน 2566 ว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนต่างชาติในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และชิ้นส่วนยานยนต์ (อีวี) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ รวมไปถึงอุตสาหกรรมการแพทย์และบริการด้านสุขภาพ ที่เป็นผู้ประกอบการขนาดใหญ่ และ SMEs แสดงความสนใจเลือกบริษัทผู้ผลิต (Sourcing) ในไทยผลิตสินค้าป้อนลูกค้าเชีย      

“การเดินสายชักจูงการลงทุนในครั้งนี้ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนจากเยอรมันและฝรั่งเศสที่สนใจในการขยายฐานการผลิต รวมไปถึงการหาบริษัท ผู้รับจ้างผลิตเพื่อป้อนตลาดลูกค้าที่อยู่ในภูมิภาคเอเชีย นอกจากนี้ประเทศไทยเป็นเสมือนเซฟโซนของนักลงทุนต่างชาติ โดยก่อนหน้านี้บีโอไอได้มีการนำคณะออกไปโรดโชว์ ที่ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีนและเกาหลีใต้ ได้รับเสียงสะท้อนกลับมาจากนักลงทุนมองว่าประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร รวมถึงมีอุตสาหกรรมสนับสนุนที่แข็งแกร่ง” นายวิรัตน์ กล่าวย้ำ

สำหรับการจัดกิจกรรมชักจูงการลงทุนในครั้งนี้ บีโอไอได้จัดสัมมนาในฝรั่งเศส หัวข้อ “Business and Investment Opportunities in Thailand’s Electric Mobility Sector” โดยร่วมมือกับบิสเนส ฟรานซ์ (Business France) หน่วยงานภาครัฐด้านการค้าและการลงทุนของฝรั่งเศส ซึ่งมีหน้าที่ให้การสนับสนุนบริษัทฝรั่งเศสที่จะออกไปดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ และให้คำปรึกษาแก่นักลงทุนต่างชาติที่จะลงทุนในประเทศฝรั่งเศส บริษัทในเครือข่ายบิสเนส ฟรานซ์ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม SMEs ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นหลัก การบรรยายได้เน้นให้ข้อมูลการลงทุนและโอกาสในการร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัทไทย รวมถึงเปิดการเจรจาธุรกิจและให้คำปรึกษาด้านการลงทุนเป็นรายบริษัท

โดยสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และสาธารณรัฐฝรั่งเศส ถือเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่ได้พัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมือมายาวนาน โดยเกือบครึ่งปีแรกปี 2566 (3 มกราคม – 21 มิถุนายน) พบว่ามีการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากเยอรมนี 12 โครงการ มูลค่ากว่า 5,900 ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องจักรและยานยนต์ สำหรับฝรั่งเศส มีการขอรับการส่งเสริมการลงทุน 6 โครงการ มูลค่ากว่า 2,900 ล้านบาท 

ทั้งนี้ล่าสุดนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เตรียมนำทัพโรดโชว์เมืองฉงชิ่ง และเมืองเฉิงตู ซึ่งเป็นเมืองสำคัญทางทิศตะวันตกของ สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 27 มิถุนายน – 1 กรกฎาคม 2566  โดยเป็นการเดินสายโรดโชว์ที่ประเทศจีนครั้งที่ 2 ของบีโอไอในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 เพื่อดึงดูดการลงทุนที่มีศักยภาพในจีน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

 

 

 

บีโอไอเผยยอดส่งเสริมอีวีกว่า 1 แสนล้าน เร่งกระตุ้นลงทุน รองรับดีมานด์ในประเทศพุ่ง

บีโอไอ เผยยอดส่งเสริมกิจการยานยนต์ไฟฟ้าทั้งระบบพุ่งกว่า 1 แสนล้านบาท ทั้งการผลิตรถยนต์ แบตเตอรี่ ชิ้นส่วน และสถานีชาร์จ เร่งผลักดันนโยบายส่งเสริมลงทุน รองรับทิศทางอุตสาหกรรมและดีมานด์ในประเทศขยายตัวอย่างต่อเนื่อง 

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก และได้กำหนดเป้าหมายที่ท้าทาย 30@30 ว่าภายในปี ค.ศ.2030 หรือปี พ.ศ.2573 จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ร้อยละ 30 ของการผลิตรถยนต์ในประเทศ หรือ 725,000 คัน จากทั้งหมดประมาณ 2.5 ล้านคัน โดยได้ออกมาตรการส่งเสริมแบบครบวงจร ครอบคลุมทั้งมาตรการส่งเสริมผู้ลงทุนผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน และมาตรการสร้างตลาดในประเทศ โดยกระทรวงการคลังให้เงินอุดหนุน ลดอากรนำเข้า และลดภาษีสรรพสามิต เพื่อส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า นโยบายดังกล่าวเริ่มเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมทั้งในด้านการลงทุนและความสนใจของผู้บริโภคในประเทศ

ทั้งนี้ในส่วนของบีโอไอ ได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมกิจการยานยนต์ไฟฟ้าทั้งระบบ ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมมุ่งเป้าตามยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนเพื่อสร้างเศรษฐกิจใหม่ของไทย โดยได้มีมาตรการให้สิทธิประโยชน์กับผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า รถสามล้อไฟฟ้า รถโดยสารไฟฟ้า รถบรรทุกไฟฟ้า รถจักรยานไฟฟ้า และเรือที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า รวมถึงชิ้นส่วนและอุปกรณ์ สถานีอัดประจุไฟฟ้าและสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่  ซึ่งจากข้อมูลล่าสุด บีโอไอได้ให้การส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ ชิ้นส่วนสำคัญ และสถานีชาร์จ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 114,000 ล้านบาท

สำหรับโครงการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่บีโอไอได้อนุมัติให้การส่งเสริมแล้ว แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 1. การผลิตยานยนต์ไฟฟ้า มีโครงการลงทุนผลิตยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท ทั้งยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และไฮบริด (HEV) รวมทั้งหมด 26 โครงการ จาก 17 บริษัท รวมมูลค่าเงินลงทุน 86,800 ล้านบาท เป็นการลงทุนจากทั้งค่ายรถยนต์จากจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และยุโรป ในจำนวนนี้เป็นการผลิตรถยนต์ BEV จำนวน 15 โครงการ จาก 14 บริษัท กำลังการผลิตรวม 270,000 คัน โดยขณะนี้มีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทออกสู่ตลาดแล้ว 11 บริษัท  

2.การผลิตชิ้นส่วนสำคัญของยานยนต์ไฟฟ้า แบ่งเป็นการผลิตแบตเตอรี่สำหรับ EV 20 โครงการ จาก 13 บริษัท เงินลงทุน 9,400 ล้านบาท การผลิตแบตเตอรี่ความจุสูง สำหรับ EV และ Energy Storage 8 โครงการจาก 8 บริษัท เงินลงทุน 9,300 ล้านบาท และการผลิตชิ้นส่วนสำคัญของรถไฟฟ้า เช่น Traction Motor ระบบริหารจัดการแบตเตอรี่ (BMS) ระบบควบคุมการขับเคลื่อน (DCU) ระบบและอุปกรณ์อัดประจุไฟฟ้า 16 โครงการ จาก 14 บริษัท เงินลงทุน 5,120 ล้านบาท และ 3. กิจการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้ามี 7 โครงการ จาก 7 บริษัท เงินลงทุน 4,200 ล้านบาท โดยมีหัวจ่ายไฟฟ้ารวม 11,300 หัวจ่าย ซึ่งเป็นแบบ Quick Charge กว่า 5,400 หัวจ่าย  

นอกจากนี้ บีโอไอยังได้ให้การส่งเสริมโครงการพัฒนาซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับ EV อีกหลายโครงการ เช่น ซอฟต์แวร์ควบคุมการทำงานของระบบในรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งติดตั้งใน Vehicle Control Unit (VCU) แพลตฟอร์มควบคุมและบริหารจัดการการเดินรถ (Fleet Management) แอปพลิเคชันสำหรับค้นหา จอง ชำระค่าบริการและบริหารจัดการสถานีอัดประจุไฟฟ้า เป็นต้น

“อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ากำลังเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว จากมาตรการเชิงรุกในการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร ส่งผลให้แนวโน้มความต้องการยานยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะรถยนต์ BEV เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยยอดจดทะเบียนรถยนต์ BEV ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้สูงถึงกว่า 11,000 คัน เพิ่มขึ้น 8 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว รวมถึงยอดจองรถยนต์ไฟฟ้าในงานมอเตอร์โชว์ครั้งล่าสุดที่มากกว่า 9,000 คัน ขณะที่มีผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหม่ๆ ได้ทยอยเข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตในไทย ทั้งผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น MG, Great Wall Motor, BYD, NETA, Foxconn รวมทั้งรายล่าสุดอย่าง GAC AION จากประเทศจีนที่ได้หารือกับบีโอไอและกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่องแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนในประเทศไทยด้วย” นายนฤตม์กล่าว