ลาซาด้า เดินเกม “Next-Level eCommerce” ยกระดับอีคอมเมิร์ซด้วยสินค้าแบรนด์-ประสบการณ์พรีเมียม

ลาซาด้า ประเทศไทย ประกาศวิสัยทัศน์การเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยุคใหม่ มุ่งยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรม ด้วยการมอบประสบการณ์การช้อประดับพรีเมียม และการเป็นศูนย์รวมสินค้าคุณภาพจากแบรนด์ชั้นนำ ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ เสริมด้วยประสบการณ์การช้อปที่เหนือกว่า พร้อมมุ่งพัฒนาแคมเปญจากข้อมูลเชิงลึกตอบสนองผู้บริโภคอย่างแท้จริง อีกทั้งยังลงทุนต่อเนื่องในเทคโนโลยีและนวัตกรรม AI เพื่อเสริมรากฐานการเติบโตให้แข็งแกร่งในระยะยาว สร้างคุณค่าให้ทั้งนักช้อป ผู้ประกอบการ ระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซ ตลอดจนเศรษฐกิจไทยโดยรวมให้เติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน

 

เติบโตด้วยคุณภาพ ยกระดับสู่การเป็นแพลตฟอร์มพรีเมียม

ขณะที่นักช้อปไทยครองแชมป์จับจ่ายออนไลน์ต่อสัปดาห์สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก ถึง 68.2% ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต[1] และพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ทุกเจนที่หันมาช้อปออนไลน์เป็นหลัก สะท้อนความคาดหวังที่สูงขึ้นในทุกการใช้จ่าย การตัดสินใจซื้อสินค้าจึงเป็นไปอย่างรอบคอบ โดยพิจารณาความคุ้มค่าที่มากกว่าราคา แต่ให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้าและประสบการณ์ที่ไว้วางใจได้ เห็นได้ชัดจากเทรนด์การเติบโตของยอด
คำสั่งซื้อบน LazMall แหล่งรวมสินค้าคุณภาพจากแบรนด์ชั้นนำของลาซาด้า ที่เพิ่มขึ้นกว่า 22% ตั้งแต่ต้นปี 2568

วาริสฐา เกียรติภิญโญชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลาซาด้า ประเทศไทย กล่าวว่า ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องและนับเป็นตลาดที่มีการขยายตัวเร็วที่สุดในภูมิภาค โดยในปี 2567 มีอัตราการเติบโตถึง 21.7% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคที่ 12%[2] อีกทั้งยังคาดการณ์ว่าจะเติบโตแตะ 2 ล้านล้านบาทภายในปี 2573[3] ดังนั้น เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดและอินไซต์ผู้บริโภคยุคใหม่ ลาซาด้า ในฐานะผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ จึงพร้อมบุกเบิกทิศทางและสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่อุตสาหกรรมด้วยแนวคิด ‘Next-Level eCommerce’ มุ่งสู่การเป็นแพลตฟอร์มที่มอบประสบการณ์การช้อปแบบพรีเมียม ชูจุดแข็งด้านสินค้าแบรนด์และบริการคุณภาพ ซึ่งเป็นนิยามใหม่ของความคุ้มค่าที่นักช้อปไทยมองหา เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนและมีคุณภาพอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันเรายังเดินหน้าลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม AI อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย และผลักดันการเติบโตของอีคอมเมิร์ซไทยเพื่อความแข็งแกร่งในระยะยาว

 

Next-Level eCommerce บุกเบิกมาตรฐานใหม่ ดันแพลตฟอร์มโตอย่างยั่งยืน

ลาซาด้าเดินหน้ายกระดับมาตรฐานวงการอีคอมเมิร์ซ มุ่งหน้าสู่แพลตฟอร์มที่มอบความคุ้มค่าให้ผู้บริโภคไทย พร้อมเจาะตลาดคุณภาพด้วย 3 โฟกัสหลัก พร้อมนำเทคโนโลยี AI เข้ามายกระดับประสบการณ์ให้กับทั้งผู้ซื้อ
แบรนด์ และผู้ขาย

 

1. คัดสรรสินค้าคุณภาพครบทุกหมวดหมู่ (High-Quality Assortment)

- นำเสนอสินค้าแบรนด์แท้ 100% ตลอดจนสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะที่ลาซาด้า ผ่าน LazMall และ LazMall Luxury ศูนย์รวมร้านค้าทางการของแบรนด์ชั้นนำ ที่มีมากกว่า 32,000 แบรนด์ทั่วทั้งภูมิภาค ตลอดจนเพิ่มความหลากหลายด้วยหมวดหมู่ขายดีอย่าง LazBEAUTY, LazLOOK และ Lazada Electronics

- ล่าสุด เสริมทัพด้านสินค้า นำร่องโมเดลค้าส่งสำหรับลูกค้าธุรกิจ (B2B) ตอบโจทย์ความต้องการผู้ประกอบการ ด้วยสินค้ากว่า 15,000 รายการ ครอบคลุมหมวดเกษตรกรรม อุปกรณ์ประปา และอุปกรณ์ไฟฟ้า

 

2. มอบประสบการณ์การช้อปที่เหนือกว่า (High-Quality Experience)

- สร้างความมั่นใจให้กับนักช้อปพร้อมยกระดับประสบการณ์ที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นในทุกมิติ อาทิ ‘4 การันตี’ จาก LazMall (การันตีสินค้าแบรนด์แท้ 100% – จัดส่งตรงเวลา – คืนสินค้าพร้อมเงินคืนไว – การันตีสต็อกพร้อม) โปรแกรมส่งเร็วพิเศษ Priority Delivery 24 Hours สั่งซื้อสินค้าภายในเที่ยง ได้รับสินค้าในวันถัดไป ตลอดจนประสบการณ์การช้อปไร้รอยต่อกับบริการติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า โปรแกรมเก่าแลกใหม่และอัปเกรดรุ่นในหมวดโทรศัพท์มือถือ และประกันสินค้าในประเภทต่าง ๆ

- ลาซาด้ายังมุ่งพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อนำเสนอประสบการณ์การช้อปที่ราบรื่นและตอบโจทย์
ความต้องการเฉพาะบุคคลยิ่งขึ้น ด้วยฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เช่น Lazzie แชตบอตอัจฉริยะผู้ช่วยแนะนำสินค้าที่ตรงใจ พร้อมทั้งช่วยเพิ่มโอกาสการมองเห็นให้กับร้านค้า นอกจากนี้ ยังเตรียมส่งบริการใหม่ Lazada Membership ระบบสมาชิกสะสมคะแนนเพื่อมอบสิทธิพิเศษมากมายให้กับนักช้อป

 

3. ดึงอินไซต์สร้างอิมแพ็กผ่านแคมเปญคุณภาพ (High-Quality Campaign)

- ด้วยอินไซต์ที่ชี้ว่ากว่า 50% ของยอดขายบนแพลตฟอร์มมาจากแคมเปญ ลาซาด้าจึงเดินหน้าสร้างสรรค์แคมเปญหลากหลายรูปแบบตลอดทั้งปี โดยไม่เพียงทุ่มงบเพิ่มคูปองส่วนลดเอาใจนักช้อปในช่วงแคมเปญมากกว่าเดิมถึง 45% แต่ยังยึดพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นหัวใจสำคัญ เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วม สร้างความเหนียวแน่นกับนักช้อป และสร้างโอกาสให้ผู้ขายเติบโตไปพร้อมกัน

- สะท้อนความสำเร็จในช่วงเมกะแคมเปญและแคมเปญ Double Digit ด้วยยอดขายบนแพลตฟอร์มเติบโตกว่า 300% เมื่อเทียบกับวันปกติ ในขณะที่แคมเปญ Mid-Month ยอดโต 70% ต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังพบการเติบโตในแคมเปญหมวดหมู่สินค้า นำโดยหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าโตกว่า 2 เท่า ส่วนสินค้าแฟชันและความงามโตเพิ่มขึ้น 40%

“การคว้าตำแหน่งแบรนด์อันดับ 1 ในไทย จากผลสำรวจ Thailand’s Top 50 Brands 2025 โดย Campaign Asia[4] ตอกย้ำวิสัยทัศน์ของเราในการมุ่งเน้นคุณภาพในทุกมิติ ทั้งสินค้า การบริการ และประสบการณ์การช้อป ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างรากฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง พร้อมสร้างคุณค่าและผลกระทบเชิงบวกให้แก่ทุกภาคส่วนในอีโคซิสเต็ม นำไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” วาริสฐา กล่าว

 

เตรียมสัมผัสประสบการณ์การช้อปเหนือระดับ กับเมกะแคมเปญ 9.9 ลดอลัง ปังทุกแบรนด์

เพื่อสานต่อความสำเร็จในฐานะแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ผู้บริโภคไว้วางใจ ลาซาด้าพร้อมเปิดตัวเมกะแคมเปญ“9.9 ลดอลัง ปังทุกแบรนด์” ยกระดับประสบการณ์การช้อประดับพรีเมียมด้วยทัพสินค้าคุณภาพจากแบรนด์ชั้นนำ พร้อมโปรโมชันจัดเต็ม ตั้งแต่ 8 กันยายน 2 ทุ่ม ถึง 11 กันยายน 2568 มอบส่วนลดสูงสุด 10,000 บาท* LazFlash ลดสูงสุด 90%* แบรนด์ดังลดแรง 6 ชั่วโมงแรก 2 ทุ่ม ถึง ตี 2 และดีลสุดพิเศษอีกหลายต่อ เสริมทัพความสนุกด้วยกิจกรรมจาก Lazzie ฟีเจอร์ผู้ช่วย AI สุดล้ำ เพียงพิมพ์คำว่า “HEYLAZZIE” ในแชต ก็มีสิทธิ์รับ LazRewards ได้ทุกวัน และหากแชตกับ Lazzie อย่างต่อเนื่อง ก็ยังมีสิทธิ์ปลดล็อก LazRewards สูงสุดกว่า 200 บาท* ได้อีกด้วย ตอบโจทย์นักช้อปยุคใหม่ที่มองหาความคุ้มค่าอย่างแท้จริง

FastMoss วิเคราะห์ "TikTok Shop Ecosystem White Paper: Mid-2025" ต่อยอดตลาดอีคอมเมิร์ซในไทย

FastMoss แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลของ TikTok Shop ชั้นนำระดับโลก ได้เปิดตัว "TikTok Shop Ecosystem White Paper: Mid-2025" อย่างเป็นทางการ รายงานฉบับนี้อ้างอิงจากการติดตามและวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ของแพลตฟอร์มข้อมูลอีคอมเมิร์ซระดับโลกของ FastMoss เจาะลึกโครงสร้างตลาดอีคอมเมิร์ซบนวิดีโอสั้นทั่วโลก ครอบคลุมการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงแพลตฟอร์ม การวิเคราะห์ตลาดตามภูมิภาค กรณีศึกษา และบทสัมภาษณ์พิเศษจากผู้นำแบรนด์ระดับโลก

หนึ่งในผลการค้นพบที่สำคัญที่สุด: ในครึ่งแรกของปี 2025 ยอด GMV (Gross Merchandise Volume หรือยอดขายสินค้าออนไลน์รวม) ของ TikTok Shop ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโต +23.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่เกิดจากการผสานเนื้อหาและอีคอมเมิร์ซอย่างลึกซึ้ง โดยตลาด TikTok Shop ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังสร้างวงจรบวก "การสร้างความต้องการผ่านเนื้อหา + การสนับสนุนด้านอุปทานที่ขยายตัว" แพลตฟอร์มสามารถใช้ประโยชน์จากเครือข่ายครีเอเตอร์ท้องถิ่นและกลยุทธ์เนื้อหาเพื่อปลดล็อกศักยภาพของผู้บริโภค ขณะเดียวกัน ผู้ขายก็มีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน ส่งเสริมการจับคู่ระหว่างเนื้อหาและสินค้าอย่างแม่นยำ ทำให้ระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซของ TikTok ในภูมิภาคนี้เติบโตอย่างครบวงจรและยั่งยืน
 
ประเด็นสำคัญ (Key Highlights) จากรายงาน FastMoss "TikTok Shop Ecosystem White Paper: Mid-2025"
 
1. ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
1.1 สำหรับ 5 ตลาดหลัก ได้แก่ อินโดนีเซีย ไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย มียอด GMV เติบโตต่อเนื่อง
1.2 อินโดนีเซียยังครองอันดับหนึ่งทั้งในด้านจำนวนวิดีโอขายสินค้าและยอดขายจากการร่วมงานกับครีเอเตอร์ ขณะที่ไทยก้าวขึ้นมาเป็น “ดาวรุ่ง” และครองอันดับสองด้านสัดส่วนยอดขาย
1.3 การขายที่ขับเคลื่อนโดยครีเอเตอร์ยังคงแข็งแกร่ง ขณะเดียวกันการไลฟ์สดโดยแบรนด์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ทำให้การผสานระหว่างเนื้อหาและการแปลงยอดขายลึกซึ้งยิ่งขึ้น
 
2. ตลาดสหรัฐอเมริกา
2.1 การไลฟ์สดโดยแบรนด์ครองตลาด
2.2 ผู้ขายเปลี่ยนจากการพึ่งครีเอเตอร์ ไปสู่การสร้างเนื้อหาด้วยตนเอง เพื่อสร้างแบรนด์และครองใจผู้บริโภคในระยะยาว
 
3. ทวีปยุโรป
3.1 ความชอบของตลาดแตกต่างกันไปตามภูมิภาค
3.2 หมวดความงาม ของสะสม และเครื่องประดับเติบโตอย่างรวดเร็ว แสดงถึงความสำเร็จของกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นแบรนด์เป็นศูนย์กลาง

มุมมองจากพนักงานแนวหน้า หรือ ทัศนะของพนักงานแนวหน้า (Frontline Perspectives)

รายงานนี้รวบรวมบทสัมภาษณ์เชิงลึกจากครีเอเตอร์ แบรนด์ และผู้ให้บริการที่มีผลงานโดดเด่นในตลาด TikTok Shop สำคัญๆ โดยแบ่งปันประสบการณ์ตั้งแต่การเลือกสินค้า การผลิตเนื้อหา กลยุทธ์การแปลงยอดขาย ไปจนถึงการสร้างแบรนด์

ใครควรอ่านรายงานฉบับนี้
1. แบรนด์อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนที่ต้องการขยายสู่ TikTok Shop
2. เอเจนซี่ครีเอเตอร์ แพลตฟอร์มคัดเลือกสินค้า และผู้ให้บริการจัดการร้านค้า
3. ครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ที่กำลังมองหาเทรนด์และโอกาสความร่วมมือ
4. นักลงทุน นักวิเคราะห์ และนักวิจัยตลาดที่สนใจคอมเมิร์ซบนโซเชียล

ปณท เปิดกำไรครึ่งปีแรกกว่า 631 ล้าน ดันหลากโซลูชันสร้างโอกาสอีคอมเมิร์ซ-ศก.ดิจิทัล

ปณท ประกาศผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรก 2568 มีกำไรสุทธิ 631.56 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา 362.34% รายได้รวม 11,544 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา 8.88% โดยในวาระครบรอบ 142 ปี ไปรษณีย์ไทยมุ่งดำเนินงานผ่านกลยุทธ์ “1-4-2” เป็นขนส่งอันดับ 1 ที่โดดเด่นทั้งคุณภาพและเครือข่าย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมด้วย 4 พลังสำคัญ ได้แก่ พลังความเร็ว พลังเพื่อธุรกิจ พลังเชื่อมโลก พลังความล้ำ พร้อมทั้งเป็น 2 แกนหลักการเป็นผู้เชื่อมความสัมพันธ์และความสำเร็จให้คนไทย โดยจะสร้างประสบการณ์ใหม่ภายใต้แนวคิด “POSTsible Together เป็นไปรฯ ได้ไปรฯ ด้วยกัน” อาทิ การเปิดตัว Super App การเปิดตัว D/ID ระบบจ่าหน้าแบบดิจิทัล การต่อยอดคุณภาพบริการขนส่งแบบ Specialized Logistics ตอบโจทย์ทุกความต้องการของทุกคน

วันที่ 18 สิงหาคม 2568 นายรัฐพล ภักดีภูมิ ประธานกรรมการ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า เพื่อสอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติและนโยบายกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม การดำเนินงานของไปรษณีย์ไทยในยุคดิจิทัลจึงได้ขับเคลื่อนทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีดิจิทัลควบคู่กับการยกระดับคุณภาพบริการให้ได้มาตรฐานสากล รวมถึงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและความต้องการของประชาชน เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ของไทย พร้อมกันนี้ ยังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการที่โปร่งใสตรวจสอบได้ และยึดหลักธรรมาภิบาลเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนและภาคธุรกิจ โดยมุ่งให้ไปรษณีย์ไทยไม่เพียงเป็นผู้ให้บริการขนส่ง แต่เป็นกลไกสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล และสร้างคุณค่าทางสังคมในระยะยาว นอกจากนี้ ได้วางแผนขยายความร่วมมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชนท้องถิ่น เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าและการเข้าถึงบริการดิจิทัลอย่างทั่วถึงพร้อมทั้งผลักดันโครงการสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยและวิสาหกิจชุมชนให้สามารถใช้แพลตฟอร์มไปรษณีย์ไทยเป็นช่องทางสร้างรายได้ และเข้าถึงตลาดใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ไปรษณีย์ไทย กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรกปี 2568 ไปรษณีย์ไทยยังคงมีการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง สะท้อนจากรายได้รวม 11,544 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 631.56 ล้านบาท โดยรายได้รวมเติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ถึง 8.88% กำไรสุทธิเติบโตขึ้น 362.34% กลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้สูงสุด คือ กลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ คิดเป็น 46.83% ของรายได้ทั้งหมดโดยมีรายได้รวม 5,406 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.56% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ปริมาณชิ้นงานเพิ่มขึ้น 6%

ทั้งนี้เพื่อตอกย้ำศักยภาพสื่อสารและขนส่งของชาติ ในวาระ 142 ปี ไปรษณีย์ไทยได้มุ่งการเสริมสร้างทุกความสัมพันธ์ ส่งเสริมทุกการเติบโต พร้อมวางกลยุทธ์ “1-4-2” ให้เป็นกลไกสำคัญขับเคลื่อนองค์กรโดย “1” คือการเป็นขนส่งอันดับ 1 ของคนไทย ที่โดดเด่นทั้งคุณภาพบริการตั้งแต่ระบบรับฝาก ส่งต่อ และนำจ่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีเครือข่ายครอบคลุมเข้าถึงทุกพื้นที่ทั่วประเทศรวมกว่า 50,000 แห่ง ทำให้สามารถให้บริการแบบมืออาชีพ และเหนือความคาดหวังของลูกค้าในทุก Touch point อีกทั้งยังยกระดับองค์กรสู่การเป็น Tech Post อย่างเต็มรูปแบบด้วยการนำเทคโนโลยี AI มาขับเคลื่อนองค์กรในทุกมิติ ซึ่งในปีที่ผ่านมาไปรษณีย์ไทย มีคะแนน Top of Mind ของแบรนด์ 99.54% และมีคะแนนความไว้วางใจในแบรนด์ 96.11% สะท้อนถึงการเป็นแบรนด์ที่ได้รับความเชื่อมั่นและไว้ใจจากคนไทย

 “4 พลัง” ขับเคลื่อนองค์กร ได้แก่ พลังความเร็ว ที่มุ่งส่งมอบการให้บริการที่รวดเร็ว แม่นยำ โดยบริการที่มีความโดดเด่น และได้รับความนิยมสูงที่สุดยังคงเป็นบริการส่งด่วน EMS ที่ทำรายได้คิดเป็น 43.31% ของรายได้รวมของไปรษณีย์ไทย พลังเพื่อธุรกิจ ที่ออกแบบโซลูชันรองรับตั้งแต่ผู้ประกอบการรายเล็กถึงรายใหญ่ เช่น การให้บริการคลังสินค้าครบวงจร หรือ THP Fulfillment ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่มีภาคธุรกิจขนาดใหญ่ลงทุนมีการเติบโตและขยายตัวของธุรกิจขนาดเล็ก – กลาง ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานที่จะเอื้อต่อการขยายฐานลูกค้าเป้าหมายของผู้ใช้บริการ พลังเชื่อมโลก ที่พร้อมพาธุรกิจไทยเติบโตได้ครอบคลุม 205 ปลายทาง 193 ประเทศ และพลังความล้ำ ที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมใหม่มาปรับใช้ในการพัฒนาบริการเพื่อตอบโจทย์โครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น Digital Postbox บริการตู้ไปรษณีย์ดิจิทัลจาก Prompt Post ที่ต่อยอดการส่งจดหมายแบบ Physical สู่ Digital สามารถรับ-ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ รวดเร็ว ใช้งานง่าย ปลอดภัย ติดตามสถานะได้ บริการ D/ID ระบบการจ่าหน้าแบบดิจิทัล ที่สามารถแปลงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ส่งและผู้รับเป็นรหัส 6 หลัก ซึ่ง 2 บริการนี้พร้อมจะเปิดตัวในเดือนกันยายนนี้ 

ขณะที่ “2” คือ 2 แกนหลักที่เป็นผู้เชื่อมทั้งความสัมพันธ์และความสำเร็จ นอกจากนี้ยังมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจพร้อมกับดูแลสังคมอย่างยั่งยืน ภายใต้ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ด้านสิ่งแวดล้อม โดยได้นำยานยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในระบบงาน มุ่งดำเนินงานด้าน Circular Economy ผลักดันโครงการ Green Hub ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร อาทิ โครงการ reBOX โครงการ reBAG โครงการ e-Waste ฯลฯ ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 4,670 ตันคาร์บอนเทียบเท่าในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังได้ปรับเปลี่ยนเสื้อเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ไทยโดยเครื่องแบบแต่ละชุดใช้ผ้าที่ใช้กรรมวิธีช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 0.77 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเท่ากับการลดระยะทางขับรถยนต์ได้ประมาณ 3.08 กิโลเมตร ซึ่งจากปริมาณการผลิตทั้งหมดสามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 53,360 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเท่ากับการลดระยะทางขับรถยนต์ได้ประมาณ 213,440 กิโลเมตร เท่ากับการเดินทางรอบโลก 5 รอบ

ด้านสังคม มุ่งเน้นการสร้างชุมชนที่ยั่งยืน ด้วยการสร้างงาน สร้างอาชีพ ซึ่งไปรษณีย์ไทยมุ่งสนับสนุนเกษตรกรไทยกระจายสินค้า และผลผลิตผ่านเครือข่ายไปรษณีย์กว่า 1,200 แห่ง และแพลตฟอร์ม ThailandPostMart โดยครึ่งปีแรกของปี 2568 สร้างรายได้แล้วกว่า 360 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 10% และคาดว่าในปี 2568จะสามารถสร้างรายได้รวมที่ 760 ล้านบาท นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยยังสนับสนุนบริการเชิงสังคม (PSO) ตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปัจจุบัน รวมกว่า 28,000 ล้านบาท และในช่วงที่เกิดการปะทะในพื้นที่ชายแดนไปรษณีย์ไทยได้เปิดแคมเปญเชิญชวนคนไทยร่วมส่งสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมีน้ำใจจากคนไทยส่งผ่านไปรษณีย์ไทยแล้วกว่า 34,302 กล่อง รวมน้ำหนักมากกว่า 104,365 กิโลกรัม

ด้านธรรมาภิบาลและการกำกับดูแล ที่มุ่งเน้นการให้ความสำคัญในเรื่องของการดำเนินธุรกิจที่ถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยในปี 2567 ที่ผ่านมาผลการประเมินคะแนนคุณธรรมและความโปร่งใส (ITA) อยู่ที่ 91.70 คะแนน และยังได้รับรางวัลระบบบริหารจัดการความเสี่ยงการทุจริตระดับ “ดีเยี่ยม” จากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) อีกด้วย

“นอกจากกลยุทธ์ “1-4-2” แล้ว ไปรษณีย์ไทยยังมุ่งสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะมีการสร้างการจดจำ และสร้างประสบการณ์ใหม่ทั้งในด้านสินค้า บริการ และไลฟ์สไตล์ ภายใต้แนวคิด “POSTsible Together เป็นไปรฯ ได้ ไปรฯ ด้วยกัน” อาทิ การเปิดตัว Super App แอปพลิเคชัน ที่รวบรวมบริการหลากหลายของไปรษณีย์ไทยไว้ในแพลตฟอร์มเดียว เพื่อให้ผู้ใช้สามารถติดตามพัสดุ สร้างใบจ่าหน้า เรียกรับพัสดุ ชำระค่าบริการ และเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ได้อย่างครบวงจร พร้อมรองรับการเชื่อมต่อกับบริการภาครัฐและพันธมิตรภาคเอกชน มุ่งเสริมศักยภาพ SME ไทย ให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมา ไปรษณีย์ไทยได้ร่วมกับแพลตฟอร์ม Amazon ในการส่งสินค้าจากผู้ประกอบไทยเข้าคลัง Amazon FBA (Fulfillment by Amazon) ซึ่งออกแบบมาสำหรับผู้ขายบน Amazon.com ที่ต้องการส่งสินค้าเข้าคลังในสหรัฐอเมริกา โดยไปรษณีย์ไทย เป็นผู้รวบรวมสินค้าในประเทศไทย ดำเนินพิธีการศุลกากร และส่งสินค้าสู่คลัง FBA เพื่อสนับสนุนผู้ค้ารายย่อยและ SME ไทยกระจายสินค้าสู่ตลาดอเมริกา นอกจากนี้ ยังมีการต่อยอดแนวคิดการขนส่ง Parcel Defined Logistics ให้มีความเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้นในรูปแบบ Specialized Logistics เช่น Healthcare Logistics for Pet หรือการขนส่งสินค้าเพื่อกลุ่มสัตว์เลี้ยงการขนส่งสินค้ามูลค่าสูง และการขนส่งนมแม่ เป็นต้น ขณะที่ในด้านบริการทางการเงิน ไปรษณีย์ไทยพัฒนา e-Payment ให้รองรับการชำระ COD และเชื่อมต่อกับพันธมิตรหลากหลาย ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น กรมการขนส่งทางบก ทิพยประกันภัย WeChat Pay และ Alipay เพื่อขยายช่องทางชำระเงินอย่างครอบคลุมทุกความต้องการ อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญคือการต่อยอดข้อมูลขนาดใหญ่สู่ “Data as a Service” ที่จะสร้างรายได้เชิงพาณิชย์อย่างจริงจังในปี 2569 โดยใช้การวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อพัฒนาบริการที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลและภาคธุรกิจได้อย่างแม่นยำ” ดร.ดนันท์ กล่าว

เริ่มแล้ว 3 งานแสดงสินค้ายิ่งใหญ่แห่งปี  สำหรับธุรกิจโรงแรม อาหาร เครื่องดื่ม ค้าปลีก อี-คอมเมิร์ซและสถานบันเทิง  

ตอบโจทย์เศรษฐกิจยุคใหม่มุ่งเน้นความเติบโตอย่างยั่งยืน กวิน อินเตอร์เทรด ผู้นำธุรกิจจัดแสดงสินค้าในประเทศไทย โดยความร่วมมือและการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน ประกาศศักยภาพนำผู้ประกอบการกว่า 250 บริษัทจาก 10 ประเทศจัดงานแสดงสินค้าระดับภูมิภาค สำหรับธุรกิจโรงแรม อาหาร เครื่องดื่ม ค้าปลีก อี-คอมเมิร์ซและสถานบันเทิง รวม 3 งานสำคัญไว้ในพื้นที่เดียวกัน ภายใต้ชื่อ Thailand Retail, Food & Hospitality Services (TRAFS 2025) ปีที่ 19,  ASEAN Retail 2025 ปีที่ 10 และ Pub Bar Asia 2025 ปีที่ 3 เริ่มตั้งแต่วันที่ 24 – 27 กรกฎาคม 2568 ณ ไบเทค ฮอลล์ 98 – 99 เผยรวมกิจกรรมไฮไลต์มากมาย สินค้าและบริการครบครัน คาดมีผู้เข้าชมงานรวม 22,000 ราย สร้างมูลค่าเจรจาธุรกิจกว่า 500 ล้านบาท 
 
นายภูริพันธ์ บุนนาค รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) รักษาการแทนผู้อำนวยการ สสปน. กล่าวระหว่างเป็นประธานเปิดงานแสดงสินค้าระดับภูมิภาค สำหรับธุรกิจโรงแรม อาหาร เครื่องดื่ม ค้าปลีก อี-คอมเมิร์ซและสถานบันเทิง ซึ่งเป็นการรวม 3 งานสำคัญไว้ในพื้นที่เดียวกัน ภายใต้ชื่อ Thailand Retail, Food & Hospitality Services (TRAFS 2025),  ASEAN Retail 2025 และ Pub Bar Asia 2025 ว่า การจัดงานครั้งนี้ถือเป็นเวทีแสดงศักยภาพของธุรกิจและผู้ประกอบการไทย ทั้งด้านเทคโนโลยีอาหาร การบริการ การค้าปลีก อีคอมเมิร์ซ และธุรกิจเครื่องดื่ม ที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจยุคใหม่มุ่งเน้นความเติบโตอย่างยั่งยืน  
 

การจัดงานครั้งนี้มีผู้แสดงจากต่างประเทศมาร่วมงานถึง 10 ประเทศ เป็นข้อยืนยันได้อย่างดียิ่ง ว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางธุรกิจระดับนานาชาติในภูมิภาคอาเซียน ยิ่งไปกว่านั้นทางคณะผู้จัดงานและพันธมิตรผู้ร่วมสนับสนุนการจัด 3 งานแสดงสินค้ายิ่งใหญ่ในครั้งนี้   เพื่อสนับสนุนการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศ การท่องเที่ยว ธุรกิจโรงแรม Food Service ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจผับ บาร์ ที่จะนำไปสู่การจ้างงาน ใช้วัสดุในประเทศ และส่งเสริมการเติบโตอุตสาหกรรมการจัดงานแสดงสินค้าของไทย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทั้ง 3 งาน ไม่ว่าจะเป็น TRAFS / ASEAN Retail และ Pub & Bar Asia ที่กำลังจัดอยู่ในขณะนี้จะเติบโตเป็นงานแสดงนานาชาติที่มีชื่อเสียงมากที่สุดงานหนึ่งในระดับภูมิภาคในอนาคตอันใกล้ต่อไป 
 

นายกวิน กิตติบุญญา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กวิน อินเตอร์เทรด จำกัด กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานแสดงทั้ง 3 เพื่อเป็นเวทีให้ผู้แสดงทั้งที่เป็นผู้ผลิต และผู้จัดจำหน่ายจากไทยและต่างประเทศ ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ สินค้า และบริการ เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ให้กับผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม Food Service ค้าปลีก อีคอมเมริซ์ และเอ็นเตอร์เทนเมนต์จากไทยและต่างประเทศ ได้พบปะและเจรจาธุรกิจตลอด 4 วันของการจัดงาน เพื่อเป็นหนึ่งของฟันเฟืองที่จะสร้างโอกาสทางธุรกิจ ตลอดจนนำเสนอนวัตกรรมใหม่ของสินค้า และเครื่องมือทางการตลาด เพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ เป็นผลก่อให้เกิดการจ้างงานและการใช้วัสดุภายในประเทศ นำมาซึ่งเศรษฐกิจของประเทศที่เติบโตแบบยั่งยืนสืบไป 
 
นายกวิน กล่าวถึงไฮไลต์ของงานทั้ง 3 นั้นเป็นการรวมผู้ประกอบการแบรนด์ชั้นนำ 250 บริษัท จาก 10 ประเทศ อาทิ จีน ญี่ปุ่น อิตาลี สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย เกาหลี เยอรมนี อังกฤษ สเปน และไทย นำสินค้านับพันรายการจากทั่วโลกมาจัดแสดงในพื้นที่เดียวกันสำหรับธุรกิจบริการแบบครบวงจร โดย 
- งาน Thailand Retail, Food & Hospitality Services ปีที่ 19 เป็นงานแสดงวัตถุดิบ อาหารเครื่องดื่ม อุปกรณ์เครื่องใช้สำหรับธุรกิจโรงแรม และ Food Service ไม่ว่าจะเป็น Fine dining ภัตตาคาร ร้านอาหาร กาแฟ เบเกอรี่ ไอศกรีม เพื่อนำไปต่อยอดธุรกิจต่อไป 
- งาน ASEAN Retail ปีที่ 10 เป็นงานแสดงอุปกรณ์ เทคโนโลยีสำหรับธุรกิจค้าปลีก ประกอบด้วย โมเดิร์นเทรด ซูเปอร์มาร์เก็ต ศูนย์การค้า ร้านค้าปลีก และธุรกิจอีคอมเมิร์ซ 
- งาน Pub Bar Asia ปีที่ 3 เป็นการนำเสนอนวัตกรรมล้ำสมัยของธุรกิจผับ บาร์ ตลอดจนเทรนด์ล่าสุดของเครื่องดื่ม เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจบันเทิงอันเป็นส่วนในการกระตุ้นธุรกิจท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก 
 

นอกจากการแสดงสินค้าแล้ว ภายในงานยังได้เตรียมกิจกรรมกว่า 80 รายการ โดยร่วมกับสมาคมฯ และหน่วยงานพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ กว่า 10 แห่ง เพื่อเสริมทักษะวิชาชีพให้บุคคลากรในสายงาน มอบความรู้ทางด้านเครื่องมือทางการตลาด และเพื่อให้ผู้เข้าชมงานได้รับประโยชน์สูงสุด ตัวอย่างกิจกรรมในงาน อาทิ งาน TRAFS จัดเตรียมเชฟมืออาชีพจากสมาคมฯ สาธิตการทำอาหาร เบเกอรี่ เครื่องดื่ม การร่วมโครงการ “DIPROM Thai Cuisine” ร้านอาหารต้นแบบ 10 แห่ง ที่มีศักยภาพทั้งในด้านรสชาติ คุณภาพ และความพร้อมในการยกระดับสู่ธุรกิจระดับมืออาชีพ มาจัดแสดงและสาธิตการปรุงอาหารจริงในงาน การสัมมนาให้ความรู้เสริมทักษะวิชาชีพ และยังได้ร่วมมือกับ หอการค้าไทย-อิตาเลี่ยน ค้นหาสุดยอดเมนูทีรามิสุ เพื่อนำผู้ชนะเลิศไปแข่งขันระดับนานาชาติ ต่อไป 
 
ส่วนงาน ASEAN Retail จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัลมาให้ความรู้ในเรื่องการทำ social media marketing ระบบ AI แบบเจาะลึก เสวนาการให้ความรู้ นวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ ของอุปกรณ์ค้าปลีก การประชุมของสมาคมผู้ค้าปลีกและผู้ประกอบการจากทั่วประเทศ รวมถึงการมอบประสบการณ์ ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการไลฟ์สดเพื่อจำหน่ายสินค้าออนไลน์อย่างไรให้มีประสิทธิภาพจากอินฟลูเอ็นเซอร์ชื่อดัง ปิดท้ายที่งาน Pub Bar Asia พบกับการสอนทำเครื่องดื่มหลากหลายประเภท ที่ทุกคนสามารถนำไปต่อยอดประกอบธุรกิจได้ การให้ความรู้เกี่ยวกับเบื้องต้นที่ถูกต้องเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจผู้ผลิตเครื่องดื่ม และทดสอบรสชาติหลากหลายเครื่องดื่มทั้งไทย และต่างประเทศ เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจพิจารณานำสินค้าสำหรับจัดจำหน่ายต่อไป รวมไปถึงการจัดการแข่งขันเพื่อค้นหาสุดยอดนักปรุงเครื่องดื่มถึง 2 รายการ ได้แก่ Flair Bartender และ Mixologist Competition 
 
กรรมการผู้จัดการใหญ่ ยังกล่าวต่อไปอีกว่า ในงานครั้งนี้ทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายเพื่อจัดโครงการ “DIPROM Thai Cuisine” ภายในงาน TRAFS และ Pub Bar Asia โดยคัดเลือก ร้านอาหารต้นแบบ 10 แห่ง ที่มีศักยภาพทั้งในด้านรสชาติ คุณภาพ และความพร้อมในการยกระดับสู่ธุรกิจระดับมืออาชีพ มาจัดแสดงและสาธิตการปรุงอาหารจริงในงานโครงการนี้ไม่เพียงส่งเสริมการบริโภคอาหารไทยให้ก้าวไกลสู่สากล แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารไทย ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการใช้วัตถุดิบในประเทศ สนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย และสร้างรายได้ให้ชุมชน 
 
โดยในงาน Pub Bar Asia 2025 แสดงผลิตภัณฑ์ที่เป็น ซอฟต์พาวเวอร์จากเกษตรอุตสาหกรรมไทย ได้แก่ ไวน์ช็อกโกแลต – เครื่องดื่มพรีเมียมที่พัฒนาจากวัตถุดิบท้องถิ่น สะท้อนถึงการต่อยอดผลผลิตทางการเกษตรด้วยนวัตกรรม สุราชุมชน – ที่ได้รับการยกระดับทั้งมาตรฐานและการออกแบบ จนสามารถแข่งขันได้ในตลาดสากลและ สาโทไทย – ซึ่งเป็นอีกหนึ่งมรดกภูมิปัญญา ที่ถูกนำเสนอในรูปแบบที่ร่วมสมัย พร้อมก้าวสู่เวทีโลก ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นตัวอย่างของ อุตสาหกรรมฐานรากยุคใหม่ ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคการเกษตรไทย และยังเป็นส่วนหนึ่งของ นโยบาย “DIPROM Community – ที่นี่...มีแต่ให้”  ที่เน้นการส่งเสริมอัตลักษณ์ชุมชนควบคู่กับนวัตกรรม เพื่อให้คนในชุมชนสามารถมีรายได้ที่มั่นคงและเติบโตไปพร้อมกับอุตสาหกรรมของประเทศ 
 
นายกวิน กล่าวเสริมอีกหนึ่งไฮไลต์ของปีนี้คือการจัด Networking Session ภายในงาน ให้ผู้เข้าชมงานได้ขยายเครือข่ายทางธุรกิจ สร้างความสัมพันธ์ เพื่อเพิ่มพันธมิตรทางธุรกิจและเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน ตลอดทั้ง 4 วัน คาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานประมาณ 22,000 คน จาก 40 ประเทศ และประมาณการว่าจะมีการซื้อขายประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ การจ้างงานและใช้วัตถุดิบในประเทศ  
 
งานครั้งนี้เกิดขึ้นได้โดยความร่วมมือและการสนับสนุนจากพันธมิตร ประกอบด้วย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สสปน. สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล สถาบันอาหาร สมาคมเดอะเชฟ สภาพันธ์เชฟประเทศไทย สมาคมเบเกอรี่ สมาคมนักบริหารงานอาหารและเครื่องดื่ม สมาคมธุรกิจร้านอาหาร ชมรมผู้บริหารงานแม่บ้านประเทศไทย ชมรมนักบริหารทรัพยากรบุคคลโรงแรม สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย สมาคมผู้ค้าปลีกไทย และอื่นๆ รวมถึงสื่อมวลชนที่ให้การสนับสนุนประชาสัมพันธ์งาน อีกทั้งผู้ร่วมจัดแสดงงาน Sponsor และลูกค้าผู้ชมงานที่ทำให้การจัดงานครั้งนี้เกิดขึ้นได้และประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง  
 
กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวเชิญชวนสำหรับผู้สนใจได้เข้าชมงานและร่วมกิจกรรมต่างๆ ตลอด 4 วันของการจัดงานแสดงอาหารและเครื่องดื่ม TRAFS 2025 งานแสดงเทคโนโลยี เครื่องมือ สินค้า และบริการสำหรับธุรกิจค้าปลีก ASEAN RETAIL 2025 และงานแสดงสินค้าเพื่อธุรกิจบริการ Pub and Bar Asia 2025 ระหว่างวันที่ 24 – 27 กรกฎาคม 2568 ณ ไบเทค ฮอลล์ 98 – 99 บนพื้นที่รวมกว่า 14,000 ตร.ม. ตั้งแต่เวลา 10.00-19.00 น. งานนี้เข้าชมฟรีไม่มีค่าใช่จ่าย มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยช่วงกลางปีแบบนี้ไปด้วยกัน

ADSX 2025 ผนึก ผปก.นานาชาติ เชื่อมโลกการค้าบนแพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ADSX2025 รวมผู้เล่นระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซจาก 15 ปท. กว่า 200 บ.

คึกคัก! ครั้งแรกในไทย ADSX 2025 ผนึกกำลังผู้ประกอบการนานาชาติ เชื่อมโลกการค้า บนแพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก Asia DigiCommerce Services Expo 2025 (ADSX2025) เปิดฉากอย่างเป็นทางการ นับเป็นเวทีระดับนานาชาติ ครั้งแรกในไทย! รวมผู้เล่นในระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซจาก 15 ประเทศ กว่า 200 บริษัท ร่วมแสดงศักยภาพด้านการค้า  โลจิสติกส์ ดิจิทัล และบริการข้ามพรมแดน  ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

วันที่ 23 มิถุนายน 2568 นางสาวอาบี ลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิเอ็กซ์ เอ็กซโป จำกัด ผู้บริหารการจัดงาน “Asia DigiCommerce Services Expo 2025 ” กล่าวว่า เพื่อเป็นระบบนิเวศแห่งนวัตกรรมที่เชื่อมโยงผู้เล่นสำคัญทั่วภูมิภาคเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์ม อีคอมเมิร์ซ ดิจิทัลเพย์เมนต์ โลจิสติกส์ หรือบริการ AI เพื่อโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ และสร้างแรงบันดาลใจที่จะผลักดันภูมิภาคเอเชีย ให้กลายเป็นผู้นำในเศรษฐกิจดิจิทัล ทั้งนี้ จากมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในเอเชียคาดว่าจะเติบโตกว่า 6.3 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2030 และ ตลาดไทยเองเติบโตเฉลี่ยปีละ 15-20% โดยมี SME กว่า 3 ล้านราย เข้าสู่โลกดิจิทัล งานนี้นับเป็นโอกาสแก่ผู้ประกอบการไทย เชื่อมยังโลกการค้า บนแพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก พร้อม ชูแนวคิด “Connected, Efficient, and Future-Ready” ในการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าแห่งอนาคต
ทีเส็บหนุนเต็มกำลัง ยกระดับไทยสู่เวทีแสดงศักยภาพด้านไมซ์และอีคอมเมิร์ซ

คุณสราญโรจน์ สุทัศน์ชูโต รองผู้อำนวยการและรักษาการผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ เผยงานนี้ตอกย้ำบทบาทของประเทศไทย ในฐานะศูนย์กลางอีคอมเมิร์ซและนวัตกรรมระดับโลก การจัดงาน ADSX 2025 เป็นอีกหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนถึงศักยภาพของไทย ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทรัพยากรบุคคล และนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน ทั้งนี้ การรวมตัวของผู้ประกอบการจากทั่วโลกในการจัดแสดงสินค้านี้ จะช่วยสร้างมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) และส่งเสริมเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

DIPROM เร่งขับเคลื่อนนโยบายอุตสาหกรรม 5.0 ผ่านงานแสดงดิจิทัลระดับนานาชาติ

นายดุสิต อนันตรักษ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า งาน ADSX 2025 ถือเป็นเวทีสำคัญที่แสดงถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการผลักดันผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่ม SME ให้สามารถปรับตัวและแข่งขันได้ในยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมมุ่งสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของภาคการผลิตไทยสู่ “SME ดิจิทัล” ผ่านการยกระดับเทคโนโลยี เช่น AI, IoT, Automation และการใช้แพลตฟอร์ม E-commerce ตลอดจนการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล (Upskill & Reskill) และการเชื่อมโยงธุรกิจกับตลาดต่างประเทศผ่านเครือข่ายพันธมิตร พร้อมเน้นว่าแนวทางดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนประเทศสู่ “อุตสาหกรรม 5.0” ที่ผสมผสานเทคโนโลยีกับศักยภาพของมนุษย์ โดยงานนี้ไม่เพียงเป็นพื้นที่แสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยี แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้จับคู่ธุรกิจ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และสร้างความร่วมมือกับผู้เล่นระดับสากลในระบบนิเวศดิจิทัลอย่างแท้จริง

จับตา! ไทยสู่ศูนย์กลาง “การค้าไร้พรมแดน” แห่งอาเซียน

งาน Asia DigiCommerce Services Expo 2025 ครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นพื้นที่แห่งโอกาสของผู้ประกอบการไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีสำคัญในการยกระดับประเทศไทยสู่การเป็น “ศูนย์กลางการค้าไร้พรมแดน” (Borderless Trade Hub) ด้วยจุดแข็งด้านโลจิสติกส์ เทคโนโลยี และนโยบายส่งเสริมที่เอื้อต่อการเติบโตในเศรษฐกิจยุคดิจิทัล ซึ่งภายในงาน มีการจัดแสดงนวัตกรรมนานาชาติ จากผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซ โลจิสติกส์ และเทคโนโลยี อาทิ

• AirMate: ผู้บุกเบิกโซลูชันอากาศระดับโลก เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะจากเยอรมัน พร้อมการรับรองระดับโลก

• Asia Global: โลจิสติกส์ห่วงโซ่ความเย็น ลดการสูญเสียระหว่างขนส่งได้ถึง 35% ด้วยแพลตฟอร์มดิจิทัลแบบ 4-in-1 รวมบริการโลจิสติกส์ การชำระเงิน และการจัดการเข้าด้วยกันอย่างครบวงจร    

• Easttop: ระบบโลจิสติกส์ข้ามภูมิภาค สามารถเคลียร์สินค้าภายใน 48 ชั่วโมง ลดสต็อกได้ถึง 30%

• Shenzhen Port: ท่าเรือระดับโลก ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมสีเขียว การให้บริการ LNG bunkeringและโลจิสติกส์เทคโนโลยีขั้นสูง

• Yuehai Global: ผู้นำนวัตกรรมห่วงโซ่อุปทานระดับ Triple-Crown กลไกการค้าสำหรับอนาคต ใช้ AI คาดการณ์ล่วงหน้า 12 สัปดาห์ ปรับเครือข่ายภายใน 72 ชั่วโมง ลดต้นทุนได้ถึง 30%

• หน่วยงานภาครัฐและเอกชน อาทิ DIPROM, MARTECH, TITA, TCMA ต่างร่วมแสดงนวัตกรรมและองค์ความรู้ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง Asia DigiCommerce Services Expo 2025 ยังจัดสัมมนาเจาะลึก โดยมีหัวข้อครอบคลุมตั้งแต่กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ โลจิสติกส์อัจฉริยะ จนถึงเทคโนโลยีฟินเทคและ AI ที่มีผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่

Shopee ผนึก ITA ปลุกพลังความสำเร็จให้ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซ ภายใต้แนวคิด “Success in Motion”

สำนักงานพาณิชย์อิตาเลียน ประจำประเทศไทย และ สถานเอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทยร่วมกับ ช้อปปี้ (Shopee) ผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวันจัดกิจกรรม “Shopee x ITA Seller Conference ปีที่ 2” หลังจากประสบความสำเร็จจากแคมเปญ “Best of Italy – ยกอิตาลีมาให้ช้อป” ในปี 2566 นำเสนอสินค้าหลากหลายประเภทจากประเทศอิตาลีมาให้ผู้บริโภคเลือกช้อป พร้อมโปรโมชั่นและส่วนลดพิเศษ โดยไฮไลท์ที่สำคัญของกิจกรรมทุกปีคือการแบ่งปันองค์ความรู้ กลยุทธ์การตลาด และแนวคิดการปรับตัวในยุคอีคอมเมิร์ซ จากกูรู ผู้บริหาร และเจ้าของธุรกิจชั้นนำที่ประสบความสำเร็จบนแพลตฟอร์มของช้อปปี้ โดยในปีนี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่กว่าเดิมภายใต้แนวคิด “Success in Motion-ก้าวทันความเปลี่ยนแปลง สู่ความสำเร็จ” เพื่อส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการในประเทศไทยได้เปิดโอกาสใหม่ทางธุรกิจบนโลกอีคอมเมิร์ซร่วมกับช้อปปี้

คุณเปาลา กุยด้า ข้าหลวงพาณิชย์ประจำสำนักพาณิชย์อิตาเลียนประจำประเทศไทย กล่าวว่า “กิจกรรม “Shopee x ITA Seller Conference ปีที่ 2” นี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการส่งเสริมสินค้าจากอิตาลีให้เข้าถึงผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น ผ่านการแบ่งปันเครื่องมือ กลยุทธ์ และข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในการต่อยอดธุรกิจ เพิ่มประสิทธิภาพในการขาย ด้วยการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยและโอกาสทางธุรกิจที่ช้อปปี้มอบให้ โดยหวังว่ากิจกรรมนี้จะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันแบรนด์อิตาลีให้ประสบความสำเร็จในตลาดไทย พร้อมทำหน้าที่เป็นเสมือนทูตในการถ่ายทอดคุณค่าและคุณภาพของสินค้าอิตาลีสู่ผู้บริโภคในประเทศไทยอย่างยั่งยืน”

คุณธัญญธร เหล่าวัชระ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ช้อปปี้ ประเทศไทย กล่าวว่า “ ช้อปปี้ตระหนักถึงบทบาทสำคัญของ SME และผู้ประกอบการรายย่อยในเศรษฐกิจดิจิทัลไทย จึงมุ่งสร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนผู้ขายอย่างครบวงจร ทั้งด้านเทคโนโลยี เครื่องมือการตลาด และโอกาสเข้าถึงผู้บริโภค ผ่านกิจกรรมและแคมเปญต่าง ๆ โดยเชื่อว่าความสำเร็จของแพลตฟอร์มจะเกิดขึ้นได้จากการเติบโตอย่างยั่งยืนของผู้ใช้งานทุกกลุ่ม ซึ่งความร่วมมือระหว่างช้อปปี้กับสำนักงานพาณิชย์อิตาเลียนประจำประเทศไทย (ITA) และสถานเอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทยในแคมเปญ “Best of Italy - ยกอิตาลีมาให้ช้อป” ในครั้งนี้ถือเป็นปีที่ 2 หลังประสบความสำเร็จในปี 2566 ทั้งในแง่ของการกระตุ้นยอดขาย เสริมสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ และการเชื่อมโยงผู้ขายกับผู้ซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปีนี้ได้รับการตอบรับจากแบรนด์ชั้นนำกว่า 70 แบรนด์ ภายใต้แคมเปญนี้ยังมีการการจัดกิจกรรม “Shopee x ITA Seller Conference ปีที่ 2” ภายใต้แนวคิด “Success in Motion – ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงสู่ความสำเร็จ” ซึ่งมุ่งเป็นแรงสนับสนุนสำคัญให้แบรนด์และผู้ขายปรับตัวทันต่อโลกอีคอมเมิร์ซ และเติบโตอย่างมั่นคง”

กิจกรรม “Shopee x ITA Seller Conference ปีที่ 2” นี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรชื่อดังร่วมแบ่งปันองค์ความรู้ กลยุทธ์ทางการตลาด และแนวคิดการปรับตัวในยุคอีคอมเมิร์ซ ผ่าน 3 ช่วงสำคัญ ได้แก่:

ช่วงที่ 1: Business Insight ร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดด้านธุรกิจ เศรษฐกิจ และแรงบันดาลใจจากผู้บริหารและเจ้าของแบรนด์ระดับแนวหน้าที่ประสบความสำเร็จ
·ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน,พิธีกรและผู้ดำเนินรายการชื่อดัง กล่าวถึงวิวัฒนาการการค้าแต่ละยุคสมัยไว้ว่า “มนุษย์หลงใหลสิ่งของจากแดนไกลมาตลอด แต่เดิมมีเพียงชนชั้นสูงที่เข้าถึงได้ ด้วยข้อจำกัดด้านเวลาและการเดินทาง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โลกเข้าสู่ยุคการค้าระหว่างประเทศอย่างแท้จริง จนมาวันนี้ทุกคนมี ‘ห้างสรรพสินค้าทั่วโลก’ ในมือผ่านแพลตฟอร์ม อีคอมเมิร์ซอย่างช้อปปี้ซึ่งโดยส่วนตัว มีการสั่งสินค้าจากอิตาลีเป็นประจำโดยเฉพาะในช้อปปี้ เสน่ห์ของสินค้าจากอิตาลีอยู่ที่ “Craftmanship” งานฝีมือที่ไม่อาจลอกเลียนแบบได้ สินค้าเหล่านี้เปรียบเสมือนทูตที่ช่วยเผยแพร่วัฒนธรรม และผลักดันเศรษฐกิจของอิตาลีให้อยู่ในกลุ่มประเทศชั้นนำของโลก”

·คุณโอปอล์ ปาณิสรา อารยะสกุล, นักแสดง โปรดิวเซอร์ และผู้ก่อตั้งแบรนด์ “Oab’s” เล่าถึงการปั้นแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จบนแพลตฟอร์มช้อปปี้ ว่า “จากจุดเริ่มต้นที่คนจดจำ “Oab’s” ในฐานะแบรนด์ของดารา ในวันนี้เราเติบโตด้วยคุณภาพ โดยปัจจัยสำคัญคือการสร้างความเชื่อมั่นแก่ลูกค้า ผ่านเครื่องมือใหม่ๆ ที่ช้อปปี้ช่วยสนับสนุน โดยไม่พลาดทดลองทุกแคมเปญที่แพลตฟอร์มแนะนำ โดยเฉพาะ Shopee Live ที่เป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างยอดขายได้จริง และทำให้เราได้โต้ตอบฟังเสียงผู้บริโภคได้โดยตรงทุกวัน ปรับคอนเทนต์และเวลาตามพฤติกรรมผู้บริโภค เราจึงสามารถใช้ทุกความคิดเห็นมาพัฒนาสินค้าที่ปลอดภัย ซื่อสัตย์ และตอบโจทย์จริง ๆ ให้กับลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

·คุณจิม ปิยะภาพ เลิศธนไพบูลย์, กรรมการผู้จัดการแบรนด์เครื่องสำอางค์ไทยชื่อดัง “Her Hyness”  ได้บอกเล่าถึงเทรนด์ของธุรกิจ อีคอมเมิร์ซยุคใหม่ว่า “ในยุคที่การขายออนไลน์ดุเดือด ความน่าเชื่อถือและความจริงใจคือหัวใจสำคัญของแบรนด์ รีวิวจากผู้ใช้จริง (User-Generated Content) อย่างตรงไปตรงมา จะช่วยสร้างความไว้วางใจอย่างแท้จริง โดยเฉพาะรูปแบบวิดีโอสั้นที่กำลังเป็นเทรนด์ใหม่ และเพิ่งเปิดตัวในช้อปปี้ เป็นอีกเครื่องมือที่น่าสนใจที่แบรนด์ควรเรียนรู้และใช้ทุกเครื่องมือให้เป็น พร้อมสร้างผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างอย่างมีคุณภาพ เพื่อให้ลูกค้าเชื่อมั่นและบอกต่อด้วยความภาคภูมิใจ”

ช่วงที่ 2: เปิดมุมมองอินฟลูเอนเซอร์ชั้นนำที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจผ่านช้อปปี้
· คุณกิ๊ฟซ่า ปิยา พงศ์กุลภา นักร้อง นักแสดง เผยเส้นทางความสำเร็จจาก “Shopee Affiliate Marketing Solutions” (AMS) ว่า “AMS ของช้อปปี้เป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้ เพียงแค่สร้างลิ้งค์ แล้วแชร์ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น Shopee VDO ลิ้งค์ใน IG Story หรือแม้แต่โพสใน Facbook ก็ทำได้ง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องมีชื่อเสียงหรือเป็นดารา เพราะผู้ติดตามหรือแฟนคลับแม้จะมีความชอบในตัวบุคคลหรือคอนเทนต์ที่นำเสนอ แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าแฟนคลับจะซื้อของ ฉะนั้นต้องสร้างฐานลูกค้าใหม่ด้วยตัวตนใหม่ในฐานะแม่ค้า จากจุดเริ่มต้นที่ยอดขายเป็นศูนย์ สู่การไลฟ์ขายสินค้าทุกประเภทด้วยความสม่ำเสมอ มีแผนคอนเทนต์ชัดเจน และเทคนิคปิดการขายแบบมืออาชีพ ทำให้สร้างยอดขายหลักล้านโดยไม่ต้องมีสต๊อกสินค้า เคล็ดลับสำคัญคือ ต้องใช้จริง รีวิวจริง และสื่อสารด้วยความรู้สึกจริง จึงถ่ายทอดออกมาให้ลูกค้าเชื่อในสินค้าและซื้อสินค้าได้”

· คุณไอซ (ไอซพาดี้) ภาวิดา ชิตเดชะ, อินฟลูเอนเซอร์และผู้ก่อตั้งแบรนด์ “Happy Sunday” ได้บอกเล่าเทคนิคการสร้างคอนเทนต์เพื่อสนับสนุนการขายว่า “การขายของผ่านออนไลน์ไม่ใช่แค่การพูดให้เก่ง แต่ต้องรู้จริง ใช้จริง และเล่าให้ฟังอย่างจริงใจจุดเริ่มต้นของเราคือการทำคอนเทนต์แบบเพื่อนเล่าให้เพื่อนฟัง จนสร้างความคุ้นชินกับแบรนด์เราใช้ข้อมูลหลังบ้านจาก “Shopee Affiliate Marketing Solutions” (AMS) มาวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าเพื่อต่อยอดทุกคลิปต้องมีจุดเด่น บอก Pain Point ยิ่งมีชื่อเสียงยิ่งต้องโชว์วิธีใช้จริงให้เห็นภาพเพราะแฟนคลับที่เป็นลูกค้าคาดหวังสูง เราจึงเลือกขายแต่ของที่ดีจริงเท่านั้น”

ช่วงที่ 3 : เปิดมุมมองเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ Shopee University
· นำเสนอฟีเจอร์และเครื่องมือทางธุรกิจบนแพลตฟอร์มช้อปปี้ที่จะช่วยเร่งการเติบโตของผู้ขาย พร้อมนำเสนอโปรโมชั่นสำหรับร้านค้าที่ต้องการเข้าร่วมแคมเปญ “Best of Italy ยกอิตาลีมาให้ ช้อป” โดยร้านค้าที่เข้าร่วมแคมเปญจะได้รับสิทธิประโยชน์แบบครบวงจร อาทิ โค้ดส่วนลด Shopee Voucher ตลอดทั้งปี รวมถึงแคมเปญใหญ่ต่างๆ การโปรโมทผ่านหน้าแรก Shopee, Microsite แคมเปญ Shopee Live และ Shopee Video  

สำหรับผู้บริโภคสามารถช้อปสินค้าคุณภาพจากประเทศอิตาลีในแคมเปญ “Best of Italy ยกอิตาลีมาให้ ช้อป”ได้แล้ววันนี้จนถึง15 มกราคม2569 ผ่านช่องทาง https://shopee.co.th/m/psh-italian-trade-agency 

 

ยูโอบี ร่วมมือกับลาซาด้า จัดสัมมนา “Future Trends in E-commerce” ชูเทรนด์อีคอมเมิร์ซและ AI หนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ร่วมกับลาซาด้า จัดสัมมนา “Future Trends in E-commerce: Driving Growth with AI on E-commerce” รวมพลังผู้ประกอบการ ผู้ให้บริการดิจิทัลโซลูชันสำหรับธุรกิจ และผู้เชี่ยวชาญด้านอีคอมเมิร์ซ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับแนวโน้มตลาดอีคอมเมิร์ซและบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่อนาคต

นางสยุมรัตน์ มาระเนตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “เราตระหนักดีว่าเทคโนโลยี โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางด้าน AI จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจอีคอมเมิร์ซในปัจจุบัน การร่วมมือกับลาซาด้าในครั้งนี้จึงเป็นการเชื่อมต่อนวัตกรรมด้านอีคอมเมิร์ซกับโซลูชันทางการเงินของธนาคาร เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เติบโตและแข่งขันได้อย่างทันท่วงที”
 
ไฮไลต์สำคัญของงานคือ การแบ่งปันความรู้ด้านกลยุทธ์การใช้ AI ในการทำตลาดดิจิทัล เจาะลึกเทรนด์การค้าบนโลกออนไลน์ และเทคนิคการเพิ่มยอดขายบนแพลตฟอร์มลาซาด้า โดยในงานนี้ ทางลาซาด้า ได้แนะนำฟีเจอร์ใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ขายเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการขาย ปรับปรุงการให้บริการลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล และสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ผู้เข้าร่วมงานยังได้รับความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินและเครื่องมือดิจิทัลที่ช่วยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของเอสเอ็มอี อย่างมีประสิทธิภาพ จากพันธมิตรของ UOB BizSmart บริการดิจิทัลโซลูชันที่ช่วยเอสเอ็มอีบริหารจัดการธุรกิจ ได้แก่ PEAK โซลูชันระบบจัดการบัญชี และ ZORT ระบบจัดการคำสั่งซื้อและสต็อกสินค้า
 
นอกจากนี้ ยังมีการแชร์เคล็ดลับความสำเร็จจากแบรนด์ไทยชั้นนำอย่าง AIMER แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่น และ INGU Skin แบรนด์สกินแคร์ที่โดดเด่นด้วยสารสกัดจากธรรมชาติคุณภาพสูง ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้ประกอบการในการสร้างธุรกิจให้เติบโตในโลกออนไลน์
 
งานสัมมนาครั้งนี้ตอกย้ำพันธกิจของธนาคารยูโอบี และลาซาด้า ในการส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยให้มีความรู้ เครื่องมือ และโซลูชันทางการเงินที่จำเป็นต่อการเติบโตบนช่องทางอีคอมเมิร์ซ และสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาว

 

“Asia DigiCommerce Services Expo 2025” ปักหมุด ดันไทยสู่ศูนย์กลางอีคอมเมิร์ซเอเชีย  หนุน SME สู่การค้าไร้พรมแดน

บ.ยูนิเอ็กซ์ เอ็กซโป เตรียมจัดงาน “Asia DigiCommerce Services Expo 2025” รวมระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซครบวงจรทั่วเอเชีย ตั้งเป้าหมายเป็นศูนย์กลางเชื่อมผู้ซื้อและผู้ขาย สร้างเครือข่ายและพันธมิตรธุรกิจระดับภูมิภาค พร้อมเปิดเวทีให้ SME ไทยต่อยอดสู่ตลาดโลก ระหว่างวันที่ 11–13 มิถุนายน 2568 ณ ฮอลล์ 8 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 

วันที่ 2 มิถุนายน 2568 นางสาวอาบี ลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิเอ็กซ์ เอ็กซโป จำกัด เผยความพร้อมการจัดงาน Asia DigiCommerce Services Expo 2025 เมีเป้าหมายสำคัญคือการเปิดประตูเชื่อมโยงตลาดเอเชียสู่ตลาดโลก ด้วยแนวคิดให้เวทีนี้เป็นพื้นที่ของการเปลี่ยนผ่านไปสู่การค้าไร้พรมแดน (Borderless Digital Trade) ที่แท้จริง รวมผู้เล่นสำคัญในระบบนิเวศดิจิทัลไว้ครบครัน ทั้งแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ผู้ให้บริการเทคโนโลยี  โลจิสติกส์ ฟินเทค และผู้ประกอบการ SME ที่มองเห็นศักยภาพของการเติบโตในเศรษฐกิจดิจิทัล

ทั้งนี้ ภาพรวมตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซรวม ในปี 2024 ประมาณ 2.3 ล้านล้านบาท เติบโตขึ้น 13.7% จากปี 2023 โดยสัดส่วนของอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน คิดเป็น 30% ของตลาดอีคอมเมิร์ซทั้งหมดในประเทศไทย/ มูลค่าการค้าชายแดนและข้ามพรมแดน ในปี 2024 อยู่ที่ 1.8 ล้านล้านบาท เติบโตขึ้น 6.1% จากปีก่อนหน้า โดยการค้ากับจีนมีมูลค่าสูงสุดที่ 479.87 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.7% จากปีก่อนหน้า สูงสุดเป็นประวัติการณ์

นายดุสิต อนันตรักษ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “เสริมศักยภาพ SME ไทย สู่การเติบโตทางดิจิทัลระดับโลก” โดยเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของ SME ไทยกว่า 3 ล้านราย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 99.5% ของธุรกิจในประเทศ ที่ต้องเร่งปรับตัวให้ทันกับโลกดิจิทัล “เราไม่ได้พูดถึงแค่การปรับตัว แต่พูดถึงการ ‘เติบโต’ ด้วยแนวคิดใหม่ กลยุทธ์ใหม่ และการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ทั้งด้านเทคโนโลยี บุคลากร และการสร้างความเชื่อมโยงกับตลาดโลก โดยเฉพาะผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลและระบบอีคอมเมิร์ซ

ทั้งนี้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมมุ่งส่งเสริม SME อย่างเป็นระบบ ผ่าน 3 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ 1) การยกระดับเทคโนโลยีดิจิทัลในธุรกิจ เช่น AI, Automation, E-Commerce 2) การพัฒนาทักษะบุคลากร ทั้ง Upskill และ Reskill  3) การเชื่อมโยงเครือข่ายการค้าระหว่างประเทศ ผ่านกิจกรรม Business Matching และแพลตฟอร์มดิจิทัล

สำหรับในช่วงท้ายงานกับเสวนาในหัวข้อ “การค้าดิจิทัลของเอเชีย: พรมแดนใหม่” โดยกูรูจากองค์กรชั้นนำ ร่วมแชร์วิสัยทัศน์ อาทิ คุณเจริญ หิรัญตระกูล Senior Manager Business Development & Partnership, SEA PINGPONG PAYMENT, คุณณัฐคม รุ่งรัศมี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โรเจอร์ กรุงเทพ จำกัด, คุณณัฐภพ มะลิ ผู้อำนวยการ ฝ่ายปฏิบัติการขนส่ง บริษัท นิ่มเอ็กซ์เพรส จำกัด, กลุ่มบริษัทนิ่มซี่เส็ง และ คุณธีรพล อำไพ ผู้เชี่ยวชาญด้าน MarTech และ AI, สมาคมเทคโนโลยีเพื่อการตลาด และ อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย   

งาน Asia DigiCommerce Services Expo 2025 ถือเป็นเวทีแรกในไทยที่รวมระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซแบบครบวงจรจากทั่วเอเชีย  โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นศูนย์กลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ในระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซ อาทิ แพลตฟอร์มการขายออนไลน์ เจ้าของร้านค้า ผู้สนับสนุนด้านเทคโนโลยี โซลูชันการชำระเงินข้ามพรมแดน ผู้ให้บริการด้านห่วงโซ่อุปทานและโลจิสติกส์ ผู้จำหน่ายด้านคลังสินค้าและการจัดจำหน่าย ได้มีโอกาสมาพบปะ เพื่อเป็นการสร้างฐานเครือข่ายและพันธมิตรทางการค้าและธุรกิจระหว่างประเทศ และเปิดโอกาสให้ SME ไทย และผู้ประกอบการจากทั่วภูมิภาค ได้ต่อยอดการค้าไร้พรมแดน

ไฮไลท์ภายในงาน ประกอบด้วย 
• กิจกรรม Business Matching กับผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์และแพลตฟอร์มจากจีนและทั่วเอเชีย
• สัมมนาเชิงลึกกว่า 10 หัวข้อ ใน 3 วัน ร่วมถกทิศทางเทคโนโลยี โลจิสติกส์ และกลยุทธ์อีคอมเมิร์ซ
• นวัตกรรมจากพันธมิตรชั้นนำ อาทิ AirMate: โซลูชันอากาศระดับโลกจากเยอรมนี, Asia Global: ระบบ Cold Chain ข้ามพรมแดนแบบดิจิทัล, Easttop: เครือข่ายโลจิสติกส์แบบลดต้นทุนได้ถึง 30% และ Shenzhen Port: ท่าเรือยุทธศาสตร์ของโลกจากจีน เป็นต้น  

ลาซาด้า จับมือ YSL Beauty เปิดแฟลกชิปสโตร์แห่งแรกบนอีคอมเมิร์ซ LazMall Luxury สัมผัสประสบการณ์ความงามระดับไฮเอนด์ได้ง่ายๆแค่ปลายนิ้ว

ลาซาด้า จับมือ YSL Beauty เปิดแฟลกชิปสโตร์แห่งแรกบนอีคอมเมิร์ซกับ LazMall Luxury สัมผัสประสบการณ์ความงามระดับไฮเอนด์ได้ง่ายๆ แค่ปลายนิ้ว

ลาซาด้า ประเทศไทย จับมือ YSL Beauty แบรนด์เครื่องสำอางระดับไฮเอนด์ เปิดตัวแฟลกชิปสโตร์แห่งแรกบนอีคอมเมิร์ซแบบเอ็กคลูซีฟกับ LazMall Luxury นำเสนอไลน์อัพผลิตภัณฑ์ ทั้งน้ำหอม เมคอัพ และสกินแคร์ พร้อมมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งสุดพิเศษสะท้อนเอกลักษณ์ของแบรนด์ไฮเอนด์ระดับโลกอย่างเต็มรูปแบบ เปิดร้านออนไลน์อย่างเป็นทางการที่ลาซาด้า พร้อมช้อปข้อเสนอสุดพิเศษฉลองเปิดร้าน ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม นี้ 2 ทุ่มเป็นต้นไป 

เหล่านักช้อปสายบิวตี้เตรียมสัมผัสกับผลิตภัณฑ์ความงามที่ถ่ายทอดเอกลักษณ์อันเปี่ยมมนต์เสน่ห์และสไตล์ที่โดดเด่นตามแบบฉบับของ YSL Beauty โดยมีไฮไลท์อย่างน้ำหอมระดับไอคอนิกจากตระกูล LIBRE, Y และ MYSLF     รวมไปถึงลิปออยล์กลอสรุ่นใหม่ล่าสุดจากคอลเลกชัน YSL LOVESHINE ที่มอบสัมผัสแวววาว ช่วยให้ริมฝีปากดูอวบอิ่มและเปล่งประกายอย่างเป็นธรรมชาติ หรืองานผิวชื่อดังอย่าง TOUCHE ÉCLAT GLOW PACT คุชชันเนื้อบางเบามอบผิวโกลว์อย่างเป็นธรรมชาติ และ LE CUSHION ENCRE DE PEAU คุชชั่นสูตรแมตต์ ในตลับหนังดีไซน์หรู ตลอดจนสกินแคร์สำหรับทุกความต้องการอย่างครบครัน

ความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของ YSL Beauty ในศักยภาพของ LazMall Luxury ในฐานะช่องทางอีคอมเมิร์ซชั้นนำที่ผสานประสบการณ์แบรนด์ระดับพรีเมียมเข้ากับนวัตกรรม เพื่อเข้าถึงนักช้อปในยุคดิจิทัล โดยลาซาด้ามุ่งยกระดับประสบการณ์การช้อประดับพรีเมียมกับสินค้าแท้จากแบรนด์ระดับโลก เพื่อมอบคำนิยามใหม่สำหรับสินค้าลักชูรี ที่มาพร้อมความหรูหราบวกกับความสะดวกสบายไร้รอยต่อ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่อย่างลงตัว 

สัมผัสประสบการณ์ความงามเหนือระดับเต็มเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์กับแฟลกชิปสโตร์ YSL Beauty เฉพาะที่ลาซาด้า พร้อมช้อปข้อเสนอสุดพิเศษฉลองเปิดร้าน YSL BEAUTY SUPER GRAND OPENING รับคูปองส่วนลดสูงสุด 10% และของขวัญมูลค่าสูงสุด 5,500 บาท พร้อมรับกระเป๋า YSL ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2568 ตั้งแต่ 20.00 น. ถึง 26 พฤษภาคม 2568 ได้ที่ https://www.lazada.co.th/shop/ysl-beauty

#YSLBEAUTYTHxLAZADA #YSLBEAUTYTHxLazMall #YSLBeautySuperGrandOpening

 

Fundao แบรนด์กระเป๋าไทยของผู้หญิงยุคใหม่ กับยอดขายระดับท็อปในอีคอมเมิร์ซ

ถอดรหัสความสำเร็จ Fundao แบรนด์กระเป๋าไทยของผู้หญิงยุคใหม่กับยอดขายระดับท็อปในอีคอมเมิร์ซ

ในโลกที่เทรนด์แฟชันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การสร้างสรรค์สิ่งที่ไร้กาลเวลาเป็นเรื่องที่ท้าทาย สำหรับ หยิน – ฝันดาว แบ้สกุล ผู้อยู่เบื้องหลังแบรนด์ Fundao ทุกอย่างเริ่มต้นจากความฝันในการสร้างสรรค์กระเป๋าที่ไม่ใช่แค่ไอเทมในชีวิตประจำวัน แต่ยังสะท้อนตัวตนผ่านงานออกแบบที่ซ่อนอยู่ ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี Fundao ได้ก้าวจากการเป็นแบรนด์เฉพาะกลุ่มสู่การเป็นที่ยอมรับบนเวทีแฟชันระดับสากล และยังเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ไทยที่ติดอันดับขายดีบน ลาซาด้า อย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่สามารถผลักดันแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก ไปพร้อมกับการใช้ศักยภาพของอีคอมเมิร์ซมาต่อยอดความสำเร็จให้ธุรกิจได้อย่างมั่นคง

ตอบโจทย์ผู้หญิงยุคใหม่ที่รักแฟชัน

กระเป๋าแบรนด์ Fundao ไม่ได้มีเพียงดีไซน์ที่โดดเด่น แต่เน้นฟังก์ชั่นการใช้งานที่เข้าถึงอินไซต์ของผู้หญิงรุ่นใหม่ เห็นได้จากคอลเล็กชันขายดีอย่างรุ่น Ava ที่เป็น Statement Bag ที่เรียบหรู สง่างาม แมทช์ได้ทุกลุค แต่ก็จุของได้เยอะ รับน้ำหนักได้มาก ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้หญิงในปัจจุบันที่มองหาความคล่องตัวในทุกสถานการณ์ หมดปัญหาการต้องพกกระเป๋าหลายใบ จนส่งให้ Ava ขึ้นแท่นไอเทมฮิตในกลุ่มผู้หญิงวัยทำงาน

กระเป๋าแบรนด์ Fundao คอลเลคชั่น ‘Ava’

ช่องทางการขายหลักที่ Fundao ใช้คือช่องทางออนไลน์ โดยเริ่มต้นจากเว็บไซต์ของแบรนด์ และเมื่อเริ่มมองหาพาร์ทเนอร์อีคอมเมิร์ซเพื่อต่อยอดธุรกิจ จึงให้ความสำคัญกับการเลือกแพลตฟอร์มที่มีฐานลูกค้าตรงกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ คือ คนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบแฟชัน เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากการเข้าถึงฐานผู้ใช้จำนวนมากทั่วประเทศ และกิจกรรมการตลาดตลอดทั้งปี แต่ยังสามารถรักษา Positioning การเป็นแบรนด์ Everyday Luxury ได้ โดยหยินและแบรนด์ Fundao เริ่มร่วมงานกับลาซาด้ามาตั้งแต่ปี 2022 และถือเป็นแบรนด์ไทยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ใส่ใจในรายละเอียดและคุณภาพ

หยิน – ฝันดาว หลงใหลเรื่องราวของแฟชัน โดยเฉพาะกระเป๋าและเครื่องหนังมาตั้งแต่ยังเด็ก จึงเริ่มต้นเส้นทางการเป็นดีไซเนอร์ด้วยการไปเรียนเจาะลึกการผลิตกระเป๋าหนังที่มิลาน ประเทศอิตาลี ซึ่งทำให้หยินเข้าใจถึงมาตรฐานของเครื่องหนังในระดับสากล จนสามารถสร้างสรรค์เอกลักษณ์ของ Fundao ที่มัดใจหลาย ๆ คน ทั้งคุณภาพการตัดเย็บที่ประณีตระดับสากล และวัสดุคุณภาพสูง ผสมผสานกับนวัตกรรมการผลิตฝีมือคนไทย โดยหยินเชื่อมั่นในการสร้างสรรค์สินค้าที่ดีที่สุดเพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าและพร้อมบอกต่อ

เช่นเดียวกับการทำการตลาดออนไลน์ Fundao ให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าที่ซื้อสินค้าของแบรนด์ โดยการมีร้านบน LazMall บนลาซาด้า ช่วยให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าเป็นสินค้าแบรนด์แท้ นอกจากนี้ ฟีเจอร์ในการคืนสินค้าที่สะดวกและยืดหยุ่น เช่น การคืนสินค้าได้ภายใน 30 วันสำหรับ LazMall และสามารถให้เข้ามารับสินค้าได้เลยถึงที่บ้านโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ยังตอบโจทย์ความมุ่งมั่นของหยินที่ต้องการจะยกระดับการบริการลูกค้าและประสิทธิภาพในการดำเนินงานของธุรกิจไปด้วยพร้อมๆกัน

เดินหน้าต่อยอดแบรนด์

แม้ Fundao จะมีกลุ่มลูกค้าที่เหนียวแน่น แต่หยินยังคงมองหาโอกาสในการสร้างการเติบโตให้กับแบรนด์อย่างต่อเนื่อง โดยใช้เครื่องมือการตลาดบนอีคอมเมิร์ซเพื่อนำเสนอสินค้าให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่กำลังมองหาและสนใจสินค้าประเภทนั้น ๆ และใช้ประโยชน์ข้อมูลวิเคราะห์ยอดขายเชิงลึก เช่น รุ่นสินค้าที่ได้รับความนิยม เพื่อช่วยวางแผนการผลิต เลือกซื้อวัสดุ จัดการสต็อค ให้เพียงพอต่อความต้องการของจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น

 

กระเป๋าแบรนด์ Fundao คอลเลคชั่น ‘Lupo’

นอกจากนี้ ทีมงานของ Fundao ยังทำงานอย่างใกล้ชิดกับลาซาด้าในการวางกลยุทธ์โฆษณาบนแพลตฟอร์ม เพิ่มการมองเห็น และการเลือกใช้คูปองต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงแคมเปญตลอดทั้งปี ทำให้เป็นอีกหนึ่งแบรนด์แฟชันไทยที่ติดอันดับสินค้าขายดีอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดในช่วงแคมเปญ 11.11 ที่ผ่านมา มียอดการสั่งซื้อและจำนวนผู้ซื้อเพิ่มสูงขึ้นกว่าช่วงวันปกติถึง 1000%

ความสำเร็จของ Fundao ทั้งในประเทศไทยและระดับโลกในวันนี้สะท้อนให้เห็นถึงการใช้แพชชั่นและความรักในสิ่งที่ทำอย่างเต็มเปี่ยม ความเข้าใจอินไซต์ของลูกค้า ผสานกับความใส่ใจในคุณภาพ และวิสัยทัศน์ด้านธุรกิจ ที่ได้หล่อหลอมให้แบรนด์ Fundao กลายเป็นที่ยอมรับและเป็นกระเป๋าในฝันของผู้หญิงหลาย ๆ คน

ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Fundao

Fundao ก่อตั้งขึ้นในปี 2019 โดย หยิน – ฝันดาว แบ้สกุล

กระเป๋าของ Fundao ในทุกคอลเล็กชันจะปรากฏเครื่องหมายไขว้ Iconic Double Cross อันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งสะท้อนถึงสโลแกนของแบรนด์ คือ “A cross between the past and future of humans and nature” สื่อถึงความสวยงามที่เรียบหรู เหนือกาลเวลา

เป้าหมายของ Fundao คือการเป็นแบรนด์กระเป๋าที่เป็นงานออกแบบฝีมือคนไทยที่ทัดเทียมระดับโลก ที่สามารถสร้างคุณค่าและแรงบันดาลใจได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด