ด่วน! พบระเบิดริมรั้วหน้าจวน “ผู้ว่าฯพังงา” รัศมีอันตราย 10 เมตร

วันที่ 26 มิถุนายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรเมืองพังงา พร้อมฝ่ายปกครองและอาสารักษาดินแดน (อส.) ได้ตรวจพบวัตถุต้องสงสัยลักษณะผิดปกติบริเวณริมรั้วด้านหน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา ซึ่งภายนอกดูคล้ายหินเทียม โดยจากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าภายในมีการวัตถุระเบิดต่อวงจรที่สามารถทำงานได้จริงและมีรัศมีอันตรายถึง 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงได้ประสานชุดเก็บกู้และตรวจสอบวัตถุระเบิด (EOD) พร้อมดำเนินการตัดวงจรวัตถุดังกล่าวได้อย่างปลอดภัย ก่อนนำส่งกองพิสูจน์หลักฐานกลางเพื่อดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดเชิงลึกต่อไป

พ.ต.อ.วีระพงศ์ รักขิโต ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองพังงา เปิดเผยว่า ข้อมูลที่ได้รับจากการสอบปากคำบุคคลต้องสงสัยทำให้ตำรวจสามารถระบุจุดวางวัตถุต้องสงสัยได้อย่างแม่นยำ พร้อมทั้งจัดกำลังตำรวจและทีม อส. ลงพื้นที่ตรวจสอบและปูพรมพื้นที่โดยรอบอย่างละเอียด และปฎิบัติการอย่างต่อเนื่องจนสามารถป้องกันเหตุร้ายได้ทันเวลา

ด้านผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา ได้สั่งการเพิ่มเติมให้มีการปูพรมตรวจความปลอดภัยในพื้นที่สาธารณะ จุดเสี่ยง สถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงสถานที่ราชการทั่วทั้งจังหวัด พร้อมกำชับให้ทุกหน่วยร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการเฝ้าระวังสถานการณ์ และจัดทีม อส. ออกตรวจลาดตระเวนในพื้นที่ชุมชนเมืองและจุดสำคัญต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

จากการดำเนินการอย่างเข้มข้นและทันท่วงทีของมอเตอร์ไซค์มาจากตำรวจภูธรเมืองพังงาและเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายในครั้งนี้ ทำให้เหตุการณ์สามารถคลี่คลายได้โดยไม่มีความเสียหายต่อชีวิตหรือทรัพย์สินของประชาชน ยืนยันชัดเจนว่า "จังหวัดพังงายังคงปลอดภัย และมีมาตรการดูแลความสงบเรียบร้อยอย่างใกล้ชิด" ประชาชนสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ และหากพบสิ่งผิดปกติสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ใกล้บ้านได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมง

“รัฐบาล”คุมเข้ม!ตรวจสารพิษตกค้างในผัก-ผลไม้ ลดความเสี่ยงอันตรายของปชช.

“รัฐบาล”เข้ม ตรวจสารพิษตกค้างในผัก-ผลไม้ ลดความเสี่ยง/อันตราย เน้นกำชับส่วนราชการทำนโยบายเพื่อสุขภาพที่ดีของ ปชช.

วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2567 เวลา 10.30 น. นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลบูรณาการความร่วมมือแก้ไขปัญหาสารพิษตกค้างจากวัตถุอันตรายทางการเกษตรในผัก และผลไม้ ตั้งแต่ต้นน้ำ (แปลงปลูก/นำเข้า) กลางน้ำ (โรงคัดบรรจุ) และปลายน้ำ (สถานที่จำหน่าย) โดยดำเนินงานภายใต้คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ ในการขับเคลื่อนเพื่อจัดการความเสี่ยงของสารพิษตกค้างในผักผลไม้ การสื่อสารเพื่อลดความเสี่ยงหรืออันตรายจากสารพิษตกค้าง รวมถึงการปรับเกณฑ์มาตรฐานสารพิษตกค้างให้ครอบคลุมชนิดผักผลไม้ และการใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตรในปัจจุบัน

นายอนุกูล กล่าวว่า จากข้อมูลการตรวจวิเคราะห์ผักผลไม้ในประเทศตั้งแต่ปี 2560 ถึง ปี 2567 รวม 2,193 ตัวอย่างผ่าน 81.35% (1,784 ตัวอย่าง) ไม่ผ่าน 18.65% (409 ตัวอย่าง) ซึ่งยังพบปัญหาสารพิษตกค้างในผักผลไม้ โดยปีงบประมาณ 2568 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย. ) ได้ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ตรวจเฝ้าระวังความปลอดภัยของผักและผลไม้สด ณ โรงคัดบรรจุทั่วประเทศ จำนวน 854 แห่ง เพื่อกำกับดูแลมาตรฐานการผลิตของโรงคัดบรรจุผักผลไม้สดตามหลักเกณฑ์ GMP และตรวจสอบการแสดงฉลากเพื่อการตามสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มา รวมทั้งเก็บตัวอย่างผักและผลไม้สด ส่งตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการมาตรฐาน  โดยมีการสื่อสารความเสี่ยงเป็นระยะ และสรุปสถานการณ์ความปลอดภัยด้านสารพิษตกค้างจากวัตถุอันตรายทางการเกษตร แจ้งต่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งกำกับดูแลแปลงปลูกในประเทศ เพื่อให้สามารถนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ

นายอนุกูล กล่าวต่อว่า กรณีที่ผลการตรวจประเมิน GMP ไม่ผ่านตามเกณฑ์ อย. และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อให้กลไกการตรวจสอบสารตกค้างจากวัตถุอันตรายทางการเกษตรมีประสิทธิภาพสอดคล้องตามที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้ อย. ยังมีมาตรการเฝ้าระวังการนำเข้าผักผลไม้อย่างเข้มงวดด้วยเช่นกัน โดยการตรวจกัก เก็บผัก ผลไม้กลุ่มเสี่ยง เช่น องุ่น สาลี่ ขึ้นฉ่าย ปวยเล้ง เป็นต้น ส่งตรวจวิเคราะห์ หากผลการตรวจไม่ผ่านจะถูกดำเนินคดี และไม่สามารถนำเข้าผัก ผลไม้นั้นได้ ทั้งนี้ ผู้จำหน่าย ตลาดค้าปลีก ควรเลือกผัก ผลไม้จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่ามาจากแหล่งใด สำหรับผู้บริโภค ควรให้ความสำคัญกับการล้างทำความสะอาดผักและผลไม้ก่อนรับประทานหรือนำมาปรุงอาหาร ซึ่งจากผลงานวิจัยพบว่าการล้างอย่างถูกวิธีด้วยน้ำธรรมดา น้ำผสมโซเดียมไบคาร์บอเนต (ผงฟู/เบคกิ้งโซดา) หรือน้ำผสมเกลือ มีประสิทธิภาพในลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ ไม่ว่าจะเป็นสารพิษชนิดดูดซึมหรือไม่ดูดซึม นอกจากนี้ ควรเลือกซื้อผักและผลไม้ตามฤดูกาล เลือกให้หลากหลาย และไม่ควรบริโภคชนิดเดียวกันซ้ำ ๆ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากสารพิษตกค้างได้

"ERGO” จับมือ กรมทางหลวง ส่งความห่วงใยช่วง 7 วัน อันตราย ดูแลปชช.กว่า 200 ราย

ERGO แบรนด์ประกันภัยชั้นนำจากเยอรมัน ส่งมอบประสบการณ์ด้านการเดินทางที่ง่ายขึ้นสำหรับคนไทย เพราะเข้าใจปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนไทย และตั้งเป้าลดปัญหาอย่างตรงจุด ด้วยตระหนักถึงปัญหาเร่งด่วนด้านความปลอดภัยบนท้องถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเทศกาลสงกรานต์ หรือที่เรียกว่า "7 วันอันตราย"

จากการวิจัยและการวิเคราะห์ที่ครอบคลุม ERGO เล็งเห็นถึงความจำเป็นของการลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุในช่วงเวลาสำคัญ ที่มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากทุกปี ERGO ในฐานะเป็นแบรนด์ประกันภัยที่ต้องการเห็นชีวิตของคนไทยง่ายขึ้น จึงวางกลยุทธ์เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด ด้วยการขยายความปลอดภัยให้ทุกคนเข้าถึงได้มากขึ้น ไม่เพียงแต่ลูกค้าของ ERGO แต่ยังรวมถึงนักเดินทางทุกคนที่ใช้รถบนท้องถนนด้วย

ทั้งนี้ด้วยความร่วมมือกับภาครัฐ ขยายผลเชิงบวก ตั้งเป้าลดจำนวนอุบัติเหตุบนท้องถนนให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ผู้ใช้รถใช้ถนนมีชีวิตที่ง่ายขึ้น ERGO จึงได้จับมือเป็นพันธมิตรกับกรมทางหลวง เพื่อขยายผลการลดจำนวนอุบัติเหตุ ผ่านการส่งรถสไลด์ช่วยเหลือของ ERGO ไปประจำการยังเส้นทางสู่ภูมิภาค 5 จุดหลักซึ่งเกิดอุบัติเหตุมากที่สุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ การส่งรถสไลด์ในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเพิ่มกำลังพลให้กับกรมทางหลวงแล้ว ยังเป็นการเพิ่มหน่วยช่วยเหลือที่เข้าแก้ไขปัญหาให้กับผู้ใช้ถนน ณ จุดเกิดเหตุได้ทันที โดยความร่วมมือนี้ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในกิจกรรมปล่อยขบวนรถรณรงค์ความปลอดภัยทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2567 ซึ่งช่วยสร้างความปลอดภัยบนท้องถนนให้กับคนเดินทางได้มากกว่า 200 ราย ทั้งการเปลี่ยนยางอะไหล่ พ่วงแบตเตอรี่ เติมลมยาง ไปจนถึงสไลด์รถไปยังจุดใกล้เคียง เพราะถึงแม้จะเป็นเหตุขัดข้องเพียงเล็กน้อยแต่ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุอื่น ๆ บนท้องถนนตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุบัติเหตุรถชนต่อเนื่องกันเป็นแนวยาวซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุด

และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของ ERGO ตามพันธกิจที่ต้องการยกระดับชีวิตคนไทยให้ง่ายขึ้น และมุ่งมั่นที่จะสร้างมาตรฐานการดูแลคนไทยให้ไม่น้อยไปกว่ามาตรฐานจากประเทศเยอรมัน ด้วยประสบการณ์ด้านการประกันภัยของ ERGO Group ที่ดำเนินธุรกิจมานานกว่า 70 ปี จะช่วยให้เออร์โกประกันภัย (ประเทศไทย) มีศักยภาพและความพร้อมที่จะดูแลคนไทยให้ดีที่สุด และพร้อมทุ่มเทให้กับการบุกเบิกความคิดริเริ่มใหม่ ๆ เพื่อช่วยให้ทุกคนได้รับบริการด้านการประกันภัยที่ง่ายขึ้น

อันตราย! ศธ.เตือนผู้ปกครอง ซื้อ“ขนมไขขี้ผึ้ง”เถื่อน เสี่ยงติดคอรุนแรงถึงขั้นผ่าตัด

ศธ.เตือนเลือกซื้อของกินของเด็กในวัยเรียนที่นิยมซื้อของตามกระแสโซเชียลมาบริโภค แนะนำครู ผู้ปกครอง ป้องกันก่อนเกิดเหตุ ทำความเข้าใจกับผู้เรียนต่อโทษและพิษภัย คอยสังเกตร้านค้าบริเวณโรงเรียนและชุมชนอย่างเข้มงวด หลีกเลี่ยงของกินที่อาจส่งผลต่อสุขภาพเด็กไทยในระยะยาว

เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2566 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ และโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยข้อห่วงใยของพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องของกินในกระแส “ขนมไขขี้ผึ้ง” (Wax Candy) ที่กำลังดังและกำลังเป็นที่นิยมของเด็กอยู่ในขณะนี้ ซึ่งตรวจพบว่าไม่ได้รับการอนุญาตจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ไม่มีฉลากภาษาไทยถือเป็นการนำเข้าอาหารโดยผิดกฎหมาย เรียกง่าย ๆ ว่า “ขนมเถื่อน” ให้ตระหนักถึงอันตรายที่แฝงอยู่ในรูปแบบขนม ควรหลีกเลี่ยงอย่าเสี่ยงรับประทาน

สำหรับขนมไขขี้ผึ้งที่เป็นกระแสจากแพลตฟอร์ม TikTok เป็นขนมที่มีสีสันและรูปร่างน่ากิน ต้องเคี้ยวกินน้ำหวานรสผลไม้จากด้านใน ส่วนไขผึ้งที่เคลือบเปลือกด้านนอกสัมผัสคล้ายเทียนไขต้อง “คายออก” เท่านั้น เพราะร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้ นอกจากเสี่ยงติดคอจากการเคี้ยวกลืนแล้ว สารที่เคลือบขนมยังเสี่ยงลำไส้อุดตัน ส่งผลให้ระบบทางเดินอาหารไม่ย่อย รวมถึงสารปนเปื้อนในขนมหรือของกินที่ไม่ได้มาตรฐาน หากตกค้างเป็นก้อนขวางในลำไส้ ขับถ่ายไม่ได้ อาจถึงขั้นผ่าตัด ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว

ด้วยแพลตฟอร์มการขายออนไลน์ที่เข้าถึงได้ง่าย บวกกับกระแสโซเชียลที่กระหน่ำการขายอย่างรวดเร็ว เด็กในวัยเรียนที่ยังขาดวุฒิภาวะอาจจะตัดสินใจซื้อโดยไม่ได้ไตร่ตรองถึงประโยชน์และโทษ ครูและผู้ปกครองที่อยู่ใกล้ชิดจึงเป็นคนสำคัญที่จะให้คำแนะนำกับเด็กได้ดี ในการเลือกซื้อของกินที่มีประโยชน์ มีโภชนาการครบถ้วนที่จำเป็นต่อร่างกาย คอยแนะนำให้เด็กสังเกตขนมที่ไม่มีฉลากภาษาไทย ไม่ระบุส่วนผสมอาหาร ไม่ระบุวันเดือนปีที่ผลิต ไม่มีวันหมดอายุ ไม่แสดงชื่อบริษัทผลิตและที่ตั้งผู้นำเข้า ให้เข้าใจว่าเป็นขนมที่ไม่มีประโยชน์ ไม่ควรซื้อ ไม่ควรรับประทาน

อยากฝากถึงคุณครู ผู้ปกครอง รวมถึงคนในชุมชน ร่วมกันสอดส่องร้านค้าบริเวณโรงเรียนและร้านขายของชำทั่วไป รวมถึงร้านค้าในแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เด็กเข้าถึงได้ง่าย ไม่ควรขายหรือซื้อมารับประทานเพราะมีโอกาสเสี่ยงได้รับสารที่อาจเป็นอันตราย หากพบเห็นและทำความเข้าใจร่วมกันโดยเร็ว จะเป็นด่านแรกในการป้องกันภัยรอบตัวผู้เรียน เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพตามนโยบายความปลอดภัยของ ศธ. ที่เน้นย้ำเรื่องสุขภาพกายและสุขภาพใจของผู้เรียนเป็นลำดับสำคัญที่สุด

ขอบคุณภาพจากเพจผู้บริโภค