อัตราแลกเปลี่ยน
อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศวันนี้ (18 ก.ย.68)
อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศวันนี้ (16 ก.ย.68)
อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศวันนี้ (25 ส.ค.68)
อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศวันนี้ (22 ส.ค.68)
อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศวันนี้ (21 ส.ค.68)
เงินบาทแข็งค่าขึ้น หลังทรัมป์แต่งตั้งผู้ว่าการเฟดคนใหม่ จับตาธนาคารกลางอังกฤษลดดอกเบี้ย
เงินบาทแข็งค่าขึ้น หลังทรัมป์แต่งตั้งผู้ว่าการเฟดคนใหม่ จับตาธนาคารกลางอังกฤษลดดอกเบี้ย
ค่าเงินบาทประจำวันที่ 8 สิงหาคม 2568
-กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.15-32.40บาท/ดอลลาร์
-เงินบาทแข็งค่าขึ้นวานนี้และแข็งค่าเพิ่มเติมช่วงข้ามคืน หลังมีรายงานว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่งตั้ง สตีเฟน มิแรน เป็นผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐแทนคูเกลอร์ ที่ลาออกไป
-จำนวนผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานซ้ำ เพิ่มขึ้นมาที่ 1.97 ล้านตำแหน่ง แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี 2021
-ธนาคารกลางอังกฤษลดดอกเบี้ยลง 0.25% มาอยู่ที่ 4.00% และประเมินว่าเงินเฟ้ออาจสูงขึ้นแตะ 4% ในเดือนกันยายน แต่ยังมองว่าเงินเฟ้อจะขึ้นอยู่ชั่วคราว
#เงินบาทวันนี้ #ค่าเงินบาท #เฟด #ธนาคารกลางอังกฤษ #นโยบายการเงิน #เศรษฐกิจโลก #ตลาดเงิน #อัตราแลกเปลี่ยน
เงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เปิดที่ 32.28 บาท/ดอลลาร์ ตลาดระวัง Two-Way Risk
เงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เปิดที่ 32.28 บาท/ดอลลาร์ ตลาดระวัง Two-Way Risk
วันที่ 8 สิงหาคม 2568 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 32.27-32.39 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) ซึ่งปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้าน 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยแม้ว่าบรรดาผู้เล่นในตลาดจะยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างมีนัยสำคัญ (ให้โอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ ราว 42% และโอกาสลดดอกเบี้ยเพิ่มอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า ราว 79%) ทว่า เงินดอลลาร์ก็เผชิญแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) หลังธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ 5-4 ให้ลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 4.00% ตามคาด (ต้องมีการโหวตถึง 2 รอบ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การประชุม BOE) และส่งสัญญาณดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง (ไม่ลดดอกเบี้ยเร็วหรือมากเกินไป) ทำให้ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า การลดดอกเบี้ยครั้งนี้ของ BOE คือ Hawkish Cut และปรับมุมมองใหม่ว่า BOE มีโอกาสราว 71% ที่จะลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 1 ครั้ง ในปีนี้ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังเผชิญแรงกดดันจากประเด็นการแต่งตั้ง Board of Governor (BoG) ของเฟด คนใหม่ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะมาแทน Adriana Kugler ที่ลาออกไป โดยผู้เล่นในตลาดมองว่า BoG คนใหม่ อาจมีแนวโน้มสนับสนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด และสะท้อนความพยายามเข้ามาแทรกแซงการทำงานของธนาคารกลางจากฝั่งการเมืองสหรัฐฯ
บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว และยังไม่รีบเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม และผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็เลือกจะทยอยขายทำกำไรออกมาบ้าง นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นบริษัทยาขนาดใหญ่ อย่าง Eli Lilly -14.1% หลังบริษัทรายงานผลการทดลองยาลดน้ำหนักที่น่าผิดหวัง ส่งผลให้ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.08%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นกว่า +0.92% โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มธนาคารและการเงิน รวมถึงหุ้นธีม AI/Semiconductor อย่าง ASML +3.0% นอกจากนี้ ข่าวผลการทดลองยาลดน้ำหนักของ Eli Lilly ที่ออกมาน่าผิดหวัง ได้หนุนให้ ราคาหุ้นบริษัทยาคู่แข่ง อย่าง Novo Nordisk พุ่งขึ้น +6.7% หนุนการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรป ขณะเดียวกัน ความหวังต่อแนวโน้มการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ก็มีส่วนช่วยหนุนบรรยากาศโดยรวมของตลาดหุ้นยุโรป
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย แต่โดยรวมยังอยู่แถวระดับ 4.20%-4.25% หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม นอกจากนี้ ผลการประมูลบอนด์ 30 ปี ซึ่งสะท้อนความต้องการของผู้เล่นในตลาดที่น้อยลง ก็มีส่วนกดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นบ้าง แต่การปรับตัวขึ้นก็เป็นไปอย่างจำกัด ท่ามกลางภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด อีกทั้ง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงชัดเจน อนึ่ง เรามองว่า ควรระวังความเสี่ยงที่ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หากตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หรือบรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง โดยเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ เนื่องจากเราคงคาดการณ์ว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง ตามการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง หลังเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ตอบรับการลดดอกเบี้ย Hawkish Cut ของ BOE ซึ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดมองว่า BOE อาจยังไม่เร่งรีบเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม สวนทางกับเฟดที่มีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้ง ของเฟดในปีนี้ และลดดอกเบี้ยอีกเกือบ 3 ครั้ง ในปีหน้า ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลง สู่ระดับ 98.1 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.0-98.5 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ บรรยากาศระมัดระวังตัวของตลาดการเงินสหรัฐฯ และการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ได้หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวสูงขึ้นสู่โซน 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ แม้จะไม่มีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ ทว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOE เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ BOE และในฝั่งไทย สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามเช่นกัน

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจถูกชะลอแถวโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้ หลังราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทดสอบโซนแนวต้าน ซึ่งหากราคาทองคำไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ชัดเจน เนื่องจากขาดปัจจัยสนับสนุนใหม่ๆ เพิ่มเติม เรามองว่า จังหวะการย่อตัวลงบ้างของราคาทองคำก็อาจพอช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ และหากราคาทองคำปรับตัวลงชัดเจน ก็จะสามารถเป็นอีกปัจจัยที่กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้เช่นกัน ซึ่งภาพดังกล่าวอาจเกิดขึ้น ในจังหวะที่ตลาดการเงินกลับมาเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง หรือผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งจะหนุนให้เงินดอลลาร์รีบาวด์แข็งค่าขึ้นได้เช่นกัน โดยเรามองว่า อาจต้องรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด
ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทเสี่ยงเผชิญความผันผวน Two-Way risk (พร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง) ขึ้นกับการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ในเชิงเทคนิคัล เงินบาทยังคงมีโซนแนวรับแถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.10 บาทต่อดอลลาร์) ส่วนโซนแนวต้านได้ขยับลงมาแถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ และมีโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านถัดไป เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.20-32.40 บาท/ดอลลาร์
#เงินบาท #ค่าเงินบาทวันนี้ #อัตราแลกเปลี่ยน #KrungthaiGlobalMarkets #ตลาดเงิน #เศรษฐกิจโลก #ดอกเบี้ยเฟด #ตลาดหุ้น #ทองคำ #ความผันผวนเงินบาท
เงินบาทเปิดอ่อนแตะ 32.79 บาทต่อดอลลาร์ กังวลเฟดชะลอลดดอกเบี้ย ตลาดจับตาตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ
เงินบาทเปิดอ่อนแตะ 32.79 บาทต่อดอลลาร์ กังวลเฟดชะลอลดดอกเบี้ย ตลาดจับตาตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ
วันที่ 1 สิงหาคม 2568 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลง เข้าใกล้ขอบบนของโซนแนวต้าน 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.66-32.79 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตามการทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน ปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 2.6% สูงกว่าที่ตลาดคาดเล็กน้อย (ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE ก็ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 2.8% สูงกว่าที่ตลาดคาดเช่นกัน) อีกทั้ง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ก็ยังออกมาดีกว่าคาด สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังคงสดใสอยู่ ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างปรับลดโอกาสที่เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้ เหลือ 30% จากเดิมที่ประเมินไว้ราว 40%-45% ก่อนรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม หลังการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวลดลงหลุดโซนแนวรับ 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง อย่างไรก็ดี ในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย เงินบาทเริ่มชะลอการอ่อนค่าลงบ้าง ตอบรับข่าวทางการสหรัฐฯ ปรับอัตราภาษีนำเข้ากับสินค้าจากไทยเป็น 19% ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ในช่วง 20%-25% และดีกว่าที่ทางการสหรัฐฯ ได้ขู่ไว้ที่ระดับ 36% หากไม่บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ
บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นการประกาศอัตราภาษีนำเข้าใหม่ต่อบรรดาประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ รวมถึง รายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Apple และ Amazon ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญแรงกดดันจากแนวโน้มเฟดยังคงไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย และแรงขายหุ้นบริษัทยา หลังทางการสหรัฐฯ ได้เร่งรัดให้บริษัทยารายใหญ่ ปรับลดราคายาตามใบสั่งแพทย์ ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.37%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลงกว่า -0.75% ตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ ที่ออกมาน่าผิดหวัง อาทิ Sanofi -7.8% นอกจากนี้ บรรดาหุ้นบริษัทยายุโรป ก็เผชิญแรงกดดันตามการปรับตัวลดลงของบรรดาหุ้นกลุ่มยาสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้น สู่ระดับ 4.37% สอดคล้องกับการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังผู้เล่นในตลาดทยอยรับรู้ รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ที่ออกมาสูงกว่าคาด รวมถึงรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ที่ออกมาดีกว่าคาด เรายังคงประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หากตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นได้ หลังตลาดรับรู้ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ซึ่งเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ หลัง Risk-Reward มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโซน 4.40%-4.50% สำหรับบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ (สามารถเน้นทยอยซื้อ Buy on Dip ได้)
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Up หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ต่างออกมาดีกว่าคาด (อัตราเงินเฟ้อ PCE สูงกว่าคาด) ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงอาศัยจังหวะเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ในการขายทำกำไรการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ในช่วงที่ผ่านมาบ้าง ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้น สู่ระดับ 100 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.7-100.1 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ การปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งหนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างปรับตัวสูงขึ้น ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ย่อตัวลงกลับสู่โซน 3,330-3,340 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วง 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) รวมถึง อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) และอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Average Hourly Earnings) นอกจากนี้ ในช่วง 21.00 น. ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และผลกระทบจากนโยบายการค้าต่อภาคการผลิตอุตสาหกรรม ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม โดย ISM ในเดือนกรกฎาคม
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งอาจส่งผลต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า ECB มีโอกาสเพียง 50% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในปีนี้
ทางฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิต (Caixin Manufacturing PMI) ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งจะเน้นบริษัทขนาดเล็ก-กลาง ส่วนในฝั่งไทย จะมีรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิต และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (Business Sentiment) ในเดือนกรกฎาคม
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ส่วนในฝั่งไทย สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามเช่นกัน

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงอ่อนค่าลงบ้าง ตราบใดที่ผู้เล่นในตลาดต่างทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งจะหนุนให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ พร้อมกดดันให้ราคาทองคำเสี่ยงย่อตัวลง (หรืออย่างน้อยแกว่งตัว Sideways) อย่างไรก็ดี เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ หลังสหรัฐฯ ได้ประกาศอัตราภาษีนำเข้ากับสินค้าไทยในระดับ 19% ซึ่งถือว่า ดีกว่าที่ตลาดคาด 20%-25% บ้าง (แม้จะแย่กว่าสมมติฐานของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 18% เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ)
ทั้งนี้ เรามองว่า แม้ไทยจะเผชิญอัตราภาษีนำเข้าในระดับที่ไม่ได้สูงอย่างที่ตลาดเคยกังวล แต่เรามองว่า ควรจับตาการปรับสถานะถือครองของบรรดานักลงทุนต่างชาติ ว่าจะมีการ Sell on Fact และขายทำกำไร สินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทย และบอนด์ไทย บ้างหรือไม่ ซึ่งหากมีการทยอยขายทำกำไรการถือครองสินทรัพย์ไทยออกมาบ้างในช่วงนี้ ก็อาจเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง
อนึ่ง เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในคืนนี้ โดยเฉพาะ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ เนื่องจากสถิติในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา สะท้อนว่า เงินบาทเสี่ยงผันผวน ในกรอบ +/- 1 SD ได้ถึง +0.60%/-0.30% ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา เราพบว่า ผู้เล่นในตลาดดูจะตอบรับกับรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ มากพอสมควร ทำให้การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์นั้นทะลุกรอบ +/- 1 SD ได้ไม่ยาก อย่างเช่นในสัปดาห์นี้ เงินบาทอ่อนค่าลงแรงเกินกรอบ +1 SD หลังรับรู้รายงานข้อมูลยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP
อย่างไรก็ตาม เราคงมองว่า ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังไปพอสมควร ว่า รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ ควรสะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่สดใสอยู่ ทำให้ หากตลาดผิดหวังกับรายงานข้อมูลดังกล่าว ก็อาจทำให้เกิดการ Repricing หรือปรับมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดใหม่อีกครั้ง กดดันให้ ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวลดลง ทำให้เงินบาทยังคงมีความเสี่ยง Two-Way risk หรือพร้อมจะเคลื่อนไหวได้สองทิศทางอยู่
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.65-32.95 บาท/ดอลลาร์
#เงินบาทวันนี้ #ตลาดเงินตลาดทุน #KrungthaiGlobalMarkets #อัตราแลกเปลี่ยน #ตลาดโลก #เฟด #NonfarmPayrolls #เงินเฟ้อสหรัฐ #ราคาทองคำ #ข่าวเศรษฐกิจ
เงินบาทอ่อนค่าใกล้ 32.80 บาท/ดอลลาร์ รับแรงกดดันดอลลาร์แข็ง-บอนด์ยีลด์พุ่ง
เงินบาทอ่อนค่าใกล้ 32.80 บาท/ดอลลาร์ รับแรงกดดันดอลลาร์แข็ง-บอนด์ยีลด์พุ่ง
วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ เข้าใกล้โซนแนวต้านถัดไปในช่วง 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.47-32.75 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) จนหลุดโซนแนวรับ 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่างออกมาดีกว่าคาด โดยเฉพาะ ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ที่เพิ่มขึ้น ราว 1.04 แสนราย ดีกว่าที่ตลาดประเมินไว้ 7.7 หมื่นราย ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ ผลการประชุม FOMC ของเฟด ล่าสุด ที่แม้ว่า เฟดจะมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ 9-2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25-4.50% ทว่า ประธานเฟด Jerome Powell ยังคงย้ำจุดยืน ไม่เร่งรีบปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อรอประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ให้รอบด้าน และไม่ได้ส่งสัญญาณว่าเฟดพร้อมจะกลับมาลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนกันยายน ตามที่ตลาดคาดหวัง ทำให้ผู้เล่นในตลาดยิ่งปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยล่าสุด โอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้ ลดลง เหลือเพียง 39% ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามแรงขายทำกำไรเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน อีกทั้งราคาทองคำก็รีบาวด์ขึ้นบ้างจากหลังปรับตัวลดลงหลุดโซนแนวรับระยะสั้น
บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว แม้จะได้แรงหนุนจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ถูกกดดันจากแนวโน้มเฟดยังคงไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.12% อย่างที่ตลาดคาดหวัง ทั้งนี้ รายงานผลประกอบการของหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Meta และ Microsoft ที่ออกมาดีกว่าคาด ก็พอช่วยหนุนให้บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มดีขึ้น สะท้อนจากการปรับตัวขึ้นของสัญญาฟิวเจอร์สตลาดหุ้นสหรัฐฯ ราว +0.8%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.02% หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟด รวมถึง รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ทั้งนี้ บรรยากาศตลาดหุ้นยุโรปยังคงเผชิญแรงกดดันบ้าง จากความกังวลผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ หลังสหภาพยุโรปได้บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ล่าสุด
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 4.36% สอดคล้องกับการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังผู้เล่นในตลาดทยอยรับรู้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด และท่าทีของเฟดที่ย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หลังตลาดรับรู้ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ซึ่งเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ หลัง Risk-Reward มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโซน 4.40%-4.50% สำหรับบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ (สามารถเน้นทยอยซื้อ Buy on Dip ได้)
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ตามท่าทีของเฟดที่ย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ต่างออกมาดีกว่าคาด ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนได้ใช้จังหวะเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ในการขายทำกำไรการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ในช่วงที่ผ่านมาบ้าง ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้น สู่ระดับ 99.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.8-99.9 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ การปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งหนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างปรับตัวสูงขึ้น ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวลดลงกว่า -1.4% สู่โซน 3,330-3,340 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยเราประเมินว่า BOJ อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% เพื่อรอประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า BOJ อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย 25bps ได้ในการประชุม BOJ เดือนธันวาคม หากเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงขยายตัวได้ดี ส่วนอัตราเงินเฟ้อก็ยังคงมีแนวโน้มอยู่ที่ระดับเป้าหมาย 2.0% ได้ในระยะกลาง-ยาว นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานญี่ปุ่นในเดือนมิถุนายน (รับรู้ในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์นี้) ส่วนในฝั่งจีน ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ในเดือนกรกฎาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน
ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ในเดือนมิถุนายน พร้อมทั้งรอประเมินแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานทั้ง Challenger Job Cuts ในเดือนกรกฎาคม และ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims)
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะ บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Apple และ Amazon พร้อมรอติดตามแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้าอย่างใกล้ชิด ส่วนในฝั่งไทย สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามเช่นกัน

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามั่นใจมากขึ้น ว่าเงินบาทยังมีโอกาสทยอยอ่อนค่าลงต่อได้ หลังเงินบาทได้อ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน (หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following) อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ หลังผู้เล่นในตลาดได้ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ของเฟด ในปีนี้ ลงมาพอสมควรแล้ว โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้ เพียง 39% ทำให้ เรามองว่า หากเงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม อาจจะต้องเห็น การปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด จนเหลือ 1 ครั้ง หรืออาจจะน้อยกว่านั้น ซึ่งต้องอาศัยทั้ง การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ควรจะมาพร้อมกับการปรับตัวลดลงหนักของราคาทองคำ โดยภาพดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ยังคงออกมาสดใส โดยเฉพาะ ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในวันศุกร์ นี้
จากภาพดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังไปพอสมควร ว่า รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ ควรสะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่สดใสอยู่ ทำให้ หากตลาดผิดหวังกับรายงานข้อมูลดังกล่าว ก็อาจทำให้เกิดการ Repricing หรือปรับมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดใหม่อีกครั้ง กดดันให้ ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวลดลง ทำให้เงินบาทยังคงมีความเสี่ยง Two-Way risk หรือพร้อมจะเคลื่อนไหวได้สองทิศทางอยู่
ทั้งนี้ หากบรรยากาศในตลาดการเงินเริ่มกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) หนุนโดยผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ สหรัฐฯ ที่ทยอยออกมาดีกว่าคาด เรามองว่า เงินบาทก็อาจขาดแรงหนุนฝั่งแข็งค่าไปบ้าง ตราบใดที่ราคาทองคำเผชิญแรงกดดันจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงดังกล่าว ขณะเดียวกัน เรามองว่า ภายใต้ภาวะดังกล่าว หากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นด้วย การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ ในกรณีที่ ผู้เล่นในตลาดไม่ได้เชื่อว่า เงินดอลลาร์จะกลับมาเป็นแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เหมือนในช่วงก่อนหน้า และเลือกที่จะเพิ่มอัตราการป้องกันความเสี่ยงในกรณีที่เงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลง (เพิ่ม Hedging ratio)
นอกจากนี้ เรามองว่า ยังคงต้องรอลุ้นผลการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ ซึ่งหากสุดท้ายสินค้าส่งออกของไทยเผชิญอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 36% เราประเมินว่า เงินบาทก็เสี่ยงอ่อนค่าลงอีกได้ราว 1.2% อ้างอิงจากการเคลื่อนไหวในช่วงหลัง Liberation Day
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.60-32.85 บาท/ดอลลาร์
#เงินบาท #อัตราแลกเปลี่ยน #ดอลลาร์แข็งค่า #เฟด #บอนด์ยีลด์ #ทองคำ #ตลาดเงิน #เศรษฐกิจสหรัฐ #ข่าวเศรษฐกิจ #KrungthaiGLOBALMARKETS





