ถอดรหัส 'Sustainable Growth' เมื่ออนาคตของธุรกิจอยู่บนเส้นทางของความยั่งยืน: บทเรียนสำคัญจากงาน TCP Sustainability Forum 2025

วันที่ 29 สิงหาคม 2568 กลุ่มธุรกิจ TCP จัดงาน “TCP Sustainability Forum 2025” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ภายใต้แนวคิด Sustainable Growth: The Future of Growth เวทีที่รวมผู้นำองค์กรระดับประเทศ นักเศรษฐศาสตร์ และผู้ประกอบการ เพื่อหาคำตอบว่าธุรกิจจะเติบโตอย่างแท้จริงได้อย่างไร ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ภูมิรัฐศาสตร์ที่ผันผวน และสิ่งแวดล้อมที่กำลังเปลี่ยนแปลง

Sustainable Growth คือเป้าหมายใหม่ที่โลกต้องการ

ในการเสวนาหัวข้อ 'การก้าวข้ามธุรกิจแบบเดิม: สู่กลยุทธ์ใหม่เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน' คุณสราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่องค์กรต้องปรับตัวและสร้างสรรค์สิ่งใหม่เพื่อรับมือกับบริบทที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นการดำเนินธุรกิจแบบเดิม จึงไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป คุณสราวุฒิมองว่าสถานการณ์ปัจจุบันเป็นช่วงเวลาสำคัญของการปรับสมดุล (Rebalancing) เพื่อทบทวนและจัดลำดับความสำคัญใหม่ให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งสร้างสรรค์สิ่งใหม่ (Reinvention) ด้วยการเปลี่ยนวิธีการทำงาน วิธีคิด และรูปแบบธุรกิจให้ยั่งยืนยิ่งขึ้น

กลุ่มธุรกิจ TCP ยังได้วางกลยุทธ์ 3 เสาหลัก ได้แก่ การกระจายการเติบโต (Growth Diversification), การยกระดับประสิทธิภาพ (Operational Efficiency) และ การสร้างรากฐานเพื่ออนาคต (Future-Ready Foundation) โดยทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนแนวคิด EESG: Economic, Environment, Social และ Governance

 “หัวใจของการเติบโตอย่างยั่งยืนอยู่ที่ Adaptability หรือความสามารถในการปรับตัวขององค์กร ความยั่งยืนที่แท้จริงไม่ใช่การยึดติดอยู่กับรูปแบบเดิม แต่คือการพร้อมเผชิญและปรับตัวในทุกการเปลี่ยนแปลง หากเรามองเห็นว่าในทุกวิกฤตมีโอกาส และสามารถใช้ช่องว่างนั้นให้เป็นประโยชน์ ก็จะกลายเป็นข้อได้เปรียบระยะยาวที่ต่อยอดไปสู่การเติบโตในอนาคต และภายในปี 2030 ผมอยากเห็นการทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืนระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยี พร้อมด้วย Mindset ที่เปิดกว้างต่อการเปลี่ยนแปลง เพราะนี่คือกุญแจสำคัญที่จะพาเราไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน” นายสราวุฒิ กล่าว

เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายความยั่งยืน กลุ่มธุรกิจ TCP ได้ขยายการดำเนินงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพด้วยโครงการสำคัญ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการพัฒนาพื้นที่อนุรักษ์นอกเขตคุ้มครอง ซึ่งเป็นความร่วมมือกับสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย (BCST) เพื่อนำร่องพัฒนาพื้นที่ยี่สาร จังหวัดสมุทรสงคราม ให้เป็นต้นแบบพื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพนอกเขตคุ้มครองตามแนวทาง OECMs (Other Effective Area-Based Conservation Measures) และ โครงการป่าไม้เพื่อคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นความร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้แนวคิด PES (Payment for Ecosystem Services) หรือ "การจ่ายค่าตอบแทนสำหรับบริการจากระบบนิเวศ" โดยมีแนวคิดหลักว่า “คุณดูแลป่า เราดูแลคุณ” ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับชุมชน ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

 

การพัฒนาที่ยั่งยืนคือพลังขับเคลื่อนใหม่

งาน TCP Sustainability Forum 2025 ยังได้รับเกียรติจาก คุณเจียง เหว่ย อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจและพาณิชย์ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษ โดยเน้นย้ำว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนคือพลังขับเคลื่อนใหม่ของความร่วมมือจีน-ไทย และได้ยกตัวอย่างแนวคิดการพัฒนาของจีน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านนวัตกรรม  การบูรณาการ ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเปิดกว้าง และการแบ่งปัน ซึ่งสอดคล้องกับโมเดล BCG ของไทย โดยปัจจุบันมีบริษัทจีนกว่า 1,000 แห่งเข้ามาลงทุนในไทยในอุตสาหกรรมเกิดใหม่ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสีเขียว ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะร่วมสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมและเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

“การพัฒนาที่ยั่งยืนมิใช่เพียงภารกิจร่วมที่ยุคสมัยมอบหมายแก่เรา แต่ยังเป็นโอกาสที่เราจะได้ร่วมกันสร้างอนาคต การจับมือเดินไปด้วยกันบนเส้นทางดังกล่าว จะไม่เพียงแต่เสริมสร้างเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ แต่ยังจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเผชิญความท้าทายระดับโลก และสร้างอนาคตร่วมกันที่มั่งคั่งและสมดุลยิ่งขึ้น” คุณเจียง เหว่ย กล่าว

 

Green Transition: การลงทุนที่ดีที่สุด

ด้าน ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่และเลขานุการ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวในปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ ‘การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวในฐานะกลไกเศรษฐกิจ: โอกาสใหม่สำหรับการเติบโตทางธุรกิจ’ ว่า โลกกำลังอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ที่บีบให้ทุกประเทศต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด การแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ ไม่เพียงส่งผลต่อภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลก แต่ยังสะท้อนมายังไทย ทั้งตลาดทุน การผลิต และค่าเงิน อย่างไรก็ดี นี่อาจเป็นโอกาสสำคัญ เพราะจีนเริ่มกระจายฐานการผลิตสู่เอเชียและอาเซียน ซึ่งมีศักยภาพจะกลายเป็นตลาดใหญ่ของโลกในอีกสิบปีข้างหน้า ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนผ่านสู่ The Great Green Transition ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น แม้บางประเทศลดบทบาทด้านความยั่งยืน แต่ท่ามกลางวิกฤติสภาพภูมิอากาศ Green Transition จะกลับมาเป็นวาระหลักของทุกประเทศภายในไม่กี่ปีข้างหน้า

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่และเลขานุการ บริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

ดร.กอบศักดิ์ เสริมว่า “วันนี้ประเทศไทยกำลังเริ่มเตรียมความพร้อม ทั้งด้านกฎหมายและการสร้างความเข้าใจให้ภาคเอกชนเกี่ยวกับการลดการปล่อย CO₂ การจัดการ Carbon Supply Chain และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง เพราะนี่คือการลงทุนที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง ต้นทุนถูกลงมาก และยิ่งเราเริ่มเร็ว เราก็ยิ่งมีโอกาสสร้างความได้เปรียบระยะยาว”

“ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีกำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและกระทบแทบทุกอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นรถสันดาป ปิโตรเคมี เหล็ก อิเล็กทรอนิกส์ หรือแม้กระทั่งเกษตรและปศุสัตว์ หากไม่เร่งปรับตัวก็จะเผชิญความล้าสมัย ขณะที่การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจโลกยิ่งเร่งให้อัตราการเปลี่ยนแปลงด้าน AI หุ่นยนต์ และ Computing เร็วขึ้นกว่าเดิม นี่จึงเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัว เพื่อยืนหยัดได้อย่างมั่นคงในโลกอนาคต”

 

AI และนวัตกรรม: เครื่องมือเร่งการเติบโต

ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) โดย คุณธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เน้นย้ำว่า AI และเทคโนโลยีคือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้องค์กรเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืนได้ โดยเปลี่ยนบทบาทจากผู้พัฒนาซอฟต์แวร์มาเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมสำหรับทุกองค์กร ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน

“AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือเพื่อการเติบโตแบบปกติ แต่คือพลังแห่ง Disruptive Growth ที่สามารถยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศได้หลายเท่า” คุณธนวัฒน์ กล่าว

นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น “Frontier Country” ภายในปี 2030 ที่ทุกคนสามารถใช้เทคโนโลยีสร้างคุณค่าและเติบโตไปด้วยกันได้อย่างยั่งยืน

 

การเติบโตที่แท้จริง ต้องโตให้ถูกทาง

ขณะที่ คุณบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ตั้งคำถามกับผู้ร่วมงานว่า เรากำลังเติบโตไปเพื่อใคร และกำลังทิ้งอะไรไว้ให้คนรุ่นหลัง โดยชี้ว่าการเติบโตที่มีความหมายต้องครอบคลุมทั้งความมั่งคั่ง การกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม และความยั่งยืน เขายกตัวอย่าง ดัชนีสิ่งแวดล้อม (EPI) ที่ไทยอยู่เพียงอันดับ 90 จาก 180 ประเทศ สะท้อนถึงจุดอ่อนด้านคุณภาพอากาศและการจัดการทรัพยากรน้ำ แม้จะมีความก้าวหน้าในบางมิติ แต่โดยรวมยังต้องเร่งพัฒนา ที่สำคัญ ดัชนีนี้ยังสะท้อนว่าปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น หลักนิติธรรม ความโปร่งใส และฉันทานุมัติของสังคม มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ หากต้องการเติบโตอย่างยั่งยืน

 

การแก้ปัญหาโครงสร้างต้องอาศัย ‘ฉันทานุมัติ’ จากภาคส่วนต่าง ๆ ตั้งแต่ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาควิชาการ สื่อ ไปจนถึงประชาชนทั่วไป เพราะหากสังคมเห็นตรงกันในเรื่องคุณค่าที่ควรยึดถือ นโยบายสาธารณะย่อมเปลี่ยนตาม เพราะในท้ายที่สุด การเติบโตที่มีความหมาย ไม่ได้วัดจากความร่ำรวยของประเทศเพียงลำพัง หากแต่วัดจากความสามารถในการพาคนส่วนใหญ่ของประเทศไปต่อในอนาคตร่วมกัน” คุณบรรยง กล่าว

 

ความยั่งยืน: ‘ร่ม’ ที่ธุรกิจต้องถือไว้ด้วยกัน

ภายในงาน TCP Sustainability Forum 2025 ยังมีการเสวนาในหัวข้อ “การนำการเติบโตที่ยั่งยืนไปปฏิบัติจริง” โดยผู้ประกอบการ SME และผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วน อาทิ เพนนิน เพนนี พาทิซเซอรี่, คอมม่อน ฟู้ด โซลูชั่น บริษัทที่เข้าร่วม โครงการ ‘Big Brother’ ที่ เดอเบล บริษัทภายใต้กลุ่มธุรกิจ TCP ทำงานร่วมกับหอการค้าไทย เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs และไทยนำโพลีแพค ซึ่งเป็นซัปพลายเออร์ของกลุ่มธุรกิจ TCP โดยทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าบทบาทของธุรกิจวันนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การทำกำไร แต่ต้องสร้างคุณค่าให้สังคมและสิ่งแวดล้อมควบคู่กัน

คุณพรพิมล ปักเข็ม จาก เพนนิน เพนนี พาทิซเซอรี่ เล่าถึงแรงบันดาลใจในการสร้างอนาคตที่ดีและโลกที่น่าอยู่ขึ้นให้กับลูกสาว และคนรุ่นหลัง มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยี Air Pop และวัตถุดิบที่ช่วยสร้างคุณค่าให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน ขณะที่ คุณวัฒนา กฤษณาวารินทร์ จาก ไทยนำโพลีแพค ที่เปลี่ยนความท้าทายและภาพลักษณ์ของ 'พลาสติก' ที่ถูกมองว่าเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม ด้วยโมเดล BCG (Bio-Circular-Green Economy) และการบรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้เพื่อผลักดัน Circular Economy ที่แม้จะทำให้ต้นทุนสูง แต่ความตื่นตัวของสังคมและกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น จะทำให้ผู้ที่พร้อมก่อนได้เปรียบก่อน ส่วน คุณสุพิชญ์ญา ยามวินิจ จาก คอมม่อน ฟู้ด โซลูชั่น เล่าประสบการณ์การทำธุรกิจที่แก้ปัญหา Food Waste และสร้างโอกาสทางธุรกิจ ด้วยการแปรรูปผักผลไม้ที่หลุด QC เป็นสินค้าคุณภาพ พร้อมสร้างระบบจัดการขยะที่ชุมชนมีส่วนร่วมเพื่อสร้างความยั่งยืนอย่างแท้จริง

 

ความร่วมมือคือพลังขับเคลื่อน

คุณพรฤทัย โชติวิจิตร จาก องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ หรือ IUCN ให้ความเห็นว่า วิกฤตสิ่งแวดล้อมนั้นใกล้ตัวกว่าที่คิด “มันไม่ทำไม่ได้แล้ว เพราะผลกระทบจากขยะมูลฝอย เช่น ไมโครพลาสติก อยู่ในร่างกายมนุษย์แล้ว” เธอยกตัวอย่างโครงการนำร่องที่ IUCN ร่วมกับกลุ่มธุรกิจ TCP และชุมชนในจังหวัดระนอง ทดลองโมเดล EPR (Extended Producer Responsibility) โดยใช้ร้านโชห่วยในชุมชนเป็นจุดรับคืนบรรจุภัณฑ์ ทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนมุมมองว่าบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วไม่ใช่ขยะ แต่ยังมีคุณค่า และยังสามารถผลักดันสู่การออกเทศบัญญัติท้องถิ่นว่าด้วยการจัดการขยะได้สำเร็จ ตอกย้ำว่าความร่วมมือระหว่างธุรกิจและชุมชนคือพลังขับเคลื่อนที่ทรงพลัง

งาน TCP Sustainability Forum 2025 ไม่ได้เป็นเพียงเวทีสนทนา แต่คือสัญญาณสะท้อนจากผู้นำในภาคธุรกิจ การเงิน และเทคโนโลยี ที่ต่างเห็นตรงกันว่าการเติบโตในอนาคตต้องไม่ใช่เพียง การโตเร็ว แต่คือการโตอย่าง มั่นคง เป็นธรรม และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง บทเรียนสำคัญจากเวทีครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า “ความยั่งยืน” ไม่ใช่ทางเลือก หากแต่คือหนทางเดียวที่จะพาเราไปถึงอนาคตที่แท้จริง

 

เทรนด์เด็กยุคใหม่ Growth Mindset CURIOOkids ชูแนวคิดการศึกษา สร้างทักษะอนาคต

ในโลกยุคที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) การเตรียมเด็กไทยให้พร้อมสำหรับอนาคตไม่ใช่แค่การเพิ่มคะแนนสอบ แต่คือการพัฒนาแนวคิด ทักษะ และความสามารถรอบด้าน โดยเฉพาะ “Growth Mindset” ซึ่งกลายเป็นแนวโน้มสำคัญในหมู่เด็กและผู้ปกครองยุคใหม่ “อนาคตของเด็กไทยอยู่ที่วันนี้”

คุณไพลิน เทวศักดิ์รักษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง CURIOOkids Thailand กล่าวว่า เราไม่ควรสอนให้เด็กเรียนแค่เพื่อสอบ แต่ควรสร้างแนวคิดที่ทำให้พวกเขาพร้อมก้าวสู่อนาคตอย่างมั่นใจ โดยเฉพาะในยุคที่ความสามารถในการปรับตัวและคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด” นั่นคือแกนหลักที่ทำให้ CURIOOkids แตกต่างจากสถาบันการศึกษาทั่วไป – การเรียนรู้เพื่อเข้าใจตัวเอง พัฒนาแบบองค์รวม และปลูกฝังทักษะที่จะใช้ได้ตลอดชีวิต

เทรนด์เด็กยุคใหม่: Growth Mindset คือคำตอบของอนาคต

หนึ่งในแนวโน้มการศึกษาที่มาแรงทั่วโลกคือ “Growth Mindset” – ความเชื่อว่าความสามารถไม่ใช่สิ่งตายตัว แต่สามารถพัฒนาได้ผ่านความพยายามและการเรียนรู้ เด็กที่มีแนวคิดนี้จะกล้าท้าทายตัวเอง ไม่กลัวล้มเหลว และพร้อมเติบโตไปกับการเปลี่ยนแปลง

ในหลายประเทศ รวมถึงสถาบันการศึกษาแนวหน้าทั่วโลกต่างบูรณาการแนวคิด Growth Mindset เข้าไปในระบบการเรียน CURIOOkids เองก็นำแนวคิดนี้มาเป็นหนึ่งในหัวใจหลักของหลักสูตร ด้วยวิธีการสอนที่เน้นการเรียนรู้จากกระบวนการ ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์

“เราให้เด็กได้ลองคิด ลองผิด ลองถูก สะท้อนความคิด และพัฒนาตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด Growth Mindset อย่างแท้จริง” คุณไพลินกล่าว

การพัฒนาเด็กด้วย Growth Mindset ยังสอดคล้องกับรายงานของ World Economic Forum ที่ระบุว่า “ความยืดหยุ่น (resilience) และ ความสามารถในการเรียนรู้ตลอดชีวิต (lifelong learning) คือทักษะสำคัญของคนทำงานในอนาคต”

ธุรกิจการศึกษาในยุคดิจิทัล: ไม่ใช่แค่ “โรงเรียน” แต่คือ “แพลตฟอร์มการเรียนรู้”

วันนี้ธุรกิจการศึกษาไม่ได้แข่งขันกันแค่ที่ “เนื้อหา” แต่แข่งขันกันที่ “ประสบการณ์การเรียนรู้” และ “การพัฒนาศักยภาพเฉพาะบุคคล” เทคโนโลยีจึงกลายเป็นกลไกสำคัญ เช่น

การเรียนแบบ Hybrid และ E-learning

การใช้ AI วิเคราะห์ศักยภาพรายบุคคล

การเรียนรู้ผ่านเกมและกิจกรรม (Gamification)

โปรแกรมเสริม Soft Skills อย่างต่อเนื่อง

CURIOOkids คือหนึ่งในตัวอย่างที่นำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับหลักสูตรอย่างสมดุล ทั้งในด้านการวิเคราะห์ความถนัดของเด็ก การวางแผนการเรียน และการสร้างพื้นที่เรียนรู้ที่เป็นมากกว่าห้องเรียน

CURIOOkids: เครือข่ายการเรียนรู้ระดับโลกที่เน้น “ทักษะแห่งอนาคต”

ด้วยสาขากว่า 40 แห่งในเอเชีย ตะวันออกกลาง และออสเตรเลีย พร้อมขยายสู่จีน สหรัฐฯ และประเทศแถบอ่าว CURIOOkids พัฒนาหลักสูตรที่ตอบโจทย์โลกอนาคตอย่างชัดเจน ผ่าน 4 แกนสำคัญ:

ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร

ความคิดสร้างสรรค์และผู้ประกอบการ

ทักษะเทคโนโลยีและดิจิทัล

การทำงานร่วมกันและความเป็นผู้นำ

ทุกหลักสูตรใช้ซอฟต์แวร์ประเมินศักยภาพเด็กแบบรายบุคคล เพื่อช่วยคุณครูและผู้ปกครองออกแบบเส้นทางการเรียนรู้เฉพาะตัว

แนวทางขยายธุรกิจด้วยคุณภาพและนวัตกรรม

แม้จะมีการขยายสาขาเพิ่มขึ้นในประเทศไทย แต่ CURIOOkids ยังคงยึดหลักการขยายด้วย “คุณภาพ” มากกว่า “ปริมาณ” โดยการสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ให้กับเด็กและครอบครัวไทย พร้อมขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมที่สอดคล้องกับเทรนด์โลก

CURIOOkids ขยายสาขาใหม่ 3 แห่งในกรุงเทพฯ ตอบโจทย์พ่อแม่ยุคใหม่

CURIOOkids สถาบันพัฒนาทักษะเด็กระดับสากล ประกาศเปิดสาขาใหม่ที่ Central แจ้งวัฒนะ, Central ปิ่นเกล้า และ Central พระราม 3 เพื่อรองรับความต้องการของผู้ปกครองที่มองหาการเรียนรู้คุณภาพสำหรับลูก

คุณไพลิน กล่าวเพิ่มเติมว่า “เรามุ่งมั่นพัฒนาเด็กให้มีทักษะครบรอบทั้งภาษา ความคิดสร้างสรรค์ และความมั่นใจในตัวเอง เพื่อเติบโตอย่างแข็งแรงในโลกอนาคต”

พิเศษช่วง Pre-Sale:
- วัดทักษะเด็ก ฟรี
- ส่วนลดค่าสมัครสูงสุด 30%*
- รับฟรี “CURIOOkids Starter Kit” สำหรับผู้ลงทะเบียนล่วงหน้า

ลงทะเบียน: bit.ly/CURIOO_CW_SOFTOPEN
LINE: @CURIOOkids
*จำนวนจำกัด

ถอดรหัส GEN ALPHA เจนแห่งอนาคต

สถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน หรือ HILL ASEAN เปิดเผยผลการศึกษาฉบับล่าสุด “THAI GEN ALPHA: ถอดรหัสเด็กเจนใหม่สู่ brand engagement ที่ตรงใจยิ่งขึ้น” ในงาน HILL ASEAN SEI-KATSU-SHA CLUB INSIGHT SESSION 2025 ทำไมต้อง Gen Alpha? เจเนอเรชันที่เกิดท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หล่อหลอมให้กลายเป็นเจนแห่งอนาคตผู้ทรงอิทธิพลทั้งในแง่เศรษฐกิจและสังคม

สถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (Hakuhodo Institute of Life and Living ASEAN) หรือ HILL ASEAN ร่วมกับ Hakuhodo International Thailand เปิดเผยผลการศึกษาฉบับล่าสุดในหัวข้อ “THAI GEN ALPHA: ถอดรหัสเด็กเจนใหม่สู่ brand engagement ที่ตรงใจยิ่งขึ้น” โดยมุ่งไปที่กลุ่มเจเนอเรชันอัลฟ่า (Generation Alpha) ในประเทศไทย เป็นกลุ่มคนที่เกิดระหว่างปีค.ศ. 2010 - 2024 หรือเด็กอายุ 0–14 ปีในปัจจุบัน ในเชิงประชากรคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15% (9.9 ล้านคน)* เป็นกลุ่มที่สืบต่อจาก Gen Z และเริ่มเป็นที่จับตามองของนักการตลาดและผู้ประกอบการในฐานะกลุ่มคนที่จะก้าวมาเป็นผู้จับจ่ายหลักในอนาคต

ทำไม? ต้องศึกษา Thai Gen Alpha
 

HILL ASEAN ได้ทำการวิจัยกลุ่ม Gen Alpha ในประเทศไทย โดยใช้มุมมองที่ครอบคลุมทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรม ค่านิยม แนวทางการจับจ่ายและการใช้สื่อ ผ่านมุมมองของตัวเด็กเอง ซึ่ง Gen Alpha เกิดจากพ่อแม่ยุคใหม่ที่แต่งงานและมีลูกช้าลง ทำให้มีความพร้อมในการเลี้ยงดูลูก มีความมั่นคงทางอารมณ์ และการเงินมากขึ้น ประกอบกับครอบครัวมีขนาดเล็กลง ทำให้เด็กได้รับความใส่ใจแบบเฉพาะบุคคล ส่งผลต่อความมั่นใจและการสร้างตัวตนที่ชัดเจนของ Gen Alpha ที่เพิ่มมากขึ้นกว่าคนรุ่นก่อนๆ

ขณะเดียวกัน ภายใต้บริบทสังคมที่เปลี่ยนไป และมีความซับซ้อนมากขึ้นทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง ทำให้ครอบครัวต้องปรับตัวและวางแผนอย่างยืดหยุ่น Gen Alpha จึงเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ให้คุณค่ากับการปรับตัวให้รวดเร็ว และมีแนวคิดแบบก้าวหน้า และด้วยอิทธิพลของเทคโนโลยี การพัฒนาอย่างรวดเร็วของ AI ทำให้ Gen Alpha สามารถเข้าถึงข้อมูล และวัฒนธรรมจากทั่วโลกได้อย่างไม่เคยมีมาก่อน ส่งผลให้กลายเป็นรุ่นที่มีความรู้รอบตัว มีพฤติกรรมและแนวคิดที่สอดคล้องกันกับเด็ก Gen Alpha ทั่วโลก

5 คุณลักษณะสำคัญของ Thai Gen Alpha

จากผลการศึกษา เด็ก Gen Alpha ของไทย พบลักษณะเด่นที่สำคัญ 5 ประการ ได้แก่

1. Generation with Resilience mind: พลังความอึด ลุกขึ้นสู้ต่อ ในโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย

เด็กไทย Gen Alpha เติบโตท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว พวกเขามีความยืดหยุ่นสูงจากการเลี้ยงดูที่เน้นทักษะเอาตัวรอด (“Survival skill” with 3C: communication, collaboration and co-creation), แนวคิดสู้ไม่ถอย* และ เปิดใจรับฟังผู้อื่น* (“ฉันรับฟังและยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น” Gen Alpha 74% vs Gen Z 70%) เป็นพลังในการเติบโต พวกเขาจึงสามารถปรับตัวและรับมือกับความไม่แน่นอนได้ตั้งแต่เล็ก เช่น มีมุมมองที่ว่า “ฉันจะพยายามต่อไปจนกว่าจะทำได้ดีขึ้น” Gen Alpha 72% ขณะที่ Gen Z อยู่ที่ 55%

2. Multi-nique Skillset: ทักษะหลากหลาย หาความถนัดเฉพาะตัว ต่อยอดอนาคต

ในโลกที่เปลี่ยนเร็วอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน การคาดการณ์เส้นทางอาชีพในอนาคตจึงเป็นเรื่องท้าทาย เด็ก Gen Alpha และพ่อแม่เริ่มให้ความสำคัญกับความสามารถเฉพาะทางที่ไม่จำกัดแค่การเรียนในระบบ* พวกเขาหันมาสนใจกีฬา ศิลปะ ทักษะเฉพาะทาง การเงินและอื่นๆ เพื่อสร้างความมั่นคง เสริมโอกาสที่จะสำเร็จในอนาคต โดย Gen Alpha ให้ความสนใจกีฬาอยู่ที่ 60% ขณะที่ Gen Z อยู่ที่ 53% แต่ด้านการเรียน Gen Alpha สนใจที่  62% น้อยกว่า Gen Z ซึ่งอยู่ที่ 79% นอกจากนี้ยังมีทักษะที่พวกเขาให้ความสำคัญ เช่น ด้านการเงิน Gen Alpha 38% ขณะที่ Gen Z อยู่ที่ 27% และ “ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง” (Gen Alpha 31% vs Gen Z 20%),

3. ความโปร่งใสในครอบครัว: หัวใจสำคัญในการเสริมสร้างความเชื่อใจ ระหว่างพ่อแม่-ลูก

จากอิทธิพลของ social media และสื่อดิจิทัลที่รายล้อมตัวลูกอยู่ตลอดเวลา พ่อแม่ Gen Alpha รู้ว่าไม่สามารถดูแลและควบคุมลูกให้อยู่ในสายตาได้แบบสมบูรณ์ จึงเน้นสร้าง “trust” หรือความเชื่อใจกันเพื่อผูกใจกับลูก พยายามปรับตัวสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นกันเอง เปิดกว้างให้ลูกแชร์ความรู้สึกนึกคิดและร่วมลองผิดลองถูกไปด้วยกันมากขึ้น ถือเป็นการเสริมสร้างความไว้วางใจและความเคารพซึ่งกันและกันในแบบที่ต่างจากการยุคก่อน โดยเด็ก Gen Alpha 71%  มองว่าพ่อแม่เหมือนเพื่อน ที่สามารถพูดคุยได้อย่างเปิดใจ และ 62% เชื่อว่า “พ่อแม่ให้ตัดสินใจเอง เพราะพวกเขาเชื่อมั่นในการตัดสินใจของฉัน

4. พฤติกรรมสื่อใหม่ Thai Gen Alpha: หน้าจอคือเครื่องมือเรียนรู้, YouTube คือ search engineฝGen Alpha มองสื่อดิจิทัลในแง่บวก เห็นว่าเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ สร้างสรรค์ และสื่อสาร พวกเขายังมีความตระหนักรู้ในการเสพติดหน้าจอมากกว่า Gen Z* (“ฉันมีความกังวลว่าตัวเองอาจติดสมาร์ตโฟน” (Gen Alpha 27% vs Gen Z 10%) นอกจากนี้ การเล่นเกมเปรียบเสมือนเป็น “ภาษาร่วม” ระหว่างเพศและวัย และยังนิยมใช้ YouTube เมื่อต้องการค้นหาข้อมูลแทนการใช้ search engine แบบดั้งเดิม โดยแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ Gen Alpha ชื่นชอบ 59% คือ YouTube เทียบกับ Google Search ที่ 5%

5. “Logical Initiators”: นักเจรจาตัวยง ใช้ logic เพื่อโน้มน้าว/ต่อรองกับพ่อแม่ในการจับจ่าย

เด็กไทย Gen Alpha เติบโตมากับพ่อแม่ที่ส่งเสริมการใช้เหตุผล ไม่ใช่การตามใจหรือการปฏิเสธแบบไม่อธิบาย พวกเขาจึงมีความสามารถในการโน้มน้าวและเจรจาอย่างมีเหตุผลในการตัดสินใจซื้อ โดยถึงแม้อายุยังน้อย กว่า 42% เชื่อว่าตนเองมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของพ่อแม่ และหลายคนยังชอบไปซื้อของที่ร้านใกล้ตัวมากกว่า online shopping* เนื่องจากอาจเพิ่มโอกาสในการโน้มน้าวพ่อแม่ รวมถึงได้สำรวจของหรือเทรนด์ใหม่ๆ อีกด้วย โดย 77% ของเด็ก Gen Alpha ชอบไปซื้อของที่ร้านมากกว่าออนไลน์

แบรนด์ปรับกลยุทธ์มองหาแนวทางสนับสนุน Gen Alpha

จากทัศนคติและพฤติกรรมของ Gen Alpha  แบรนด์ในฐานะ “Mediator” หรือ "ตัวกลางในการเชื่อมต่อ" ระหว่างพ่อแม่ลูก สามารถช่วยส่งเสริมเพิ่มโอกาสให้เด็ก Gen Alpha เป็น Decision maker ในครอบครัว พร้อมเข้าไปสนับสนุนการพัฒนาทักษะในการใช้ชีวิต (life skill) ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์ความสนใจของ Gen Alpha ได้อย่างตรงเป้าหมาย พร้อมปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาด ดังนี้

จาก “Unique Selling Point” สู่ “Unique Skill Point”

เปลี่ยนจากการเน้นคุณสมบัติของสินค้า ไปสู่การเป็นแบรนด์ที่ส่งเสริมทักษะชีวิต ให้ทั้งเด็กและครอบครัว ผ่านกิจกรรมที่น่าจดจำ เช่นไอเดีย “Fam-perience Boot Camp”

จาก “ทำดีเพื่อให้เชื่อใจ ที่ได้ผลทางนามธรรม” สู่ “ทำดีที่ เห็นผลชัดเจน”
เปลี่ยนพฤติกรรมทำดีเพื่อเพิ่มความเชื่อใจให้จับต้องได้ โดยใช้เครื่องมือวัดและให้รางวัลพฤติกรรมดี ๆ เด็กจะรู้สึกภูมิใจ และพ่อแม่ก็ไว้วางใจมากขึ้น เช่นไอเดีย แอป neGoodtiate ให้เด็กบันทึกสิ่งดี ๆ ที่ทำในแต่ละวัน แลกเป็นสิทธิพิเศษจากแบรนด์

จาก “พ่อแม่เลือก” สู่ “ลูกเลือกเอง”
การจัดกิจกรรมหน้าร้านที่เปิดโอกาสให้เด็กเป็นผู้เลือกเอง เสริมความมั่นใจและความคิดสร้างสรรค์ เช่น “Kid-select Flip Shopping Challenge: เปิดโอกาสให้ลูกได้เลือกเสื้อผ้าให้พ่อแม่ ปิดท้ายด้วย fashion show จากพ่อแม่ที่ใส่เสื้อผ้าที่ลูกเลือกให้”

จาก “เกมเพื่อความบันเทิง” สู่ “เกมเพื่อการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ”

แบรนด์อาจลองไอเดีย “Captain Kid online shopping platform” ที่สอนเด็กให้รู้จักวางแผนการใช้เงินและจับจ่ายซ้อของเข้าบ้าน  โดยมี AI consultant คอยแนะนำการวางแผนซื้อของ และช่วยคิดวิธีเจรจาอย่างชาญฉลาดกับพ่อแม่

ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน พ่อแม่ยุคใหม่คือพลังสำคัญที่กำลังหล่อหลอมอนาคตของ Generation Alpha ผ่านแนวทางการเลี้ยงดูที่ต่างไปจากอดีต พวกเขาไม่เพียงต้องปรับตัวให้ทันกับโลกยุคใหม่ แต่ยังต้องสร้างครอบครัวในแบบที่ตอบโจทย์บริบทและความท้าทายเฉพาะของยุคสมัย และด้วยความรัก ความอดทน และการเสียสละของพ่อแม่กลายเป็นแรงผลักดันที่ทรงพลัง ซึ่งกำลังวางรากฐานให้กับคนรุ่นใหม่ เจเนอเรชันที่อาจเป็นผู้เปลี่ยนแปลงโลกในวันข้างหน้า

สภาฯสาธารณสุขชุมชนฯ นำร่องรางวัลนักสาธารณสุขทองคำ 2566 สร้างต้นแบบผู้นำตลาดสุขภาพแห่งอนาคต

นายแพทย์กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข  เปิดเผยว่า ระบบสาธารณสุขถือเป็นโครงสร้างใหญ่ของประเทศที่ต้องให้ความสำคัญ การจัดการด้านสาธารณสุขมีประสิทธิภาพ ได้ศักยภาพ ถือเป็นภารกิจสำคัญของประเทศ เนื่องจากประชากรในประเทศมีสุขภาพร่างกายและคุณภาพชีวิตที่ดี ลดการเจ็บป่วย ก้าวสู่สังคมแห่งสุขภาวะที่ดี จะส่งผลดีต่อกลไกทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้มีความมั่นคง เนื่องจากประเทศมีประชากรวัยทำงานสามารถใช้กำลังแลความสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ในขณะเดียวกับคนเจ็บป่วยลดลง ก็จะช่วยให้การบริหารจัดการงบด้านสาธารณสุขมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

ทั้งนี้สภาการสาธารณสุขชุมชน ได้จัดงานประชุมวิชาการสภาการสาธารณสุขชุมชนระดับชาติ ประจำปี 2566 เรื่อง Interdisciplinary Public Health for Human Well-being and Environment : สู่เส้นทางนักสาธารณสุขทองคำ เพื่อเป็นเวทีนำเสนอผลงานวิชาการ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ องค์ความรู้ ข้อมูลข่าวสาร ประสบการณ์ การทำงานทางวิชาการ งานวิจัยแลนวัตกรรม พร้อมขยายผลการพัฒนาองค์ความรู้และบทเรียนจากการปฏิบัติหน้าที่ให้บริการด้านสาธารณสุขในระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชนและสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ นำไปพัฒนาต่อยอด งานวิจัยและสร้างมาตรฐานวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนที่เกี่ยวกับขอบเขตการประกอบวิชาชีพการ สาธารณสุขชุมชน รวมถึงเป็นการเชิดชูเกียรตินักสาธารณสุขที่อุทิศตนด้วยความเสียสละในการพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งให้แก่ ระบบบริการสาธารณสุขที่ส่งผลดีต่อสุขภาพของประชาชนในระดับพื้นที่ ชุมชน และระดับประเทศ

นายไพศาล  บางชวด นายกสภาการสาธารณสุขชุมชน เปิดเผยว่า การจัดงานประชุมวิชาการฯ ถือเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับการพัฒนาศักยภาพและขยายเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการกับสถาบันการศึกษาที่ผลิตบัณฑิตด้านสาธารณสุขระดับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั้ง 6 ภูมิภาคของประเทศ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม องค์กรภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคท้องถิ่น ภาคธุรกิจเอกชน เพื่อส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการให้มีผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีคุณภาพ และเกิดการยอมรับในแวดวงวิชาการและวิชาชีพทางด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ทั้งในหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ เอกชน ภาคท้องถิ่นคณาจารย์ นักสาธารณสุข นักวิชาการ นักวิจัย นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไป

นอกจากนี้ยังได้นำร่องโครงการ นักสาธารณสุขทองคำ๒๕๖๖ (Golden Health Professional Award 2023) เป็นปีแรก เพื่อสร้างต้นแบบ นักสาธารณสุข ด้วยเป้าหมายวาระผู้นำแห่งตลาดสุขภาพในอนาคตกับมาตรฐานวิชาชีพ เพื่อให้ทันต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล  และสร้างแรงจูงใจให้กับนักสาธารณสุขที่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนได้มีการพัฒนาต่อยอดการดำเนินกิจกรรมด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมให้ประเทศไทยบรรลุเป็นสังคมแห่งสุขภาวะที่ดีและนำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมทางสุขภาพ เป็นกลไกสำคัญด้านการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หากสามารถสร้างให้ประชากรในประเทศมีสุขภาพดี ปลอดโรค ก็จะช่วยสถานการณ์เงินส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นส่งผลต่อความมั่นคงต่อเศรษฐกิจมหภาค และความมั่นคงของประเทศได้อย่างยั่งยืน

รางวัลนักสาธารณสุขทองคำมีวัตถุประสงค์เพื่อวางต้นแบบการโค้ชผู้นำวาระแห่งการเปลี่ยนแปลงในระดับลึก (Coaching for Transformation Agenda) ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงของสมาชิกและผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนในสถานการณ์ ที่ต้องเผชิญทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน และมุ่งขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายวาระผู้นำแห่งตลาดสุขภาพในอนาคตกับมาตรฐานวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน และเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับนักสาธารณสุขที่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนได้มีการพัฒนาและต่อยอดการดำเนินกิจกรรมด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ นักสาธารณสุขทองคำ ประเภทที่ 1 รางวัลนักสาธารณสุขทองคำสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน ที่มีความเป็นเลิศด้านการส่งเสริมสุขภาพ ประเภทที่ 2 รางวัลนักสาธารณสุขทองคำสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน ที่มีความเป็นเลิศด้านการป้องกันและควบคุมโรค และประเภทที่ 3 รางวัลนักสาธารณสุขทองคำสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนที่มีความเป็นเลิศด้านอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม โดยมีผู้ได้รับรางวัล 26 คน 

รายชื่อผู้ได้รับรางวัลนักสาธารณสุขทองคำ

ประเภทที่ 1 ต้นแบบนักสาธารณสุขที่มีความเป็นเลิศด้านการป้องกันโรคและควบคุมโรค มีการจัดระบบข้อมูลการเกิดโรค การพยากรณ์สถานการณ์ การเฝ้าระวังป้องกันโรค ควบคุมโรค การตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน และเสี่ยงภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมีนักสาธารณสุขที่ได้รับรางวัลเหรียญนักสาธารณสุขทองคำ พร้อมโล่เชิดชูเกียรติ 

และใบประกาศเกียรติคุณ 8 ท่าน

1. คุณสุรชาติ โกยดุลย์ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 11 จังหวัดนครศรีธรรมราช 

2. คุณจักรพันธ์ ถอดเขี้ยว โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชตะพานหิน จังหวัดพิจิตร

3. คุณฆาลิตา วารีวนิช สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 11 จังหวัดนครศรีธรรมราช

4. คุณบุญวัฒน์ ไทรย้อย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลวัดโคกเกตุ จังหวัดสมุทรสงคราม

5. คุณอัครา คณาดี โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านนาสะเม็ง จังหวัดมุกดาหาร

6. คุณภาสกร กิติศรีวรพันธุ์ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม

7. คุณศศิกานต์ มาลากิจสกุล สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 3 จังหวัดนครสวรรค์

8. .คุณวัชระ เกตุทอง สำนักงานสาธารณสุขอำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา

และนอกจานี้ยังมีผู้ได้รับรางวัลโล่เชิดชูเกียรตินักสาธารณสุขทองคำ และใบประกาศเกียรติคุณ 2 ท่าน

1. คุณอธิวัตร์ ป้อมพิมพ์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านหัววัง จังหวัดสุพรรณบุรี

2. คุณสุพัตรศรี แซ่ก๊วย กรมอนามัย จังหวัดนนทบุรี

ประเภทที่ 2 นักสาธารณสุขที่มีความเป็นเลิศด้านอาชีวอนามัยและอนามัยสิ่งแวดล้อม สามารถจัดการระบบข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สารเคมี มลพิษ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ  ตั้งแต่ขั้นตอนการวิเคราะห์ เฝ้าระวัง การคัดกรอง เก็บตัวอย่างเพื่อส่งตรวจได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีผู้ได้รับรางวัลเหรียญนักสาธารณสุขทองคำ พร้อมโล่ และใบประกาศเกียรติคุณ 4 ท่าน

1. คุณรุ่งเรือง ลาดบัวขาว สำนักงานสาธารณสุข จังหวัดหนองบัวลำภู

2. คุณนพรัตน์ กันชะธง กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลตำบลบ้านกลาง จังหวัดเชียงใหม่

3. คุณสุบัน โสขวัญฟ้า โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านก้านเหลือง จังหวัดบุรีรัมย์

4. คุณนิพันธ์ มุสิกะวัน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านเขาเจ็ดลูก จังหวัดพิจิตร

และยังมีผู้ที่ได้รับรางวัลโล่เชิดชูเกียรตินักสาธารณสุขทองคำ และใบประกาศเกียรติคุณ 1 ท่าน

1. คุณชัยภัทร กรรเชียง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านใหม่จำบอน จังหวัดลำปาง

ประเภทที่ 3 นักสาธารณสุขที่มีความเป็นเลิศด้านการส่งเสริมสุขภาพ สามารถวิเคราะห์ข้อมูล ให้คำปรึกษาแนะนำให้ความรู้ การคัดกรอง การส่งเสริมสุขภาพที่เหมาะสม ปลอดภัย ในระดับบุคคลทุกกลุ่มวัย ระดับครอบครัว และชุมชนได้อย่างมีมาตรฐาน มีผู้ได้รับรางวัลเหรียญนักสาธารณสุขทองคำ พร้อมโล่เชิดชูเกียรติ และใบประกาศเกียรติคุณ 8 ท่าน

2. คุณสมศรี โพธิ์ประสิทธิ์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดอนทราย จังหวัดราชบุรี

3. คุณนิรันดร์ จันทร์ชัย องค์การบริหารส่วนตำบลกรอกสมบูรณ์ จังหวัดปราจีนบุรี

4. คุณภาณุรักษ์ แก้วน้อย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองสะเดา จังหวัดสุพรรณบุรี

5. คุณภควันต์ จันต๊ะ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลปอน จังหวัดน่าน

6. คุณสัญชัย ฉิมพาลี สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี จังหวัดตราด

7. คุณสนอง นิลวิจิตร โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านโคกแร่ จังหวัดบุรีรัมย์

8. คุณพิสิษฐ์ สมงาม สำนักงานสาธารณสุขอำเภอจุน จังหวัดพะเยา

9. คุณพุทธิดา จันทร์ดอนแดง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแก้งเหนือ จังหวัดอุบลราชธานี

และนอกจากนี้ยังมีผู้ที่ได้รับรางวัลโล่เชิดชูเกียรตินักสาธารณสุขทองคำ และใบประกาศเกียรติคุณ 3 ท่าน

1. คุณนีรนุช เสียงเลิศ โรงพยาบาลพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด

2. คุณสุพัตรา ชาวงษ์ โรงพยาบาล 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ จังหวัดอุบลราชธานี  

3. คุณดวงรัตน์ จรัสพันธ์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสาวะถี จังหวัดขอนแก่น

สภาฯสาธารณสุขชุมชนฯ นำร่องรางวัลนักสาธารณสุขทองคำ 2566 สร้างต้นแบบผู้นำตลาดสุขภาพแห่งอนาคต

นายแพทย์กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข  เปิดเผยว่า ระบบสาธารณสุขถือเป็นโครงสร้างใหญ่ของประเทศที่ต้องให้ความสำคัญ การจัดการด้านสาธารณสุขมีประสิทธิภาพ ได้ศักยภาพ ถือเป็นภารกิจสำคัญของประเทศ เนื่องจากประชากรในประเทศมีสุขภาพร่างกายและคุณภาพชีวิตที่ดี ลดการเจ็บป่วย ก้าวสู่สังคมแห่งสุขภาวะที่ดี จะส่งผลดีต่อกลไกทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้มีความมั่นคง เนื่องจากประเทศมีประชากรวัยทำงานสามารถใช้กำลังแลความสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ในขณะเดียวกับคนเจ็บป่วยลดลง ก็จะช่วยให้การบริหารจัดการงบด้านสาธารณสุขมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

ทั้งนี้สภาการสาธารณสุขชุมชน ได้จัดงานประชุมวิชาการสภาการสาธารณสุขชุมชนระดับชาติ ประจำปี 2566 เรื่อง Interdisciplinary Public Health for Human Well-being and Environment : สู่เส้นทางนักสาธารณสุขทองคำ เพื่อเป็นเวทีนำเสนอผลงานวิชาการ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ องค์ความรู้ ข้อมูลข่าวสาร ประสบการณ์ การทำงานทางวิชาการ งานวิจัยแลนวัตกรรม พร้อมขยายผลการพัฒนาองค์ความรู้และบทเรียนจากการปฏิบัติหน้าที่ให้บริการด้านสาธารณสุขในระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชนและสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ นำไปพัฒนาต่อยอด งานวิจัยและสร้างมาตรฐานวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนที่เกี่ยวกับขอบเขตการประกอบวิชาชีพการ สาธารณสุขชุมชน รวมถึงเป็นการเชิดชูเกียรตินักสาธารณสุขที่อุทิศตนด้วยความเสียสละในการพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งให้แก่ ระบบบริการสาธารณสุขที่ส่งผลดีต่อสุขภาพของประชาชนในระดับพื้นที่ ชุมชน และระดับประเทศ

นายไพศาล  บางชวด นายกสภาการสาธารณสุขชุมชน เปิดเผยว่า การจัดงานประชุมวิชาการฯ ถือเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับการพัฒนาศักยภาพและขยายเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการกับสถาบันการศึกษาที่ผลิตบัณฑิตด้านสาธารณสุขระดับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั้ง 6 ภูมิภาคของประเทศ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม องค์กรภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคท้องถิ่น ภาคธุรกิจเอกชน เพื่อส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการให้มีผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีคุณภาพ และเกิดการยอมรับในแวดวงวิชาการและวิชาชีพทางด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ทั้งในหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ เอกชน ภาคท้องถิ่นคณาจารย์ นักสาธารณสุข นักวิชาการ นักวิจัย นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไป

นอกจากนี้ยังได้นำร่องโครงการ นักสาธารณสุขทองคำ๒๕๖๖ (Golden Health Professional Award 2023) เป็นปีแรก เพื่อสร้างต้นแบบ นักสาธารณสุข ด้วยเป้าหมายวาระผู้นำแห่งตลาดสุขภาพในอนาคตกับมาตรฐานวิชาชีพ เพื่อให้ทันต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล  และสร้างแรงจูงใจให้กับนักสาธารณสุขที่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนได้มีการพัฒนาต่อยอดการดำเนินกิจกรรมด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมให้ประเทศไทยบรรลุเป็นสังคมแห่งสุขภาวะที่ดีและนำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมทางสุขภาพ เป็นกลไกสำคัญด้านการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หากสามารถสร้างให้ประชากรในประเทศมีสุขภาพดี ปลอดโรค ก็จะช่วยสถานการณ์เงินส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นส่งผลต่อความมั่นคงต่อเศรษฐกิจมหภาค และความมั่นคงของประเทศได้อย่างยั่งยืน

รางวัลนักสาธารณสุขทองคำมีวัตถุประสงค์เพื่อวางต้นแบบการโค้ชผู้นำวาระแห่งการเปลี่ยนแปลงในระดับลึก (Coaching for Transformation Agenda) ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงของสมาชิกและผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนในสถานการณ์ ที่ต้องเผชิญทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน และมุ่งขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายวาระผู้นำแห่งตลาดสุขภาพในอนาคตกับมาตรฐานวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน และเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับนักสาธารณสุขที่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนได้มีการพัฒนาและต่อยอดการดำเนินกิจกรรมด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ นักสาธารณสุขทองคำ ประเภทที่ 1 รางวัลนักสาธารณสุขทองคำสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน ที่มีความเป็นเลิศด้านการส่งเสริมสุขภาพ ประเภทที่ 2 รางวัลนักสาธารณสุขทองคำสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน ที่มีความเป็นเลิศด้านการป้องกันและควบคุมโรค และประเภทที่ 3 รางวัลนักสาธารณสุขทองคำสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนที่มีความเป็นเลิศด้านอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม โดยมีผู้ได้รับรางวัล 26 คน 

รายชื่อผู้ได้รับรางวัลนักสาธารณสุขทองคำ

ประเภทที่ 1 ต้นแบบนักสาธารณสุขที่มีความเป็นเลิศด้านการป้องกันโรคและควบคุมโรค มีการจัดระบบข้อมูลการเกิดโรค การพยากรณ์สถานการณ์ การเฝ้าระวังป้องกันโรค ควบคุมโรค การตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน และเสี่ยงภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมีนักสาธารณสุขที่ได้รับรางวัลเหรียญนักสาธารณสุขทองคำ พร้อมโล่เชิดชูเกียรติ 

และใบประกาศเกียรติคุณ 8 ท่าน

1. คุณสุรชาติ โกยดุลย์ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 11 จังหวัดนครศรีธรรมราช 

2. คุณจักรพันธ์ ถอดเขี้ยว โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชตะพานหิน จังหวัดพิจิตร

3. คุณฆาลิตา วารีวนิช สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 11 จังหวัดนครศรีธรรมราช

4. คุณบุญวัฒน์ ไทรย้อย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลวัดโคกเกตุ จังหวัดสมุทรสงคราม

5. คุณอัครา คณาดี โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านนาสะเม็ง จังหวัดมุกดาหาร

6. คุณภาสกร กิติศรีวรพันธุ์ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม

7. คุณศศิกานต์ มาลากิจสกุล สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 3 จังหวัดนครสวรรค์

8. .คุณวัชระ เกตุทอง สำนักงานสาธารณสุขอำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา

และนอกจานี้ยังมีผู้ได้รับรางวัลโล่เชิดชูเกียรตินักสาธารณสุขทองคำ และใบประกาศเกียรติคุณ 2 ท่าน

1. คุณอธิวัตร์ ป้อมพิมพ์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านหัววัง จังหวัดสุพรรณบุรี

2. คุณสุพัตรศรี แซ่ก๊วย กรมอนามัย จังหวัดนนทบุรี

ประเภทที่ 2 นักสาธารณสุขที่มีความเป็นเลิศด้านอาชีวอนามัยและอนามัยสิ่งแวดล้อม สามารถจัดการระบบข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สารเคมี มลพิษ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ  ตั้งแต่ขั้นตอนการวิเคราะห์ เฝ้าระวัง การคัดกรอง เก็บตัวอย่างเพื่อส่งตรวจได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีผู้ได้รับรางวัลเหรียญนักสาธารณสุขทองคำ พร้อมโล่ และใบประกาศเกียรติคุณ 4 ท่าน

1. คุณรุ่งเรือง ลาดบัวขาว สำนักงานสาธารณสุข จังหวัดหนองบัวลำภู

2. คุณนพรัตน์ กันชะธง กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลตำบลบ้านกลาง จังหวัดเชียงใหม่

3. คุณสุบัน โสขวัญฟ้า โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านก้านเหลือง จังหวัดบุรีรัมย์

4. คุณนิพันธ์ มุสิกะวัน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านเขาเจ็ดลูก จังหวัดพิจิตร

และยังมีผู้ที่ได้รับรางวัลโล่เชิดชูเกียรตินักสาธารณสุขทองคำ และใบประกาศเกียรติคุณ 1 ท่าน

1. คุณชัยภัทร กรรเชียง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านใหม่จำบอน จังหวัดลำปาง

ประเภทที่ 3 นักสาธารณสุขที่มีความเป็นเลิศด้านการส่งเสริมสุขภาพ สามารถวิเคราะห์ข้อมูล ให้คำปรึกษาแนะนำให้ความรู้ การคัดกรอง การส่งเสริมสุขภาพที่เหมาะสม ปลอดภัย ในระดับบุคคลทุกกลุ่มวัย ระดับครอบครัว และชุมชนได้อย่างมีมาตรฐาน มีผู้ได้รับรางวัลเหรียญนักสาธารณสุขทองคำ พร้อมโล่เชิดชูเกียรติ และใบประกาศเกียรติคุณ 8 ท่าน

2. คุณสมศรี โพธิ์ประสิทธิ์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดอนทราย จังหวัดราชบุรี

3. คุณนิรันดร์ จันทร์ชัย องค์การบริหารส่วนตำบลกรอกสมบูรณ์ จังหวัดปราจีนบุรี

4. คุณภาณุรักษ์ แก้วน้อย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองสะเดา จังหวัดสุพรรณบุรี

5. คุณภควันต์ จันต๊ะ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลปอน จังหวัดน่าน

6. คุณสัญชัย ฉิมพาลี สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี จังหวัดตราด

7. คุณสนอง นิลวิจิตร โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านโคกแร่ จังหวัดบุรีรัมย์

8. คุณพิสิษฐ์ สมงาม สำนักงานสาธารณสุขอำเภอจุน จังหวัดพะเยา

9. คุณพุทธิดา จันทร์ดอนแดง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแก้งเหนือ จังหวัดอุบลราชธานี

และนอกจากนี้ยังมีผู้ที่ได้รับรางวัลโล่เชิดชูเกียรตินักสาธารณสุขทองคำ และใบประกาศเกียรติคุณ 3 ท่าน

1. คุณนีรนุช เสียงเลิศ โรงพยาบาลพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด

2. คุณสุพัตรา ชาวงษ์ โรงพยาบาล 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ จังหวัดอุบลราชธานี  

3. คุณดวงรัตน์ จรัสพันธ์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสาวะถี จังหวัดขอนแก่น