GULF เคาะดบ.หุ้นกู้อายุ 3 - 10 ปี ที่ 1.76 – 2.37% ต่อปี ชู 5 เหตุผลที่ควรลงทุน

บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ประกาศอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ทั้ง 4 ชุด อายุหุ้นกู้ระหว่าง 3 -10 ปี โดยมีอัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง 1.76 – 2.37% ต่อปี พร้อมชี้ 5 เหตุผลที่ควรลงทุนกับ GULF 1) ธุรกิจมีความแข็งแกร่ง 2) ฐานะทางการเงินมีความมั่นคง 3) มีอันดับเครดิตสูงที่ “AA-” 4) ให้ผลตอบแทนมั่นคงและสม่ำเสมอ และ 5) เป็นเครื่องมือลงทุนที่เหมาะสมในภาวะเศรษฐกิจผันผวนและทิศทางดอกเบี้ยอยู่ในขาลง โดยหุ้นกู้ดังกล่าวพร้อมเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 10 แห่ง ระหว่างวันที่ 30 กันยายน และวันที่ 1-2 ตุลาคม 2568

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า GULF ประกาศอัตราดอกเบี้ยสำหรับหุ้นกู้ ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 4 ชุด  ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1.76% ต่อปี เสนอขายเฉพาะผู้ลงทุนสถาบัน และสำหรับอีก 3 ชุด เสนอขายให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป ได้แก่ หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.00% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.20% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.37% ต่อปี

“หุ้นกู้ GULF พร้อมเสนอขายให้กับนักลงทุนทุกประเภทในระหว่างวันที่ 30 กันยายน และวันที่ 1-2 ตุลาคมนี้ ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 10 แห่ง ซึ่งทางบริษัทมั่นใจว่าหุ้นกู้ชุดนี้จะได้รับการตอบรับที่ดี ด้วยปัจจัยหลายประการ โดยเฉพาะจากความแข็งแกร่งทางธุรกิจ และความมั่นคงด้านฐานะทางการเงินของ GULF ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนที่กำลังมองหาโอกาสการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีคุณภาพและให้อัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม ท่ามกลางความไม่แน่นอนและความท้าทายของเศรษฐกิจในปัจจุบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF กล่าว

ด้านสถาบันการเงินผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ GULF เปิดเผยว่า “หุ้นกู้ GULF ที่ออกและเสนอขายในครั้งนี้ มีจุดเด่นที่น่าสนใจ อันประกอบด้วย ธุรกิจที่แข็งแกร่ง โดยธุรกิจภายใต้การดำเนินงานของ GULF ครอบคลุมธุรกิจพลังงาน ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ ธุรกิจโทรคมนาคมและดาวเทียม และธุรกิจดิจิทัล ซึ่งล้วนเป็นธุรกิจมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมั่นคง อยู่ในเมกะเทรนด์ และมีความจำเป็นต่อผู้คนในวงกว้าง ด้านฐานะทางการเงินที่มั่นคง ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 742,205 ล้านบาท มีส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 346,100 ล้านบาท และมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิ (รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) ต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ต้องดำรงตามข้อกำหนดสิทธิอยู่ที่ 0.87 เท่า ซึ่งต่ำกว่าเงื่อนไขและข้อตกลงที่กำหนดสำหรับหุ้นกู้ของบริษัทฯ ที่ 3.50 เท่า”

“นอกจากนี้ หุ้นกู้ GULF ยังมีอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “AA-” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จัดอันดับโดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด โดยทริสระบุว่า อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนสถานะความเป็นผู้นำของบริษัทฯ ในธุรกิจผลิตไฟฟ้าภายในประเทศ รวมถึงการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่มีการกระจายตัวดี และความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงจากการมีสัญญาซื้อขายไฟระยะยาวจากทางภาครัฐ นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงรายได้จากเงินปันผล และส่วนแบ่งกำไรจำนวนมากที่บริษัทฯ ได้รับจากการลงทุนในหลายกิจการ โดยเฉพาะจากบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (ADVANC) ทั้งนี้ อันดับเครดิตดังกล่าวทำให้หุ้นกู้ GULF เป็นหุ้นกู้ที่มีศักยภาพในการชำระหนี้สูง รวมถึงให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ โดยกำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือน”

“พร้อมกันนี้ เราเชื่อว่า การลงทุนในหุ้นกู้ GULF จะเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีที่จะช่วยบริหารพอร์ตให้กับผู้ลงทุน โดยเฉพาะในช่วงภาวะดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มขาลง เพื่อลดความเสี่ยงโดยรวม และเพิ่มความมั่นคงให้กับพอร์ตการลงทุน” สถาบันการเงินผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ GULF ระบุ

ปัจจุบัน GULF ดำเนินธุรกิจในลักษณะ Holding Company ครอบคลุม 5 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจพลังงาน ในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนชั้นนำของประเทศ ที่ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ และจากพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจก๊าซ ในการจัดหา นำเข้า และจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักที่มีความสำคัญต่อการผลิตไฟฟ้า ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้แก่ประเทศไทย ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ ที่มุ่งเน้นส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนผ่านโครงการในระดับเมกะโปรเจกต์ ธุรกิจโทรคมนาคมและดาวเทียม ผ่านการถือหุ้นในบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (ADVANC)  และบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) (THCOM) ธุรกิจดิจิทัล ร่วมเป็นพันธมิตรระดับโลกกับ Google, Oracle, Singtel และ Binance ในธุรกิจด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เช่น ศูนย์ข้อมูล (Data Center) ธุรกิจคลาวด์ (Cloud) และธุรกิจการให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล โดยทั้งหมดนี้ ทางบริษัทฯ มุ่งดำเนินธุรกิจภายใต้หลักธรรมาภิบาลและการพัฒนาอย่างยั่งยืน

GULF เสนอขายหุ้นกู้ในระหว่างวันที่ 30 กันยายน และวันที่ 1-2 ตุลาคม 2568 โดยผู้ที่สนใจจองซื้อสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวนการเสนอขายหุ้นกู้ได้ที่ www.sec.or.th  หรือสอบถามผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้  ดังต่อไปนี้

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Bangkok Bank Mobile Banking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา

ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1111 หรือจองซื้อออนไลน์บนแอปฯ Krungthai NEXT ผ่านระบบ Money Connect by Krungthai สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โทร. 1572 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ krungsri app สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา

ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-888-8888 กด 869 หรือจองซื้อผ่านเว็บไซต์ K-My Invest (www.kasikornbank.com/kmyinvest) สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย (ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย)

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-777-6784 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ SCB EASY สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย (ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์)

ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ CIMB Thai สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา

ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) โทร. 1428 กด #4 (ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารทหารไทยธนชาต)

ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) โทร. 02-285-1555

บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Dime! สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา (ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร)

บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050

ทรู เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่เครดิต “A+” ทางเลือกลงทุนมั่นคง เสริมพอร์ตแข็งแกร่ง

วันที่ 12 กันยายน 2568 บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทโทรคมนาคมเทคโนโลยี ชั้นนำ ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2024 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 พร้อมเดินหน้าสู่อนาคตด้วยความมั่นคง เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป จำนวน 4 ชุด อายุระหว่าง 4 ถึง 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง [2.60 – 3.55]% ต่อปี และอันดับความน่าเชื่อถือ “A+” แนวโน้ม “คงที่” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ตอกย้ำความแข็งแกร่งของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในธุรกิจโทรคมนาคมและธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 30-31 ตุลาคม และวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 ผ่าน 7 สถาบันการเงินชั้นนำได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ซีไอเอ็มบีไทย ยูโอบี บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet โดยมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ 

นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้พิสูจน์ศักยภาพในฐานะบริษัทโทรคมนาคมและเทคโนโลยีชั้นนำของไทย ด้วยการรายงานผลกำไรสุทธิต่อเนื่องในสองไตรมาสแรกของปี 2568 โดยผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิหลังปรับปรุง (Normalized Net Profit) อยู่ที่ 8,520 ล้านบาท สะท้อนการบริหารต้นทุนและการสร้างรายได้ที่มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน EBITDA เติบโตอย่างต่อเนื่อง แสดงถึงกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งและวินัยทางการเงินที่ชัดเจน ซึ่งช่วยเสริมฐานะทางการเงินและความสามารถในการลงทุนระยะยาว สอดรับกลยุทธ์การขยายธุรกิจในตลาดโทรคมนาคมและเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 

นอกจากนี้ ปัจจุบันทรูยังครองความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์จากการประมูลคลื่นความถี่ ส่งผลให้เป็นผู้นำที่มีคลื่นความถี่ที่ครอบคลุมและครบมากที่สุดในไทยถึง 8 คลื่นความถี่ ทั้งคลื่นความถี่ต่ำ กลางและสูง ถือเป็นการเสริมศักยภาพของทรู พร้อมรองรับการเติบโตของเทคโนโลยี 5G, AI IoT และนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อคุณภาพชีวิตของคนไทย ยกระดับคุณภาพโครงข่ายเพื่อให้บริการลูกค้าทั่วประเทศให้ได้ประสบการณ์ที่ดีที่สุด สร้างรากฐานด้านการสื่อสารของประเทศให้ก้าวทันโลกดิจิทัล”  

ทั้งนี้ บริษัทและหุ้นกู้ที่จะเสนอขายในครั้งนี้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2568 ซึ่งสะท้อนถึงสถานะผู้นำทางการตลาด (market position) ในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ เสริมทัพด้วยโครงข่ายทั่วประเทศ ชุดคลื่นความถี่ที่ครอบคลุม และชื่อแบรนด์ที่ผู้บริโภคคุ้นเคย อีกทั้งปัจจัยบวกจากประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการควบรวม รวมถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่คาดว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคตอีกด้วย

ทางด้านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ กล่าวเพิ่มเติมว่า “หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 1.75% เป็น 1.50% ต่อปี เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา และตลาดมีการคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในการประชุมที่เหลือของปีนี้ ทำให้ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการล็อกผลตอบแทนระยะยาวผ่านการลงทุนในหุ้นกู้คุณภาพ” ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” หุ้นกู้ของทรูจึงเป็นทางเลือกการลงทุนที่โดดเด่น เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงควบคู่กับผลตอบแทนสม่ำเสมอ ในสภาวะดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลง

หุ้นกู้ที่เสนอขายในครั้งนี้จะเสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) จำนวน 4 ชุด โดยมีอายุหุ้นกู้ให้เลือกตั้งแต่ 4 ปี ถึง 10 ปี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนระยะกลาง และระยะยาว โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ชำระดอกเบี้ยคงที่ทุกๆ 6 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ และคาดว่าจะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 30-31 ตุลาคม และวันที่ 3 พฤศจิกายน สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ซึ่งบริษัทฯ หวังว่าหุ้นกู้ที่เสนอขายในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา โดยหุ้นกู้ทั้ง 4 ชุดที่เสนอขาย มีรายละเอียดดังนี้

1. หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [2.60 – 2.80]% ต่อปี

2. หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [2.95 – 3.10]% ต่อปี

3. หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.15 – 3.35]% ต่อปี

4. หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.35 – 3.55]% ต่อปี และผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดได้ตั้งแต่หุ้นกู้ครบปีที่ 5 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่

• ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking

• ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02 888 8888 กด 869 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)

• ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 777 6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) 

• ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 626 7777 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอป CIMB Thai 

• ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 285 1555

• บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02 680 4004

• บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 165 5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)

สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมถึงรายละเอียด ขั้นตอน และวิธีการสมัคร TrueMoney Wallet Application และวิธีการจองซื้อ ได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6

ทรูมันนี่ จับมือ ซีไอเอ็มบีไทย เปิดฟีเจอร์ใหม่ช่วยลงทุนหุ้นกู้ตลาดรองง่ายกว่าเดิม ครบจบในแอปเดียว

ทรูมันนี่ ผู้นำแพลตฟอร์มการเงินดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จับมือ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ผู้นำหุ้นกู้ตลาดรอง ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงการลงทุนในหุ้นกู้ตลาดรองได้ง่ายและสะดวกกว่าที่เคยผ่านแอป TrueMoney ด้วยการเปิดตัวฟีเจอร์ “บัญชีเพื่อการลงทุน” ใหม่ล่าสุดที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเปิดบัญชีซื้อและรับผลตอบแทนจากหุ้นกู้ตลาดรองได้ภายในแอปเดียว ไม่ต้องใช้เอกสาร โดยสามารถซื้อหุ้นกู้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถตรวจสอบรายการซื้อแบบเรียลไทม์ ตอบโจทย์นักลงทุนรุ่นใหม่และผู้ที่ต้องการผลตอบแทนมากกว่าการฝากเงิน

ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ การลงทุนในหุ้นกู้ตลาดรองมีขั้นตอนที่ซับซ้อน ต้องยื่นเอกสารหลายรายการ หรือต้องเดินทางไปธนาคารเปิดบัญชีเพื่อการลงทุนและบัญชีรับผลประโยชน์ ฟีเจอร์ใหม่นี้จะช่วยลดภาระของนักลงทุน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการเริ่มลงทุนในหุ้นกู้ตลาดรองด้วยการรวมทุกขั้นตอนไว้ในระบบดิจิทัลที่ใช้งานง่าย ครบ จบ ในแอปเดียว

โดยผู้ที่สนใจสามารถเริ่มต้นลงทุนในหุ้นกู้ตลาดรองผ่านแอป TrueMoney สามารถเริ่มลงทุนได้ตั้งแต่ 50,000 บาท รับผลตอบแทนมั่นคง 2–4% ต่อปี* และซื้อหุ้นกู้ได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องจองล่วงหน้า โดยจะมีการอัปเดตหุ้นกู้ใหม่ทุกวันศุกร์ ทั้งนี้ นักลงทุนยังสามารถเข้าถึงหุ้นกู้คุณภาพจากบริษัทชั้นนำในประเทศไทยที่ได้รับการคัดสรรมาเป็นพิเศษเฉพาะระดับ Investment Grade (BBB– ขึ้นไป) ทำให้นักลงทุนมั่นใจได้ถึงความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยในการลงทุน

นายธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด ผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน TrueMoney กล่าวว่า เรามุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเงินที่เข้าถึงง่าย เพื่อช่วยให้คนไทยสามารถบริหารการเงินและลงทุนได้ง่ายขึ้น การร่วมมือกับธนาคารซีไอเอ็มบีไทยในครั้งนี้ ทำให้เราสามารถเชื่อมโยงโลกของการออมแบบเดิมสู่การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ผ่านประสบการณ์การใช้งานและลงทุนที่ง่ายและปลอดภัยบนแอปเดียว

นายเพา จาตกานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจบริหารเงิน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า เรามีความยินดีที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับทรูมันนี่ เพื่อขยายโอกาสในการลงทุนในหุ้นกู้ตลาดรองให้กับนักลงทุนไทย ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนที่น่าเชื่อถือ พร้อมบริการดูแลบัญชีลงทุนที่ตอบโจทย์นักลงทุนชาวไทย การยกระดับประสบการณ์ร่วมกันในครั้งนี้จะช่วยให้การลงทุนในหุ้นกู้ตลาดรองเป็นเรื่องที่เข้าถึงง่าย โปร่งใส และตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ต้องการทางเลือกที่สะดวกและมั่นใจได้มากยิ่งขึ้น

EA เตรียมพร้อมสำหรับการฟื้นตัวใน Q3 หลังการปรับโครงสร้างการชำระหนี้หุ้นกู้

บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) มีความเชื่อมั่นว่าจะมีการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 หลังจากปรับโครงสร้างการชำระหนี้หุ้นกู้ และแก้ไขปัจจัยชั่วคราวที่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในไตรมาสที่สอง

ผลประกอบการโดยรวมในไตรมาสที่สองของปี 2568 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1 บริษัทฯ ประสบผลการดำเนินงานที่ขาดทุนสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ (ไม่รวมรายการพิเศษ) 44 ล้านบาท บริษัทมีรายได้รวมลดลง 6.3% จากรับรู้รายได้ลดลงจากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โดยในส่วนของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่สิ้นสุดสิทธิ Adder ของโรงไฟฟ้าลำปาง ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ลดลงตามฤดูกาล และจากธุรกิจแบตเตอรี่ สำหรับธุรกิจรถโดยสารไฟฟ้าและรถเพื่อการพาณิชย์มีรายได้เพิ่มขึ้น 54% และธุรกิจไบโอดีเซลมีการเพิ่มขึ้นมากกว่า 100% โดยบริษัทฯยังคงมีเงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมดำเนินงานรอบ 6 เดือนอยู่ที่ 4,400 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่สองของปี 2568 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1 บริษัทฯ มีต้นทุนจากการขายและการให้บริการ เพิ่มขึ้น 13.8% ค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้น 29.2% โดยหลักมาจากการได้มาจากการรวมธุรกิจที่ดำเนินการสำเร็จ จากการทยอยซื้อบริษัท เน๊กซ์พอยท์ จำกัด (มหาชน)  ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายครั้งเดียว โดยการเปลี่ยนสถานะของ NEX จากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเป็นเงินลงทุนในบริษัทย่อยถือว่าเป็นการรวมธุรกิจ ต้องวัดมูลค่าของส่วนได้เสียที่ถืออยู่ก่อนที่จะมีอำนาจควบคุม NEX โดยใช้มูลค่ายุติธรรม ณ วันที่ซื้อ ส่งผลให้รับรู้การขาดทุนจำนวน 393.37 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทฯ มีผลขาดทุนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากลูกหนี้การค้าในไตรมาสที่ 2 เพิ่มขึ้นมากกว่า 100% โดยสาเหตุหลักเพิ่มขึ้นจากการตั้งสำรองที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากลูกหนี้การค้าของกลุ่มบริษัท ไทยสมายบัส จำกัด ซึ่งเป็นการปรับปรุงรายการทางบัญชีที่ไม่ใช่เงินสด (non-cash items)

ในส่วนธุรกิจผลิตรถโดยสารไฟฟ้าและรถไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ผ่านบริษัท แอ๊บโซลูท แอสเซมบลี จำกัด (AAB) โดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI พร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถนำค่าใช้จ่ายในการลงทุนยานยนต์ไฟฟ้ามาหักลดหย่อนภาษีได้ถึง 2 เท่าสำหรับรถที่ผลิตหรือประกอบในประเทศไทย ในไตรมาส 2 บริษัทฯ ได้มีการส่งมอบยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในครึ่งปีแรกไปแล้วเป็นจำนวน 80 คัน รวมถึงมีแผนในการส่งมอบต่อเนื่องอีกกว่า 200 คัน ในไตรมาส 3 ของปี 2568 บริษัทฯ มีเป้าหมายสู่การเป็นผู้ให้บริการโซลูชันการขนส่งสีเขียวแบบครบวงจร (Total Green Logistics Solution) ซึ่งครอบคลุมทั้งการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า การบริการหลังการขาย ตลอดจนการให้บริการและอำนวยความสะดวกในการติดตั้งระบบชาร์จไฟฟ้าแบบเร็ว (Fast Charging Technology)

ในส่วนของธุรกิจกำจัดขยะและโรงไฟฟ้าขยะ บริษัทฯ มองเห็นศักยภาพการเติบโตของธุรกิจจัดการขยะอย่างยั่งยืนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตไฟฟ้าจากขยะ ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทนของประเทศ ในปัจจุบันบริษัทฯ มีการดำเนินโครงการกำจัดขยะสำคัญในหลายพื้นที่ ได้แก่ โครงการกำจัดขยะมูลฝอยชุมชนบนเกาะล้าน เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี โครงการกำจัดขยะมูลฝอยและโรงไฟฟ้าจากขยะ จังหวัดภูเก็ต และโครงการกำจัดขยะมูลฝอยและโรงไฟฟ้าจากขยะ จังหวัดปทุมธานี

EA ได้รับการยอมรับในระดับโลกสำหรับความพยายามด้านความยั่งยืนติดอันดับใน 10% แรกของบริษัทไฟฟ้าทั่วโลกโดย S&P Global Yearbook 2025 ซึ่งเน้นความเป็นเลิศในการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในระดับสากล โดยเป็น 1 ใน 2 บริษัทจากไทยที่ได้รับการจัดให้อยู่ในระดับสูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมสาธารณูปโภคไฟฟ้าในปีนี้

EA พร้อมเดินหน้าพัฒนาธุรกิจในทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ยานยนต์ไฟฟ้า ระบบกักเก็บพลังงาน และโครงการโรงไฟฟ้าและโรงกำจัดขยะ พร้อมกับดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส รับผิดชอบ และมีธรรมาภิบาล และสร้างสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหุ้นในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง

SENA ตอกย้ำเครดิตแกร่ง! ประกาศพร้อมชำระคืนหุ้นกู้รุ่น SENA259A คาดเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ 15-17 ก.ย.68 ฐานเงินมั่นคง พร้อมรับทุกสถานการณ์

บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA ผู้นำด้านการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน (Sustainable Living Leader) ตอกย้ำความแข็งแกร่งทางการเงินและวินัยในการบริหารการเงิน พร้อมชำระคืนหุ้นกู้ รุ่น SENA259A มูลค่า 1,530 ล้านบาท ในวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2568 และคาดว่าจะเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ ครั้งที่ 2/2568 อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ย 5.70% - 5.95% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เสนอขายแก่ผู้ลงทุนสถาบันและ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ระหว่างวันที่ 15 – 17 กันยายน พ.ศ. 2568 ผ่าน 16 สถาบันการเงินชั้นนำ

วันที่ 4 ส.ค.68 นางสาวอธิกา บุญรอดชู ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดสรรเงินและการลงทุน บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่ผ่านมา SENA ได้ชำระดอกเบี้ยและชำระคืนหุ้นกู้ตรงตามกำหนดทุกงวดอย่างสม่ำเสมอ สะท้อนความน่าเชื่อถือและสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนเสมอมา สำหรับหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระในครั้งนี้ คือรุ่น SENA259A จำนวน 1,530 ล้านบาท กำหนดวันชำระคืน วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2568 บริษัทได้เตรียมเงินไว้สำหรับชำระดอกเบี้ยและเงินต้นทั้งจำนวนเรียบร้อยแล้ว ท่านนักลงทุนที่ลงทุนซื้อหุ้นกู้ในรุ่นดังกล่าว เตรียมรอรับเงินคืน นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าจะเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ โดยเป็นการออกหุ้นกู้ครั้งที่ 2 ของปี 2568 เป็นหุ้นกู้อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ย 5.70%-5.95% ต่อปี (ทั้งนี้ จะประกาศอัตราดอกเบี้ยสุดท้ายอีกครั้ง) ชำระดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้เสนอขายแก่ผู้ลงทุนสถาบันและ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ระหว่างวันที่ 15 – 17 กันยายน พ.ศ. 2568 นี้ มีวัตถุประสงค์เป็นเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้นเพื่อทดแทนเงินคงคลังของบริษัทที่ได้สำรองเพื่อชำระหนี้ “หุ้นกู้บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 2/2565 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2568” (SENA259A)

ทั้งนี้บริษัทมีการวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ และยังได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรญี่ปุ่น ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป ซึ่งร่วมลงทุนต่อเนื่องมาแล้วกว่า 9 ปี รวม 68 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 84,300 ล้านบาท โดยความร่วมมือแข็งแกร่งนี้ทำให้โครงการที่พัฒนาโดยบริษัทร่วมค้าเข้าถึง แหล่งเงินทุนจากต่างประเทศที่มีต้นทุนทางการเงินที่ลดลง และมีเงื่อนไขการใช้วงเงินที่ยืดหยุ่นมากกว่าวงเงินทั่วไป ทำให้บริษัทมีสภาพคล่องทางการเงินเพิ่มขึ้น  ณ.สิ้นไตรมาส 1/2568 บริษัทมีสัดส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (IBD/E) อยู่ที่ 1.25 เท่า ตามข้อกำหนดสิทธิจะต้องมีสัดส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (IBD/E) ไม่เกิน 2.5 เท่า ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ยังไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้

โดยตลอด 40 ปีที่ผ่านมา SENA ยึดมั่นในหลักวินัยทางการเงินและธรรมาภิบาล ไม่เคยผิดนัดชำระหนี้ ไม่เร่งโตเกินศักยภาพ แต่เลือกเติบโตอย่างมีคุณภาพ บนหลักการ โปร่งใส ตรวจสอบได้ จนได้รับความเชื่อมั่นจากทั้งนักลงทุน สถาบันการเงิน และพันธมิตรระดับโลก ทั้งนี้ บริษัทได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกหุ้นกู้ที่ระดับ “BBB-” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

หมายเหตุ: บริษัทอยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ การจัดสรรขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ เงื่อนไขการจัดจำหน่ายเป็นไปตามที่กำหนดในร่างหนังสือชี้ชวน

คำเตือน: โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลในร่างหนังสือชี้ชวนก่อนการตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนตามรายละเอียดด้านล่าง https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSDE01.aspx?TransID=703486

“เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์” ผู้นำด้านการผลิตเม็ดพลาสติก PP เตรียมออกหุ้นกู้ในเดือนสิงหาคม 2568

บริษัท เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ จำกัด หรือ “HMC Polymers” ผู้ผลิตเม็ดพลาสติกโพลีโพรพิลีน   หรือ PP รายแรกและรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดำเนินธุรกิจ มายาวนานกว่า 42 ปี มีผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ “GC” เตรียมเสนอขาย หุ้นกู้ 2 รุ่น คือ รุ่น 2 ปี และรุ่น 3 ปี 6 เดือน สำหรับผู้ลงทุนรายใหญ่ และผู้ลงทุนสถาบัน (ไม่รวมถึงบุคคลธรรมดาที่เป็น    ผู้ลงทุนสถาบัน) ในช่วงเดือนสิงหาคม 2568 นี้ ผ่าน 7 สถาบันการเงินชั้นนำ ได้แก่ รุ่น 2 ปี : ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด / รุ่น 3 ปี 6 เดือน : ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด
 
HMC Polymers เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขอออกและเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือ   หุ้นกู้ จำนวน 2 ชุด ประกอบด้วย ชุดที่ 1 รุ่นอายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย [5.10 – 5.30]% ต่อปี ชุดที่ 2 รุ่นอายุ 3 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ย [5.80 – 6.00]% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน (ทั้งนี้จะประกาศอัตราดอกเบี้ยสุดท้ายอีกครั้ง) โดยเสนอขายแก่ผู้ลงทุนรายใหญ่ และผู้ลงทุนสถาบัน (ไม่รวมถึงบุคคลธรรมดาที่เป็นผู้ลงทุนสถาบัน) สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท สำหรับผู้ลงทุนรายใหญ่ ในขณะที่ผู้ลงทุนสถาบัน สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 10,000 บาท ซึ่งคาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ [22 และ 25-26 สิงหาคม] 2568 และคาดว่าออกหุ้นกู้ในวันที่ [27 สิงหาคม] 2568 ทั้งนี้ หุ้นกู้ในครั้งนี้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ "BBB(tha)" โดยบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 ซึ่งถือเป็นระดับ Investment grade หรือเรียกว่าระดับที่สามารถลงทุนได้ สะท้อนให้เห็นว่า แม้ทุกธุรกิจจะต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจโลกผันผวน แต่พลาสติกโดยเฉพาะพลาสติก PP ยังเป็นวัสดุพื้นฐานของชีวิตประจำวันของผู้คนทุกช่วงวัย  ทำให้ HMC Polymers ยังคงรักษาส่วนแบ่งการตลาดได้พร้อมเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม
  

Mr. Corso Uzielli (คอร์โซ อูซีลลี่) ประธานบริษัท กล่าวเพิ่มเติมว่า “กว่า 42 ปีที่ HMC Polymers ยืดหยัดในฐานะผู้นำด้านการผลิตเม็ดพลาสติก PP รายแรกและรายใหญ่ที่สุดของไทย พร้อมอยู่ในชั้นแนวหน้าของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยกำลังการผลิตกว่า 1,000,000 ตันต่อปี  นับเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นถึงความมั่นคง แข็งแกร่ง และความน่าเชื่อถือในระดับสูง กอปรกับได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คือ GC ธนาคารกรุงเทพ และใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับโลกจาก LyondellBasell บริษัทเคมีภัณฑ์ที่ใหญ่หนึ่งในสามของโลก และเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น จึงทำให้ HMC Polymers สามารถคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อผลิตเม็ดพลาสติก PP เกรดพิเศษ (Specialty Product) และ เกรดคุณภาพสูง (Differentiated Product) ซึ่งแตกต่างจากผู้ผลิตรายอื่น ๆ ในตลาด นำไปต่อยอดใช้งานได้หลากหลายขึ้น ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มการแพทย์และสุขอนามัย กลุ่มบรรจุภัณฑ์ทั้งแบบแข็งและแบบยืดหยุ่น รวมถึงกลุ่มชิ้นส่วนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และล่าสุด HMC Polymers ได้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเม็ดพลาสติก PP เพื่อความยั่งยืน หรือ Sustainable PP Products เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ใส่ใจรักษ์สิ่งแวดล้อม และพร้อมก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างเต็มตัว”
  

นางสาวอังคณี สุนทรสวัสดิ์ รองประธาน สายการเงิน บัญชีและงานสนับสนุนองค์กร กล่าวเสริมว่า “แม้ว่าในช่วง   2-3 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมปิโตรเคมีจะมีแรงกดดันจากหลายปัจจัย ทั้งต้นทุนพลังงานที่อยู่ในระดับสูง นโยบายภาษีจากประเทศมหาอำนาจที่ยังคงไม่แน่นอน และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ของโลก ส่งผลให้ผลประกอบการของผู้ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีอ่อนตัวลงบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะมีทิศทางที่ดีขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ทยอยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป อนึ่ง ในปี 2567 มีรายได้จากการขายมากถึง 26,267 ล้านบาท มีสินทรัพย์รวม 34,243 ล้านบาท มีกระแสเงินสดเป็นบวก มีวงเงินเสริมสภาพคล่องเพียงพอ ดังนั้น การออกและเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ จะเป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนที่แสวงหาโอกาสจากการลงทุนในธุรกิจที่มีความมั่นคง  เชื่อถือได้ และเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ปัจจุบัน อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ HMC Polymers สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังต่อไปนี้
 
ชุดที่ 1 รุ่นอายุ 2 ปี
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Bangkok Bank Mobile Banking สำหรับผู้ลงทุนรายใหญ่ที่เป็นบุคคลธรรมดา
ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ CIMB Thai สำหรับผู้ลงทุนรายใหญ่ที่เป็นบุคคลธรรมดา
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004
บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด  โทร. 02-249-2999

ชุดที่ 2 รุ่นอายุ 3 ปี 6 เดือน
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Bangkok Bank Mobile Banking สำหรับผู้ลงทุนรายใหญ่ที่เป็นบุคคลธรรมดา
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004
บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด  โทร. 02-249-2999
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-8945
บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-846-8675
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด โทร. 02-695-5555

SENA พร้อมชำระคืนหุ้นกู้ สะท้อนถึงสภาพคล่องแข็งแกร่ง

SENA พร้อมชำระคืนหุ้นกู้ สะท้อนถึงสภาพคล่องแข็งแกร่ง

ในวันที่เศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอน แต่ “การเงินเสนา” ยังนิ่งและเป๊ะ! ดร.ยุ้ย – เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ประกาศชำระคืนหุ้นกู้รุ่น SENA259A ครบทั้งจำนวน มูลค่า 1,530 ล้านบาท ในวันที่ 15 กันยายนนี้ ผู้ถือหุ้นกู้เตรียมตัวรับเงินคืน

และไม่ใช่แค่ “จ่ายครบ” แต่แนวคิดเบื้องหลังต่างหากที่น่าชื่นชม สะท้อนวินัยทางการเงิน มองไกล และวางแผนล่วงหน้า “คิดก่อน พร้อมก่อน” เสนาไม่ได้บริหารเงินเพื่อผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่บริหารด้วยวิสัยทัศน์และความรับผิดชอบ นี่คือ statement แห่งความมั่นคงและความน่าเชื่อถือ ที่นักลงทุนและพันธมิตรต้องการ

#SENA #SenaDevelopment #หุ้นกู้ #ลงทุน #Investment #bonds

 

 

"TNL" ปลื้มผลตอบรับหุ้นกู้ชุดใหม่ เดินหน้าขยาย 3 ธุรกิจหลักรองรับการเติบโตระยะยาว

TNL ปลื้มหุ้นกู้ชุดใหม่ 1,000 ล้าน ได้การตอบรับจากนักลงทุนสถาบันและรายใหญ่ล้นหลาม สะท้อนความเชื่อมั่นในศักยภาพการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ  เดินหน้าขยาย 3 ธุรกิจหลัก รองรับการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

นายกิตติชัย ตรีรัชตพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด (มหาชน) หรือ TNL เปิดเผยว่า การออกและเสนอขายหุ้นกู้ครั้งล่าสุดของบริษัทฯ มูลค่ารวม 1,000 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 15 - 17 กรกฎาคม 2568 ได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ โดยสามารถขายได้หมดเกลี้ยง จากการเสนอความต้องการจองซื้อของนักลงทุนมาเกินจำนวนที่เสนอขาย สะท้อนความเชื่อมั่นในศักยภาพการดำเนินธุรกิจและแผนการเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัทฯ

โดยหุ้นกู้ที่ออกในครั้งนี้ เป็นหุ้นกู้ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อายุ 2 ปี 3 เดือน อัตราดอกเบี้ย 5.80% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน และครบกำหนดไถ่ถอนในปี พ.ศ. 2570 โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (ASP) และบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด (KTX) ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย

สำหรับเงินทุนที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำไปใช้ต่อยอดการขยายตัวของทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจหลักของ TNL ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อที่มีหลักประกัน (Oxygen Asset: OXA) ที่มุ่งเน้นการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ กลุ่มบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (Oxygen Asset Management: OAM) ซึ่งมีโอกาสเติบโตจากการลงทุนในพอร์ต NPL ที่มีศักยภาพ และกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย (TNL Alliance: TNLA) ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างหลากหลาย

 “TNL เชื่อมั่นว่าโครงสร้างธุรกิจที่หลากหลาย แข็งแกร่ง และมี synergies ระหว่างกัน จะเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทฯ อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว” นายกิตติชัยกล่าว

ทั้งนี้ การออกหุ้นกู้ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 3 ของบริษัทฯ ต่อเนื่องจากความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ในปี 2566 และ 2567 รวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 2,200 ล้านบาท โดยหุ้นกู้ชุดแรกจำนวน 500 ล้านบาท จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนตุลาคม 2568 ซึ่งบริษัทฯ ได้จัดเตรียมเงินไว้โดยเฉพาะ เพื่อเสริมความมั่นใจให้แก่ผู้ลงทุนในด้านการบริหารสภาพคล่องและฐานะทางการเงินของ TNL

 

"SA" จ่อขายหุ้นกู้ 2 ชุดใหม่ ดอกเบี้ยสูงสุด 7.25% ต่อปี มีทั้งแบบมีประกันและไม่มีประกัน

"SA" จ่อขายหุ้นกู้ 2 ชุดใหม่ ดอกเบี้ยสูงสุด 7.25% ต่อปี มีทั้งแบบมีประกันและไม่มีประกัน

สำหรับนักลงทุนที่มองหาแหล่งพักเงินระยะสั้นถึงกลาง พร้อมรับผลตอบแทนคุ้มค่า ห้ามพลาด! บมจ.ไซมิส แอสเสท หรือ SA เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ 2 ชุดใหม่ อายุสั้น 1 ปี 5 เดือน และ 2 ปี 9 เดือน เสิร์ฟดอกเบี้ยคงที่สูงสุด 7.25% ต่อปี มีทั้งแบบมีประกันและไม่มีประกัน เปิดให้จองซื้อวันที่ 8, 13–14 ส.ค.นี้ ฟากผู้บริหารระดับสูง "ขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ" ย้ำความมั่นใจในวินัยทางการเงินของบริษัทฯจะออกหุ้นกู้เท่าที่จำเป็น และจ่ายดอกเบี้ยครบ ตรงเวลาเสมอ พร้อมบริหารเงินด้วยความโปร่งใส รอบคอบ เรียกได้ว่า เงินต้นปลอดภัย ดอกเบี้ยสดใส บนพื้นฐานธุรกิจที่มั่นคงและมีวิสัยทัศน์ระยะยาว

EA ประสบความสำเร็จไปอีกขั้น ผู้ถือหุ้นกู้โหวตผ่านฉลุยมติเห็นชอบขยายระยะเวลาไถ่ถอนหุ้นกู้ไป 5 ปี มั่นใจแก้สภาพคล่องได้

บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ประสบความสำเร็จไปอีกขั้น หลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้โหวตอนุมัติขยายระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ออกไป โดยได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นกู้จำนวน 9 รุ่น จาก 11 รุ่นที่เข้าร่วมประชุม

สำหรับหุ้นกู้ทั้ง 9 รุ่นที่ได้รับการอนุมัติในวันนี้ ประกอบด้วย 6 รุ่นใหม่ที่ได้รับเสียงสนับสนุนในที่ประชุมวันที่ 9 กรกฎาคม และ อีก 3 รุ่นที่ได้รับอนุมัติไปแล้วในการประชุมรอบก่อนเมื่อวันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยทั้ง 9 รุ่นนี้ ต่างได้รับข้อเสนอฉบับปรับปรุง ซึ่งกำหนดให้มีการขยายระยะเวลาไถ่ถอนออกไปเพียง 5 ปี เท่ากันทั้งหมด เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นธรรมระหว่างทุกรุ่น ทั้งนี้มีเพียงรุ่น EA257A ที่ยังคงพิจารณารับข้อเสนอเดิมโดยยังคงขอขยายระยะเวลาไถ่ถอนออกไป 7 ปี ซึ่งแตกต่างจากข้อเสนอใหม่ที่ได้รับการเห็นชอบจากผู้ถือหุ้นกู้ส่วนใหญ่ในวันนี้

โดยสาระสำคัญที่มีการเสนอในที่ประชุมวันนี้ ได้แก่ การขยายระยะเวลาไถ่ถอนออกไป 5 ปี, เพิ่มอัตราดอกเบี้ย 0.5% ต่อปี, ชำระคืนเงินต้นแบบทยอยคืน 10% ต่อปีในปีที่ 1–4 และ 60% ในปีที่ 5, พร้อมเงื่อนไข Call Option และ Dividend Covenant เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผู้ถือหุ้นกู้

ด้านคุณวสุ กลมเกลี้ยง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน (CFO) ของ EA กล่าวว่า “ขอขอบคุณที่ผู้ถือหุ้นกู้ให้ความไว้วางใจโหวตผ่านมติสำคัญครั้งนี้ ซึ่งสะท้อนถึงความตั้งใจในการบริหารจัดการโครงสร้างการชำระเงินคืนที่สอดคล้องกับแผนการเติบโตในระยะยาว และยังคงสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหุ้นกู้ไว้อย่างครบถ้วน”

กำหนดการประชุมผู้ถือหุ้นกู้รุ่นที่ยังไม่ได้รับอนุมัติ

ทั้งนี้ยังมีหุ้นกู้ที่ไม่สามารถนับองค์ประชุมได้คือรุ่น EA269A และ EA289A เนื่องจากจำนวนผู้เข้าร่วมไม่ครบตามเกณฑ์ที่กำหนด ส่งผลให้การพิจารณาวาระต่าง ๆ ต้องเลื่อนออกไป ซึ่งบริษัทพร้อมจะดำเนินการประชุมรอบใหม่ภายในวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 จึงขอความร่วมมือและขอเชิญผู้ถือหุ้นกู้ทุกท่านเข้าร่วมประชุมเพื่อร่วมรักษาสิทธิประโยชน์