ประเด็นร้อนเศรษฐกิจรอบวัน 5 ส.ค.68

ประเด็นร้อนเศรษฐกิจรอบวัน 5 ส.ค.68 

-ครม.อนุมัติงบกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 วงเงิน 1.85 หมื่นล้าน ผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันประเทศ 1 หมื่นล้าน และอีก 8.4 พันล้าน ผ่านกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา นำไปปล่อยกู้นักศึกษา มุ่งเพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน-พัฒนาคน รับมือผลกระทบภาษีนำเข้าสหรัฐฯ

-ธนาคารออมสินขับเคลื่อนงานครึ่งปีหลังเชิงรุก เดินหน้ายุทธศาสตร์ Social Bank ไร้รอยต่อ ลุยธุรกิจสินเชื่อ-เงินฝาก สร้างนวัตกรรมการเงินเพื่อสังคม ตั้งเป้าสิ้นปีได้ Social Impact กว่า 17,000 ล้านบาท

-หอการค้าไทยเปิดผลสำรวจในช่วงวันแม่ในปี 2568 เงินสะพัด 11,062 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 1.9% เท่านั้น เนื่องจากประชาชนยังให้ความกังวลเรื่องของเศรษฐกิจและความไม่เสถียรภาพทางการเมือง

 

ไม่คึกคัก! โพลวันแม่ 2568 หอการค้าเผยประชาชนใช้จ่าย 1.9% เงินสะพัด 1.1 หมื่นล้านบาท 

ไม่คึกคัก! โพลวันแม่ 2568 หอการค้าเผยประชาชนใช้จ่าย 1.9% เงินสะพัด 1.1 หมื่นล้านบาท 

วันที่ 5 ส.ค.68 นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลการสำรวจ พฤติกรรมการใช้จ่าย ของประชาชนในช่วงวันแม่ ปี 2568 จาก 1,422 ตัวอย่างทั่วประเทศพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ยังให้ความสำคัญกับวันแม่ เพราะแม่ มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว โดยกลุ่มตัวอย่าง 58.1% วางแผนจะไปพบแม่ แต่ที่เหลือถึง 41.9% บอกว่า ปีนี้จะไม่ไปพบแม่ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงสุดในรอบ 4 ปี โดยการใช้จ่ายส่วนใหญ่ในวันแม่ปีนี้มาจากการซื้อของขวัญให้แม่ สูงสุดจะให้เป็นเงินสด เฉลี่ยที่ 3,115 บาท รองลงมาเป็นพวงมาลัย ดอกไม้ สลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มบำรุงร่างกาย และประกันชีวิต-ประกันสุขภาพ

นอกจากนี้ ยังวางแผนทำกิจกรรมต่างๆ เนื่องจากวันแม่ปีนี้เป็นวันหยุดยาวติดต่อกัน 4 วัน ส่วนใหญ่จะพาแม่ไปทานข้าว ทำบุญ ทำกิจกรรมอื่นนอกบ้าน และพาไปเที่ยวต่างจังหวัด ทั้งแบบค้างคืน และไม่ค้างคืน ซึ่งจะใช้เงินเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่การวางแผนพาแม่ไปเที่ยวต่างประเทศ ลดลงจากปีก่อนประมาณ 20% เฉลี่ย 12,000 บาท จากปีก่อนใช้เงินเฉลี่ย 15,000 บาท ส่งผลให้วันแม่ปีนี้คาดว่า จะมีเม็ดเงินสะพัดประมาณ 11,062 ล้านบาท ขยายตัว 1.9%

โดยปีนี้เห็นหลายสัญญาณที่คนยังระมัดระวังการใช้จ่าย เพราะปีนี้ วันแม่ตรงกับวันหยุดยาว และยังตรงกับโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง แต่กลุ่มตัวอย่างจำนวนมากไม่วางแผนไปทำกิจกรรมกับแม่ และเงินใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย รวมถึงหลายกิจกรรมใช้เงินลดลง โดยเฉพาะไปเที่ยวต่างประเทศ สะท้อนบรรยากาศเศรษฐกิจซึมตัว เนื่องจากจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท มาตรการเที่ยวไทยคนละครึ่ง รวมถึงมาตรการทางการเงินจากการลดดอกเบี้ย ยังไม่ทำงาน นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงทางการเมือง สงครามทางการค้า และการบริหารจัดการค้าชายแดน สอดคล้องกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ชะลอตัว 5 เดือนต่อเนื่อง ดังนั้นการฟื้นเศรษฐกิจไทยหลังจากนี้ จะขึ้นอยู่กับ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การพิจารณางบประมาณปี 2569 เป็นหลัก ส่วนปัจจัยสงครามทางการค้า ขณะนี้ ชัดเจนแล้ว ไทย โดนภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) ในอัตรา 19% น่าจะคลายตัวมากขึ้น

#โพลวันแม่ #วันแม่2568 #เศรษฐกิจไทย #เที่ยวไทยคนละครึ่ง #ความเชื่อมั่นผู้บริโภค #หอการค้าไทย #ภาษีนำเข้า #ครอบครัวไทย #วันหยุดยาว #ของขวัญวันแม่

“จตุพร-ฉันทวิชญ์” ถกภาคเอกชน ชูปฏิญญา พาณิชย์-หอการค้าไทยดันความร่วมมือ 4 ข้อเสนอ รับมือผลกระทบภาษีทรัมป์

“จตุพร-ฉันทวิชญ์” เดินสายถกภาคเอกชน ชูปฏิญญา พาณิชย์-หอการค้าฯ ดันความร่วมมือ 4 ข้อเสนอ รับมือผลกระทบ tariff 19% ค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ร่วมนำไทยฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจโลก

วันที่ 1 สิงหาคม 2568 นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์  นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ เข้าประชุมหารือกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นำโดย นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย  ณ ห้อง Activity Hall ชั้น 1 อาคารบรรเจิด ชลวิจารณ์ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในประเด็นการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เตรียมพร้อมรับมือกับมาตรการทางภาษีของสหรัฐอเมริกา การอำนวยความสะดวกทางการค้าและการขนส่ง การเปิดการค้าเสรี และกฎระเบียบภายใต้ FTA อื่นๆ การค้าชายแดน และขอความร่วมมือจากกระทรวงพาณิชย์

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญกับข้อกังวลของหอการค้าฯ โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องภาษีการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งจำเป็นต้องหารือรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อหาทางออกที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังมีปัญหาภัยธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรของไทย กระทรวงพาณิชย์จึงต้องดำเนินการในมิติที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ เพื่อให้ผลผลิตของเกษตรกรสามารถเข้าสู่ตลาดได้อย่างมั่นคง

ขณะเดียวกัน โลกกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร ความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์จากทั้งสหรัฐฯ และจีน รวมถึงกติกาการค้าโลกที่มีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทั้งหมดล้วนส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของไทย กระทรวงพาณิชย์จึงจำเป็นต้องเร่งปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง ทั้งการหาตลาดใหม่และการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ผู้ประกอบการไทย 

สำหรับประเด็นเรื่องการยกเว้นภาษีสินค้าการเกษตรจากสหรัฐ กระทรวงพาณิชย์จะทำงานร่วมกับหอการค้าในการสร้างความเข้าใจแก่เกษตรกร เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะมีมาตรการช่วยเหลือและสนับสนุนที่เพียงพอ นอกจากนี้ กระทรวงฯ ยังมุ่งเน้นการลดต้นทุนการผลิตในภาคเกษตร เช่น ตั้งเป้าลดราคาปุ๋ย พร้อมทั้งส่งเสริมโครงการสินค้าธงเขียวสำหรับสินค้าเกษตร และพัฒนาแอปพลิเคชันธงฟ้า เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับพี่น้องประชาชนต่อไป

“วันนี้ไม่มีเวลาให้รอช้า การทำงานต้องเร่งรัดและต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง กระทรวงพาณิชย์พร้อมทำงานเคียงข้างภาคเอกชน โดยเฉพาะหอการค้าไทยซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญในการสะท้อนปัญหาและให้ข้อเสนอแนะอย่างต่อเนื่อง การหารือในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อรับฟังข้อเสนอและนำไปสู่การขับเคลื่อนเชิงนโยบายให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง” นายจตุพร กล่าวทิ้งท้าย

ด้าน ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึง ความร่วมมือระหว่างหอการค้าฯ กับกระทรวงพาณิชย์ที่ผ่านมา ว่าทั้งสองฝ่ายได้ทำงานใกล้ชิดกันมาโดยตลอด โดยเฉพาะในการแก้ไขปัญหาการส่งออก การจัดงานแสดงสินค้า ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารร่วมกับข้าราชการระดับสูง ผ่านเวที “กรอ.พาณิชย์” ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการพูดคุยและกำหนดทิศทางร่วมกัน สำหรับนโยบาย 10 ข้อของกระทรวงพาณิชย์นั้น หอการค้ามีความเชื่อมั่น และเห็นว่าหลายข้อสอดคล้องกับภารกิจหลักของหอการค้าฯ ซึ่งพร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม วันนี้ภูมิทัศน์การค้าโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่ละประเทศต่างแข่งขันกันด้วยการออกกติกาใหม่ ๆ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นจีน สหรัฐฯ หรือสหภาพยุโรป โดยเฉพาะมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งสร้างความผันผวนให้กับระบบห่วงโซ่อุปทานโลก (supply chain) อย่างมาก ถือเป็นอุปสรรคสำคัญของผู้ส่งออกไทย ซึ่งไม่เพียงแต่เพิ่มต้นทุนให้ทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ แต่ยังมีปัญหาซับซ้อนในเรื่อง Transshipment และมาตรการ local content ที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญอย่างเข้มงวด หอการค้าฯ เห็นว่ารัฐบาลควรเร่งสร้างความชัดเจนในประเด็นนี้ รวมถึงเรื่อง RVC (Regional Value Content) ที่เกี่ยวข้องโดยตรง เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถปฏิบัติตามกติกาและแข่งขันได้อย่างมั่นใจดังนั้น หอการค้าฯ มองว่าจำเป็นที่จะต้องจัดตั้ง “คณะทำงานพิเศษ” ของภาครัฐที่บูรณาการการทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงการต่างประเทศ กรมศุลกากร และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อมองภาพรวมและแก้ไขปัญหาการค้าที่ซับซ้อนทั่วโลกอย่างเป็นระบบ โดยเรื่องนี้ได้ถูกเสนอไปยังนายกรัฐมนตรีแล้ว และอยากขอให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยผลักดันให้เกิดผลในทางปฏิบัติ

สำหรับการหารือในครั้งนี้ หอการค้าไทยได้หยิบยกข้อเสนอแนะที่ได้รวบรวมจากภาคธุรกิจใน 4 ข้อเสนอสำคัญ เพื่อร่วมกันฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่

1. การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ การเตรียมพร้อมรับมือกับมาตรการทางภาษีของสหรัฐอเมริกา การจัดการกับสินค้าสวมสิทธิ์เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี การเร่งรัดการออกใบรับรองสินค้าตามมาตรฐาน BIS ของอินเดีย การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มผู้ประกอบการผู้ผลิตถุงมือยางไทยการกำกับตรวจสอบการนำเข้าของผลิตภัณฑ์ ที่เข้ามาในลักษณะการทุ่มตลาด และกำหนดมาตรการตรวจสอบสินค้านำเข้าที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน

2. การอำนวยความสะดวกทางการค้าและการขนส่ง ลดต้นทุนโลจิสติกส์ ส่งเสริมโครงการนำร่อง เช่น Transshipment Sandbox ณ ท่าเรือแหลมฉบัง และการเชื่อมโยงระบบข้อมูลของภาครัฐอย่างไร้รอยต่อ เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจการเชื่อมโยงข้อมูล DBD กับ Platform ของพันธมิตร สมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจแฟคตอริ่ง เพื่อช่วยให้ SMEs เข้าถึงแหล่งทุนได้เร็ว การตรวจสอบดำเนินคดีนิติบุคคลที่ใช้ Nominee ในการจัดตั้ง รวมถึงมาตรการกระตุ้นภาคค้าปลีก และท่องเที่ยวเชิงคุณภาพของไทย

3. การขยายความร่วมมือ FTA และส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์ เร่งรัดการเจรจา FTA 
ไทย–อียู และขยายสู่ตลาดใหม่ในเอเชียใต้ แอฟริกา และลาตินอเมริกา ควบคู่กับการเสริมสร้างความรู้แก่ผู้ประกอบการในการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ FTA อย่างมีประสิทธิภาพ การแก้ไขปัญหาการละเมิดข้อตกลงการค้าไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) และ ไทย-นิวซีแลนด์ (TNZCEP) การแก้ไขปัญหาการออกเอกสารการส่งออกผักผลไม้ที่แออัด ณ สนามบิน สุวรรณภูมิ

4. การค้าชายแดนและความมั่นคงทางเศรษฐกิจในพื้นที่แนวชายแดน ผลักดันมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ปิดด่านชายแดนไทย–กัมพูชา ทั้งการจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการ สินเชื่ออัตราพิเศษ (Soft Loan) การประกันความเสี่ยงการส่งออก
นอกจากนี้ หอการค้าไทยและกระทรวงพาณิชย์ยังได้หารือถึงการเดินหน้าร่วมกันในกิจกรรมเศรษฐกิจสำคัญหลายเวทีในช่วงครึ่งหลังของปี ไม่ว่าจะเป็น งานเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน, ความร่วมมือในการประชาสัมพันธ์การขับเคลื่อนศูนย์ประสานงานและประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรและอาหาร (AFC) โดยให้พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศจัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบศูนย์ AFC ประจำจังหวัด เพื่อแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำและผลผลิตล้นตลาด, กิจกรรม Big Match จับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยกับเครือข่ายโมเดิร์นเทรด, ตลอดจนการจัดงานแสดงสินค้าภายในประเทศอย่าง THAIFEX–ANUGA ASIA และ THAIFEX–HOREC ASIA ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นประจำ เหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ขยายเครือข่ายการค้า และตอกย้ำความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อนำพาเศรษฐกิจไทยให้ฝ่าวิกฤตในครั้งนี้ต่อไป

หอการค้าไทยเตือนผู้ส่งออกรับมือภาษีสหรัฐฯ 19% เร่งเสนอรัฐช่วยผู้ประกอบการลดผลกระทบ

หอการค้าไทยเตือนผู้ส่งออกรับมือภาษีสหรัฐฯ 19% เร่งเสนอรัฐช่วยผู้ประกอบการลดผลกระทบ

วันที่ 1 ส.ค.68 ตามที่สหรัฐอเมริกาได้ประกาศอัตราภาษีใหม่สำหรับไทยภายใต้มาตรการ “Reciprocal Tariff” โดยกำหนดอัตราภาษีอยู่ที่ 19% ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาคอาเซียนนั้น ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หอการค้าไทยขอชื่นชม “ทีมไทยแลนด์” ที่สามารถรักษาอัตราภาษีให้อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันกับในภูมิภาคอาเซียนได้ แต่ยังมีสิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อปรับโครงสร้างเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและปรับตัว เพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับภาคธุรกิจของไทยต่อไป โดยเฉพาะผลกระทบต่อผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ และในส่วนที่นำเข้าจากสหรัฐฯ ด้วย

“เรากำลังเตรียมข้อเสนอที่ชัดเจนหลังทราบอัตราภาษีของทั้งประเทศไทยและประเทศต่างๆ ให้รัฐบาลที่จำเป็นต้องมีมาตรการรองรับ เยียวยา และส่งเสริมศักยภาพใหม่ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถปรับตัวและมีขีดสามารถแข่งขันได้ต่อเนื่องในกฎระเบียบโลกใหม่” ดร.พจน์ฯ กล่าว

สำหรับประกาศอัตราภาษีของไทยที่ออกมาเมื่อช่วงเช้าวันนี้ หอการค้าฯ ได้มีข้อสังเกตเพิ่มเติมในประเด็นต่างๆ ดังนี้

1.ดุลการค้าระหว่างไทย–สหรัฐฯ ประเทศไทยยังคงเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ไทยตกอยู่ในกลุ่มประเทศที่ถูกปรับภาษี การกระตุ้นการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ รวมถึงส่งเสริมการลงทุนจากไทยไปยังสหรัฐฯ จะช่วยสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจ และลดแรงกดดันทางการเมืองการค้าในระยะยาว ซึ่งภาครัฐและเอกชนควรทำงานร่วมกันเพื่อออกแบบการนำเข้าสินค้าเพิ่มเติมและการลงทุน เพื่อให้กระทบ Supply Chain ในประเทศให้น้อยที่สุด

2. การทำ Transshipment ที่ทางสหรัฐระบุไว้ชัดเจนว่า จะถูกจัดเก็บภาษี Transshipment rate ที่อัตรา 40%และอาจมีบทลงโทษเพิ่ม สินค้าไทยบางส่วนอาจถูกจับตาในเรื่องของการ Transshipment หรือการส่งต่อสินค้าผ่านประเทศที่สาม ซึ่งอาจถูกตีความว่าเป็นการหลบเลี่ยงภาษี ทั้งยังมีสินค้าบางกลุ่ม ที่อาจต้องเผชิญกับภาษีเพิ่มเติมถึง 40% ในบางรายการ ดังนั้น ความชัดเจนในสัดส่วนของ RVC (Regional Value Content) ของแต่ละหมวดสินค้านั้นจำเป็นมากซึ่งเชื่อว่ายังอยู่ในส่วนที่ต้องเจรจาลงในรายละเอียด

3. การวางแผนขนส่งสินค้าภายใต้ช่วงเปลี่ยนผ่านอัตราภาษีของผู้ส่งออกตามประกาศของสหรัฐฯ จากการที่ หอการค้าไทยได้หารือ กรมการค้าต่างประเทศ ที่จะเริ่มวันที่ 1 สิงหาคม 2568 เพื่อให้เกิดความชัดเจนสำหรับผู้ประกอบการส่งออกในการวางแผนและติดตามการขนส่งสินค้า โดยดังที่ระบุใน Annex II อัตราภาษีนี้จะมีผลบังคับใช้กับ สินค้าที่นำเข้าหรือนำออกจากคลังสินค้าเพื่อบริโภค 7 วัน (ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 เวลา 00:01 น.) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้  

•Final transportation เริ่มก่อนวันที่ 7 สิงหาคม 2568 และสามารถออกจากคลัง/ขายในสหรัฐฯ ก่อนวันที่ 5 ตุลาคม 2568 โดนเก็บภาษี 10%
•Final transportation เริ่มก่อนวันที่ 7 สิงหาคม 2568 และออกจากคลัง/ขายในสหรัฐฯ 
วันที่ 5 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป โดนเก็บภาษี 19%
•Start transportation หลังวันที่ 7 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป โดนเก็บภาษี 19%

ดังนั้น ผู้ประกอบการควรเร่งประเมินกำหนดการจัดส่ง ต้นทุน ให้ชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีในอัตราที่สูงเกินไป

นอกจากข้อสังเกตข้างต้นเชื่อว่ายังมีอีกหลายส่วนที่ เราต้องเร่งทำงานร่วมกับทีมไทยแลนด์เพิ่มเติมต่อ โดย “หอการค้าฯ พร้อมเป็นศูนย์กลางในการประสานเสียงจากภาคเอกชน เพื่อให้รัฐบาลสามารถกำหนดมาตรการและแนวทางในการเจรจาต่อรองได้อย่างแม่นยำ และไม่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ กล่าว

#หอการค้าไทย #ภาษีสหรัฐ #ภาษีนำเข้า #ReciprocalTariff #ภาษีสินค้าไทย #ผู้ส่งออกไทย #เศรษฐกิจไทย #การค้าระหว่างประเทศ #ทีมไทยแลนด์ #ลดผลกระทบภาษี #RVC #Transshipment

 

หอการค้าไทยชื่นชม "ทีมไทยแลนด์" ปิดดีลอัตราภาษีสหรัฐ 19% ใกล้เคียงอาเซียน แข่งขันได้

หอการค้าไทยชื่นชม "ทีมไทยแลนด์" ปิดดีลอัตราภาษีสหรัฐ 19% ใกล้เคียงอาเซียน แข่งขันได้

วันที่ 1 ส.ค.68 ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทยขอแสดงความชื่นชมอย่างยิ่งต่อทีมเจรจาประเทศไทย (“ทีมไทยแลนด์”) ที่สามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ให้กำหนดอัตราภาษี “reciprocal tariff” สำหรับประเทศไทยอยู่ที่ 19% ซึ่งแทบไม่ต่างกับอัตราภาษีที่สหรัฐฯ ใช้กับประเทศในภูมิภาคอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย (19%) และเวียดนาม (20%)   

ทั้งนี้แม้อัตรานี้จะสูงกว่าพื้นฐาน 10% แต่ถือว่าเป็นผลงานที่ดีเยี่ยมในภาวะที่ประเทศไทยเคยเผชิญกับข่าวว่าจะถูกกำหนดอัตราภาษีสูงถึง 36% การที่ทีมเจรจาไทยสามารถเจรจาลดตัวเลขนั้นลงเหลือ 19% ได้ภายในเวลาที่จำกัด แสดงถึงความมุ่งมั่น ความเข้าใจในเชิงยุทธศาสตร์ และความสามารถในการดำเนินงานเชิงรุกของทีมเจรจาอย่างแท้จริง

หอการค้าไทยเชื่อว่า แม้ระดับภาษีจะสูงขึ้นจากเดิม แต่ประเทศไทยยังมีความสามารถในการแข่งขันในภูมิภาค เมื่ออัตราภาษีใกล้เคียงกับประเทศอื่นในอาเซียน อย่างไรก็ดีหอการค้าไทยยังสนับสนุนให้รัฐบาลพิจารณามาตรการรองรับ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยขยายตลาดใหม่ และเตรียมรับมือกับอัตราภาษีสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ผ่านมาตรการสนับสนุนด้านเทคโนโลยี การเงิน การตลาดและนวัตกรรมทางการค้า นอกจากนี้ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิดต่อ มาตรการ “transshipment rate” ที่สหรัฐฯ กำหนดไว้ที่ 40% สำหรับทุกประเทศ รวมถึง การเตรียมแผนรับมือด้านการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ด้วย

"เรายังมั่นใจว่าการเจรจาต่อในด้านรายละเอียด จะช่วยให้สามารถปรับปรุงเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ในอนาคต และหวังว่าทีมไทยแลนด์จะเดินหน้าดำเนินหน้าที่ในบทบาทนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์สูงสุดของภาคธุรกิจของไทย หอการค้าไทยขอขอบคุณทีมเจรจาประเทศไทยทุกท่าน ที่ได้ทำงานอย่างหนักด้วยความเป็นมืออาชีพ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทย ขอให้ภาคเอกชนร่วมมือสนับสนุนรัฐบาลในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ เพื่อก้าวไปสู่ศักยภาพทางการค้าในระดับสากลต่อไป"

#หอการค้าไทย #อัตราภาษีสหรัฐ #ทีมไทยแลนด์ #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้ #ภาษีสหรัฐไทย #ReciprocalTarif #แข่งขันระดับอาเซียน

หอการค้าไทยเร่งทีมเจรจาภาษีสหรัฐฯ สรุปก่อนเส้นตาย 1 ส.ค.นี้

หอการค้าไทยเร่งทีมเจรจาภาษีสหรัฐฯ สรุปก่อนเส้นตาย 1 ส.ค.นี้

วันที่ 29 ก.ค.68 นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอกาค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเตรียมนำมาตรการภาษีใหม่ ภายใต้กรอบ “Trump Tariff 2.0” มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมส่งออกและการลงทุนร่วมระหว่างประเทศ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ขอแสดงความห่วงใย และสนับสนุนการดำเนินการของรัฐบาลไทยอย่างเต็มที่ ในขณะนี้ ข้อเสนอฉบับปรับปรุงสุดท้ายของฝ่ายไทย ซึ่งจัดทำโดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ภายใต้ทีมไทยแลนด์ ได้ถูกยื่นต่อรัฐบาลสหรัฐฯ แล้ว โดยเป็นข้อเสนอที่สะท้อนความพยายามในการรักษาดุลยภาพด้านการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศ และควรจะได้รับการตอบรับอย่างดีจากฝ่ายสหรัฐอเมริกา

อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาจะเพิ่งคลี่คลายและนำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิงเรียบร้อยแล้ว แต่ภาคเอกชนขอเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเร่งรัดเจรจาทางเศรษฐกิจในทุกกรอบ โดยเฉพาะประเด็นภาษีกับสหรัฐฯ ที่มีเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคม อยู่เบื้องหน้า เชื่อมั่นว่าข้อเสนอของฝ่ายไทยในครั้งนี้มีความเหมาะสม สมดุล และอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน จึงขอให้ฝ่ายเจรจาไทยเร่งหาข้อสรุปอัตราภาษีจากสหรัฐอย่างเป็นธรรมโดยด่วน เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจลงทุนของภาคธุรกิจหลังจากเส้นตายดังกล่าว

ทั้งนี้ภาคเอกชนไทยยังมีความเชื่อมั่นว่า สหรัฐอเมริกาในฐานะหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย จะพิจารณานโยบายด้านภาษี การค้า และการลงทุนกับประเทศคู่ค้าในภูมิภาคนี้อย่างเป็นธรรม โปร่งใส และมั่นคง เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถวางแผนและขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างมั่นใจและต่อเนื่อง

#ภาษีนำเข้าสหรัฐ #TrumpTariff #หอการค้าไทย #ส่งออกไทย #เศรษฐกิจโลก #ไทยสหรัฐ #ทีมไทยแลนด์ #ภาษีศุลกากร #เศรษฐกิจ2568 #ข่าวเศรษฐกิจ

หอการค้าไทยหนุนไทยกัมพูชาหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข หวังปลดชนวนตึงเครียดชายแดน เดินหน้าสันติภาพ-เศรษฐกิจ

หอการค้าไทยหนุนไทยกัมพูชาหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข หวังปลดชนวนตึงเครียดชายแดน เดินหน้าสันติภาพ-เศรษฐกิจ

วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเปิดเผยว่า หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งต่อการที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาสามารถบรรลุข้อตกลง “หยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข” ซึ่งจะมีผลตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนของวันที่ 
28 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป อันเป็นผลจากการเจรจาในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ภายใต้ความร่วมมือของประเทศมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนและตัวกลางในการหารือ

โดยความคืบหน้าดังกล่าวนับเป็นก้าวที่สำคัญยิ่งในการคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียดที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน และทรัพย์สิน ของทั้งสองประเทศ เราเชื่อมั่นว่าการเจรจานี้จะนำไปสู่ การลดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน และเปิดทางให้ทั้งสองประเทศเดินหน้าเข้าสู่การหารือในกรอบของความร่วมมือเพื่อสันติภาพและการเคารพซึ่งกันและกันในด้านอธิปไตย แม้ว่าจะยังมีความไม่ไว้วางใจและข้อกังวลจากฝ่ายกัมพูชาเกี่ยวกับการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง แต่ภาคเอกชนไทยขอสนับสนุนให้ทุกฝ่ายใช้ความอดทน อดกลั้น และดำเนินการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี ภายใต้กลไกความร่วมมือของอาเซียน เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะซ้ำและความสูญเสียอันไม่จำเป็น เราเชื่อมั่นว่าการดำเนินการตามหลักสากล ยึดหลักมนุษยธรรม และสิทธิมนุษยชนอย่างจริงใจของประเทศไทย จะปรากฏชัดต่อนานาประเทศ และขอให้ทางกัมพูชาเคารพยึดข้อตกลงการหยุดยิงตามที่ได้แถลงร่วมกัน

ทั้งนี้ในนามของภาคเอกชนไทย ขอขอบคุณประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนให้เกิดการเปิดช่องทางการเจรจาระหว่างสองประเทศ และขอขอบคุณประเทศจีนที่ให้ความร่วมมือในฐานะผู้สังเกตการณ์เพื่อส่งเสริมความโปร่งใสและความไว้วางใจระหว่างคู่เจรจา รวมถึงขอขอบคุณประเทศมาเลเซีย โดย นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเชียที่ร่วมผลักดันและอำนวยความสะดวกต่อการหารือครั้งนี้ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการหารือภายใต้กรอบ คณะกรรมาธิการชายแดนทั่วไป (GBC) ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 4 สิงหาคมนี้ ณ ประเทศกัมพูชา จะเป็นอีกก้าวที่ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างสองประเทศ และนำไปสู่แนวทางแก้ไขอย่างยั่งยืนต่อปัญหาที่ค้างคา

หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ขอยืนหยัดเคียงข้างประชาชนไทย กองทัพไทย  เพื่อร่วมกันสร้างสันติภาพ ความมั่นคง และการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนต่อไป

#หยุดยิงไทยกัมพูชา #หอการค้าไทย #ชายแดนไทยกัมพูชา #สันติภาพอาเซียน #เศรษฐกิจชายแดน #ข่าวการเมือง #เจรจาสันติภาพ #GBC2568

 

หอการค้าไทยแถลงความห่วงใยเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หวังสถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว

หอการค้าไทยแถลงความห่วงใยเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หวังสถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว

วันที่ 24 ก.ค.68 นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงเหตุการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา เมื่อช่วงเช้าวันนี้ ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมากทั้งกำลังพลและประชาชน ตลอดจนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ และเกิดการหยุดชะงักของกิจกรรมทางการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ขอแสดงความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ดังกล่าว พร้อมขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายดำเนินการอย่างรอบคอบ เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้เพื่อรักษาเสถียรภาพ ความมั่นคง และความร่วมมือในระดับภูมิภาค ซึ่งเป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ

โดยในด้านการค้าการลงทุน หอการค้าไทยขอยืนยันว่า ที่ผ่านมา ฝ่ายไทยยังคงเปิดด่านการค้าอย่างต่อเนื่องและไม่เคยมีนโยบายปิดกั้นการค้าชายแดน อย่างไรก็ตาม มาตรการด้านความมั่นคงและสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดการชะลอตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าจะสามารถกลับมาฟื้นตัวหลังสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ

ทั้งนี้ท้ายที่สุด หอการค้าไทยขอส่งกำลังใจไปยังกำลังพลของกองทัพไทย และหน่วยงานด้านความมั่นคงทุกภาคส่วน ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งในการปกป้องอธิปไตยของชาติ และขอภาวนาให้ประชาชนทุกคนปลอดภัยจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้

#CambodiaOpenedFire #หอการค้าไทย #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพบก #สถานการณ์ชายแดน #เศรษฐกิจไทย #ความมั่นคง #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

หอการค้าไทย เสนอจัดตั้ง “กรอ.แรงงาน” ร่วมกระทรวงแรงงาน ขับเคลื่อนนโยบาย-แก้ปัญหาแรงงานไทยอย่างยั่งยืน

หอการค้าไทย เสนอจัดตั้ง “กรอ.แรงงาน” ร่วมกระทรวงแรงงาน ขับเคลื่อนนโยบาย-แก้ปัญหาแรงงานไทยอย่างยั่งยืน

วันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย คุณวิบูลย์ สุภัครพงษ์กุล รองประธานกรรมการ ในฐานะประธานคณะกรรมการแรงงานและพัฒนาฝีมือแรงงาน  คุณธวัชชัย เศรษฐจินดา กรรมการเลขาธิการ และ คุณอมรเทพ ทวีพานิชย์ ผู้อำนวยการบริหาร  ได้เข้าพบหารือร่วมกับ นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน  นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ณ ห้องประชุมกระทรวงแรงงาน

ดร.พจน์  อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการ เปิดเผยหลังประชุมว่า หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยคณะกรรมการแรงงานและพัฒนาฝีมือแรงงาน และสมาคมการค้าต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมแก้ไขปัญหาแรงงานของประเทศไทยมาโดยตลอดร่วมกับกระทรวงแรงงาน ตลอดระยะเวลามากกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยโดยกระทรวงแรงงาน ได้มีความพยายามร่วมกันกับภาคเอกชนโดยเฉพาะหอการค้าไทยเพื่อร่วมแก้ไขและมีนโยบายที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ถึงแม้ภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่ยังคงมีความผันผวนและเปราะบาง อันเป็นผลมาจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้าระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศและภาคธุรกิจให้ต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหลายประการ ตลอดจนสถานการท่องเที่ยวในประเทศที่ชะลออย่างต่อเนื่องอันเนื่องมาจากนักท่องเที่ยวลดลงโดยเฉพาะประเทศจีนส่งผลโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ

ทั้งนี้จึงได้เสนอให้ กระทรวงแรงงาน จัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านแรงงาน (กรอ.แรงงาน) เพื่อร่วมบูรณาการขับเคลื่อนนโยบายและข้อเสนอของภาคเอกชนให้เป็นรูปธรรม อีกทั้ง ได้นำเสนอนโยบายการแก้ไขปัญหาแรงงานของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดยืนต่อนโยบายเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำของหอการค้าไทยและสมาชิก ซึ่งได้เน้นย้ำต้องเป็นไปตามหลักกฎหมายซึ่งบัญญัติไว้ในมาตรา 87 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541  อย่างเคร่งครัด สอดคล้องกับแนวทางที่ได้รับการยอมรับมาโดยตลอดจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) และเสนอให้ร่วมกับภาคเอกชนจัดทำยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ/จัดระเบียบแรงงานต่างด้าว การต่อต้านการใช้แรงงานเด็ก แรงงานบังคับ และการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ด้วยแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labor Practices : GLP) โดยปัจจุบันมีภาคเอกชนได้นำ จำนวน 29,688 แห่ง สามารถยกระดับคุณภาพลูกจ้างได้มากกว่า 2.2 ล้านคน ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวได้สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ประเทศไทยเพื่อจะสามารถกลับมาอยู่ในระดับ Tier 1 ในรายงานการค้ามนุษย์หรือ TIP Report ในเร็วนี้

ขณะที่ในส่วนข้อเสนอนโยบายการพัฒนาฝีมือแรงงาน หอการค้าไทยสนับสนุนให้เร่งรัดการประกาศอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือให้ครบตามมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติซึ่งมี 280 สาขา จากปัจจุบันที่มีการประกาศไว้เพียง 129 สาขา พร้อมทั้งให้มีการขยายสาขาอาชีพมาตรฐานฝีมือรวมทั้งอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือให้ครอบคลุมมากขึ้นสำหรับแรงงานไทย พร้อมผลักดันนโยบายการส่งเสริมแรงงานทดแทนเพื่อการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งได้มีการดำเนินการร่วมกับกระทรวงแรงงานแล้วส่วนหนึ่งในกลุ่มทหารกองประจำการ  ผู้พิการ สูงอายุ และเตรียมพร้อมขับเคลื่อนความร่วมมือทางวิชาการด้านการพัฒนาฝีมือแรงงาน ระหว่าง กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน หอการค้าไทย และ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยมีกรอบความร่วมมือทางวิชาการ วิจัยและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการยกระดับสมรรถนะด้านวิชาชีพสำหรับการทำงานที่ตอบสนองความต้องการตลาดแรงงาน ตลอดจนเพื่อพัฒนาศักยภาพนักศึกษาหรือกำลังแรงงานให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะฝีมือสูงขึ้นด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือด้านอื่นๆ เป็นต้น โดย ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้รับข้อเสนอของหอการค้าไทย มาดำเนินการพร้อมทั้งเห็นชอบการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและภาคเอกชน ด้านแรงงาน (กรอ.รง) เพื่อหารือรายละเอียดข้อเสนอร่วมกับหน่วยงานต่างๆ อย่างเร่งด่วน

ดร.พจน์กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี แห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย-จีน และสมาคมการค้าวิสาหกิจจีนในไทย ได้เตรียมจัดงาน Thailand – China Cooperation Expo 2025 ขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน 2568 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี บนพื้นที่จัดแสดงกว่า 40,000 ตารางเมตร ภายใต้แนวคิด “50 ปี ความสัมพันธ์ไทย-จีน : ก้าวสู่ความรุ่งเรืองร่วมกัน” ภายในงานดังกล่าว กระทรวงแรงงาน ได้ร่วมสนับสนุนจัดกิจกรรมจ๊อบแฟร์ (Job Fair) เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดการจ้างงานระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ตลอดจนเสริมสร้างความร่วมมือด้านแรงงานและพัฒนาฝีมือแรงงาน  การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจ และยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป

#แรงงานไทย #หอการค้าไทย #กระทรวงแรงงาน #ค่าจ้างขั้นต่ำ #พัฒนาฝีมือแรงงาน #กรอแรงงาน #GoodLaborPractices #ThailandChinaExpo2025 #JobFair #ตลาดแรงงาน #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

"หอการค้าไทย" จี้รัฐเร่งดีลภาษีทรัมป์ ก่อนธุรกิจทรุด รับไม่ไหว 36% แรงเกินไป

"หอการค้าไทย" จี้รัฐเร่งดีลภาษีทรัมป์ ก่อนทุบส่งออก รับไม่ไหว 36% แรงเกินไป

วันที่ 9 ก.ค.68 นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเปิดเผยว่า นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ได้นัดมาหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงภาคธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการลงทุนในสหรัฐฯ ถึงแนวทางการเจรจาอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งต้องได้ข้อสรุปก่อนวันที่ 31 ก.ค.นี้ เนื่องจากสหรัฐฯ จะเริ่มต้นบังคับใช้อัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยที่ 36% ในวันที่ 1 ส.ค.68

ทั้งนี้ ยอมรับว่าภาคเอกชนมีความกังวลว่าการเจรจาจะไม่จบ ดังนั้นหน่วยงานที่รับผิดชอบ จึงต้องเร่งหาทางเพื่อที่จะทำให้สหรัฐฯ พอใจกับข้อเสนอของไทยให้ได้ บนพื้นฐานว่าจะต้องสมดุลทั้ง 2 ฝ่าย โดยมองว่าอัตราภาษีนำเข้าที่ 36% นั้นสูงเกินไป เพราะหากเปรียบเทียบกับเวียดนามที่โดนเรียกเก็บภาษี 20% ขณะที่เวียดนามเกินดุลสหรัฐฯ ถึง 1.2 แสนล้านดอลลาร์ ต่างกับไทยถึง 3 เท่า แต่ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ที่ 4.6-4.7 หมื่นล้านดอลลาร์เท่านั้น

"ข้อเสนอที่เราปรับปรุงไป เราให้เต็มที่แล้ว เราพยายามเสนอในสิ่งที่เราทำได้ และเป็นสิ่งที่ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยมากเกินไป โดยเฉพาะภาคการส่งออก และเราเน้นนำเข้าในสิ่งที่เราขาดแคลน ส่วนอัตราภาษีที่เราโดน 36% นั้นถ้าเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เราจะลำบาก ถามว่าสะเทือนมากแค่ไหน ก็ต้องดูประเทศอื่น หรือคู่แข่งด้วยว่าเขาโดนกันเท่าไร ตอนนี้ผลออกมาแค่ 2-3 ประเทศเท่านั้น บางอย่างเราอาจจะเสียเปรียบ บางอย่างเราอาจจะไม่เสียบเปรียบ บางอย่างเสียเปรียบมาก แต่บางอย่างเราก็เสียเปรียบน้อย ตรงนี้ต้องมานั่งวิเคราะห์กันว่าจะแก้ไขอย่างไร"นายพจน์กล่าว

นายพจน์ กล่าวอีกว่า หากถามว่าไทยควรจะได้อัตราภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เท่าไรนั้นก็ต้องมาคิดว่าอัตรา 10% เป็นฐานต่ำที่สุด ถ้าเราทำได้ดีที่สุดที่ 10% ก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้าไม่ได้ก็ต้องมาดูว่าจะได้ขนาดไหน ขอแค่อย่าเสียเปรียบคู่แข่งของเรามากเกินไป

ส่วนข้อเสนอที่ไทยจะลดอัตราภาษีนำเข้าบางรายการให้สหรัฐฯ ที่ 0% นั้น มองว่าพิกัดภาษีบางรายการสินค้ามีการกำหนดมานาน และกำหนดสูงมาก อัตรา 30-60% แต่ไม่ได้มีการนำเข้าเลย ตรงนี้ก็ถือเป็นโอกาสล้างบาง เช่น ผลไม้ ทุกวันนี้ไทยนำเข้าผลไม้จากออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และจีน โดยใช้ FTA ซึ่งภาษี 0% อยู่แล้ว ดังนั้นบางเรื่องการลดภาษีเหลือ 0% จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะบางสินค้าเราก็ได้ภาษี 0% อยู่แล้ว

#หอการค้าไทย #ภาษีทรัมป์ #ภาษีสหรัฐ #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์