"หมอเปรม" ค้านร่างแก้ รธน. ฉบับ "พรรคประชาชน" หวั่นเป็นชนวนสร้างความขัดแย้งสองสภา

 

วันที่ 6 ม.ค.2568 ที่รัฐสภา นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. แถลงถึงจุดยืนในการคัดค้านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 (8) ของพรรคประชาชน การออกเสียงรับหลักการวาระแรก และเสียงเห็นชอบใน วาระสาม และมาตรา 256 (8) ว่าไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขในมาตรานี้ เพราะถือเป็นการตัดทอนอํานาจของสว.ลงอย่างชัดเจน  ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เรื่องอํานาจหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา ที่บัญญัติให้สว.มี  หน้าที่และอํานาจกลั่นกรองกฎหมายที่ผ่านจากสภาผู้แทนราษฎร อาจเป็นชนวนสร้างความขัดแย้งขึ้นระหว่างสองสภา และที่สำคัญรัฐธรรมนูญมาตรา 156 (15) เดิมได้บัญญัติ  ชัดเจนให้การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามมาตรา 256 ต้องกระทําร่วมกันของรัฐสภา 

นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยเพราะต้องไปแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์  รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งทางต่างๆ ตามรัฐธรมนูญ เรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่หรืออำนาจศาล หรือองค์กรอิสระ ดังนั้นจึงจะต้องไป  แก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 ซึ่งบัญญัติเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ เห็นควรว่าไม่ควรไปแตะต้องเลย เพราะจะสร้างความแตกแยกขึ้นในชาติบ้านเมือง 

“อยากให้เห็นความสำคัญของเรื่องปากท้องพี่น้องประชาชน ก่อนที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเท่าที่ฟังเสียงส่วนใหญ่จากการเปิดประชุมสว. วันแรกของปี 2568 สว.ส่วนใหญ่เห็นตรงกันที่จะไม่เห็นด้วยให้แตะหมวด 1หมวด 2 ไม่ว่าจะถูกเสนอโดยพรรคการเมืองใดก็ตาม ถ้าพรรคเพื่อไทย เสนอแบบเดียวกับพรรคประชาชน ผมก็ไม่เห็นด้วย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนเสนอ

ผมอยากจะฝากว่าการกระทำอะไรที่รีบร้อนมักส่งผลเสีย อย่างก่อนปีใหม่ที่บอกว่าทำบาปมา 1 ปีแล้วสวดมนต์ข้ามปี 1 คืนต้องมาขอโทษแล้วเกิดประโยชน์อะไรต่อบ้านเมือง ผมเห็นใจสมาชิกรัฐสภาที่อยากแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ตรงกับความต้องการที่ตัวเองมีจุดยืน แต่ก็ต้องฟังจุดยืนของทุกส่วน เพราะสมาชิกวุฒิสภาก็เป็นสมาชิกรัฐสภาเช่นกัน” นพ.เปรมศักดิ์ กล่าว

นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นด้วยกับประชามติ ชั้นเดียว ไม่ใช่ 2 ชั้นเพราะ เศรษฐกิจมันแย่อยู่แล้ว การทำประชามติ 1 ครั้ง ต้องเสียเงิน 2 พันล้านบาท จึงไม่อยากให้เอาคำพูดที่ว่าจะไม่ทันการเลือกตั้งปี 2570 มาเป็นหลัก เพราะเห็นว่าสถานการณ์ตอนนี้รัฐบาลจะอยู่รอดตลอดปี 2568 หรือไม่ยังไม่ทราบ

"หมอเปรม" อัด กสทช.แดนสนธยา ข้องใจประธานกสทช.ขาดคุณสมบัติแต่ยังทำงานได้

ที่รัฐสภา นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา ได้อภิปรายระหว่างการพิจารณารายงานผลการปฏิบัติงาน กสทช.ประจำปี 2566 และรายงานการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติงาน กสทช. สำนักงาน กสทช. และเลขาธิการ กสทช. ประจำปี 2566 ว่า ปกติการพิจารณารายงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่มาสู่วุฒิสภาส่วนใหญ่มีแต่รับรองแล้วผ่านไป เหมือนวุฒิสภาเป็นตรายาง ไม่สามารถทำอย่างอื่นได้  แต่หน่วยงานของกสทช.จะให้ผ่านไม่ได้จริงๆ ด้วยเหตุผลคือ คณะกรรมการกสทช.ชุดนี้ ถือเป็นชุดที่ 3 มีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล กรรมการกสทช.มี 7 ท่าน มาชี้แจงเพียง 6 ท่าน และทราบมาอีกว่า ประธานคณะกรรมการกสทช. ไม่ได้แจ้งให้มาชี้แจง ทั้งที่ทุกท่านต้องมีอิสระในการทำงาน 

ทั้งนี้ ที่แปลกเมื่อวันที่ 15 ส.ค. ประธานกสทช. ไปชี้แจงที่สภาผู้แทนราษฎร ก็ไม่มีคณะกรรมการกสทช.ไปชี้แจง ทราบว่า ไม่ได้รับการแจ้งให้ไปชี้แจงต่อสภาฯ ในขณะเดียวกันคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ หรือค.ต.ป.มากันครบและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากถึงข้อสังเกตในการทำงาน โดยเฉพาะการควบรวมกิจการของโทรศัพท์ เมื่อเป็นเช่นนี้ตนอยากให้ประธานวุฒิสภา ไปดูขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าที่พหลโยธินซอย 8 จะได้เห็นว่า การทำงานตรงนั้นเป็นองค์กรใหม่ก็จริง มีพ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่ตั้งแต่ปี 2553 แต่การเติบโตของกิจการในเครือข่ายนี้เติบโตมากจนน่ากลัว มีแต่ปัญหาผลประโยชน์ภายใน หลายคนเห็นว่าเป็นเรื่องซับซ้อนซ่อนเงื่อน ความจริงไม่มีอะไรซับซ้อน ปัญหามีมาจาก 2 คนเท่านั้น คือ คนหนึ่งขาดคุณสมบัติ อีกคนหนึ่งรักษาการมาเกือบ 4 ปีแล้วไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรในองค์กรนี้ ตนไม่ได้พูดโดยอาศัยข้อมูลจากที่อื่น แต่เป็นข้อมูลจากคณะกรรมาธิการเทคโนโลยี กิจการสื่อสารและโทรคมนาคม วุฒิสภา ซึ่งกรรมาธิการฯชุดที่แล้วสอบสวนไว้ดีมาก ดำเนินการสืบสวนใช้เวลา 6 เดือนได้เชิญบุคคลต่าง ๆเข้ามาชี้แจงการตรวจสอบคุณสมบัติของประธานกสทช.ปรากฏว่า ไม่ได้รับความร่วมมือทั้งจากเจ้าหน้าที่หรือท่านใดมาชี้แจง

นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า หลังจากกรรมาธิการฯ ตรวจสอบเสร็จแล้ว กลับมีหนังสือจากประธานกสทช.โต้แย้งว่า วุฒิสภาไม่มีอำนาจในการตรวจสอบ ในประเทศไทยกฎหมายสูงสุดที่ใหญ่ที่สุดเป็นแม่บทของประเทศคือ รัฐธรรมนูญ เมื่อรัฐธรรมนูญให้อำนาจวุฒิสภากำกับองค์กรอิสระ แต่ประธานกสทช.โต้วุฒิสภาไม่มีอำนาจตรวจสอบ ขณะเดียวกันเลขาธิการวุฒิสภาได้มีหนังสือตอบกลับไปยังประธานกสทช.ว่า อำนาจของวุฒิสภาตรวจสอบองค์กรอิสระได้แน่นอน ตนถือว่าเป็นการท้าทายมาก ทำให้ประชาชนรู้สึกสับสนในอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ถ้าวุฒิสภาแตะองค์กรอิสระไม่ได้แล้วใครแตะต้องได้ ถ้าองค์กรอิสระกระทำผิด หรือบุคคลในองค์กรอิสระทำไม่ถูกกฎหมายใครจะแก้ไขได้

"กรรมาธิการฯ ชุดที่มี พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานฯ ได้ตรวจสอบคุณสมบัติของประธานกสทช. ว่าขาดคุณสมบัติหลายประการในข้อสรุปมี 95 หน้า ลงท้ายลงความเห็นว่า จากพยานหลักฐานข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ในขั้นพิจารณาของกรรมาธิการฯประกอบกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คณะกรรมาธิการฯพิจารณาแล้วเห็นว่า นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานกสทช.ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย ตามพ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่ฯ  พล.อ.อนันตพรได้ทำหนังสือตามขั้นตอนส่งไปยังประธานวุฒิสภาขณะนั้น ปรากฏว่า เป็นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของวุฒิสภา ช่วงนั้นเกิดคำถามหลายอย่างทำให้ประธานวุฒิสภาไม่ได้เซ็นหนังสือไปยังนายกรัฐมนตรีตามขั้นตอน เรื่องจึงมาตกที่ประธานวุฒิสภาคนปัจจุบันจะดำเนินการอย่างไร ถ้าวุฒิสภาตรวจสอบไม่ได้ประชาชนจะพึ่งใคร จึงขอเรียนประธานวุฒิสภาว่า ให้ดูเรื่องนี้ใหม่ว่า เรื่องมาถึงประธานวุฒิสภาหรือยัง ถ้าเห็นว่า ผลการตรวจสอบมีน้ำหนักน่าเชื่อถือให้ส่งไปยังนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งได้แถลงนโยบายจะขจัดคอรัปชั่นจะทำในสิ่งที่เป็นความหวังของประชาชน ถือเป็นการดีว่าจะกล้าลงดาบอะไรหรือไม่ เพราะผลการสอบชัดเจนชัดยิ่งกว่าชัดไม่อยากให้คาราคาซัง"

นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า ผลประโยชน์ของกสทช.ในตำแหน่งไม่เท่าไหร่ แต่การอนุมัติคลื่นความถี่ มีวงเงินเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน แต่สิ่งที่คนทั่วไปไม่ทราบค่าตอบแทนบอร์ดกสทช. ประธานบอร์ดกสทช.ค่าตอบแทนเหมาจ่ายรายเดือน 361,167 บาท  นอกจากนั้นยังมีค่าเสียโอกาสเดือนละ 89,667 บาท อยากถามว่า ค่าเสียโอกาสอะไร ส่วนกรรมการอีก 6 คน ค่าตอบแทนเหมารายเดือน 289,167 บาทค่าเสียโอกาส 71,667 บาทต่อเดือน ในขณะที่นายกรัฐมนตรี มีค่าตอบแทนรายเดือน 125,590 บาท ส่วนเงินนอกกฎหมายอีกไม่รู้เท่าไหร่ ค่าเสียโอกาสเขาเขียนไว้ทำไม 

อย่างไรก็ตาม ประธานกสทช. ถูกกรรมาธิการฯตรวจสอบอย่างที่ตนอภิปรายว่า ท่านมีความบกพร่องในส่วนนี้ จึงเป็นข้อเรียกร้องของตนในฐานะวุฒิสภา และเพื่อนวุฒิสภาถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้นแบบนี้ และประธานกสทช.ชอบโต้แย้งเสมอว่า วุฒิสภาไม่มีอำนาจแล้วใครจะตรวจสอบท่านได้  ท่านจะกลายเป็นคนที่แตะต้องได้อย่างนั้นหรือ พหลโยธินซอย 8 แทนที่จะเป็นแดนศิวิไล แต่กลายเป็นแดนสนธยา ตนจึงไม่สามารถรับรองรายงานของ กสทช.ได้

“หมอเปรม” ชงแสดงวิสัยทัศน์ชิงปธ.วุฒิฯ “สว.กลุ่มอิสระ” ส่ง ”นันทนา-บุญส่ง”ชิงรองปธ.คาดเลือก 19 ก.ค.นี้

เมื่อวันที่ 13 ก.ค.67 นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. กล่าวถึงกรณีการล็อบบี้สว.โดยยื่นผลประโยชน์แลกเปลี่ยน เพื่อให้มาอยู่ร่วมในสังกัดว่า ขณะนี้มีการล็อบบี้สว.สายอิสระ ให้เข้าไปอยู่ในกลุ่มสว.ที่เป็นเสียงข้างมาก โดยให้ผลประโยชน์ก้อนใหญ่ เพื่อให้ได้เสียงเด็ดขาดในการเลือกประธานและรองประธานวุฒิสภา ที่คาดว่าจะมีการเลือกกันในวันที่ 19 ก.ค.นี้ ถ้าปล่อยให้มีการล็อบบี้ได้ การเลือกประธานและรองประธานวุฒิสภาจะไม่เห็นความหวังในระบบวุฒิสภา อย่าดูถูกเสียงข้างน้อยไม่มีความหมาย อย่าไล่ทุบเอาตามใจตัวเอง เพราะต้องทำงานร่วมกัน 5ปี ต้องมีความสมานฉันท์ จะส่งเสริมความร่วมมือกันได้ดีที่สุด แต่เสียงข้างน้อยก็ไม่ควรดิ้นรนไปขอแบ่งตำแหน่ง ถ้าเสียงข้างมากไม่ยอมก็สู้ไม่ได้อยู่แล้ว แต่จะต้องสู้อย่างมีศักดิ์ศรี

“ส่วนตัวมองว่า เก้าอี้ประธานและรองประธานวุฒิสภา ควรให้คนที่อยากดำรงตำแหน่งกล้าเสนอตัวเองขึ้นมา ไม่ต้องให้ใครเสนอชื่อแทนให้ และต้องแสดงวิสัยทัศน์จะพัฒนาวุฒิสภาอย่างไรให้มีความก้าวหน้ากว่าสว.ชุดที่แล้ว เพื่อให้ที่ประชุมสว.ลงมติจะเลือกใครเป็นประธานและรองประธาน” นพ.เปรมศักดิ์ กล่าว             

นพ.เปรมศักดิ์  กล่าวว่า ตนอยากให้คนที่สนใจจะเป็นประธานและรองประธานวุฒิสภา กล้าประกาศตัวเองลงสมัคร กล้าเป็นหน่วยกล้าแพ้แข่งชิงเก้าอี้ ไม่ใช่ปล่อยให้บล็อกโหวต ยอมแพ้ตั้งแต่ตำแหน่งประธานวุฒิสภา แข่งเฉพาะตำแหน่งรองประธานวุฒิสภา ดูแล้วเสียศักดิ์ศรี เหมือนยอมจำนนตั้งแต่แรก ไม่อยากให้วุฒิสภาชุดใหม่ถูกควบคุมตั้งแต่แรก แม้เสียงอาจจะสู้กลุ่มที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ไม่ได้ แต่ถ้าสังคมสนับสนุน เสียงข้างมากก็จะถูกกดดัน ต้องวัดใจเข้าจะใจกว้าง เกรงใจกระแสสังคมแค่ไหน ทุกคนเป็น สว.เท่ากัน มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี อย่ามองว่าใครสีไหน ดังนั้นใครอยากเป็นประธาน ต้องกล้าประกาศตัว ตั้งใจมาเป็นเอง กล้าแสดงวิสัยทัศน์ ไม่ใช่ให้ใครเสนอมา ไม่สง่างาม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนการชิงตำแหน่งประธานและรองประธานวุฒิสภานั้น ขณะนี้สว.ในกลุ่มอิสระ และสว.สายสีส้ม ที่มีจำนวนประมาณ 30คน จะมีการหารือกันในสัปดาห์หน้า เพื่อพิจารณาส่งคนลงชิงเก้าอี้ประธานและรองประธานวุฒิสภา โดยในส่วนประธานวุฒิสภา อยู่ระหว่างการพิจารณาจะส่งใครลงชิงเก้าอี้ ส่วนตำแหน่งรองประธานวุฒิสภา 2  เก้าอี้นั้น มีการพิจารณาอาจจะส่งนางนันทนา นันทวโรภาส และนายบุญส่ง น้อยโสภณ  อดีต กกต. ลงชิงตำแหน่งรองประธานวุฒิสภา ซึ่งจะต้องรอการพิจารณาอีกครั้งในสัปดาห์หน้า