อย่าชะล่าใจ! "หมอดื้อ" เตือนโรคพิษสุนัขบ้าอันตรายถึงชีวิต แม้แผลเล็กก็เสี่ยง ต้องรีบล้างแผล-ฉีดวัคซีน

วันที่ 11 ก.ย.68 ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และ ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha ระบุว่า...

โรคพิษสุนัขบ้าเกิดขึ้นจากการกัดข่วนที่เป็นแผลลึก แม้ว่าจะเป็นแผลเดี่ยวก็ตาม ตำแหน่งใดก็ตาม ไม่ใช่อันตรายแต่ที่หน้าอย่างเดียว

1- ระยะฟักตัวไม่ได้ขึ้นกับตำแหน่งที่ใกล้สมอง“อย่างเดียว”ตามที่เข้าใจผิดกันมานาน

2-ระยะการฟักตัวขึ้นกับ ลักษณะการควบคุมในเซลล์ กล้ามเนื้อที่เรียกว่า miRNA 133 ที่ยับยั้งการ เจริญเติบโตของไวรัส แต่เมื่อไวรัสสามารถปรับตัวและหลุดจากการยับยั้งก็จะขยับตัวเข้าไปปลายประสาท เมื่อเข้าปลายประสาทแล้ว ไวรัสถึงไขสันหลังในระยะเวลาเป็นชั่วโมงเท่านั้น และกระจายไปทั่วสมองและไขสันหลังในช่วงระยะเวลาไม่กี่วัน

3-แต่ไวรัสจะสงบเงียบๆอยู่ในระบบประสาท สมองและไขสันหลัง ได้เป็น สัปดาห์ ถึงเป็นเดือนจนกว่าเซลล์ประสาทจะหมดกำลังที่จะเลี้ยงดูไวรัส จนกระทั่งโรงพลังงานทำ ต่อไม่ได้ (Bioenergetic failure) จึงจะแสดงอาการออกมา

4- และหลังจากที่แสดงอาการซึ่งอาจจะเป็นอาการกระวนกระวายคุ้มคลั่ง กลัวน้ำกลัวลม หรือเป็นอาการอัมพาตโดยที่ไม่มีอาการคุ้มคลั่งใดๆ และแทบไม่เห็นหรือไม่มีอาการกลัวน้ำกลัวลมเลย แต่ทั้งสองกลุ่มอาการนั้นมักจะพบว่ามีน้ำลายมาก (แม้ว่าบางรายจะไม่มีน้ำลายมากเช่นนั้นก็ตาม)

5-จากนั้นก็จะโคม่า และเสียชีวิต ระยะเวลาจากที่แสดงอาการจนกระทั่งเสียชีวิตจะอยู่ในประมาณสองสัปดาห์ถ้าไม่ได้มีเครื่องพยุงชีวิตต่างๆ

และนี่เป็นสาเหตุที่ต้องล้างแผลให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ และรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อล้างแผลอีกครั้งเพื่อฆ่าไวรัสและถ้าแผลถึงกับรุนแรงไม่ควรเย็บแผล แต่เปิดแผลไว้ แต่ปิดไว้ เพื่อป้องกันการปนเปื้อน เพราะการเย็บจะ ทำให้เนื้อเยื่อ เสียหายมากขึ้น และทำให้ไวรัสเล็ดรอด เข้าเส้นประสาทโดยตรงได้

ถ้าแผลมีเลือดออกและไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า ชนิดที่ใช้ปัจจุบันนี้มาก่อน ต้องได้รับการฉีดสารสกัดน้ำเหลือง ในและรอบแผล พร้อมกับฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า

โรคนี้สามารถป้องกันได้ 100% ถ้าปฏิบัติตัวถูกต้อง

และข้อสำคัญถ้าไม่แน่ใจว่าสุนัขหรือแมวที่ข่วนหรือกัด เป็นสัตว์ที่เลี้ยงดูรั้วรอบขอบชิดหรือไม่ โดยไม่ได้ปล่อยให้ออกไปเดินเที่ยวเล่นตามซอยแล้วกลับมาที่บ้าน ต้อง ล้างแผลและได้รับการป้องกันดังกล่าว

ดังนั้นถ้าถูกกัดหรือข่วนมีเลือดออกจำเป็นต้องได้รับการฉีดยาป้องกันดังที่กล่าวไว้

ทั้งนี้สัตว์เฉพาะหมาและแมวสามารถปล่อยไวรัสออกมาก่อนมีอาการได้ประมาณหนึ่งถึงสองวัน และเมื่อมีอาการแล้วจะแสดงอาการเหมือนคน และเสียชีวิตในระยะเวลา 10 วัน

สัตว์ที่ไม่แน่ใจในความปลอดภัย เมื่อเราถูกกัด “ห้ามเฝ้าดูอาการ”เพราะทำให้สายเกินไป

ลักษณะที่กล่าวนี้ใช้ได้เฉพาะหมาและแมวเท่านั้น ใช้ไม่ได้กับสัตว์ชนิดอื่นและสัตว์ป่า เพราะกลไกการปล่อยไวรัสออกมาอาจเป็นไปได้โดยที่ยังไม่แสดงอาการด้วยซ้ำ

เอกสารที่รวบรวมรายละเอียดไว้ทั้งหมดแต่อ่าน”ไม่ง่าย“นักนะครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับไวรัสการเกิดโรคอย่างละเอียด

Hemachudha et al. Lancet Neurology 2013 และ อื่นๆ

 

"หมอดื้อ" ชวนมาตากแดด เดินวันละ 10,000 ก้าว เสริมสร้างสุขภาพดี ป้องกันสารพัดโรค

วันที่ 7 มี.ค.68 นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์เฟซบุ๊ก  Thiravat Hemachudha ระบุข้อความว่า...

มาตากแดดกันดีกว่า

แดด แข็งแรงสู้โควิดและรักษาลองโควิด ลอง แว๊กซ์

และต้องเข้าใกล้มังสวิรัตื ถั่ว

งด ลด สัตว์บก

ลดแป้ง

เน้น ปลา กุ้งหอย ปู ปลาหมึกก็ได้

ขิง ข่า ตะไคร้ โหระพา ผักชี กระชายขาว ขมิ้นชัน พริก เป็นต้น

อารมณ์ดี อากาศดี อาหารดี ออกกำลังกายดี แอลกอฮอล์แต่พองาม

เป็นที่ประจักษ์ว่าแสงแดดมีคุณประโยชน์นานัปการ โดยการติดตาม รวมทั้งมีการศึกษาทางระบาดวิทยาพบว่าแสงแดด เปรียบเสมือนกับเป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้มีชีวิตยืนยาวขึ้นและยังสามารถป้องกันโรคหัวใจและเส้นเลือดทั้งร่างกาย รวมกระทั่งถึงสาเหตุการตายต่างๆ จนถึงมะเร็ง

ทั้งนี้ยังปรับสมดุลย์การทำงานของตับทำให้ต้านพิษ ได้เก่งขึ้นและทำให้โรคที่เรียกว่าโรคเมตาบอลิค อ้วน ลงพุง เบาหวาน ไขมันความดันสามารถชะลอหรือควบคุมได้ง่ายขึ้น

แสงแดดกับสุขภาพที่ดีนั้นไม่สามารถอธิบายได้จากการที่แสงแดดทำให้เกิดการสังเคราะห์วิตามินดี เนื่องจากพิสูจน์แล้วว่าการเสริมวิตามินดี ไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงในการตายและการป้องกันการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดต่างๆรวมกระทั่งถึงมะเร็ง

ผิวหนังเป็นอวัยวะที่เชื่อมโยงกับ ระบบต่อมไร้ท่อ ทั้งนี้ โดยที่มีเซลล์ที่เป็นตัวรับฮอร์โมนหลายชนิด และยังมีการสร้างสารเอนโดฟิน วิตามินดี และฮอร์โมน

เอสโตรเจน เป็นตัน

รวมทั้งฮอร์โมน ghrelin โดยตัวที่ผลิต ฮอร์โมนนี้มาจากเซลล์ adipocytes ที่ผิวหนัง เมื่อกระทบกับแสงยูวีบี โดยผ่านกลไกของ p53 หรือ ที่เราเรียกว่า เป็นโปรตีนที่เป็นเทวดาอารักษ์ของจีโนม (guardian of genome) คือควบคุมวงจรชีวิตของเซลล์ให้มีการซ่อมแซม ดีเอ็นเอ เมื่อเจอกับอันตราย และที่จะก่อมะเร็ง รวมทั้งความแก่ชรา และในความสั้น ยาวของเส้นทีโลเมียร์ (telomere) ที่เกี่ยวกับอายุและควบคุมความเสถียรของยีน (genomic stability)

และถ้ามีความเสียหายเกินที่จะเยียวยาได้ ก็จะกำหนดให้เซลล์ตาย (programmed cell death) และยังเกี่ยวพันกับ ระบบการควบคุม การคลี่และบิดเกลียวของโปรตีน ที่จะเป็นพิษทำให้เซลล์ตาย (unfolded protein response และ ubiquitinylation)

ผลของแสงแดดยังทำให้มีการเพิ่มเมตาบอลิซึม ของไขมันและสเตียรอยด์และเป๊ปไทด์ที่เกี่ยวข้องกับเมตาบอลิซึม ในวงจรยูเรีย apolipoprotein ไขมันดี HDL PPAR signaling ในการรับและส่งสัญญาณอันตรายของเซลล์

ในอดีตนั้น เราเข้าใจว่า ghrelin ถูกสร้างจากกระเพาะ แต่ก็เป็นเพียงในจำนวน 60% เท่านั้น และจากข้อมูลในรายงานต่างๆ ทำให้มีความกระจ่างชัด ขึ้นว่า p53 จะปฏิบัติตัวเป็นฟัลครัม หรือ เหมือนจุดคานงัดไม้กระดก และไม่เพียงแต่เป็นเทวดาอารักขา การอยู่ หรือตายของเซลล์ และการป้องกันการเกิดเนื้องอกหรือมะเร็ง เท่านั้น ยังมีตัวghrelin เป็นตัวกระตุ้นให้มีการซ่อมแซมดีเอ็นเอที่เสียหายไป

ในส่วนของสมดุลในระดับเซลล์นี้ยังเกี่ยวพันกับฮอร์โมน leptin ซึ่งออกฤทธิ์ตรงข้ามกับ ghrelin

วงจรของผิวหนังฮอร์โมนยังเชื่อมโยงประสานกับสมองผ่านทางกลูตาเมท ซึ่งกระตุ้นการเรียนรู้ของสมอง และ ghrelin ยังมีการเชื่อมกับระบบที่ทำให้ผ่อนคลายความวิตกกังวล รวมกระทั่งปกป้องสมองจากภยันตรายต่างๆ มีฤทธิ์ในการต่อต้านการอักเสบช่วยปกป้องหัวใจและควบคุมความดันทำให้ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคทางหัวใจและเส้นเลือด รวมกระทั่ง บรรเทาภาวะดื้ออินซูลิน ในโรค เมตตาบอลิค ซินโดรม ต่างๆ และระบบภูมิคุ้มกัน

ถ้ามีการออกกำลัง เคลื่อนไหวร่วมด้วย จะเพิ่มหรือเปล่งประสิทธิภาพของแสงแดดขึ้นไปอีก

และเราคงจะได้คำขวัญของ

”แสงแดด เดินวันละ 10,000 ก้าว และเข้าใกล้มังสวิรัติ” ก็จะอายุยืน สุขภาพดี ไม่มีโรค ไปทั้งหมดนะครับ

ล้างพิษ ด้วยแดด อาหาร อากาศ อารมณ์ ออกกำลัง

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และ ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต

“หมอดื้อ” เปิดข้อสงสัย “ดีมั้ย” อาบหรือว่ายน้ำเย็นเจี๊ยบ

เมื่อวันที่ 18 ม.ค.68 นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า

ดีมั้ย.. อาบหรือว่ายน้ำเย็นเจี๊ยบ

ความเชื่อ ไปจนกระทั่งถึงประเพณี ประพฤติ ปฏิบัติ การแช่น้ำเย็นเจี๊ยบ หรือแช่น้ำแข็งมีมานานแล้ว และมีในรูปแบบต่างๆ เช่น ในประเทศหนาว โดยเฉพาะในฤดูหนาวมี การว่ายน้ำเย็นจัด ถึงขนาดที่เปิดแผ่นน้ำแข็งและลงไปว่ายในน้ำ และมีสมาคมนานาชาติยกตัวอย่างเช่น international ice swimming association หรือ international winter swimming association โดยในแต่ละสมาคม ก็จะมีการกำหนดให้ว่ายในน้ำที่อุณหภูมิ

-2 ถึง 2 องศา หรือ ในระหว่างอุณหภูมิ 2.1 ถึง 5 องศาหรือ 5.1 ถึง 9 องศาเป็นต้น

การว่ายในน้ำแข็งหรือน้ำเย็นเฉียบเจี๊ยบ เช่นนี้ เปรียบเสมือนเป็นการท้าทายร่างกาย ให้มีการปรับเปลี่ยนตัวให้ได้ ซึ่งรวมถึงทุกอวัยวะและสมอง ในการปรับให้มีการรักษาสมดุลความร้อนในร่างกาย

โดยที่ร่างกายมีระบบควบคุมการระบายหรือ สร้าง และเก็บความร้อน เช่น ทางผิวหนังซึ่งจะเชื่อมโยงกับเส้นเลือดที่อยู่ในชั้นไขมันและมีการยืดหดตามความเหมาะสม แต่ในร่างกายส่วนที่อ่อนบางเช่นมือ เท้า จมูกและใบหูจะมีกลุ่มเส้นเลือดอีกชนิดที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น จึงถูกกระทบได้ง่ายเมื่อเจอกับความเย็น

กลไกอื่นๆ คือการสั่นสะท้าน (shivering) ซึ่งเป็นการสร้างความร้อนขึ้นอีก โดยมีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อในร่างกายผ่านทางการควบคุมอุณหภูมิในสมองที่เหมือนกับเครื่องเทอร์โมสแตท (thermostat) ในสมอง ส่วนไฮโปธาลามัส (hypothalamus)

ไขมันสีน้ำตาล (brown adipose tissue) เป็นอีกกระบวนการหนึ่งที่สร้างความร้อน ทั้งนี้ เนื่องจากไขมันน้ำตาลนี้ มีจำนวนของอนุภาคไมโตคอนเดรีย (mitochondria) มากมาย ดังนั้นสามารถสร้างความร้อน โดยมีการเผาผลาญไขมันไตรกรีเซอร์ไรด์ (ผ่าน uncoupling mitochondrial electron transport และ noradrenaline -induced membrane depolarization and sodium pumping)

การควบคุม ความร้อนในตัวที่ตอบสนองต่ออุณหภูมิเย็น ยังขึ้นอยู่กับ เพศ อายุและอาจมีบทบาททางด้านพันธุกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย

มีรายงานผลต่อสุขภาพ เมื่อเผชิญความเย็นเจี๊ยบ ในวารสาร international journal of circumpolar health เดือน ตุลาคม 2022 และเป็นการวิเคราะห์จากรายงาน 728 ชิ้นคัดเลือกจนกระทั่งเหลือ 104 ชิ้น ที่มีความสมบูรณ์และเหมาะสมในผลกระทบต่อสุขภาพ

โดย มีการลดลง ของอัตราส่วนระหว่าง ApoB (ตัวไม่ดี) และ ApoA1 (ตัวดี) ปริมาณของ homocysteine ลดลง (หมายความว่าดี) ตลอดจนระดับฮอร์โมนคอร์ติโซลในเลือด ระดับอินซูลินและระดับของอันตรายจาก oxidative stress ลดลง

ในขณะเดียวกัน มีการเพิ่มของระดับฮอร์โมนหลายตัวของต่อมไธรอยด์ มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในระบบภูมิคุ้มกันในส่วนของ T cell รวมทั้ง cytokines และการตอบสนองต่ออินซูลินดีขึ้น เป็นต้น

ดัชนีชี้วัดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดดีขึ้น รวมทั้งกลไกในการเผาผลาญไขมัน และการหายใจในขณะที่มีการทำงาน

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเหล่านี้ ยังไม่สามารถสรุป เป็นกลไกทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้เต็มที่ เพียงแต่อาจมีข้อสนับสนุนของประโยชน์ที่จะได้รับ จากการเข้าไป กระโจน ว่าย อาบ ดำในน้ำ เย็นเจี๊ยบ โดยควรต้องมีข้อระวังผลร้ายต่อสุขภาพที่ทำให้ร่างกายเย็นชืด (hypothermia) โดยต้องประเมินตัวเองก่อน

โดยที่ผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ ได้ให้คำแนะนำว่า ถ้าจะเริ่ม น้ำเย็นแบบนี้ ลองเริ่มจากการอาบน้ำไม่ร้อน และในเมืองหนาว ค่อยๆ ลดอุณหภูมิลงเรื่อย ๆ เป็นเวลา 30 ถึง 60 วินาที จนชิน และมีความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า

ทั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องวอร์มอัพก่อน หรือเมื่อออกกำลังกายหนักแล้วตรงเข้าอาบน้ำเย็นเลย เมืองไทยเองคงยากนะครับ เพราะเป็นอาบน้ำอุ่นหรือร้อนอยู่แล้วจากน้ำก๊อก

เมื่อเริ่มอยู่ตัว ลองอาบน้ำโดยใส่น้ำแข็งเข้าไปปรับให้อุณหภูมิอยู่ที่ 10 ถึง 15 เซลเซียส ซึ่งวิธีนี้ นักกีฬาที่บาดเจ็บไม่ว่า เส้นเอ็น กระดูก ข้อ หรือกล้ามเนื้อ ต่างก็ใช้วิธีนี้มานานหรือในหนังที่เราดูหลายเรื่องก็มีการฟื้นฟูการบาดเจ็บโดยลงไปในอ่างอาบน้ำที่ใส่น้ำแข็ง

อ่านมาถึงตรงนี้ พวกเราอาจจะตั้งคำถามกับหมอว่า หมอเพิ่งพูดไปหยก ๆ ไม่ใช่หรือว่า ให้ไป…อบร้อนเซาน่า แล้วสมองใส ตอนนี้มีเรื่องอาบน้ำเย็นเจี๊ยบจนไปถึงอาบน้ำแข็ง

ทั้งหมดนี้อาจจะเรียกว่าเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” กล่าวคือ ในเรื่องของการอบร้อนก็เป็นประเพณีประพฤติกันมาช้านาน เช่นกัน ในแถบนอร์เวย์ ญี่ปุ่น เอเชีย แต่กลไกทางวิทยาศาสตร์ ที่แต่แรกคิดว่าการเจอความร้อนขนาด 50 องศาเซลเซียส ควรจะเป็นการสร้างความเครียดให้กับโรงพลังงานของเซลล์ คือไมโตคอนเดรีย และทำให้กระทบระบบกำจัดขยะซึ่งเกิดจากโปรตีนจับตัวกันเป็นขยุ้มและเกิดเป็นพิษ แต่ผลกลับกลายเป็นว่าความร้อนกลับทำให้ระบบนี้เก่งขึ้น และกลายเป็นคลี่ขยุ้มโปรตีนให้กลับเป็นของดีเอามาใช้ใหม่ ทั้งนี้ อาจจะเป็นได้ในกรณีของความเย็นระดับที่ว่านี้ โดยอาศัยกลไกอย่างเดียวกันหรือคล้ายกัน

ในหลายประเทศหรือในออนเซ็นจะพบว่า เมื่ออบร้อน อาบหรือซาวน่าร้อนเต็มที่ จะมาจบอยู่ที่แช่น้ำเย็นจัด ซึ่งพวกเราหลายคนคงผ่านมาแล้วและรู้สึกกระชุ่มกระช่วยขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย

ที่นำมาเล่าให้ฟังทั้งหมดนี้ เพื่อความรู้ความเข้าใจและน่าจะมีประโยชน์ในการรักษาสุขภาพโดยไม่ได้พึ่งยาเป็นหลัก ครับ

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา

ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข

และที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก

มหาวิทยาลัยรังสิต

"หมอดื้อ" โพสต์แจง 5 เหตุผล! ปมลาออก หน.ศูนย์วิทยาศาสตร์ฯ

เมื่อวันที่ 29 เม.ย.67 ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หรือ "หมอดื้อ" หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กหัวข้อ "เหตุผลที่ลาออกเป็นเรื่องของอนาคตของประเทศไทย" ระบุว่า วันที่ 30 เมษายน 2567 เป็นวันสุดท้ายในฐานะหัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย

ตามที่ได้ยื่นจดหมายลาออก ในวันที่ 25 เมษายน 2567

ประเด็นสำคัญในการลาออกเนื่องจากไม่สามารถปฏิบัติภารกิจที่เป็นเป้าหมายสำคัญเพื่อประชาชนและคนป่วย

1-ทั้งนี้ ตั้งแต่องค์กรไม่สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดที่ต้องไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดโรคระบาด โดยมีการร่วมมือกับสถาบันและองค์กรต่างประเทศ โดยมีจุดประสงค์ที่จะสร้างไวรัสใหม่ที่มีความรุนแรงกว่าเดิม โดยมีกลุ่มข้ามชาติทำงานอยู่ในองค์กร

2-อีกประการที่สำคัญคือองค์กรต่อต้านการใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพร ยกตัวอย่าง กัญชาและกันชง ในการช่วยดูแลบริบาล คนป่วยทั้งที่สามารถใช้ควบคู่กับยาแผนปัจจุบัน

และดังนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีการวิจัยเพื่อใช้ประโยชน์ให้ได้อย่างเต็มที่ โดยขจัดโทษ เพื่อให้คนไทยสามารถช่วยตนเองได้

3-ในอีกส่วนที่ยังคงเป็น ข้อที่อธิบายไม่ได้ นั่นก็คือเมื่อมีข้อมูลการเสียชีวิตและการเจ็บป่วยของผู้ที่ได้รับผลกระทบของวัคซีนในสถานพยาบาลขององค์กรเอง แต่ยังมีการปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกัน  ทั้งๆที่องค์กรควรที่จะประเมินข้อมูลถี่ถ้วนรอบด้าน ในเวลาที่ผ่านมา ทั้งข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน ข้อมูลทางด้านการแพทย์ที่ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับบริษัทและธุรกิจ ทั้งนี้โดยกลุ่มแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ที่เห็นความปลอดภัยของประชาชนเป็นที่ตั้ง ได้พยายามให้ข้อมูลผลกระทบมาตลอด แก่องค์กร

4-ในทางที่ถูกที่ควร องค์กร ต้องให้มีการระงับใช้วัคซีน modified mRNA เสียก่อน รวมทั้ง

5-ต้องตอบให้ได้ว่าวัคซีนที่องค์กรมีส่วนร่วมในการพัฒนา มีส่วนใดที่แตกต่างจากเดิมที่เป็นสาเหตุของโรคต่างๆรวมทั้งมะเร็ง และมีการปรับปรุงอย่างไรที่ทำให้ดีขึ้น ในขณะเดียวกันต้องเข้าใจว่าวัคซีนไม่ใช่คำตอบเดียวหรือคำตอบสุดท้ายในการป้องกันโรคและถ้าจะมีวัคซีนใหม่ต้องผ่านการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนทั้งประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด


#ธีระวัฒน์เหมะจุฑา #หมอดื้อ #ข่าววันนี้

"หมอดื้อ" แนะ แดดเสมือนกับเป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยชีวิตได้จริงๆ

วันที่ 26 ธ.ค.66 นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์เฟซบุ๊ก  "ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha" ระบุข้อความว่า  ...

แสงแดดและรังสี อัลตราไวโอเลตหรือยูวี ในสมัยก่อน ตั้งแต่ปี 1928 ที่พบว่า รังสี ยูวี ทำให้เกิดมะเร็งของผิวหนังได้เลยทำให้มีการหลีกเลี่ยงแสงแดดกันมาตลอด

ตราบจนกระทั่งประมาณปี 1980 เป็นต้นมา เป็นที่ประจักษ์ว่าแสงแดดมีคุณประโยชน์นานัปการ

แสงแดด เปรียบเสมือนกับเป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้มีชีวิตยืนยาวขึ้นและยังสามารถป้องกันโรคหัวใจและเส้นเลือดทั้งร่างกาย รวมกระทั่งถึงสาเหตุการตายต่างๆ จนถึงมะเร็ง

ทั้งนี้ยังปรับสมดุลย์การทำงานของตับทำให้ต้านพิษ ได้เก่งขึ้นและทำให้โรคที่เรียกว่าโรคเมตาบอลิค อ้วน ลงพุง เบาหวาน ไขมันความดันสามารถชะลอหรือควบคุมได้ง่ายขึ้น

ทั้งนี้ แสงแดดกับสุขภาพที่ดีนั้นไม่สามารถอธิบายได้จากการที่แสงแดดทำให้เกิดการสังเคราะห์วิตามินดี เนื่องจากพิสูจน์แล้วว่าการเสริมวิตามินดี ไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงในการตายและการป้องกันการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดต่างๆรวมกระทั่งถึงมะเร็ง

ผิวหนังเป็นอวัยวะที่เชื่อมโยงกับ ระบบต่อมไร้ท่อ ทั้งนี้ โดยที่มีเซลล์ที่เป็นตัวรับฮอร์โมนหลายชนิด และยังมีการสร้างสารเอนโดฟิน วิตามินดี และฮอร์โมน

เอสโตรเจน เป็นตัน

รวมทั้ง ฮอร์โมน ghrelin โดยตัวที่ผลิต ฮอร์โมนนี้มาจากเซลล์ adipocytes ที่ผิวหนัง เมื่อกระทบกับแสงยูวีบี โดยผ่านกลไกของ p53 หรือ ที่เราเรียกว่า เป็นโปรตีนที่เป็นเทวดาอารักษ์ของจีโนม (guardian of genome)

ทั้งนี้ หน้าที่โดยสังเขป คือควบคุมวงจรชีวิตของเซลล์ให้มีการซ่อมแซม ดีเอ็นเอ เมื่อเจอกับอันตราย และที่จะก่อมะเร็ง รวมทั้งความแก่ชรา และในความสั้น ยาวของเส้นทีโลเมียร์ (telomere) ที่เกี่ยวกับอายุ

และควบคุมความเสถียรของยีน (genomic stability)

และถ้ามีความเสียหายเกินที่จะเยียวยาได้ ก็จะกำหนดให้เซลล์ตาย (programmed cell death) และยังเกี่ยวพันกับ ระบบการควบคุม การคลี่และบิดเกลียวของโปรตีน ที่จะเป็นพิษทำให้เซลล์ตาย (unfolded protein response และ ubiquitinylation)

ghrelin ถูกสร้างจากกระเพาะ แต่ก็เป็นเพียงในจำนวน 60% เท่านั้น

ปัจจุบันมี ความกระจ่างชัด ขึ้นว่า p53 จะปฏิบัติตัวเป็นฟัลครัม หรือ เหมือนจุดคานงัดไม้กระดก และไม่เพียงแต่เป็นเทวดาอารักขา การอยู่ หรือตายของเซลล์ และการป้องกันการเกิดเนื้องอกหรือมะเร็ง เท่านั้น ยังมีตัวghrelin เป็นตัวกระตุ้นให้มีการซ่อมแซมดีเอ็นเอที่เสียหายไป

ในส่วนของสมดุลในระดับเซลล์นี้ยังเกี่ยวพันกับฮอร์โมน leptin ซึ่งออกฤทธิ์ตรงข้ามกับ ghrelin

วงจรของผิวหนังฮอร์โมนยังเชื่อมโยงประสานกับสมองผ่านทางกลูตาเมท ซึ่งกระตุ้นการเรียนรู้ของสมอง และ ghrelin ยังมีการเชื่อมกับระบบที่ทำให้ผ่อนคลายความวิตกกังวล รวมกระทั่งปกป้องสมองจากภยันตรายต่างๆ มีฤทธิ์ในการต่อต้านการอักเสบช่วยปกป้องหัวใจและควบคุมความดันทำให้ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคทางหัวใจและเส้นเลือด รวมกระทั่ง บรรเทาภาวะดื้ออินซูลิน ในโรค เมตตาบอลิค ซิ นโดรม ต่างๆ และระบบภูมิคุ้มกัน

ความสำคัญของแสงแดดที่ผ่านกระทบมาถึงระบบผิวหนังและส่งต่อในการสร้างสมดุลการทำงานของทุกระบบของร่างกาย รวมกระทั่งถึง สมอง หัวใจ เส้นเลือดและระบบภูมิคุ้มกันต่างๆ ให้ไม่เกิดความวิปริตแปรปรวน

และเราคงจะได้คำขวัญของ ”แสงแดด เดินวันละ 10,000 ก้าว และเข้าใกล้มังสวิรัติ” ก็จะอายุยืน สุขภาพดี ไม่มีโรค ไปทั้งหมดนะครับ

"หมอดื้อ" แนะ เพียงแค่กินพริกก็ช่วยสมองได้

เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.66  นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์เฟซบุ๊ก  Thiravat Hemachudha ระบุข้อความว่า...

เพียงแค่กินพริกก็ช่วยสมองได้

ง่ายมั้ยครับ

เรื่องของพริกน่าจะต้องย้อนกลับไปถึง ตำนานของบุหรี่ ซึ่งเกิดปรากฏการณ์ประหลาด ที่สังเกตว่าคนสูบบุหรี่แม้จะตายยับจากมะเร็ง ป่วยหลอดลม ถุงลมและโรคอื่นมหาศาล

กลับมีโรคทางสมองเสื่อมน้อยกว่าและดูจะค่อยๆรุนแรงอย่างช้าๆ แต่เผอิญตายก่อนที่จะติดตามได้ชัดเจนเพราะโทษและพิษภัยของบุหรี่

เป็นที่มาในการตั้งสมมติฐานว่าในบุหรี่อาจมีสารบางอย่างที่ช่วยปกป้องสมอง ยกตัวอย่างเช่น นิโคติน และมีศึกษาติดตามระยะยาวของคนที่กินพริก

รายงานในวารสารประสาทวิทยา (Annals of neurology) เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2556 พบว่า การกินพริก (ไม่ใช่พริกไทย) ทำให้ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคพาร์กินสัน พริกอยู่ในตระกูล Solanaceae (capsicum และ solanum) เช่นเดียวกับยาสูบ มีหลักฐานมากมายมหาศาลไม่ต่ำกว่า 60 รายงาน ที่พบว่าคนสูบบุหรี่มีโอกาสเป็นพาร์กินสันน้อยลง แต่ไม่มีใครอยากตายจากมะเร็ง โรคปอดจากการสูบบุหรี่

รายงานนี้จับประเด็นตรงที่พริกมีปริมาณนิโคติน สูง ดังนั้น อาจจะให้ผลเหมือนกับการสูบบุหรี่ จากการประเมินผู้ป่วยพาร์กินสัน 490 ราย เทียบกันคนปกติ 644 ราย เกี่ยวกับการรับประทาน อาหารและชนิดของเครื่องปรุง พบว่าคนที่บริโภคพืชที่อยู่ในตระกูล Solanaceae สัมพันธ์กับการไม่เกิดโรคพาร์กินสัน แต่ชนิดของอาหารที่สำคัญที่สุดคือพริก และลดความเสี่ยงได้ถึง 30% แม้แต่มะเขือเทศจะอยู่ในตระกูลเดียวกัน แต่ประโยชน์ที่ได้ดูจะน้อยกว่าพริก

ทั้งนี้อาจจะเป็นจากการที่มะเขือเทศมีปริมาณนิโคตินน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบว่านิโคตินอย่างเดียวหรือมีสารอื่นๆในพริกที่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดพาร์กินสัน

รายงานจากการประชุมสมาคมอัลไซเมอร์ และเป็นการประชุมนานาชาติในปี 2565 นี้เอง ทำการศึกษาคนที่เป็นๅอัลไซเมอร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่เสียชีวิต 654 ราย และทำการชัณสูตรสมอง ทั้งนี้ พบพยาธิสภาพของโรคนี้อย่างรุนแรงตามมาตรฐานของ National Institute on Aging-Reagan criteria pathology ซึ่งรวมลักษณะผิดปกติของการมี neuritic plaques และมีพยาธิสภาพในขั้น V/VI ตาม Braak &Braak staging

ผู้ป่วยเหล่านี้ทั้งหมดได้ไปพบแพทย์ในระยะสองปีก่อนเสียชีวิตและได้ประเมินการทำงานของสมองด้วยการทดสอบ MMSE ทั้งนี้ ด้วยคะแนนที่ 24 หรือมากกว่า หมายความว่า การทำงานพุทธิปัญญายังพอใช้ได้ ช่วยตัวเองได้

และจำนวนทั้งหมดนี้มี 59 รายหรือ 9% ที่การทำงานของสมองยังดูดีอยู่หรืออาจจะเรียกได้ว่ามีความทนทานและยืดหยุ่นแม้ว่าในสมองตอนตายแล้วในเวลาถัดมาจะเสียหายมากมายมหาศาลไปแล้วก็ตาม โดยในจำนวนที่เหลืออีก 595 รายหรือ 91% สภาพการทำงานอยู่ในระดับแย่

ทั้งๆที่ กลุ่มที่ยังมีสมองดี จะมีอายุมากกว่าก็ตามในการพบหมอครั้งสุดท้ายคืออายุ 81.4 ปี เทียบกับ 77.7 ปี (P=0.005) รวมทั้งอาจมีจำนวนปีของการศึกษามากกว่าบ้างคือ 16.5 ปีเทียบกับ 15.1 ปี (P=0.01) และแถมยังมีสภาวะหดหู่ซึมเศร้าน้อยกว่า ย้อนหลังไปนานกว่าสองปี นับจากพบหมอครั้งสุดท้าย คือ 17.5% เทียบกับ 29.5% (P=0.05) แต่กลับมีโรคประจำตัวมากกว่าที่ต้องใช้ยาละลายลิ่มเลือด คือ 55.2% เทียบกับ 38.2% (P=0.01)

ในกลุ่มที่การทำงานของสมองยังดี กลับพบว่าสูบบุหรี่มาตลอดชีวิต 66.7% เทียบกับ 45.7% ของกลุ่มสมองแย่ (P=0.002) และกลุ่มที่สมองยังดีอยู่นี้ ยังตกอยู่ในกลุ่มที่สูบบุหรี่มาไม่นานภายใน 30 วันก่อนที่จะทำการตรวจครั้งสุดท้าย คือ 13.2% เทียบกับ 4.6% (P=0.03)

เมื่อจัดการปรับกระบวนการทางสถิติเป็น multivariate analysis แทนbivariate ดังข้างต้น ยังคงยืนยันว่ากลุ่มที่สมองยังดี แก่กว่า มีปีการศึกษานานกว่า และผอมกว่าโดยมีมวลดัชนีกาย หรือ BMI น้อยกว่า และเป็นคนที่สูบบุหรี่มาตลอดชีวิตและยังใช้ยาละลายลิ่มเลือด หรือยาต้านเกร็ดเลือดมากกว่า

การใช้ยาต้านเกร็ดเลือดแอสไพรินหรือยาละลายลิ่มเลือด จะสัมพันธ์ค่าสถิติในการปกป้องสมองในอัลไซเมอร์ OR=1.87 ในขณะที่สูบบุหรี่มาตลอดชีวิตจะมี OR=2.78

ข้อมูลเกี่ยวกับบุหรี่และอัลไซเมอร์ ดูคล้องจองกับอีกหนึ่งรายงานในโรคพาร์กินสันเมื่อไม่นานมานี้ที่พบว่าบุหรี่ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้ 40%

ทั้งนี้คณะผู้วิจัยรวมทั้ง หมอทั่วโลกและตัวหมอเอง ยืนยัน นั่งยันว่า บุหรี่ไม่ใช่ทางออก ทางเลือกแม้การสูบบุหรี่ดูเหมือนจะทำให้สมองที่พังแล้วยังดูทนทานและคล้ายกับสมองยังดีได้ แต่ผลกระทบกลับมากมาย และคนสูบบุหรี่ที่ยังรอดชีวิตอยู่ดังในรายงานนี้น่าจะไม่ได้มีมากนัก ในประชากรทั่วไป

สำหรับข้อสรุปการใช้ยาละลายลิ่มเลือดหรือยาต้านเกร็ดเลือด อาจตีความจากคณะผู้วิจัยว่า มีผลช่วยให้สมองทนทานขึ้น แต่ข้อสรุปนี้เป็นการตีความจากการติดตามทางระบาดวิทยาเท่านั้นยังไม่สามารถหาความเชื่อมโยงสัมพันธ์เป็นเหตุและผลกันได้ชัดเจน จะมีก็แต่เรื่องของบุหรี่ซึ่งเมื่อใช้พริกที่มีปริมาณนิโคตินอยู่บ้างที่ไม่เป็นอันตรายกลับได้ผลเช่นกันในโรคพาร์กินสัน

ทั้งนี้เนื่องจากกลไกของการเกิดสมองเสื่อมทั้งสองโรค คล้ายกันด้วยการก่อตัวของโปรตีนพิษบิดเกลียว ดังนั้นการกินพริกหยวก พริกตุ้ม แดง เขียว เหลือง มะเขือเทศ รวมไปจนกระทั่งถึงพริกขี้หนูควรจะเป็นกระบวนการที่ต้องส่งเสริมที่สำคัญโดยทั้งสามารถป้องกันและชะลอโรคที่เกิดขึ้นแล้วได้

และ หยุดบุหรี่เด็ดขาดเอาบุหรี่ขุดหลุมฝัง เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นเอาไปสูบต่อ หยุดเดี๋ยวนี้เพื่อตนเองครอบครัวสังคมและระบบสาธารณสุขไทย

"หมอดื้อ" โพสต์เตือน "ท้องผูก ไม่ถ่าย สมองเสื่อม"

เมื่อวันที่ 16 ต.ค.66 ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ท้องผูก ไม่ถ่าย สมองเสื่อม

การติดตามผู้คนที่ท้องผูกตั้งแต่สามวันหรือมากกว่าพบว่าสมองเสื่อมเร็ว เทียบเท่ากับสมองแก่ไป 3 ปี (significantly worse cognition, equivalent to 3.0 years more of cognitive aging) ทั้งนี้คนที่ถ่ายวันละสองครั้งจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นนิดหน่อย (Poop less brain loss)

โดยพบว่ามีความสัมพันธ์กับจุลินทรีย์ในลำไส้ที่ผลิตสารอักเสบเพิ่มขึ้น

รายงานในที่ประชุมสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ Amsterdam เดือนกรกฎาคม 2023

และเป็นเหตุผลที่ต้องเน้นอาหารสุขภาพ ผัก ผลไม้กากใย ลดงดเนื้อสัตว์ แต่กินปลาแทน

และแน่นอนร่วมกับการออกกำลังตามธรรมชาติ (move naturally) เดิน เดิน เดิน ยังไม่ต้องถึงกับออกกำลังรุนแรงคาร์ดิโอ moderate to intense ถ้าอายุและสังขารไม่อำนวย หรือมีความเสี่ยงของเส้นเลือดตีบในสมองหรือหัวใจอยู่แล้วซึ่งออกกำลังรุนแรงจะยิ่งทำให้เส้นเลือดตันไปอีก

อนึ่ง พบแล้วเช่นกันว่าการใช้ยาระบายประเภทใดก็ตามจะเพิ่มความเสี่ยงของสมองเสื่อมขึ้น ถ้าใช้นานติดต่อกันเป็นปี

 


#หมอดื้อ #ท้องผูก #สมองเสื่อม

“หมอดื้อ" เตือน! ใครที่ชอบงีบบ่อยอันตราย ส่อเสี่ยงสมองเสื่อม

เมื่อวันที่ 9 ต.ค.66 นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์เฟซบุ๊ก  Thiravat Hemachudha ระบุข้อความว่า...

งีบบ่อย ส่อ..เสี่ยงสมองเสื่อม (ตอน 1)

พฤติกรรมการงีบ (nap) ตอนกลางวันเป็นประเด็นร้อน และเป็นที่งงงวย กันมาตลอดว่าจะเอาอย่างไรแน่ เพราะในหลายประเทศทั้งแถบ เมดิเตอร์เรเนียน เช่น สเปน รวมกระทั่งไม่นานมานี้ ลามถึง ฝั่งยุโรปและสหรัฐ

การงีบตอนบ่ายถือเป็นประเพณีหรือวัฒนธรรมด้วยซ้ำ อย่างที่เรียกว่า Siestas นัยว่า เป็นการเพิ่มพูนประสิทธิภาพของการทำงาน และคนที่ทำงานไม่เป็นเวลาอยู่เวรกะกลางคืน ดึก ยาวไปถึงเช้า ซึ่งรวม อาชีพยาม หมอ พยาบาล ต่างก็จำเป็นต้องเปลี่ยนเวลานอน เป็นตอนกลางวันแทน ซึ่งในอาชีพหมอยังต้องทำงานต่อยืดยาวไปเป็น 48 ถึง 72 ชั่วโมง ดังนั้นใช้หลับนก หรืองีบหลับเป็นพัก ๆ แทน

ทีนี้ ย้อนกลับมา เล็กน้อย อย่างที่เคยเรียนให้ทราบมาตลอดว่า การนอนดีเป็นเรื่องสำคัญมาก คำว่าดีไม่ใช่เพียงแค่ระยะเวลาของการนอนแต่หมายรวมถึง คุณภาพที่มีการหลับที่ต้องมีหลับลึก และมีการระบายของเสียออกจากสมอง หลังจากที่มีการใช้สมองมาตลอดโดยผ่านทางระบบท่อคล้ายน้ำเหลือง (glymhatic system) ที่ได้เคยเล่าให้ฟังไปแล้ว

ความแปรปรวนในการหลับและวงจรการหลับ-ตื่น ส่อให้เห็นถึงความผิดปกติของการทำงานของสมอง ที่เห็นได้ชัดเจนและบ่อยคือ ใน โรคอัลไซเมอร์ ซึ่งเป็นโรคสมองเสื่อม ชนิดที่พบบ่อยที่สุด อย่างน้อย 70 ถึง 80% ของสมองเสื่อมทั้งหมด ความแปรปรวนที่เกิดขึ้น จะพบได้ตั้งแต่แรกเริ่มของโรค โดยที่มี ตื่นบ่อยเวลากลางคืน ระยะของการหลับลึกที่ปล่อยให้สมอง มีการพักผ่อน โดยคลื่นสมองมีจังหวะช้าลง จะลดน้อยถอยลง แม้ดูเหมือนว่าระยะเวลาของการหลับทั้งคืนนั้น จะยังไม่กระทบมาก แต่จะผนวกเข้าไปกับ การนอนกลางวันมากขึ้น

มิหนำซ้ำ ในตอนกลางวันจะง่วงเหงาหาวนอนมาก และงัวเงียไม่ค่อยยอมตื่น และที่เป็นสัญญาณเตือน คือในช่วงเวลาโพล้เพล้ ตอนเย็นพลบค่ำ จะเกิดอารมณ์ หงุดหงิด พฤติกรรมแปรปรวน จนถึง วุ่นวายอธิบายไม่ได้ที่ฝรั่งเรียกกันว่า sundowning และเหล่านี้อาจจะเกิดนำมาก่อนหน้า ที่จะเริ่มมีการเสื่อมถอยของการทำงานของสมองที่เห็นได้ช้ดด้วยซ้ำ

กลไกของการควบคุมการตื่นและหลับนั้น เหมือนกับ การ เปิด-ปิด สวิตซ์ โดยมี กลุ่มเซลล์สมองที่กระตุ้นให้ตื่นหรือเปิดสวิตซ์ WPN (wake-promoting neurons) อาทิ Noradrenergic locus coeruleus (LC) และ Orexin/hyprocretin-producing neuron ที่อยู่ในบริเวณ Lateral hypothalamus area และอีกกลุ่มคือ Histaminergic neurons ใน tuberomamillary nucleus (TMN)

ขณะที่สวิตซ์เปิด กลุ่มเซลล์ประสาทหลับ SPN (sleep-promoting neurons) จะถูกยับยั้ง ทั้งสองกลุ่มนี้อยู่ในบริเวณที่ลึกลงไปในเนื้อสมอง

สำหรับโปรตีนพิษ ที่เป็นตัวก่อเหตุ อัลไซเมอร์ นั้น ตัวที่รู้จักกันดีคือ “เบต้าเอมีลอยด์” ซึ่งในตอนระยะแรกจะสะสมในบริเวณที่ผิวหรือเปลือกสมอง แต่มีอีกตัวคือ ”โปรตีน ทาว” ที่มีบทบาทสำคัญในการทำให้เซลล์สมองตายและทำให้โรครุนแรง ทั้งนี้โปรตีนทาว จะสะสมและปรากฏในบริเวณสมองส่วนลึกและที่ก้านสมองก่อนที่จะแพร่กระจายขึ้นไปถึงส่วนอื่น

จึงมีความเป็นไปได้ว่า โปรตีนพิษตัวหลังนี้ น่าจะเป็นตัวการสำคัญ ที่อธิบายปรากฏการณ์ผันผวนของการนอน

แต่เนื่องจากการตรวจหาโปรตีนทาว ในตำแหน่งของสมองในปัจจุบันใช้ เทคนิคเชิงเวชศาสตร์นิวเคลียร์ PET scan ซึ่งยังไม่แม่นยำพอที่จะระบุตำแหน่งของโปรตีนพิษ ในกลุ่มเซลล์สมองที่อยู่ลึกรวมทั้งที่อยู่ในก้านสมอง

และด้วยเหตุนี้เองเป็นที่มา ที่คณะผู้ศึกษาจากหลายสถาบันในสหรัฐ บราซิลและเยอรมัน (รายงานในวารสาร Alzheimer’s Dement ปี 2019) โดยทำการศึกษาสมองของผู้ป่วยที่เสียชีวิตและเป็นโรคสมองเสื่อมทั้ง อัลไซเมอร์ CBD (Cortical basal degeneration) และ PSP (Progressive supranuclear palsy) และเจาะจง

ดูการกระจายตัวของโปรตีนทาวในที่ต่างๆ ในเครือข่ายเซลล์ที่กระตุ้นให้ตื่น และพร้อมกันนั้น ดูรูปร่างของเซลล์และจำนวนที่แสดงถึงความผิดปกติไปพร้อมกัน ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงพิษ ของโปรตีนทาว

ผลปรากฏว่า ในอัลไซเมอร์ พบทั้งการสะสมโปรตีนพิษ ทาว ในกลุ่มเซลล์ประสาททั้งสามกลุ่ม (LC, LHA, TMN) และมีการเสื่อมสลายของเซลล์ประสาทไปพร้อมกัน แต่ในสมองเสื่อม CBD และ PSP แม้จะมีการสะสมของทาว แต่จำนวนเซลล์ประสาทยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลงหรือเปลี่ยนแปลงน้อยมาก

ทั้งนี้ เมื่อประมวลลักษณะอาการทางคลินิก จะพบความผิดปกติของการหลับ ในรูปแบบที่ต่างกัน โดยที่ใน

อัลไซเมอร์ ระยะเวลาของการนอนยังค่อนข้างปกติ แต่มีการตื่นบ่อยเป็นระยะ (sleep fragmentation) พ่วงไปกับการงีบหลับบ่อยตอนกลางวันและปลุกให้ตื่นยาก แถมยังมีสับสนตอนโพล้เพล้

ใน PSP ระยะเวลาของการนอนจะสั้นลง และหลับยาก และช่วงเวลาของการหลับแบบมีและไม่มีการกลอกลูกตาเร็ว (REM และ NREM) จะสั้นลง พร้อมกับที่คลื่นไฟฟ้าแกมมา จะมีมากขึ้นทั้ งในขณะตื่นและหลับ (hyperarousal) ใน CBD ความแปรปรวนของการหลับตื่นจะไม่ชัดเจนเท่ากับในอัลไซเมอร์ และ PSP

ผลของการศึกษานี้คือ ให้ฉากทัศน์ ที่ต่างกับที่เคยเชื่อว่า ในอัลไซเมอร์ การที่ปลุกตื่นยากเมื่องีบหลับตอนกลางวัน เป็นกระบวนการชดเชยจากที่ไม่ได้นอนหรือนอนไม่มีคุณภาพ แต่เป็นไปได้ว่า กลุ่มเซลล์สมองเครือข่ายที่กระตุ้นให้ตื่นผิดปกติไปมากกว่า และ เดรือข่ายนี้ เปราะบางและเสียหายได้ง่ายจากโปรตีนทาว

ของอัลไซเมอร์ (AD-Tau)

ในขณะที่ โปรตีนทาว ชอง CBD และPSP แม้ว่าจะพบในกลุ่มเซลล์ประสาทเครือข่ายนี้ เช่นกัน แต่ประหนึ่งว่าไม่เป็นพิษอันตรายเท่าไหร่

ทั้งนี้ PSP และ CBD จัดเป็นกลุ่มที่เป็น สมองเสื่อมกำเนิดตรงจากโปรตีนทาว (primary tauopathy) แบบ 4R (four repeat)

โปรตีนพิษ ทาว ใน อัลไซเมอร์ ถือว่าเป็นกระบวนการตาม (Secondary) และ ในปัจจุบัน ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์ สามารถวัดระดับโปรตีนทาวในเลือดได้ (phosphorylated หรือ pTau 181 ซึ่งสัมพันธ์กับพยาธิสภาพ neurofibrillary tangle ที่เกิดขึ้นในสมอง (และอีกไม่นาน ใช้ 217 และ 231)

"หมอดื้อ" ชี้ยาถึงจะดี แต่ถ้ากินมากไป ไม่ถึงตายก็คางเหลืองได้

วันที่ 2 ต.ค.66  ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์  โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha it[6;jk"""

กินยาแล้วตาย..ไม่ก็คางเหลือง ปรากฏการณ์ SS

ขึ้นชื่อว่ายา ถ้ากินผิดชนิด ผิดขนาด กินหลาย ๆ อย่างร่วมกัน (polypharmacy) ถ้าไม่ทราบที่มา ที่ไป ต่างคน ต่างให้มา จากหลายหมอ ร่างกายของเราเองกลายเป็นสนามรบของยา

ผลลัพธ์ที่ได้แทนที่จะช่วยรักษา บรรเทาอาการของโรค กลับกลายเป็นโทษ แม้ว่ายาแต่ละชนิดที่ให้จะตรงตามอาการหรือตรงตามโรคก็จริง แต่ยาข้ามกลุ่มกัน ตีกันเองอย่างดุเดือด ทำให้ฤทธิ์น้อยลงกว่าที่ควรจะเป็นหรือมากกว่ามหาศาลจนทำให้เกิดพิษ

ตัวอย่างที่หมอนำเรียนให้ก่อนหน้านี้ ก็คือยาบรรเทาอาการปวดไมเกรน กลุ่ม เออร์กอท (ergot) ที่ตัวของมันเอง ถ้ากินมากเกิน เกิดทำให้เส้นเลือด

สปาสซั่ม เส้นเลือดไปแขนขาหดตัว จนต้องตัดมือ ตัดเท้าทิ้ง หรือทำให้เส้นเลือดในหัวใจและในสมองตัน หัวใจวายเกิดอัมพฤกษ์ และแม้แต่กินขนาดปกติแต่ถ้ากินยาอย่างอื่นร่วมด้วย กลับออกฤทธิ์มากเกินไปก็จะเกิดผลดังกล่าว หรือ ยาเออร์กอทไปเพิ่มฤทธิ์ของยาตัวอื่นทำให้เกิดพิษเนื่องจากยาตัวอื่นเกินขนาด (สุขภาพหรรษา หมอดื้อ ยา “เออร์กอท” ใช้ไม่ถูก เส้นเลือด หัวใจ สมอง แขน ขาตัน)

ปรากฏการณ์อีกอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้นได้บ่อยและไม่ได้เป็นที่รับทราบกันทั่วไป แต่อันตรายมหาศาล คือการคั่ง ของสารซีโรโทนิน (serotonin) ทำให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติซึ่งออกมาในรูปของการเต้นของหัวใจแปรปรวน ไข้สูง และมีระบบความดันโลหิตผิดปกติรวมกระทั่งถึงมีภาวะกล้ามเนื้อผิดปกติเกิดกล้ามเนื้อ แหลกสลาย แขนขา ลำตัว อ่อนแรง ปวดและเศษของกล้ามเนื้อที่ทะลักเข้าไปในกระแสเลือดไปตกตะกอนในไตทำให้ไตวาย ตลอดจนมีความผิดปกติของสมองในรูปของตั้งแต่กระวนกระวาย เอะอะโวยวาย ซึม ชัก โคม่า เป็น กลุ่มอาการคั่งซีโรโทนิน (serotonin syndrome, SS)

อาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นทุกอย่าง แต่จะเกิดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เช่นความผิดปกติของความดันเลือด หรือจังหวะการเต้นของหัวใจ หรือ ออกมาในรูปของกล้ามเนื้อปวดอ่อนแรง ร่วมกับไข้ และอาการดังกล่าวไปคล้ายคลึงกับอาการที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรียหรือไวรัสก็ตาม ทำให้ต้องทำการสืบค้นหาสาเหตุกันยกใหญ่กว่าที่จะสามารถสรุปได้ว่าเกิดจาก กลุ่มอาการคั่งซีโรโทนิน

ในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เมื่อไม่นานมานี้เองก็มีผู้ป่วยลักษณะดังกล่าว สามรายที่เราเจอโดยมีอาการสับสน ไข้ กล้ามเนื้อผิดปกติ ความดันโลหิตและชีพจรแกว่ง และอื่น ๆ ทั้งนี้ ในแต่ละรายกว่าที่จะสรุปสาเหตุได้ ต้องเสียเงินในการตรวจรายละไม่ต่ำกว่า 100,000 ถึง 200,000 บาท ทั้งการตรวจเลือด น้ำไขสันหลัง คอมพิวเตอร์สมอง และการตรวจหาเชื้อต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่เกิดจากการติดเชื้อ

แม้ว่าจะมีข้อแนะนำในการวินิจฉัย SS ที่เรียกว่า Sternbach criteria อันประกอบไปด้วยว่า อาการที่เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นหลังจากที่มีการใช้ยาที่ทำให้มีการเพิ่ม ซีโรโทนิน หรือมีการเพิ่มขนาดของยาดังกล่าวที่เคยได้อยู่แล้ว รวมกับการที่มีอาการสับสน กระวนกระวาย เดินโซเซ เหงื่อแตกโชก ท้องเสียกล้ามเนื้อกระตุกหรือแข็งเกร็ง มีอาการสั่นสะท้าน หรือมีไข้สูงอย่างผิดปกติ ทั้งนี้ต้ องตัดสาเหตุที่เกิดจากการติดเชื้อ การใช้ยาสารเสพติด หรือมีความผิดปกติ แปรปรวนของระบบเกลือแร่ในร่างกาย ตับไตและระบบฮอร์โมน

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม รายงานในต่างประเทศก็ยังหลุดไม่สามารถให้การวินิจฉัยได้ทันท่วงที แม้จะมีการออกคำแนะนำใหม่ที่เรียกว่า Hunter serotonin toxicity criteria ก็ตาม

ทั้งนี้เนื่องจากความซับซ้อนของอาการ และนอกจากนั้น การใช้ยาอย่างมโหฬารในการบรรเทาอาการ หรือรักษาภาวะต่าง ๆ ทำให้ กลุ่มอาการ SS เพิ่มมากขึ้นและเป็นที่จับตาอยู่ในขณะนี้

ยาที่ใช้กันอยู่ประจำ โดยคิดไม่ถึงว่าจะทำให้เกิดผลร้าย ได้แก่ ยาแก้ปวดไมเกรน เออร์กอท และยาแพงรุ่นใหม่ที่เรียกว่า ทริปแทน (triptan) ทั้งนี้ ยังมีการใช้ร่วมกับยาต้านซึมเศร้าหดหู่ อีกหลายอย่างที่เรียกว่า SSRI SNRI และยารุ่นเก่า ทั้ง Trazodone nefazodone clomipramine venlafaxine mirtazapine และยาแก้ปวด tranmadol และอีกมากมาย ทั้งนี้โดยแบ่งตามกลไกของยาที่ทำให้เกิดการคั่ง

กลุ่มที่ยับยั้งการเก็บกลับของซีโรโทนิน เช่น ยาลดน้ำหนัก Phentermine ยาต้านการซึมเศร้า Buproprion nefazodone trazodone

ยาแก้อาเจียน granisetron ondansetron

ยาแก้แพ้เช่น chlorpheniramine

ยาแก้ปวด กลุ่มopiates เช่น levomethorohan levorphanol meperidine methadone pentazocine pethidine tapentadol tramadol ยาเสพติดโคเคน ยาอี Ecstasy ยาสมุนไพร St John’s wort (hypericum perforatum) ยาแก้ไอ dextromethorphan ยาต้านซึมเศร้ากลุ่ม SNRI desvenlafaxine duloxetine venlafaxine กลุ่ม SSRI citalopram escitalopram fluoxetine fluvoxamine paroxetine sertraline กลุ่ม TCA เช่น amitriptyline เป็นตัน

กลไกที่ยับยั้งการขับออกทำลาย ของ ซีโรโทนิน เช่นยาแก้วิตกกังวล buspirone MAOI และยาแก้ปวด ไมเกรนรวม triptans ด้วย ทั้งหมด almotriptan eletriptan frovatriptan naratriptan rizatriptan sumatriptan zolmitriptanและสมุนไพร St John’s wort

กลุ่มที่เพิ่มการสร้างซีโรโทนิน ยาลดน้ำหนัก phentermine ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม L-tryptophan และยวเสพติด โคเคน

กลุ่มที่เพิ่มการหลั่งของสาร ยาต้านซึมเศร้า mirtazapine ยาลดน้ำหนัก phentermine ยาแก้ปวด meperidine oxycodone tramadol ยาอี ยาแก้ไอ dextromethorphan ยาโรคพาร์กินสัน levodopa

กลุ่มปรับตัวรับซีโรโทนินให้ว่องไวขึ้น ยาแก้วิตก buspirone ยาต้านซึมเศร้า mirtazapine trazodone ยาไมเกรน กลุ่ม เออร์กอท triptans ยา LSD ยาไบโพล่า lithium ยาแก้อาเจียน ปรับการเคลื่อนไหวลำไส้ metoclopramide

กลุ่มที่ยับยั้งการทำลายในตับ CYP450Microsomal oxidases โดยยับยั้ง CYP2D6 ได้แก่ยาต้านซึมเศร้า substrates ได้แก่ dextromethorphan oxycodone phentermine risperidone tramadol

CYP3A4 inhibitors ได้แก่ ciprofloxacin ritonavir และ substrates ได้แก่ methadone oxycodone venlafaxine

CYP2C19 inhibitors ยารักษาเขื้อรา fluconazole และ substrates ได้แก่ citalopram

นอกจากนั้นอยากกลุ่มที่ใช้กันแพร่หลายในประเทศไทยขณะนี้คือ ยาที่ลดการปวดที่เกิดจากเส้นประสาทหรือระบบประสาทผิดปกติ gabapentin pregabalin ด้วย

ทั้งนี้ยาที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ SS อาจจะเกิดขึ้นด้วยการใช้ยาเดี่ยวที่กล่าวมาในขนาดสูง หรือใช้ยาหลายตัวร่วมกันโดยที่แต่ละตัวอยู่ในขนาดปกติ ยกตัวอย่างเช่นผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน ได้ยาบรรเทาอาการแข็งเกร็ง levodopa เช่น vopar madopar simemet และมีอาการจิตตก ก็ได้ยาคลายกังวล คลายเครียด ยาต้านหดหู่ ช่วยนอนหลับ และถ้าเกิดมีกระดูกหลังเบียดเส้นประสาทปวดไปด้วยก็จะได้ยาแก้ปวด กลุ่มเหล่านี้ร่วมกันทำให้เกิดปรากฏการณ์คั่ง SS และในขณะนี้แม้กระทั่งยาแก้แพ้ที่ใช้กันดาษดื่นมานาน (antihistamine) Chlorpheniramine หรือ CPM เมื่อเจอกับกลุ่มอื่น ๆ เช่น ยาไมเกรน ก็สุ่มเสี่ยงเช่นกัน

ดังนั้นชีวิตไม่ง่าย ทั้งหมอและเภสัชกรที่วินิจฉัยและสั่งจ่ายยา และคนป่วยเอง ที่ไปหาหมอหลายคนและไม่ได้บอกหมอแต่ละคนว่าตนเองใช้ยาอะไรบ้าง หรือไปซื้อยากินเองบ้าง นอกจากนั้นเองหมอก็ไม่ได้เฉลียวใจว่า ยาต่าง ๆ เหล่านี้ที่ใช้กันพื้น ๆ เมื่อประกบประกอบร่างใหม่ จะเกิดเป็นผลร้ายซึ่งวินิจฉัยยาก แสนยาก และแน่นอนมีที่ต้องเข้าไอซียู และถ้าโชคดีเมื่อหมดพิษของยากลุ่มต่าง ๆไปเองก็ค่อย ๆฟื้นขึ้น

สรุปยาถึงจะดี แต่ถ้ายามากไป ถ้าไม่ถึงตายก็คางเหลืองได้

จูบใครคิดว่าไม่สำคัญ! "หมอดื้อ" ชี้เป็นเรื่องหนึ่งของมนุษย์ที่ไม่น่าจะธรรมดา

วันที่ 28 ก.ย.66 นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว "ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha" ระบุว่า...

จูบใครคิดว่าไม่สำคัญ

ว่าแล้ว หมอว่าจากพลิกๆไปเรื่อยๆต้องหยุดมาที่เรื่องนี้แน่

สมัยหมอเด็กๆเคยได้ยินเพลงชื่อนี้.......จูบเบาๆเท่านั้นมันทำฉันสั่นไปถึงหัวใจ เนื้อเพลงผิดถูกไปบ้างขออภัยครับ

แต่หลังจากผ่านร้อน-ฝน-หนาว มามากฤดู เริ่มตระหนักความสำคัญของ “จูบ” ขึ้นเรื่อยๆ และมาชอบใจเมื่อได้อ่านบทความของ Chip Walter ใน Scientific American Mind ฉบับพิเศษปลายปี 2009 ทั้งเล่มชื่อ “ Sexual Brain” ซึ่งเป็นการอธิบายปรากฏการณ์ความรู้สึกตอบสนองทางเพศ กามารมณ์ ความผูกพันระหว่าง ชาย-หญิง หรือ เพศเดียวกัน ในแง่ของสมอง

“จูบ” นั้นมีหลายแบบ เกิดขึ้นได้ในหลายกาละเวลากลางวันแสกๆหรือในห้องมืดมิด มีจุดมุ่งหมายหรือนำไปสู่ผลตามต่างๆกัน (ทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม)

การจูบไม่ว่าจะหนัก เบา นุ่มนวล หิวกระหาย ตะกรุม ตะกราม จูบแบบอายๆ รักใคร่อ่อนโยน มีเพื่อสนองความต้องการ ความอยาก (Hungers) ก่อให้เกิดปฏิกริยาทางสื่อประสาทและเคมี ซึ่งปลุกเร้าระบบสัมผัส ความตื่นเต้นทางเพศ ความรู้สึกผูกพัน เกิดแรงผลักดัน หรือ เกิดความปิติอิ่มเอมใจ และแน่นอนการตอบสนองทางกาย ทั้งในระดับที่ควบคุมได้และไม่ได้ทางระบบประสาทอัตโนมัติ

อย่างไรก็ตาม จูบครั้งแรกอาจเป็นตัวตัดสินได้เลยว่า คนนี้ใช่เลย หรือไม่ก็ เท่านี้จบกัน

ทั้งนี้เนื่องจากความเชื่อจากผลการวิจัยระยะหลัง เช่น จากนักจิตวิทยาวิวัฒน์ (Evolutionary Psychologist) Gordon G. Gallup, Jr. จาก University at Albany, State University of New York ในการให้สัมภาษณ์กับ BBC เมื่อเดือน กันยายน 2007 ว่า “ เมื่อริมฝีปากแนบสนิทนั้นเป็นการเริ่มต้นของการสื่อสารที่สลับซับซ้อนทั้ง รส สัมผัส กลิ่น และการปรับลักษณะท่าทาง (น่าจะอุปมาเหมือนเวลาเต้นรำกันนะครับ) ดิ่งลึกลงไปจนถึงกลไกใต้จิตสำนึก จนทำให้เกิดความตั้งใจหรือตัดสินใจที่จะสานสัมพันธ์ต่อหรือไม่ นักวิทยาศาสตร์บางคนยังเชื่อว่า พฤติกรรมของการจูบอาจจะยังบ่งบอกต่อไปลึกล้ำว่า เต็มใจที่จะมีลูกด้วยกันหรือแม้กระทั่งรับที่จะแบกภาระในการเลี้ยงดูลูกในอนาคต

กระบวนการวิวัฒน์ของจูบนั้น นักสัตววิทยาของอังกฤษ Desmond Morris และ Chip Walter ได้เสนอว่า กลไกของจูบนั้นน่าจะเริ่มกระบวนท่ามาตั้งแต่ตอนที่สัตว์ประเภทลิง เช่น ซิมแพนซีป้อนอาหารให้ลูกตัวน้อย จากการที่เคี้ยวบดอาหารในปากก่อนที่จะประกบปากกับลูกส่งผ่านอาหาร และแม้แต่มนุษย์ในยามหิวโหยตั้งแต่โบราณกาลมีการปลอบประโลมลูกน้อยที่อดอยาก โดยการจูบและเป็นการแสดงความรัก ความห่วงใยจนมีการพัฒนาที่ดุเดือดยิ่งขึ้นในเวลาต่อมา

สารฟีโรโมน (Pheromones) ที่เรารู้จักกันดีในสัตว์และพืชหรือแม้แต่ในแมลง ซึ่งทำหน้าที่เป็นสื่อในการสานสัมพันธ์ (Sexual Attraction) หรือในการบ่งบอกแหล่งอาหาร อาจเป็นอีกกลไกหนึ่งในการสานสัมพันธ์ของการจูบ อย่างไรก็ตาม ยังเป็นที่ถกเถียงว่าคนจะมีตัวรับจับสัญญาณจากฟีโรโมน เหมือนกับหนูและหมูหรือไม่ ตัวจับฟีโรโมน (Vomeronasal Organ) ในสัตว์นั้นอยู่ในตำแหน่งระหว่างจมูกกับปาก

นักชีววิทยา Sarah Woodley จาก Duquesne University ตั้งข้อสังเกตุว่าในคนน่าจะมีอวัยวะในการรับฟีโรโมนในจมูกเช่นกัน การสานสันพันธ์โดยผ่านทางชีวเคมี เกิดขึ้นได้จริง ดังเช่น สาวๆ ขณะที่อยู่ในรอบประจำเดือนระยะหนึ่งมักจะถูกดึงดูดเข้ากับกลิ่นเหงื่อของหนุ่ม ที่มียีนของระบบภูมิคุ้มกันทื่เข้ากันได้

ดังนั้น ฟีโรโมนในคนซึ่งอาจมี Androstenol ถูกขับออกมากับเหงื่อในผู้ชาย และทำให้เกิดความตื่นตัวทางเพศในผู้หญิง และฮอร์โมนในช่องคลอดของผู้หญิงชื่อ Copulins ก็สามารถเพิ่มระดับฮอร์โมน Testosterone ในผู้ชายและกระตุ้นความอยากกระหายทางเพศ

ถ้าฟีโรโมนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจูบจริง การจูบก็จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพของฟีโรโมนให้ยิ่งออกฤทธิ์หนักขึ้นไป และเข้ากระบวนการ เช่น ในแมลง และสัตว์อื่นๆที่นำไปสู่การร่วมรัก แพร่พันธุ์

ในที่สุด สำหรับเคมีต้องกันทางประสาทวิทยาศาสตร์ การจูบนั้นจุดกลไกของประสาทตั้งแต่เมื่อริมฝีปากใกล้จะประกบกันโดยได้รับกลิ่นและเมื่อประกบกันแล้ว ผ่านทางประสาทสัมผัส ก่อนที่จะจุดชนวนทางอารมณ์ และกายภาพผ่านทางเส้นประสาท สมองของคนมีเส้นประสาท 12 เส้น มีอย่างน้อย 5-6 เส้นที่ถูกกระตุ้นในการจูบตั้งแต่เริ่มต้นคือเส้นประสาทเบอร์ 1 (Olfactory nerve) ใช้ในการรับดมกลิ่น เบอร์ 5 (Trigeminal nerve) ในการรับสัมผัสเนื้ออุ่นเนื้อเย็นจาก ริมฝีปาก ลิ้น กระพุ้งแก้ม และกล้ามเนื้อในการเคลื่อนไหวคางและขากรรไกร เบอร์ 7 (Facial nerve) ควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าและแน่นอนริมฝีปาก เบอร์ 9 และ 10 (Glossopharyneal และ Vagus nerve) ควบคุมการส่งเสียง (อือ อา เป็นต้น) เบอร์ 12 (Hypoglossal nerve) ควบคุมลิ้น

แต่แท้จริงแล้วในความเห็นของหมอเองทุกเส้นน่าจะทำงานหมด เบอร์ 2 (Optic nerve) ก็ทำหน้าที่ในการจ้องมองใบหน้าและริมฝีปากของฝ่ายตรงข้ามที่จะเคลื่อนเข้าหา เบอร์ 3-4 และ 6 (ควบคุมการกลอกลูกตา) ก็อาจต้องทำงานในการระแวดระวังมองไปทั่วๆก่อนว่ามีใครอื่นๆอยู่แถวนั้นบ้าง เบอร์ 8 (เส้นประสาทหูในการรับฟังและทรงตัว)

ใครบ้างครับปฏิเสธว่าเสียงที่ได้ยินขณะจูบกันมีความหมายมาก และเมื่อจูบแล้วถ้ามีปฏิกริยาไฟช็อตเกิดขึ้นจนแทบจะยืนไม่ไหวเข่าระทวย การทรงตัวเป็นเรื่องสำคัญ เบอร์ 11 (ควบคุมการเคลื่อนไหว คอ บ่าไหล่) คงลำบากแย่นะครับ

ถ้าเอาหน้าชนกันตรงๆเวลาจูบต้องเอียงหน้าตะแคงนิดๆจึงจะเหมาะกว่า เมื่อเล็งลึกไปถึงสมอง ในสมองคนเราจะมีตำแหน่งต่างๆที่รองรับพื้นที่ของร่างกายกับตัว (Sensory Homunculus) ใน Somatosensory cortex พื้นที่ของริมฝีปากในสมองนั้นใหญ่โตมากครับ มากกว่าพื้นที่รองรับอวัยวะเช่นมือ หรือในระบบสืบพันธุ์ด้วยซ้ำ

กระบวนการจูบเดียวตกม้าตายหรือไม่ ยังขึ้นกับสารเคมีหลายชนิด Wendy L. Hill และ Carey A. Wilson จาก Lafayette College วัดระดับฮอร์โมน 2 ชนิด ได้แก่ Oxytocin ซึ่งมีส่วนในการทำให้เกิดการไว้เนื้อเชื่อใจและ Cortisol ซึ่งหลั่งในขณะที่มีภาวะเครียด จาก 15 คู่ของนักเรียนชาย-หญิง ทั้งก่อนและหลังจูบกัน รวมทั้งก่อนและหลังที่พูดคุยกัน ซึ่งในระหว่างนั้นกุมมือซึ่งกันและกันไว้ ผลการศึกษาเป็นที่ประหลาดใจ โดยพบว่าฮอร์โมน Oxytocin หลั่งมากเฉพาะในชายเท่านั้น หลังจากจูบกันหรือพูดกันและจับมือไปด้วย ผู้วิจัยสรุปว่า ฝ่ายหญิงต้องการอะไรที่มากกว่าการจูบที่จะทำให้มีความรู้สึกผูกพันในอนาคต หรือ แม้กระทั่งสมยอมที่จะมีเพศสัมพันธ์ต่อ ทั้งนี้ อาจจะต้องการบรรยากาศที่โรแมนติก ฯลฯ ร่วมด้วย

หมอเพิ่มเติมว่า ฝ่ายชายน่าจะถูกหลอกง่ายกว่าฝ่ายหญิงเมื่อถูกจูบ (ฮา) อย่างไรก็ตาม การจูบทำให้ฮอร์โมน Cortisol มีระดับลดลงทั้ง 2 ฝ่าย โดยผู้วิจัยสรุปว่า การจูบทำให้ความเครียดลดลง (แต่หมอว่าอาจเพราะว่าได้เงินตอบแทนค่าร่วมวิจัย หรือไม่ก็ไม่ต้องเข้าคลาสตามปกติ และในฝ่ายชายนั้นอยากเข้าร่วมการวิจัยแน่นอนอยู่แล้ว)

ทั้งนี้ การจูบนั้นจะก่อให้เกิดความผูกพันกันถึง “ความรัก” หรือไม่ ก็ต้องมีการทำงานของสมองในส่วนความสุขใจ ปิติ และผลักดัน ให้สานสัมพันธุ์ต่อ (Pleasure, Euphoria, Motivation) สมองส่วนนี้คือ ventral tegmental area ด้านขวา ซึ่งเป็นบริเวณด้านท้องของก้านสมองส่วนต้น และ caudate nucleus ด้านขวา โดยผ่านสารควบคุม Dopamine สมองทั้ง 2 ส่วนมีหน้าที่เป็นศูนย์ให้รางวัล (Reward Center) และเป็นที่เดียวกันกับที่ยาเสพติด โคเคน (Cocaine) ออกฤทธ์ ดังนั้น ความรักน่าจะเป็นยาที่ดีสำหรับมนุษย์นะครับ และจูบครั้งแรกครั้งเดียวบางครั้งก็ตัดสินได้เลยว่าไม่ใช่ Gallup และคณะพบว่า 59% (จากผู้ชาย 58 ราย) และ 66 % (จากผู้หญิง 122 ราย) ของผู้ร่วมวิจัยตอบว่าจูบแรกนั้นบอกได้เลยว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ แม้จะคบหากันมาก่อนหน้าแล้วก็ตาม และเลิกกันหลังจูบแรก ความรุนแรงบดขยี้ในการจูบก็มีความหมายจากนักศึกษา 1,041 ราย ฝ่ายชายจะจูบอย่างรุนแรงล้ำลึก เพื่อเป็นการกรุยทางสู่ขั้นต่อไปของกามารมณ์ ในขณะที่ฝ่ายหญิงจะใช้การจูบเพื่อชั่งใจ หยั่งใจตนเองว่าสมควรจะคบหากับอีกฝ่ายต่อไปหรือไม่หรือพร้อมจะมีการพัฒนาในเชิงครอบครัวในอนาคตมากกว่าที่จะเป็นเจตนาทางด้านกามารมณ์อย่างเดียว ปฏิกริยาต่อไปของจูบ คือ ผลต่อร่างกาย อวัยวะภายใน หัวใจเต้นเร็ว แรงขึ้น ความดันสูงขึ้น รูม่านตาขยาย หอบหายใจลึก ฯลฯ

ดังที่เราทราบกัน

พฤติกรรมในระหว่างจูบก็มีความหมาย เคยสังเกตุไหมครับว่าขณะจูบเราเอียงศีรษะ คอ ไปทางไหน ขวาหรือซ้าย

ใครที่เอียงซ้ายรีบเปลี่ยนนะครับมาทางขวา Onur Gunturkun จาก Ruhr University of Bochum ในเยอรมัน สำรวจ 124 คู่ที่จูบกันในที่สาธารณะทั้งในสหรัฐ เยอรมัน และตรุกี เขาพบว่าจะเอียงไปทางขวามากกว่าซ้าย 2 เท่า ก่อนที่ริมฝีปากจะประกบกัน ทั้งนี้อาจจะเกิดจากท่าขณะอยู่ในครรภ์ระยะท้าย และในขณะที่เป็นทารก และการที่มี Behavioral asymmetry นี้อาจจะเกี่ยวเนื่องจากการควบคุมการพูดและการรับรู้พิเศษบางอย่างอยู่ที่สมองซ้าย (ซึ่งควบคุมด้านขวา) ปัจจัยการเลี้ยงดูก็อาจเกี่ยวกับการเอียงขวา โดยที่ 80% ของคุณแม่ไม่ว่าถนัดขวาหรือซ้ายก็ตาม จะอุ้มลูกแนบกับอกโดยหัวลูกไปทางซ้าย และลูกจะพลิกเข้าหาอกแม่โดยหมุนมาทางขวา

นักวิทยาศาสตร์บางคนยังกระหน่ำซ้ำเติมคนที่เอียงซ้ายเวลาจูบว่าเป็นคนที่ไม่อบอุ่น ไม่รักใครจริงจัง ทั้งนี้ การเอียงไปทางซ้ายถูกควบคุมจากสมองซีกขวา ซึ่งเป็นสมองอารมณ์ (หมอว่าน่าจะแสดงว่าเป็นอารมณ์แปรปรวน) มากกว่า จะเนื่องด้วยเหตุใดก็ตามเรื่องของ ซ้าย-ขวา ล่าสุดในปี 2006 Julian G. Greenwood และคณะจาก Stranmillis University College in Belfast, Northern Ireland พบว่า 77% ของนักเรียน 240 ราย เอียงมาทางขวา เวลาจะจูบแก้มตุ๊กตา และ 80% ของคู่หญิง-ชาย ใน Belfast ก็เอียงขวาเช่นกัน ทั้งนี้ อาจจะเป็นการเอียงขวาตามความถนัดมากกว่า

จะสรุปอย่างไรก็ตามนะครับ ถึงแม้ว่าจูบคือการประกบแค่ริมฝีปาก แต่ขั้นตอนการจูบ เริ่มตั้งแต่ ความคิด ความรู้สึกก่อนจูบ การกระทำระหว่างและที่จะเกิดขึ้นภายหลัง รวมทั้งสัมพันธภาพที่จะเกิดขึ้นในทางดีหรือไม่ดีก็ตามในอนาคต และนี่คือเรื่องหนึ่งของมนุษย์ที่ไม่น่าจะธรรมดานะครับ