คลังเร่งให้ความช่วยเหลือทางการเงิน แก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ

วันที่ 29 สิงหาคม 2568 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าของการดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของกระทรวงการคลังที่ร่วมกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้แก่ ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ผ่านมาตรการสินเชื่อต่าง ๆ ได้แก่ โครงการสินเชื่อธนาคารประชาชน สินเชื่อเพื่อชำระหนี้สินนอกระบบ สินเชื่อกองทุนหมุนเวียนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ยากจน มาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือและรองรับลูกหนี้นอกระบบที่ลงทะเบียนแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ สินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ และสินเชื่อสร้างเครดิต  สร้างโอกาส โดยผลการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 – 28 สิงหาคม 2568 มีประชาชนที่เป็นหนี้นอกระบบได้รับอนุมัติให้ความช่วยเหลือทางการเงินผ่านมาตรการสินเชื่อต่าง ๆ ข้างต้น ไปแล้วจำนวน 88,016 ราย ยอดอนุมัติ รวมทั้งสิ้น 2,655.96 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากผลการดำเนินการ ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2568 จำนวน 1,359 ราย และมียอดอนุมัติเพิ่มขึ้น 39.15 ล้านบาท
 
โฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลังมีนโยบายส่งเสริมให้มีการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) เพื่อเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบให้แก่ประชาชนรายย่อยในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ไม่ถูกเอาเปรียบจากเจ้าหนี้นอกระบบที่เรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยที่เกินกว่ากฎหมายกำหนด รวมทั้งยังเป็นช่องทางให้เจ้าหนี้นอกระบบสามารถเข้ามาให้บริการสินเชื่อในระบบอย่างถูกกฎหมาย โดยปัจจุบัน ณ เดือนสิงหาคม 2568 มีนิติบุคคล (บริษัทจำกัดหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด) ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และเปิดดำเนินการแล้ว 1,162 ราย ใน 75 จังหวัด และ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 มีการอนุมัติสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้กับประชาชนรายย่อยสะสมทั้งสิ้น 5,223,888 บัญชี เป็นจำนวนเงินรวม 52,209.72 ล้านบาท โดยเป็นยอดสินเชื่อคงค้าง 380,944 บัญชี เป็นจำนวนเงินรวม 7,503.66 ล้านบาท

ทั้งนี้นิติบุคคลที่สนใจประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์สามารถดูข้อมูลการยื่นคำขออนุญาตได้ที่ www.1359.go.th หรือโทรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1359

“บอร์ดแก้หนี้”จ่อชงนายกฯแก้กม.ปล่อยกู้ปิดหนี้นอกระบบ

บอร์ดแก้หนี้เร่งเสนอรัฐบาลแก้กฎหมายธอส. เปิดทางปล่อยกู้ให้ลูกหนี้ที่มีประวัติดีใช้ปิดหนี้นอกระบบ พร้อมปรับวิธีคิดดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อเป็นแบบลดต้นลดดอก ลดภาระประชาชน ควบคู่เสนอแก้กฎหมายช่วยข้าราชการที่ถูกฟ้องล้มละลายโดยไม่เกี่ยวข้องกับการทุจริต ให้ไม่ต้องถูกบังคับออกจากราชการ

เมื่อวันที่ 21 ส.ค.68 นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่ปรึกษาคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 19 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีนายจักรพงษ์ แสงมณี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้สรุปข้อเสนอจาก 10 คณะอนุกรรมการหนี้รายย่อย เพื่อจัดทำแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้ประชาชน 8 ประเภท อาทิ หนี้นอกระบบ หนี้ข้าราชการ หนี้เช่าซื้อ หนี้กยศ. หนี้เอสเอ็มอี และสินเชื่อที่อยู่อาศัย ก่อนเสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาภายในสัปดาห์นี้

นายกิตติรัตน์ กล่าวต่อว่า หนึ่งในข้อเสนอสำคัญคือ การแก้ไขพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เพื่อขยายขอบเขตการปล่อยกู้ให้ลูกค้าที่มีประวัติผ่อนชำระดี สามารถกู้เงินเพื่อนำไปใช้ในด้านอื่น เช่น การปิดหนี้นอกระบบ ลดภาระดอกเบี้ยสูง ซึ่งปัจจุบันธอส.อนุญาตให้กู้ได้เฉพาะซื้อบ้าน ปลูกบ้าน ตกแต่ง หรือซ่อมแซมเท่านั้น หากแก้กฎหมายสำเร็จ ผู้กู้ที่มีวินัยทางการเงินจะมีทางเลือกเพิ่มขึ้นในการบริหารจัดการหนี้

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบ การปรับวิธีคิดดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อ จากเดิมที่ใช้วิธีคิดดอกเบี้ยแบบคงที่ (Flat Rate) ซึ่งทำให้ลูกหนี้รับภาระสูง เปลี่ยนเป็นแบบ ลดต้นลดดอก (Effective Rate) เพื่อให้การคำนวณดอกเบี้ยสะท้อนยอดหนี้จริง หากผ่อนไปบางส่วน ดอกเบี้ยจะลดลงตามยอดหนี้คงเหลือ ทำให้ประชาชนจ่ายดอกเบี้ยรวมตลอดสัญญาน้อยลง

นายกิตติรัตน์ กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกัน ยังมีข้อเสนอให้สถาบันการเงินและผู้ให้บริการสินเชื่อที่ไม่ได้เข้าร่วม “คลินิกแก้หนี้” ของธนาคารแห่งประเทศไทย นำแนวทางการรวมหนี้และปรับโครงสร้างหนี้มาใช้กับลูกหนี้ค้างชำระเกิน 120 วัน โดยเปิดโอกาสให้เลือกผ่อนชำระตามความสามารถ อัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง 3-5% และคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก

“อีกประเด็นสำคัญคือ การแก้กฎหมายเพื่อช่วยข้าราชการที่ถูกฟ้องล้มละลาย กรณีที่ไม่ได้เกิดจากการทุจริต ให้สามารถคงตำแหน่งราชการได้ ไม่ถูกบังคับให้ออกจากงาน เนื่องจากการถูกฟ้องล้มละลายถือเป็นคดีแพ่ง หากบังคับให้ออกจากงานจะยิ่งทำให้ลูกหนี้ขาดรายได้และหมดความสามารถในการชำระหนี้”

นอกจากนี้ ยังหารือถึงการตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อดูแลและปรับโครงสร้างหนี้เสีย โดยมุ่งช่วยลูกหนี้กลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ รักษาธุรกิจและทรัพย์สินหลักประกัน รวมถึงแนวทางดูแลหนี้เกษตรกรในช่วงเผชิญภัยธรรมชาติและปัญหารายได้ตกต่ำ

รัฐบาลเดินหน้าลดหนี้นอกระบบ ช่วยปชช.แล้วกว่า 8.6 หมื่นราย วงเงิน 2,600 ล้าน

รัฐบาลเดินหน้าลดภาระหนี้นอกระบบ ช่วยเหลือประชาชนแล้วกว่า 8.6 หมื่นราย วงเงินกว่า 2,600 ล้านบาท

วันที่ 18 ส.ค.68 นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ภายใต้การดำเนินงานของกระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ผ่านมาตรการสินเชื่อต่าง ๆ เช่น สินเชื่อธนาคารประชาชน สินเชื่อเพื่อชำระหนี้นอกระบบ กองทุนหมุนเวียนช่วยเหลือเกษตรกร สินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ และสินเชื่อสร้างเครดิตสร้างโอกาส
 
โดยตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 – 14 สิงหาคม 2568 มีประชาชนได้รับการอนุมัติช่วยเหลือแล้ว 86,657 ราย รวมวงเงิน 2,616.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นเดือนกรกฎาคม 1,195 ราย วงเงินเพิ่ม 30.18 ล้านบาท
 
สำหรับสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินกู้ในระบบอย่างถูกกฎหมายและดอกเบี้ยเป็นธรรม ปัจจุบันมีผู้ประกอบธุรกิจได้รับใบอนุญาตแล้ว 1,158 ราย ครอบคลุม 75 จังหวัด ข้อมูลล่าสุดเดือนมิถุนายน 2568 มีการอนุมัติสินเชื่อสะสม 5,223,888 บัญชี วงเงินรวม 52,209.72 ล้านบาท โดยมียอดคงค้าง 380,944 บัญชี มูลค่า 7,503.66 ล้านบาท
 
ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ให้บริการสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั่วประเทศได้ที่ www.1359.go.th หรือสอบถามเพิ่มเติมและร้องเรียนปัญหาหนี้นอกระบบได้ที่สายด่วน 1359 รวมทั้งที่ธนาคารออมสิน โทร. 1115 ธ.ก.ส. โทร. 0 2555 0555 และกองนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน โทร. 0 2169 7130
 
“รัฐบาลขอยืนยันว่า การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญเพื่อคืนความเป็นธรรม ลดภาระดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรม และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนให้แก่พี่น้องประชาชนทุกคน” นางสาวศศิกานต์กล่าว

ประเด็นร้อนเศรษฐกิจรอบวัน 21 ก.ค.68

ประเด็นร้อนเศรษฐกิจรอบวัน 21 ก.ค.68 

-กระทรวงการคลังเตรียมอนุมัติ ขยายพื้นที่พิโกไฟแนนซ์ จากที่ได้เฉพาะภายในจังหวัดที่ได้รับอนุญาต เป็นการประกอบธุรกิจได้ในจังหวัดที่ได้รับอนุญาตและจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกัน สามารถให้สินเชื่อได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย เพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน ลดหนี้นอกระบบตามนโยบายรัฐ

-จตุพร บุรุษพัฒน์ รมว.พาณิชย์ ฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รมช.พาณิชย์ นำทีมพาณิชย์เยือนสหรัฐ ถกผู้บริหาร Clark Associates Inc. บริษัทจำหน่ายสินค้า Food Service อันดับหนึ่งอเมริกา เร่งผลักดันนำเข้าสินค้าไทยเพิ่ม

-ธอส.เผยผลการงานครึ่งปีแรก 2568 ปล่อยสินเชื่อใหม่แล้ว 107,227 ล้านบาท ครอบคลุมลูกค้า 95,382 บัญชี เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 27.28% พร้อมเดินหน้าปล่อยสินเชื่อครึ่งปีหลังเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 150,000 ล้านบาท ตามนโยบาย รมว.คลัง ทำให้ทั้งปี 2568 ธอส.ทำให้คนไทยมีบ้านตามเป้าหมาย 241,780 ล้านบาท

 

"คลัง" ขยายพื้นที่ให้บริการสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ปล่อยกู้ข้ามจังหวัด เพิ่มโอกาสประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน

"คลัง" ขยายพื้นที่ให้บริการสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ปล่อยกู้ข้ามจังหวัด เพิ่มโอกาสประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน

วันที่ 21 ก.ค.68 เผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังกำลังพิจารณาขยายขอบเขตพื้นที่ในการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์-PICO) จากที่ได้เฉพาะภายในจังหวัดที่ได้รับอนุญาต เป็นการประกอบธุรกิจได้ในจังหวัดที่ได้รับอนุญาตและจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกัน 

สำหรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขนั้น การขยายขอบเขตพื้นที่ในการให้บริการสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ คือ ต้องเป็นผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ประเภทพิโกพลัสที่มีทุนจดทะเบียนซึ่งชำระแล้วหรือเงินลงหุ้นไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท โดยจะสามารถประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ในจังหวัดและจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกัน และสามารถให้สินเชื่อได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ผู้ประกอบธุรกิจที่ประสงค์จะขยายขอบเขตพื้นที่ในการให้บริการจะต้องมีแผนการดำเนินธุรกิจและแผนการบริหารความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ เช่น การพิสูจน์และยืนยันตัวตนลูกค้า การส่งมอบสินเชื่อและการรับชำระหนี้ การติดตามทวงถามหนี้ หลักเกณฑ์ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้แก่ลูกค้า เป็นต้น เพื่อให้สามารถติดตามทวงถามหนี้ได้

โดยการปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์นี้จะช่วยอำนวยความสะดวก ลดระยะเวลาในการเดินทาง และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบให้แก่ประชาชนรายย่อยได้สะดวกมากยิ่งขึ้น และช่วยขยายฐานลูกค้าให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจไปยังจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกัน รวมทั้งเป็นการให้เจ้าหนี้นอกระบบให้เข้ามาให้บริการสินเชื่อในระบบได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ

ทั้งนี้ปัจจุบัน กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงประกาศกระทรวงการคลังและประกาศ สศค. ที่เกี่ยวข้อง โดยจะจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้องก่อนเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาให้ความเห็นชอบ

#กระทรวงการคลัง #สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ #พิโกไฟแนนซ์ #PICO #การเงิน #สินเชื่อรายย่อย #เศรษฐกิจไทย #สินเชื่อพิโกพลัส #หนี้นอกระบบ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลฯ์ #ข่าววันนี้ 

“ผู้ว่าฯกาญจนบุรี”นั่งหัวโต๊ะสรุปผลโครงการสำคัญ มุ่งแก้ปัญหาที่ดินทำกินและหนี้นอกระบบ

“ผู้ว่าฯกาญจนบุรี”นั่งหัวโต๊ะประชุมเจ้าหน้าที่ส่วนราชการ พร้อมสรุปผลโครงการสำคัญ มุ่งแก้ปัญหาที่ดินทำกินและหนี้นอกระบบ

 

วันนี้ 27 มิถุนายน 2568 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมแควใหญ่ ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี นายอธิสรรค์ อินทร์ตรา ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เป็นประธานการประชุมคณะกรมการจังหวัดกาญจนบุรี หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชน ประจำเดือนมิถุนายน 2568 พร้อมด้วย นายวุฒิพงษ์ สุภัควนิช นางพรรณวิภา ปิยัมปุตระ นายสิทธิวีร์ วรรณพฤกษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ และภาคเอกชนในจังหวัดกาญจนบุรี เข้าร่วมการประชุมฯ  ประจำเดือนมิถุนายน 2568 เพื่อสรุปผลการดำเนินงานโครงการต่าง ๆ ในการดำเนินงาน ที่ผ่านมา โดยก่อนการประชุม มีการมอบโล่รางวัล พร้อมทั้งมอบใบประกาศนียบัตร ให้กับหน่วยงานที่ได้มีการจัดกิจกรรมฯจากนั้นได้แนะนำหัวหน้าส่วนราชการที่ย้ายมาดำรงตำแหน่งใหม่ จำนวน 1 ราย ได้แก่ ว่าที่ร้อยตรีสมชาย ทองมี ปลัดเทศบาลเมืองกาญจนบุรี พร้อมทั้งชมวีดีทัศน์สรุปภาพข่าวกิจกรรมตามยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดกาญจนบุรีและนโยบายสำคัญของรัฐบาลในรอบเดือน มิถุนายน 2568

ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ได้เน้นย้ำถึงภารกิจที่ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่มีกำหนดการลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี พบปะประชาชน เพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน ปัญหายาเสพติด ปัญหาหนี้นอกระบบ ณ องค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี ในวันที่ 27 - 28 มิถุนายน 2568 พร้อมทั้งได้เชิญชวนเที่ยวงานเทศกาลผลไม้ สืบสานประเพณีลานบ้าน ลานวัฒนธรรม ของดีอำเภอทองผาภูมิ และกิ่งกาชาดอำเภอทองผาภูมิ ประจำปี 2568 ในวันที่ 26-30 มิถุนายน 2568 ณ บริเวณลานจอดเฮลิคอปเตอร์ เขื่อนวชิราลงกรณ อำเภอทองผาภูมิ และงานเสน่ห์ศิลป์ ถิ่นเมืองกาญจน์ ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 27 - 29 มิถุนายน 2568 ณ โรงงานกระดาษไทยกาญจนบุรี อีกทั้งได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของเดือนกรกฎาคม 2568 ด้วย สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีกำหนดการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ในวันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม 2568 (เป็นการส่วนพระองค์)

ขณะเดียวกัน เมื่อเวลา 11.30 น. ณ ห้องประชุมแควน้อย ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรีสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดกาญจนบุรี ได้จัดประชุมโครงการประชาสัมพันธ์การดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล และติดตามผลงานตามแผนปฏิบัติราชการของจังหวัดกาญจนบุรี ครั้งที่ 6/2568 โดยมีนายอธิสรรค์ อินทร์ตรา ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี มอบหมายให้ นายวุฒิพงษ์ สุภัควนิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เป็นประธานในการประชุมโครงการประชาสัมพันธ์การดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล และติดตามผลงานตามแผนปฏิบัติราชการของจังหวัดกาญจนบุรี ประจำปีงบประมาณ 2568 พร้อมด้วย นายอนุ ทองดี ประชาสัมพันธ์จังหวัดกาญจนบุรี หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องฯ และสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดกาญจนบุรี เข้าร่วมการประชุมฯ

โดยในที่ประชุม ได้ร่วมหารือประเด็นคำถามจากสื่อมวลชน ในเรื่อง มาตรการรับมือช่วงฤดูฝน งานก่อสร้างแยกวังสารภี /แยกแก่งเสี้ยน ,การปรับปรุงถนนแสงชูโต ,โครงการก่อสร้างสายไฟฟ้าเคเบิลใต้ดินของเทศบาลเมืองกาญจนบุรี (นำสายไฟฟ้าลงใต้ดิน) ซึ่งทางผู้รับผิดชอบ จะดำเนินการการจัดทำป้ายเตือนและป้ายบอกทางให้ชัดเจน รวมถึงการจัดเตรียมแสงไฟส่องสว่างในเวลากลางคืน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ใช้รถใช้ถนน อีกทั้งในประเด็นการจัดการบ่อขยะเชิงเขาทอง(แก่งเสี้ยน) ซึ่งในปัจจุบันได้มีการดำเนินการหลายอย่าง เช่น การฉีดพ่นน้ำยาเพื่อลดกลิ่นเหม็นและแมลงวัน การปรับปรุงถนนที่ใช้สัญจรเข้า-ออกบ่อขยะ การเพิ่มจำนวนบ่อฝังกลบขยะ การขุดวางท่อระบายน้ำเพื่อป้องกันน้ำเสียไหลลงสู่ลำห้วยสาธารณะ และการเร่งกำจัดขยะตกค้าง โดยมีการดำเนินการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาบ่อขยะเขาทองอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายที่จะแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ต่อไป

อีกทั้ง ส่วนราชการต่าง ๆ ได้นำเสนอที่ประชุมในประเด็นเรื่อง การส่งเสริมเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว ในงานเทศกาลผลไม้ สืบสานประเพณีลานบ้าน ลานวัฒนธรรม ของดีอำเภอทองผาภูมิ และกิ่งกาชาดอำเภอทองผาภูมิ ประจำปี 2568 ในวันที่ 26-30 มิถุนายน 2568 ณ บริเวณลานจอดเฮลิคอปเตอร์ เขื่อนวชิราลงกรณ อำเภอทองผาภูมิ รวมไปถึงโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง กระตุ้นเศรษฐกิจเตรียมเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนคืนนี้ (หลังเที่ยงคืนวันที่ 24 มิ.ย. 68) ผ่าน https://www.tourismthailand.org/landing ก่อนเริ่ม 1 กรกฎาคม - 31 ตุลาคม 2568 รวมถึงประเด็นด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ในประเด็น การเตรียมการรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในการแข่งขันจักรยานบีเอ็มเอ็กซ์ และจักรยานหนูน้อยขาไถ ชิงแชมป์ประเทศไทย ประจำปี 2568 ณ สนามบีเอ็มเอ็กซ์เขื่อนวชิราลงกรณ อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งจะมีกำหนดการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ในช่วงเดือน พฤศจิกายน ธันวาคม 2568

ประเด็นร้อนเศรษฐกิจรอบวัน 6 มิถุนายน 2568

ประเด็นร้อนเศรษฐกิจรอบวัน 6 มิถุนายน 2568 

-ธปท.ประกาศให้ผู้ประกอบการธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์-จักรยานยนต์ เตรียมความพร้อมรายงานตัว หลังพระราชกฤษฎีกากำหนดให้การประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์มีผลบังคับใช้ 2 ธ.ค.68 ธปท.แนะผู้ประกอบธุรกิจเตรียมพร้อมรายงานตัวเพื่อรองรับเกณฑ์กำกับดูแลของ ธปท.

-พาณิชย์เผยเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพฤษภาคมติดลบร้อยละ 0.57 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 จากราคาผัก-พลังงานลดลง พร้อมปรับคาดการณ์ทั้งปีเหลือกรอบ 0.0–1.0% ชี้ไทยมีเงินเฟ้อต่ำสุดในอาเซียน

-คลังรายงานความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบออมสิน-ธ.ก.ส. ปล่อยสินเชื่อแล้ว 79,628 ราย ยอดอนุมัติรวมกว่า 2,441 ล้านบาท พร้อมรายงานผลปล่อยสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์แล้วกว่า 5 หมื่นล้านบาท

 

คลังอนุมัติช่วยหนี้นอกระบบทะลุ 2,400 ล้านบาท เดินหน้าพิโกไฟแนนซ์เพิ่มทางเลือกเงินกู้ในระบบ

คลังอนุมัติช่วยหนี้นอกระบบกว่า 2,400 ล้าน เดินหน้าพิโกไฟแนนซ์เพิ่มทางเลือกเงินกู้ในระบบ

วันที่ 6 มิถุนายน 2568 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าของการดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของกระทรวงการคลังที่ร่วมกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้แก่ ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ผ่านมาตรการสินเชื่อต่าง ๆ ได้แก่ โครงการสินเชื่อธนาคารประชาชน สินเชื่อเพื่อชำระหนี้สินนอกระบบ สินเชื่อกองทุนหมุนเวียนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ยากจน มาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือและรองรับลูกหนี้นอกระบบที่ลงทะเบียนแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ สินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ และสินเชื่อสร้างเครดิต สร้างโอกาส ผลการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 – 5 มิถุนายน 2568 มีประชาชนที่เป็นหนี้นอกระบบได้รับอนุมัติให้ความช่วยเหลือทางการเงินไปแล้วจำนวน 79,628 ราย ยอดอนุมัติรวมทั้งสิ้น 2,441.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากผลการดำเนินการ ณ วันที่ 22 พฤษภาคม 2568 จำนวน 1,699 ราย และมียอดอนุมัติเพิ่มขึ้น 40.33 ล้านบาท

โดยกระทรวงการคลังมีนโยบายส่งเสริมให้มีการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) เพื่อเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบให้แก่ประชาชนรายย่อยในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ไม่ถูกเอาเปรียบจากเจ้าหนี้นอกระบบที่เรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยที่เกินกว่ากฎหมายกำหนด รวมทั้งยังเป็นช่องทางให้เจ้าหนี้นอกระบบสามารถเข้ามาให้บริการสินเชื่อในระบบอย่างถูกกฎหมาย โดยปัจจุบัน ณ เดือนพฤษภาคม 2568 มีนิติบุคคล (บริษัทจำกัดหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด) ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และเปิดดำเนินการแล้ว 1,155 ราย ใน 75 จังหวัด และ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 มีการอนุมัติสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้กับประชาชนรายย่อยสะสมทั้งสิ้น 5,081,240 บัญชี เป็นจำนวนเงินรวม 50,066.09 ล้านบาท โดยเป็นยอดสินเชื่อคงค้าง 393,010 บัญชี เป็นจำนวนเงินรวม 7,429.15 ล้านบาท ทั้งนี้ นิติบุคคลที่สนใจประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์สามารถดูข้อมูลการยื่นคำขออนุญาตได้ที่ www.1359.go.th หรือโทรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1359 กองนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0-2169-7130

#คลัง #หนี้นอกระบบ #ข่าววันนี้ #พิโกไฟแนนซ์ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

คลังช่วยคนหนี้นอกระบบ! อนุมัติสินเชื่อกว่า 2,400 ล้าน เดินหน้า “พิโกไฟแนนซ์” 75 จังหวัด

คลังช่วยคนหนี้นอกระบบ อนุมัติสินเชื่อพุ่ง 2,400 ล้าน เดินหน้า “พิโกไฟแนนซ์” 75 จังหวัด

วันที่ 23 พฤษภาคม 2568 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าของการดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของกระทรวงการคลังที่ร่วมกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้แก่ ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ผ่านมาตรการสินเชื่อต่าง ๆ ได้แก่ โครงการสินเชื่อธนาคารประชาชน สินเชื่อเพื่อชำระหนี้สินนอกระบบ สินเชื่อกองทุนหมุนเวียนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ยากจน มาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือและรองรับลูกหนี้นอกระบบที่ลงทะเบียนแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ สินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ และสินเชื่อสร้างเครดิต สร้างโอกาส โดยผลการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 – 22 พฤษภาคม 2568 มีประชาชนที่เป็นหนี้นอกระบบได้รับอนุมัติให้ความช่วยเหลือทางการเงินไปแล้วจำนวน 77,929 ราย ยอดอนุมัติรวมทั้งสิ้น 2,400.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากผลการดำเนินการ ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 จำนวน 2,406 ราย และมียอดอนุมัติเพิ่มขึ้น 53.02 ล้านบาท

โดยกระทรวงการคลังมีนโยบายส่งเสริมให้มีการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) เพื่อเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบให้แก่ประชาชนรายย่อยในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ไม่ถูกเอาเปรียบจากเจ้าหนี้นอกระบบที่เรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยที่เกินกว่ากฎหมายกำหนด รวมทั้งยังเป็นช่องทางให้เจ้าหนี้นอกระบบสามารถเข้ามาให้บริการสินเชื่อในระบบอย่างถูกกฎหมาย

ทั้งนี้ปัจจุบัน ณ เดือนเมษายน 2568 มีนิติบุคคล (บริษัทจำกัดหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด) ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และเปิดดำเนินการแล้ว 1,155 ราย ใน 75 จังหวัด และ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 มีการอนุมัติสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้กับประชาชนรายย่อยสะสมทั้งสิ้น 5,081,240 บัญชี เป็นจำนวนเงินรวม 50,066.09 ล้านบาท โดยเป็นยอดสินเชื่อคงค้าง 393,010 บัญชี เป็นจำนวนเงินรวม 7,429.15 ล้านบาท ทั้งนี้ นิติบุคคลที่สนใจประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์สามารถดูข้อมูลการยื่นคำขออนุญาตได้ที่ www.1359.go.th หรือโทรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1359 กองนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0-2169-7130

#คลัง #หนี้นอกระบบ #พิโกไฟแนนซ์ #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

ส่งลูกจบหมอ-ปลดหนี้นอกระบบ สองคนขับเปลี่ยนวิกฤตการเงิน สู่ชีวิตที่มั่นคงด้วย Grab

ส่งลูกจบหมอ - ปลดหนี้นอกระบบ สองคนขับเปลี่ยนวิกฤตการเงิน สู่ชีวิตที่มั่นคงด้วย Grab

ไม่มีใครวางแผนที่จะเป็นหนี้ และไม่มีใครที่อยากจะเริ่มต้นใหม่ตอนอายุเกือบ 50 แต่บางครั้งชีวิตก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้เรามีเวลาตั้งตัวเสมอไป สำหรับบางคน วันที่ไม่มีงาน ไม่มีเงิน และไม่มีใครให้พึ่งพิง คือวันที่พวกเขาต้องเลือกว่าจะ “ยอมแพ้” หรือ “ลุกขึ้น” แต่สำหรับ พี่ฮาท และ พี่อ้อ พวกเขาเลือกที่จะลุกขึ้น แม้ไม่มีอะไรอยู่ในมือเลยก็ตาม นอกจากความตั้งใจและหัวใจที่ไม่ยอมแพ้เท่านั้น

เริ่มจากศูนย์ สู่เทพแห่งเดลิเวอรี

พงษ์ศักดิ์ คันธโชติ หรือ  “พี่ฮาท” คนขับ GrabFood วัย 50 ปี จากโคราช ที่ปัจจุบันอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เขาคือหัวหน้าครอบครัวที่เคยต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่หนักหนาในชีวิต โดยก่อนหน้านี้ พี่ฮาทเคยทำงานในต่างประเทศ ทั้งลาวและเกาหลีใต้ มีรายได้ประมาณ 45,000 ต่อเดือน ซึ่งเพียงพอสำหรับการเลี้ยงดูครอบครัวได้ไม่ลำบาก แต่เมื่อเกิดวิกฤตโควิด-19 ในปี 2563 รายได้ที่เคยมีกลับหยุดชะงัก ในช่วงเวลาที่ต้องการใช้เงินมากที่สุดในชีวิต กับการส่งลูกสาวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยในคณะแพทยศาสตร์ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงไม่ใช่น้อย

“ตอนนั้นผมเครียดมากเลยครับ  รายได้หายไปหมด ไม่มีเงินเข้ามาเลย ในขณะที่รายจ่ายยังรออยู่เต็มไปหมด ตอนนั้นคิดแค่ว่า จะทำอะไรก็ได้ให้มีรายได้เข้ามาก่อน” ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจเริ่มขับแกร็บตามคำแนะนำจากคนใกล้ตัว

“ผมเริ่มขับแกร็บครั้งแรกในวันครอบครัว (14 เมษายน) ยังจำออเดอร์แรกได้ไม่เคยลืม ต้มเลือดหมูเจ๊บ๊วย แถวสี่แยกคลองเตย ซึ่งจากตอนแรกคิดแค่ว่าจะลองขับเล่นๆ แต่สุดท้ายการขับแกร็บกลับกลายเป็นอาชีพหลักในการหารายได้ที่สามารถช่วยให้เราหาเลี้ยงครอบครัวได้จริง” พี่ฮาทกล่าวด้วยรอยยิ้ม

พอเริ่มขับแกร็บ รายได้ก็เริ่มเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ แม้จะยังไม่มากในช่วงแรก แต่ก็พอให้พี่ฮาทตั้งหลักได้ อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายเรื่องเรียนของลูกก็ยังเป็นเรื่องใหญ่ที่เลี่ยงไม่ได้ พี่ฮาทจึงได้ลองมองหาทางกู้เงินมาเสริม แต่ก็เจอแต่ปัญหาเดิมๆ อย่าง ไม่มีเอกสารยืนยันรายได้ ไม่มีสลิปเงินเดือนตามที่ธนาคารต้องการ จะหันหน้าไปพึ่งพาญาติและคนรู้จักก็รู้สึกลำบากใจ จนสุดท้ายเขาได้รู้จักกับ “Grabการเงิน” ที่ให้คนขับอย่างเขามีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้นเนื่องจากมีข้อมูลการให้บริการอยู่แล้วในระบบ

“ไม่ถึง 5 นาที เงินก็เข้าเลยครับ ไม่ต้องมีเอกสารอะไรเพิ่ม เพราะแกร็บมีประวัติของเราครบถ้วนอยู่แล้ว” เขาได้รับสินเชื่อเงินสดกว่า 40,000 บาท ซึ่งกลายมาเป็นทุนหมุนเวียนใช้ในการทำงาน จ่ายค่าเทอมลูก ค่าครองชีพรายเดือน และเป็นทุนสำรองยามฉุกเฉิน

พี่ฮาทไม่เคยปล่อยให้โอกาสหลุดมือ เขารับงานอย่างสม่ำเสมอ วิ่งงานเต็มที่ทุกวัน และตั้งใจให้บริการให้ดีที่สุด จนสามารถไต่ระดับเป็น “เทพแกร็บไบค์” (คนขับแกร็บที่ทำรอบขับในระดับสูงสุด) ซึ่งทำให้เขาได้สิทธิพิเศษเพิ่มขึ้น ทั้งส่วนลดอัตราดอกเบี้ยจาก Grabการเงิน ประกันรถมอเตอร์ไซค์ และประกันอุบัติเหตุ รวมไปสวัสดิการอื่นๆ อีกมากมาย ที่มาคอยช่วยสนับสนุนคนขับ

"ขอแค่เรามีวินัย ขยัน และวิ่งงานให้สม่ำเสมอ อยู่ให้ถูกจุด ถูกที่ ถูกเวลา ออเดอร์ก็จะเยอะขึ้น และเป้าหมายก็จะชัดเจนขึ้นเอง” พี่ฮาทเล่าอย่างภาคภูมิใจพร้อมทิ้งท้ายว่า 

“ตอนนี้ลูกผมเรียนจบหมอแล้วครับ สำหรับคนเป็นพ่อ ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว”

ขับลุยทุกเส้นทาง เพื่อให้บ้านมีรอยยิ้ม

อีกหนึ่งเรื่องราวจาก ชุติกาญจน์ เผ่าผาง หรือ “พี่อ้อ” วัย 45 ปี คุณแม่ลูกหนึ่งจากกรุงเทพฯ ที่ลุกขึ้นมาสู้เพื่อครอบครัวในวันที่ชีวิตเริ่มติดขัด ภาระค่าใช้จ่ายในบ้านสูงขึ้น งานประจำไม่มั่นคง และหนี้นอกระบบเริ่มก่อตัว สิ่งเดียวที่เธอเชื่อในตอนนั้น คือ เธอต้องลุกขึ้นมา “เปลี่ยนชีวิตด้วยตัวเอง”

ก่อนหน้านี้ พี่อ้อเคยทำงานเป็นพนักงานบัญชีในร้านทองมานานกว่า 10 ปี แต่เมื่อกิจการเริ่มขาดทุน ร้านจำเป็นต้องปลดพนักงานเกือบทั้งหมด เธอจึงผันตัวมารับงานบัญชีแบบฟรีแลนซ์ ซึ่งพอเลี้ยงตัวเองได้ แต่ยังไม่พอสำหรับบ้านที่มีทั้งคุณแม่ พี่ชาย และลูกชายคนเดียวของเธอ 

“รายได้ประจำไม่พอแน่ค่ะ ทั้งค่าเทอมลูก ค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากับข้าว บางเดือนถึงกับต้องไปพึ่งเงินกู้นอกระบบมาใช้จ่าย” พี่อ้อกล่าว และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเริ่มขับแกร็บเป็นอาชีพเสริมในช่วงปลายปี 2566 เพราะไม่ต้องลงทุนเพิ่ม เชื่อถือได้ และสามารถจัดสรรเวลาทำงานเองได้หมด รายได้จากการวิ่งงานช่วยให้พี่อ้อสามารถประคองสถานการณ์ด้านการเงินในแต่ละเดือนได้มากขึ้น

แต่พอถึงช่วงเปิดเทอม พี่อ้อรู้ทันทีว่ารายได้ตอนนี้อาจไม่พอรับมือกับค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่กำลังมาถึง อีกทั้งยังมีหนี้นอกระบบราว 50,000 บาท ที่ยังต้องจ่ายค่อยดอกเบี้ยอีก พี่อ้อเลยตัดสินใจขอสินเชื่อกับ Grabการเงิน “เรามั่นใจว่าเราผ่อนได้แน่ๆ เพราะเราขับแกร็บอยู่แล้ว และเนื่องจากมีระบบแบบหักรายวัน เราจึงเชื่อว่าเราใช้หนี้หมดได้แน่นอน”

การขับแกร็บควบคู่กับงานบัญชี ช่วยให้พี่อ้อสามารถปลดหนี้นอกระบบได้หมดภายใน 3-4 เดือน ความคล่องตัวทางการเงินก็กลับคืนมา โดยมีรายได้จากแกร็บเป็นแรงหนุนหลักที่ช่วยให้บ้านหลังนี้ผ่านช่วงเวลาที่ยากๆ มาได้ 

พี่อ้อแบ่งเวลาจากงานบัญชีฟรีแลนซ์มาขับแกร็บทุกวัน โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่ 6 โมงเช้า ไปจนถึงราวบ่ายโมงของทุกวัน จากนั้นจึงกลับไปทำงานบัญชีต่อในช่วงบ่ายถึงค่ำ ด้วยวินัยและการวางแผนที่ชัดเจน ทำให้พี่อ้อสามารถจัดการทั้งเรื่องรายได้และเวลาได้อย่างลงตัว รวมไปถึงการไต่ระดับผู้ขับขี่เป็น “เซียนแกร็บคาร์” (คนขับแกร็บที่ทำรอบขับในระดับสูง) ได้สำเร็จ

พี่อ้อยังได้พูดถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ได้รับจากการเป็นเซียนแกร็บคาร์ ที่รวมทั้งบัตรเติมน้ำมันฟรี หรือการผ่อนสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ “การขับแกร็บช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้เสริมและมีสิทธิประโยชน์ที่ดี อีกทั้งยังถือเป็นอาชีพที่ปลอดภัยมาก โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงอย่างเรา” พี่อ้อกล่าว

จากวันที่เคยกังวลว่าจะเลี้ยงครอบครัวไหวไหม วันนี้พี่อ้อมีคำตอบแล้วว่า...ไหว และไปต่อได้อีก “อยากบอกทุกคนที่มองหาอาชีพเสริม หรือรายได้ที่มั่นคง ว่าการขับแกร็บคือโอกาสที่เราสามารถคว้าไว้และจัดการได้ด้วยตัวเอง