ม.หอการค้าชี้ภาษีทรัมป์ 19% ฉุดส่งออกปี 69 วูบ 2.7 แสนล้าน ศก.ไทยปี 68 หดตัว 0.62% 

ม.หอการค้าชี้ภาษีทรัมป์ 19% ฉุดส่งออกปี 69 วูบ 2.7 แสนล้าน ศก.ไทยปี 68 หดตัว 0.62% 

วันที่ 5 ส.ค.68 นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า กรณีอัตราภาษีที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าของไทยที่ 19% ผลกระทบจากภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ที่มีต่อเศรษฐกิจไทย และผลกระทบรวมต่อ GDP ในปี 2568 (ช่วง 5 เดือนหลังของปี) หดตัว 0.62% หรือลดลง 114,612 ล้านบาท ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ 1.ผลกระทบทางตรงจากการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีต่อการส่งออก กระทบ GDP ลดลง 0.57% คิดเป็นมูลค่า 106,518 ล้านบาท 2. ผลกระทบทางอ้อมผ่านห่วงโซ่อุปทานโลก กระทบ GDP ลดลง 0.15% คิดเป็นมูลค่า 26,978 ล้านบาท 3.ประโยชน์จากการเบี่ยงเบนการค้า กระทบ GDP เพิ่มขึ้น 0.10% คิดเป็นมูลค่า 18,884 ล้านบาท โดยสินค้าที่มีความเสี่ยงสูง คือ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และ ยาง-ผลิตภัณฑ์ยาง ซึ่งมีส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯสูง และยังพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก

โดยผลกระทบต่อเศรษฐกิจในปี 2569 ซึ่งเป็นผลกระทบเต็มปีคาดว่าจะมีความรุนแรง ส่งผลกระทบต่อการส่งออก 275,069 ล้านบาท ทำให้จีดีพีหดตัวลง 1.48% แบ่งเป็น ผลกระทบทางตรงจากการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีต่อการส่งออก 255,643 ล้านบาท , ผลกระทบทางอ้อมผ่านห่วงโซ่อุปทานโลก 64,747 ล้านบาท แต่อาจได้ประโยชน์จากการเบี่ยงเบนการค้า 45,322 ล้านบาท หากมาตรการภาษีที่เข้มงวดไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น และ/หรือมีการเพิ่มความเข้มงวดกับประเทศคู่ค้าอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศที่เป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS

สำหรับภาคส่งออก ในช่วง 7 เดือนแรกปี 2568 ผลจาก Front Loading (การเร่งส่งออกล่วงหน้า) คิดเป็นมูลค่า 552,387 ล้านบาท ส่วน 5 เดือนหลังของปี 2568 ผลจาก Tariff Effects และ Demand Payback คิดเป็นมูลค่าติดลบ 338,847 ล้านบาท ส่วนต่างผลจาก Demand Payback ที่อาจจะมีต่อการส่งออกในปี 2569 ในช่วงครึ่งปีแรก คิดเป็นมูลค่า 213,539 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการเจรจาภาษี และได้รับการปรับลดอัตราภาษีตอบโต้จากที่ประกาศไว้ 36% ลงมาเหลือ 19% ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มที่เท่าเทียมกับมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา

สำหรับกลุ่มที่ได้เปรียบประเทศไทย ได้แก่ สิงคโปร์ ที่ได้รับอัตราภาษีเพียง 10% ซึ่งถือเป็นประเทศที่ได้เปรียบที่สุดในภูมิภาค รองลงมาคือ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่ได้รับอัตราภาษี 15% ทำให้ประเทศเหล่านี้มีต้นทุนการส่งออกที่ต่ำกว่า และได้เปรียบสินค้าจากไทยในตลาดสหรัฐฯ ขณะที่สินค้าไทยที่เสียเปรียบสิงคโปร์ คือ แผงวงจรรวมขั้นสูง และเคมีภัณฑ์ขั้นสูง และสินค้าที่ไทยเสียเปรียบ ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ คือแผงวงจรรวม และเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง และเครื่องจักรกล และเครื่องมืออุตสาหกรรมขั้นสูง ส่วนกลุ่มที่เสียเปรียบประเทศไทยมีหลายระดับ เริ่มจากเวียดนาม ไต้หวัน ศรีลังกา และบังกลาเทศ ที่ได้รับอัตราภาษี 20% ตามด้วยอินเดีย และบรูไนที่ 25% ลาว และเมียนมาที่ 40% และสุดท้าย คือ จีน ที่เสียเปรียบมากที่สุดด้วยอัตราภาษี 51% ซึ่งสร้างโอกาสให้ไทยสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดจากประเทศเหล่านี้ได้

โดยสินค้าที่ไทยได้เปรียบเวียดนาม คือสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์โทรคมนาคม และรองเท้า และผลิตภัณฑ์หนัง, สินค้าที่ไทยได้เปรียบไต้หวัน คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักรอุตสาหกรรม, สินค้าที่ไทยได้เปรียบอินเดียคือ อัญมณีและเครื่องประดับ, ผลิตภัณฑ์เคมีและพลาสติก และเครื่องจักรกลและอุปกรณ์การผลิต และสินค้าที่ไทยได้เปรียบจีน คือ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องจักรกลและคอมพิวเตอร์ และเฟอร์นิเจอร์ และสินค้าเบ็ดเตล็ด

สำหรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 6 มาตรการ ได้แก่

1.การช่วยเหลือและสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ

- มาตรการบรรเทาผลกระทบ: ช่วยเหลือทางการเงินสำหรับผู้ส่งออก และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ, เน้นภาคส่วนเสี่ยงสูง สิ่งทอ/เครื่องนุ่งห่ม, อาหารแปรรูป, ผลิตภัณฑ์ยาง และช่วยรักษาการจ้างงาน

- ส่งเสริมการเพิ่มมูลค่า: สนับสนุน R&D และนวัตกรรม, พัฒนาสินค้าพรีเมียม และสินค้า GI (Geographic Indication) และลดการพึ่งพาการแข่งขันด้านราคา

2.การเสริมสร้างกฎแหล่งกำเนิดสินค้า

- สร้างความชัดเจนในกฎ Transshipment : เจรจากับสหรัฐฯ เพื่อสร้างความชัดเจนในเกณฑ์การพิจารณา, ลดการพึ่งพาส่วนประกอบจากจีน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะถูกเก็บภาษี 40% สำหรับสินค้า Transshipment และอาจจะต้องเพิ่มสัดส่วน Local Content เป็น 50-60%

- ส่งเสริมการใช้ Local Content: นโยบายและมาตรการจูงใจเพิ่มสัดส่วนการผลิตในประเทศ และเร่งพัฒนาให้สินค้าไทยมีคุณสมบัติเป็น "สินค้าไทยแท้ (สินค้าที่ติดตรา Product of Thailand)"

3.การกระจายตลาดส่งออก

- แสวงหาตลาดใหม่เพิ่มเติม: สหภาพยุโรป, ตะวันออกกลาง, ตลาดในภูมิภาค ASEAN และลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ

- ใช้ประโยชน์จากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ: ใช้ประโยชน์จาก RCEP และ ATIGA (ASEAN Trade in Goods Agreement), เสริมสร้างการค้าภายในภูมิภาค และสร้างความยืดหยุ่นห่วงโซ่อุปทาน

4.การดึงดูดและรักษา FDI มูลค่าสูง

- เร่งออกมาตรการจูงใจ FDI: ปรับปรุงมาตรการจูงใจให้แข่งขันได้ และเน้นภาคส่วนที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ยานยนต์ไฟฟ้า, เซมิคอนดักเตอร์, ดาต้าเซ็นเตอร์, เทคโนโลยีขั้นสูง

- ปรับปรุงสภาพแวดล้อมธุรกิจ: พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน, ปรับปรุงกฎระเบียบ และเพิ่มความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ

5.การส่งเสริมอุปสงค์ภายในประเทศ

- กระตุ้นเศรษฐกิจภายใน: มาตรการกระตุ้นการบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน, ชดเชยผลกระทบจากการส่งออกที่ชะลอ และเสริมสร้างความเชื่อมั่น

- แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง: แก้ไขหนี้ครัวเรือนที่สูง, พัฒนาภาคเกษตรกรรม และสร้างภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจระยะยาว

6.การติดตามและการดำเนินการทูตในเชิงรุก

- เฝ้าระวังและประเมินผล: จัดตั้งกลไกเพื่อติดตามผลกระทบอย่างต่อเนื่อง และประเมินสถานการณ์ และปรับนโยบายอย่างทันท่วงที

- ดำเนินการทูตเพื่อการค้าในเชิงรุก: รักษาช่องทางสื่อสารกับสหรัฐฯ, เจรจากับประเทศคู่ค้าอื่น ๆ และแสวงหาโอกาสปรับปรุงเงื่อนไขในข้อตกลงการค้าให้ดีขึ้น

สำหรับอัตราภาษีสหรัฐฯ ของไทยที่ 19% เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งทางการค้า มองว่าไทยไม่เสียเปรียบ ภาพรวมทั่วโลกประเทศอื่นๆ ยกเว้นจีนไม่ได้รับผลกระทบกระเทือนมาก ดังนั้น การส่งออกของไทยไปประเทศต่าง ๆ ไม่ชะลอมาก ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซันก็ไม่น่าชะลอลงเช่นกัน โดยมองว่านักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาเที่ยวในไทยปีนี้ มีโอกาสแตะ 34 ล้านคนได้

สำหรับการวิเคราะห์สถานการณ์ (ประมาณการ ณ มิ.ย.68) ยังคงอยู่ในกรณีฐาน (Base Case) คือ Tariff ที่ระดับ 15-20%, ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน คลี่คลายได้เร็ว, ความตึงเครียดพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา คลี่คลายได้เร็ว, ประสิทธิผลของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเบิกจ่ายงบฯ ได้ 50% ในปี 2568, เสถียรภาพของรัฐบาล นายกฯ อยู่ตลอดปี 2568 ประเมิน GDP ที่ 1.7% (กรอบ 1.5-2.0%)

ทั้งนี้เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ จะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 1.5% แน่นอน เพราะยังเป็นไปตามเงื่อนไข Base Case ที่ Reciprocal Tariff อยู่ที่ 19% โดยขณะนี้ความตึงเครียดบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ได้เข้าสู่ขั้นตอนการเจรจาของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) แต่ยังไม่ทราบว่าการคลี่คลายจะเป็นไปตามแผนหรือไม่ จะรวดเร็วแค่ไหน และด่านตามแนวชายแดนยังปิดหรือไม่ โดย ม.หอการค้าไทย ประเมินว่า ถ้ายังปิดการค้าชายแดนอยู่ มูลค่าการส่งออกจะหายไปเดือนละประมาณ 11,000 ล้านบาท ซึ่งในประเด็นนี้ยังอยู่ในสมมติฐานที่อาจคลี่คลายในเวลาเหมาะสม และไม่กระเทือนต่อเศรษฐกิจ สำหรับงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจที่ 1.57 แสนล้านบาท เชื่อว่ายังอยู่ในเกณฑ์ 50-75% เพราะยังไม่เห็นอัตราเร่งในการจ่าย

โดยในส่วนของเสถียรภาพทางการเมืองในกรณี Base Case คือไม่มีการยุบสภา ก่อนเข้าสู่งบประมาณแผ่นดินปี 2569 ซึ่งขณะนี้ แผนของสำนักงบประมาณ คือตั้งใจให้งบประมาณแผ่นดินเสร็จในวันที่ 15 ส.ค.นี้ มองว่าน่าจะผ่าน เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินกรณีของนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในวันที่ 22 ส.ค.68 ดังนั้นยังเชื่อว่าการเมืองยังมีเสถียรภาพ ไม่มีผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดิน สำหรับภาพการเมืองหลังจากนี้ ก็เชื่อว่าอยู่ในกลไกของกรอบประชาธิปไตย จึงไม่ได้มองประเด็นการเมืองเป็นปัจจัยเสี่ยง หากมีกรณีที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณเร็ว งบกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือมีเหตุการณ์พลิกผันในเชิงบวก ก็มองว่ามีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยปีนี้ จะโตแตะ 2% ได้

ส่งออกชายแดน-ผ่านแดนไทย มิ.ย.โต 16.7% ครึ่งปีทะลุ 1 ล้านล้าน ชายแดนไทยกัมพูชาฉุดยอดค้า 

ส่งออกชายแดน-ผ่านแดนไทยเดือนมิ.ย.โต 16.7% ครึ่งปีทะลุ 1 ล้านล้าน ชายแดนไทยกัมพูชาฉุดยอดค้า 

วันที่ 5 ส.ค.68 นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยตัวเลขการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน เดือนมิถุนายน 2568 มีมูลค่าการค้ารวม 189,073 ล้านบาท ขยายตัว 16.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการส่งออก 115,427 ล้านบาท (+19.7%) และการนำเข้า 73,646 ล้านบาท (+12.3%) โดยไทยได้ดุลการค้าในเดือนมิถุนายน 2568 ทั้งสิ้น 41,781 ล้านบาท ส่งผลให้ 6 เดือนแรกของปี 2568 การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนมีมูลค่าการค้ารวม 1,022,244 ล้านบาท (+12.0%) เป็นการส่งออก 596,261 ล้านบาท (+11.6%) การนำเข้า 425,983 ล้านบาท (+12.7%) และไทยได้ดุลการค้า 170,277 ล้านบาท

โดยการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ เดือนมิถุนายน 2568 มีมูลค่าการค้ารวม 76,404 ล้านบาท (-3.8%) เป็นการส่งออก 47,207 ล้านบาท (-2.1%) การนำเข้า 29,197 ล้านบาท (-6.6%) และไทยได้ดุลการค้ารวมทั้งสิ้น 18,010 ล้านบาท โดยการค้าชายแดนกับมาเลเซีย มีมูลค่าสูงสุด 25,720 ล้านบาท (-2.00%) รองลงมา คือ สปป.ลาว 22,588 ล้านบาท (+0.8%) เมียนมา 17,188 ล้านบาท (+3.8%) และกัมพูชา 10,908 ล้านบาท (-23.3%) ซึ่งสินค้าส่งออกชายแดนสำคัญในเดือนมิถุนายน 2568 ได้แก่ น้ำมันดีเซล 2,843 ล้านบาท น้ำมันสำเร็จรูปอื่น ๆ 1,583 ล้านบาท และสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรอื่น ๆ 1,383 ล้านบาท ทำให้ 6 เดือนแรกของปี 2568 การค้าชายแดนมีมูลค่ารวม 506,061 ล้านบาท (+2.5%) เป็นการส่งออก 308,248 ล้านบาท (+0.9%) และการนำเข้า 197,813 ล้านบาท (+5.2%)

ด้านการค้าผ่านแดนไปประเทศที่สาม เดือนมิถุนายน 2568 มีมูลค่าการค้ารวม 112,670ล้านบาท (+36.5%) เป็นการส่งออก 68,220 ล้านบาท (+41.5%) และการนำเข้า 44,449 ล้านบาท (+29.4%) โดยการค้าผ่านแดนไปจีน มีมูลค่าสูงที่สุด 68,992 ล้านบาท (+41.6%) รองลงมาคือ สิงคโปร์ และเวียดนาม มีมูลค่า 13,511 ล้านบาท (+28.4%) และ 7,674 ล้านบาท (+12.9%) ตามลำดับ ซึ่งสินค้าส่งออกผ่านแดนสำคัญในเดือนมิถุนายน 2568 ได้แก่ ทุเรียนสด 22,122 ล้านบาท ฮาร์ด ดิสก์ ไดรฟ์ 12,631 ล้านบาท และเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อื่น ๆ 5,880 ล้านบาท ทำให้ 6 เดือนแรกของปี 2568 การค้าผ่านแดนมีมูลค่ารวม 516,183 ล้านบาท (+23.2%) เป็นการส่งออก 288,012 ล้านบาท (+25.8%) และการนำเข้า 228,171 ล้านบาท (+20.1%)   

อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกล่าวว่า การค้าชายแดนและผ่านแดนของไทยในเดือนมิถุนายน 2568 ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยการส่งออกผ่านแดนไปจีนขยายตัวสูงถึง 50.6% โดยเฉพาะผลไม้ เช่น ทุเรียนสด 22,122 ล้านบาท (+42.4%) มังคุดสด 3,666 ล้านบาท (+131.2%) ในขณะที่การส่งออกผ่านแดนไปสิงคโปร์ เวียดนาม และประเทศอื่น ๆ ก็ขยายตัวสูงเช่นกัน 49.4% 72.2% และ 11.1% ตามลำดับ โดยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ฮาร์ด ดิสก์ ไดรฟ์ 12,911 ล้านบาท (+4.6%) และส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ 1,128 ล้านบาท (+234.6%) และสินค้าผลิตภัณฑ์ยางพารา เช่น ยางสังเคราะห์ 2,269 ล้านบาท (+58.6%) เป็นกลุ่มสินค้าส่งออกที่ขยายตัวสูง

ด้านการค้าชายแดนในเดือนมิถุนายน 2568 หดตัว -3.8% และการส่งออกชายแดนหดตัว -2.6% เป็นผลมาจากการค้าชายแดนด้านกัมพูชาที่หดตัวสูงถึง -23.3% จากมาตรการควบคุมจุดผ่านแดนไทย – กัมพูชาที่เริ่มต้นมาตรการในขั้นที่ 1 และ 2 ในการจำกัดการผ่านเข้า – ออกของบุคคล และปรับเวลาการเปิด – ปิดด่าน ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2568 จนถึงมาตรการการงดการผ่านเข้า – ออกของยานพาหนะทุกประเภทในวันที่ 23 มิถุนายน 2568 ตลอดจนประกาศของฝั่งกัมพูชาที่ตัดการนำเข้าไฟฟ้าจากไทย ทำให้มูลค่าการส่งออกชายแดนไทย – กัมพูชาลดลงเหลือ 8,961 ล้านบาท (-23.8%) โดยสินค้าส่งออกสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เครื่องดื่มอื่น ๆ เช่น นม UHT นมถั่วเหลือง (-23.6%) พลังงานไฟฟ้า (-48.8%) น้ำแร่น้ำอัดลมที่ปรุงรส (-24.6%) และครีมเทียม (-17.9%) เป็นต้น ทั้งนี้ ยังคงต้องติดตามข้อมูลในเดือนกรกฎาคมซึ่งน่าจะเห็นผลกระทบต่อการค้าชายแดนชัดเจนขึ้น

“ด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจการค้าชายแดนและผ่านแดน กรมการค้าต่างประเทศยังคงเดินหน้าการทำงานเชิงรุกตามนโยบายของกระทรวงพาณิชย์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อยอดความสำเร็จของงานมหกรรมการค้าชายแดนที่จัดมาตลอดปี 2568 โดยระหว่างวันที่ 22 – 28 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมาได้จัดงานมหกรรมการค้าชายแดน ณ จังหวัดเชียงใหม่ ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา จ.เชียงใหม่ สร้างรายได้จากยอดจำหน่ายสินค้าภายในงานจำนวน 150 คูหา เป็นเงินกว่า 9 ล้านบาท และการเจรจาการจับคู่ธุรกิจคาดการณ์ยอดการสั่งซื้อภายใน 1 ปี กว่า 50 ล้านบาท ทั้งนี้ เตรียมส่งท้ายปี 2568 ต่อเนื่องที่จังหวัดสตูล ระหว่างวันที่ 7 – 10 สิงหาคม 2568 ณ บริเวณหน้าวัดมงคลมิ่งเมือง หัวสะพานตายาย จ.สตูล จึงขอเชิญชวนผู้ประกอบการหรือผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานดังกล่าวติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.dft.go.th, Facebook: กรมการค้าต่างประเทศ DFT และสายด่วน 1385 DFT Call Center”

#การค้าชายแดน #การค้าผ่านแดน #ส่งออกไทย #ทุเรียนส่งออก #กรมการค้าต่างประเทศ #เศรษฐกิจชายแดน #ค้าชายแดนจีน #ข่าวเศรษฐกิจไทย #ด่านการค้า #DFT #กระทรวงพาณิชย์

"พิชัย" เชื่อส่งออกไทยโตต่อเนื่อง หลังสหรัฐฯกำหนดภาษี Tariff 19% หนุนเศรษฐกิจปี 68 โต 2–3%

“พิชัย” ชี้ภาษีทรัมป์ 19% ทำให้ประเทศไทยแข่งขันได้  มั่นใจการส่งออกปีนี้จะยังเป็นพระเอก และการลงทุนจากต่างประเทศจะไหลเข้าต่อเนื่อง จีดีพีปีนี้น่าจะอยู่ที่ 2-3% แนะทำค่าบาทอ่อนลดผลกระทบภาษีทรัมป์ และเร่งเจรจา FTA กับ EU ให้เสร็จภายในปลายปี 

วันที่ 4 ส.ค.68 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ตามที่ประเทศสหรัฐอเมริกากำหนดภาษี Tariff กับประเทศไทยที่ 19% ซึ่งเท่ากับ Tariff ของประเทศในอาเซียนหลายประเทศเช่น มาเลเซีย อินโดนิเซีย ฟิลิปปินส์ และ กัมพูชา ซึ่งต่ำกว่า ประเทศเวียดนามที่โดนเก็บ 20% จะทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทย โดยจะทำให้การส่งออกของไทยที่ตั้งแต่ต้นปี 2568 ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาขยายได้ 15% ซึ่งถือว่าสูงมาก จะยังสามารถรักษาระดับการส่งออกทั้งปีให้ขยายตัวต่อได้ แต่อาจจะไม่สูงเท่าครึ่งปีแรก โดยส่วนตัวแล้วยังเชื่อว่าการส่งออกจะยังคงเป็นพระเอกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีนี้ และหวังว่าการส่งออกทั้งปี 2568 จะขยายตัวได้สูงใกล้กับเลข 2 หลัก ทั้งนี้ขอยืนยันว่าการส่งออกที่ขยายตัวอย่างมากมาจากการปรับโครงสร้างการส่งออกของไทยและการลงทุนที่เข้ามามากขึ้น รวมถึงความมั่นใจที่เกิดจากการเจรจาเขตกาค้าเสรีที่มากขึ้น ไม่ใช่เพราะจะเร่งส่งเพื่อเลี่ยงภาษีทรัมป์อย่างเดียว 

นอกจากนี้ การลงทุนจากต่างประเทศที่มีการขอส่งเสริมการลงทุนในครึ่งปีแรกแล้วกว่า 1.05 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเช่นกัน จะยังคงขยายตัวในการลงทุนได้ต่อเนื่อง และจะทำสถิติสูงสุดได้ภายในสิ้นปีนี้ โดยจะมีการลงทุนจริงภายในปีนี้เกือบทั้งหมด โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอนาคต เช่น แผงวงจรไฟฟ้า(พีซีบี), เซมิคอนดักเตอร์, ดาต้าเซ็นเตอร์, Ai, รถยนต์ไฟฟ้า (EV), อุตสาหกรรมดิจิตอล ฯลฯ ซึ่งจะเป็น S- Curve ตัวใหม่ของเศรษฐกิจไทย ทั้งนี้จะทำให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้  2-3 % ตามที่ตนเองได้เคยบอกไว้แต่แรกว่าจีดีพีปีนี้น่าจะขยายเกินกว่า 2% แน่นอน และ ในปีต่อไปน่าจะดีขึ้นไปอีก โดยหวังว่านักท่องเที่ยวจะเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่หดหายไปอย่างมาก

ทั้งนี้เป็นเรื่องที่ต้องรับรู้กันอยู่แล้วว่า ทุกการเจรจาการค้าจะต้องมีผู้ได้รับผลกระทบซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่ต้องมองภาพใหญ่ว่าโดยรวมแล้วประเทศไทยจะได้ประโยชน์มากกว่าเสียประโยชน์มาก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะต้องเตรียมมาตรการช่วยเหลือและเยียวยากับผู้ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเกษตรกรที่มีรายได้น้อยไม่ให้ได้รับผลกระทบ อีกทั้งถือโอกาสนี้ปรับเปลี่ยนการผลิตเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในโลกสมัยใหม่ ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น ดังนั้นสิ่งที่ควรเร่งทำเพื่อรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้น คือการบริหารจัดการให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงเพื่อรองรับภาษี Tariff  19% โดยหวังว่าผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่ นายวิทัย รัตนากร จะสามารถทำให้ค่าบาทอ่อนลงมาเพื่อสนับสนุนให้สินค้าไทยมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น และเพิ่มการส่งออก รวมถึงช่วยให้การท่องเที่ยวดีขึ้น เพราะสาเหตุหนึ่งที่นักท่องเที่ยวลดลงเพราะค่าเงินบาทแข็งค่าเกินไป ทำให้การมาเที่ยวประเทศไทยแพงมากเมื่อเทียบกับการไปเที่ยวประเทศคู่แข่ง นอกจากนี้การเร่งเจรจาเขตการค้าเสรีให้มีมากขึ้น โดยเฉพาะ FTA กับ EU ที่จะทำให้ประเทศไทยมีเขตการค้าเสรีเพิ่มอีก 27 ประเทศในทวีปยุโรป หลังจากที่ไทยเซ็น FTA กับ EFTA ที่ประกอบด้วยประเทศยุโรป 4 ประเทศแล้ว คือ  สวิตเซอร์แลนด์ นอรเวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ เมื่อตอนต้นปี นอกจากนี้ยังมีเกาหลีใต้ ยูเออี อาเซียน-แคนนาดา ที่น่าจะเจรจาให้จบได้ภายในก่อนสิ้นปีนี้ อีกทั้ง ภาษี Tariff ของสหรัฐนี้เอง ก็ยังสามารถเจรจาปรับลดลงอีกได้ ตามที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์กล่าวไว้เอง หากประเทศไทยจะมีข้อเสนอที่ดีในอนาคต 

โดยภาพรวมแล้วเศรษฐกิจไทยจะค่อยๆฟื้นตัวและยังจะไปต่อได้ เพียงแต่จะต้องใช้เวลาในการแก้ไขปัญหาที่สะสมมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปี โดยเฉพาะปัญหาเรื่องหนี้ ทั้งหนี้ครัวเรือน หนี้ธุรกิจ และหนี้สาธารณะ ซึ่งน่าจะผ่อนคลายมากขึ้นหากรัฐบาลจะสามารถดันจีดีพีให้เพิ่มสูงขึ้นได้ โดยต้องมีเงินจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้นจากการส่งออก การลงทุน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นมาก และการท่องเที่ยวที่ต้องเร่งแก้ไขให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น

#ส่งออกไทย #ภาษีTariff #เศรษฐกิจไทย #ลงทุนต่างชาติ #FTA #พิชัยนริพทะพันธุ์ #จีดีพีไทย #เงินบาทแข็งค่า #การค้าระหว่างประเทศ #ข่าวเศรษฐกิจ

พาณิย์ดันผู้ประกอบการไทย “จัดทัพ-ปรับกลยุทธ์” รับมือสงครามการค้าโลก พร้อมใช้ FTA-SMART C/O เสริมแต้มต่อธุรกิจ

กรมการค้าต่างประเทศเผยผลสำเร็จการจัดสัมมนาใหญ่ “From Trade War To Trade Win : พลิกเกมการค้าฝ่าวิกฤตโลก” ระดมผู้ประกอบการกว่าครึ่งพัน ร่วมเสริมศักยภาพ เตรียมความพร้อม รับมือความท้าทายการค้าโลกอย่างรอบด้าน

วันที่ 3 ส.ค.68 นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า การสัมมนาครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งครั้งแรกจัดขึ้นเมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ณ จังหวัดชลบุรี ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งจากทุกภาคส่วน โดยมีเป้าหมายให้ผู้ประกอบการเข้าถึงข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์การค้าโลก เข้าใจแนวโน้มตลาด และสามารถประเมินโอกาสทางการแข่งขันได้อย่างชัดเจน  สำหรับการสัมมนาในครั้งนี้ได้จัดเวทีเสวนาภายใต้หัวข้อ “จัดทัพ ปรับกลยุทธ์ รับศึกสงครามการค้า” ซึ่งมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ 1) ดร.เสรี นนทสูติ กรรมการสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม 2) ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร รองคณบดี คณะนิติศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 3) คุณวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์อาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคต หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ 4) คุณนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมถ่ายทอดมุมมอง วิเคราะห์สถานการณ์ และเสนอแนะแนวทางเชิงกลยุทธ์ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทย “พลิกเกม” และสร้างความได้เปรียบในเวทีโลก

โดยกรมการค้าต่างประเทศพร้อมดำเนินงานตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจตุพร บุรุษพัฒน์) ในการ “เดินหน้าเศรษฐกิจ ฟื้นความเชื่อมั่น สร้างโอกาสใหม่ให้ทุกภาคส่วน” โดยกรมฯ ได้กำหนดมาตรการเชิงรุกและเชิงรับ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของประเทศ เช่น การตรวจสอบสินค้าที่มีแนวโน้มแอบอ้างไทยเป็นถิ่นกำเนิด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสหรัฐฯ ว่าสินค้าที่ส่งออกมีถิ่นกำเนิดจากประเทศไทยอย่างแท้จริง และในกรณีที่มีสินค้าจากประเทศอื่นที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ ทะลักเข้าสู่ประเทศ กรมฯ พร้อมใช้มาตรการปกป้อง (Safeguard) เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศที่ได้รับผลกระทบ โดยเรียกเก็บอากรเพิ่มเติมจากสินค้านำเข้าจากทุกประเทศทั่วโลกเป็นการชั่วคราว นอกจากนี้ กรมฯ ได้บูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องภายใต้คณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย เพื่อควบคุมการนำเข้าสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ

นางอารดากล่าวเพิ่มเติมว่า “กรมฯ ยังพร้อมสนับสนุนในการสร้างแต้มต่อทางการค้าให้แก่ผู้ประกอบการไทย โดยการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลงทางการค้าเสรี (FTA) ซึ่งไทยมี 17 ฉบับ ครอบคลุม 24 ประเทศคู่ค้า และที่จะมีผลบังคับใช้ในปีหน้าอีก 3 ฉบับอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยขณะนี้ กรมฯ ได้นำนวัตกรรมดิจิทัลมาพัฒนาระบบการให้บริการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (SMART C/O) ซึ่งผู้ประกอบการสามารถยื่นคำขอและติดตามผลการอนุมัติผ่านระบบ และสามารถสั่งพิมพ์หนังสือรับรองฯ ที่เจ้าหน้าที่อนุมัติแล้วได้ด้วยตนเอง (Self - Printing) สำหรับกรณีการส่งออกโดยใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีอาเซียน หรือความตกลงการค้าเสรีไทย - ญี่ปุ่น ข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของทั้ง 2 ความตกลงฯ จะถูกส่งผ่านระบบ e-Form D และ e-Form JTEPA ไปยังศุลกากรประเทศปลายทางทันทีหลังจากเจ้าหน้าที่อนุมัติคำขอแล้ว โดยไม่ต้องสั่งพิมพ์ออกมาเป็นรูปแบบกระดาษ ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการเกิดความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย” 

ผู้แทนภาคเอกชน ทั้งสภาหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมเห็นพ้องกันว่า หากสหรัฐฯ ไม่ลดภาษีจากอัตราร้อยละ 36 จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการดำเนินธุรกิจ ภาคเอกชนจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์และหาทางกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ โดยเร่งเปิดตลาดอื่นที่มีศักยภาพให้มากขึ้นควบคู่กับการสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจ (ecosystem) ใหม่ ทั้งการพัฒนาแรงงาน การลงทุนด้านนวัตกรรม การยกระดับมาตรฐานสินค้า การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และการกระจายตลาดอย่างทั่วถึง เพื่อให้ธุรกิจไทยยังคงแข่งขันได้ท่ามกลางแรงกดดันจากสงครามการค้าและความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก

นางอารดากล่าวปิดท้ายว่า การผนึกกำลังระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในครั้งนี้ จะเป็นแรงผลักดันที่สำคัญที่ช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนในเวทีการค้าโลก พร้อมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ให้สามารถปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกได้อย่างทันท่วงที และใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีได้อย่างเต็มศักยภาพ ความร่วมมือนี้จะเป็นกลไกสำคัญในการต่อยอดโอกาสทางการค้า ขยายตลาดส่งออกสู่ประเทศคู่ค้าใหม่ๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยบนเวทีการค้าโลก ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการต้องการข้อมูลหรือคำแนะนำเพิ่มเติมสามารถติดต่อกรมการค้าต่างประเทศ ได้ที่ สายด่วนกรมการค้าต่างประเทศ 1385 หรือทางเว็บไซต์ www.dft.go.th “โอกาสอยู่ที่นี่ มาร่วมสร้างอนาคตเศรษฐกิจไทยไปด้วยกัน”

#สงครามการค้า #ส่งออกไทย #FTAไทย #กรมการค้าต่างประเทศ #SMARTCO #ภาษีสหรัฐ #ผู้ประกอบการไทย #เศรษฐกิจโลก #ข่าวเศรษฐกิจ #ตลาดโลก #ส่งออก2025

EXIM Bank ออก 8 มาตรการรับมือภาษีทรัมป์ ดันส่งออกไทย รุกตลาดใหม่ ลดเสี่ยงภาษีนำเข้าสหรัฐฯ

EXIM Bank ออก 8 มาตรการรับมือภาษีทรัมป์ ดันส่งออกไทย รุกตลาดใหม่ ลดเสี่ยงภาษีนำเข้าสหรัฐฯ

วันที่ 3 ส.ค.68 นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง เปิดเผยว่า ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก มาตรการภาษีแบบตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งครอบคลุมการเสริมสภาพคล่อง ลดต้นทุนทางการเงิน และช่วยกระจายความเสี่ยง โดย EXIM Bank เตรียมวงเงินช่วยเหลือผู้ส่งออก ให้ความช่วยเหลือสำหรับ SMEs ที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงผู้ประกอบการที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้

ส่วนที่ 1 บรรเทาผลกระทบจากตลาดเดิม ดังนี้
1. เสริมสภาพคล่องและลดต้นทุนทางการเงิน
• ขยายเทอมการชำระเงินสูงสุด 365 วัน: ยืดเวลาการชำระหนี้ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ส่งออก
• ลดอัตราดอกเบี้ยลงสูงสุด 20% จากอัตราเดิม: สำหรับสินเชื่อที่ได้รับการขยายเทอมการชำระเงิน และสินเชื่อที่มีการเบิกใช้ใหม่
• สินเชื่อหมุนเวียนทั้งก่อนและหลังการส่งออก: สินเชื่อหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่องทั้งก่อนและหลังการส่งออก
• มาตรการพักชำระเงินต้น สูงสุด 1 ปี (Pre-emptive) สำหรับผู้ที่มีสินเชื่อระยะยาว และเริ่มมีการค้างชำระหนี้

2. ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน
• สินเชื่อระยะยาวเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต (Transformation Loan): เป็นวงเงินระยะยาวสำหรับการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และลดต้นทุนการดำเนินงาน เช่น การปรับปรุงโรงงาน เครื่องจักร ระบบอัตโนมัติ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.75% (ระยะเวลากู้สูงสุด 5 ปี)

ส่วนที่ 2 สนับสนุนการหาตลาดใหม่ ทดแทนตลาดเดิม ดังนี้
1. เปิดตลาดใหม่ ช่วยกระจายความเสี่ยง
• สินเชื่อหมุนเวียนหลังการส่งออกพร้อมประกันการส่งออก (EXIM Safe Trade): นอกจากการสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนแล้ว ผู้ส่งออกจะได้รับการชดเชยจากธนาคารหากไม่ได้รับชำระค่าสินค้าจากคู่ค้า อัตราดอกเบี้ย 3.99% ต่อปี
• สินเชื่อเพื่อการร่วมงานแสดงสินค้า (EXIM-DITP Empower Financing): โดยเป็นเงินทุนหมุนเวียน สำหรับใช้จ่ายในการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศเพื่อหาตลาดใหม่

2. คงการจ้างงานด้วยเงินหมุนเวียน Soft Loan
• สินเชื่อระยะยาวร่วมกับสำนักงานประกันสังคม: เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการให้แก่ SMEs เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.00% ต่อปีคงที่ 3 ปี

#EXIMBank #ภาษีทรัมป์ #ส่งออกไทย #สงครามการค้า #สินเชื่อส่งออก #ตลาดใหม่ #มาตรการรับมือ #เศรษฐกิจโลก #SMEไทย #ประกันการส่งออก #ดันส่งออกไทย

 

 

สหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้าสินค้าไทยเหลือ 19% หนุนส่งออกครึ่งปีหลังโต ศก.ไทยปี 68 โต 1.5%

สหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้าสินค้าไทยเหลือ 19% หนุนส่งออกครึ่งปีหลังโต ศก.ไทยปี 68 โต 1.5%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานว่า 1 ส.ค.68 สหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) ใหม่ต่อไทย ในอัตราที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับ 36% มาอยู่ที่ 19% ใกล้เคียงกับภูมิภาคอาเซียน และดีกว่าเวียดนาม หลังทางการไทยมีความพยายามในการเจรจาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา 

รัฐบาลสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษี Reciprocal tariff กับสินค้าไทยที่อัตรา 19% ซึ่งเป็นอัตราที่ดีกว่าเดิม และแข่งขันได้กับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน ทั้งเวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย กัมพูชา อีกทั้งอัตราภาษีดังกล่าวยังต่ำกว่าอัตราภาษีที่อินเดียได้รับที่ 25% ซึ่งอัตราภาษีฯ ที่ไม่แตกต่างกันส่งผลให้ในภาพรวมสินค้าส่งออกไทยยังคงความสามารถทางการแข่งขันได้ ขณะที่ภาพการค้าโลกก็มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากความไม่แน่นอนทางการค้าที่ลดลงรวมถึงหลายประเทศได้รับอัตราภาษีฯ ที่ลดลงกว่าที่ประกาศไว้ในเดือนเม.ย. ซึ่งปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนมุมมองต่อการส่งออกไทยอีกทางหนึ่ง

อัตราภาษีสินค้าสวมสิทธิ์ (Transshipment) ที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บในอัตรา 40% คาดว่าจะส่งผลให้การนำเข้าสินค้าเพื่อ Re-export ไปยังตลาดสหรัฐฯ ผ่านไทยซึ่งก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มในประเทศต่ำนั้นมีแนวโน้มชะลอลง โดยขึ้นอยู่กับการบังคับใช้มาตรการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local content) อย่างจริงจังที่อาจช่วยลดแรงกดดันต่อภาคการผลิตไทย นอกจากนี้ ภาษีนำเข้าฯ ของไทยเทียบกับภูมิภาคที่ไม่แตกต่างกัน ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาให้น้ำหนักกับปัจจัยพื้นฐานในการตัดสินลงทุนมากขึ้น อย่างไรก็ดี การไหลเข้ามาของสินค้านำเข้าจากจีนเพื่อบริโภคในประเทศคาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ภาคการผลิตในปีนี้คาดว่าจะยังหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน 

ภายใต้ข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ไทยต้องยกเว้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ราว 90% ของสินค้าทั้งหมด รวมถึงลดมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีลงนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การเปิดตลาดนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ อาจไม่ทำให้สินค้าสหรัฐฯ ไหลบ่าเข้ามาในไทยมากอย่างที่กังวล เนื่องจาก
•สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ส่วนใหญ่มีอัตราภาษี MFN เป็น 0% อยู่แต่เดิม 

•สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ไทยไม่สามารถผลิตได้ หรือผลิตได้ไม่เพียงพอกับความต้องการในประเทศ เช่น เครื่องมือแพทย์ ชิ้นส่วนยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์บางรายการที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง อีกทั้ง ขึ้นอยู่กับความสามารถทางการแข่งขันด้านต้นทุนของสินค้าสหรัฐฯ ในแต่ละอุตสาหกรรม 

•สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ หลายรายการอาจมีต้นทุนสูงกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศ หรือสินค้านำเข้าจากตลาดอื่นโดยเฉพาะตลาดที่ไทยมี FTA อยู่แต่เดิม 

อย่างไรก็ตาม หากไทยต้องเพิ่มโควต้านำเข้าสินค้าพลังงานและเกษตรจากสหรัฐฯ อาทิ สินค้าเกษตรอย่างถั่วเหลือง ข้าวโพด รวมถึงเนื้อสัตว์ คาดว่าจะกระทบเกษตรกรรายย่อย และในบางกรณีจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมอาหารเพิ่มขึ้น และอาจจะส่งผ่านมายังเงินเฟ้อในระยะถัดไป ทั้งนี้ ยังต้องติดตามความชัดเจนของการเปิดตลาดสินค้าเกษตรในรายละเอียด รวมถึงมาตรการเยียวยาจากภาครัฐ

ทั้งนี้ต้องติดตามนโยบายการค้าของสหรัฐฯ เพิ่มเติม หลังจากนี้ โดยเฉพาะผลกระทบจากรายการสินค้าภายใต้ Section 232 ที่คาดว่าจะมีการประกาศเพิ่มเติม เช่น เซมิคอนดักเตอร์ และไม้แปรรูป เป็นต้น นอกจากนี้ ยังต้องติดตามประเด็นทางกฎหมายเรื่องอำนาจการบังคับใช้ภาษี Reciprocal tariff ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ยังอยู่ในขั้นตอนไต่สวนอยู่ ขณะที่ไทยอยู่ระหว่างเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ร่วมกับสหภาพยุโรป (EU) และแคนาดา ซึ่งอาจช่วยเพิ่มโอกาสการส่งออกสินค้าไทยไปตลาดอื่นนอกจากสหรัฐฯ มากขึ้น 

ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 คาดส่งออกจะช่วยหนุนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตดีขึ้นเล็กน้อยที่ 1.5% จากเดิม 1.4% ท่ามกลางท่องเที่ยวโตต่ำกว่าคาด 

อัตราภาษี Reciprocal tariff ที่ดีขึ้นและแข่งขันได้ ปรับมุมมองการส่งออกไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ดีขึ้นกว่าเดิม โดยคาดว่าจะหดตัวลดลงมาอยู่ที่ -7.4% YoY และการส่งออกไทยทั้งปี 2568 ปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ 3.4% เพิ่มขึ้นจากประมาณการก่อนหน้าที่ 1.5% ทั้งนี้ การส่งออกไทยในครึ่งปีหลังที่ยังหดตัวเป็นผลจากการเร่งสูงออกสูงในช่วงครึ่งปีแรกที่ขยายตัวถึง 15.0% YoY ประกอบกับมีปัจจัยฐานการส่งออกทองคำที่สูงในครึ่งหลังของปี 2567 

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยเผชิญปัจจัยกดดันที่เพิ่มขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา รวมถึงการเบิกจ่ายงบประมาณที่อาจต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยขยายตัวดีขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 1.5% โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปี 2568 คาดว่าจะลดลงจากประมาณการเดิมมาอยู่ที่ราว 32.2 ล้านคน ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 5 ปี จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ยังคงไม่กลับมา

#ส่งออกไทย #ภาษีสหรัฐ #ReciprocalTariff #การค้าไทยสหรัฐ #FTAไทยEU #เศรษฐกิจไทย2568 #การค้าระหว่างประเทศ #สหรัฐลดภาษีไทย #สยามรัฐ #ข่าวเศรษฐกิจ

“พิชัย” ชี้ภาษี 19% แข่งขันได้ ไม่มีเรื่องความมั่นคง แลกซื้อเครื่องบิน-นำเข้าพลังงาน

“พิชัย” ชี้ภาษี 19% สหรัฐแข่งขันได้ ไม่มีเรื่องความมั่นคง แลกซื้อเครื่องบิน-นำเข้าพลังงาน

วันที่ 1 ส.ค.68 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เปิดเผยว่า การประกาศ Tariff rate ที่ 19 % จะช่วยให้ไทยยังคงแข่งขันได้ในเวทีโลก สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน และเปิดประตูสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจ รายได้ และโอกาสใหม่ๆให้กับประเทศไทย การทำงานยังไม่สิ้นสุด รัฐบาลตระหนักถึงผลกระทบต่อผู้ประกอบการและพี่น้องเกษตรกร จึงได้จัดเตรียมมาตรการรองรับอย่างรอบด้าน

นายพิชัย กล่าวด้วยว่า อะไรที่เรามีความพร้อม เช่น เอฟทีเอ เราก็ให้เลย เราตกลงเรื่องใหญ่ๆ เช่น เราจะซื้ออะไรจากสหรัฐบ้าง เราจะไปลงทุนอะไรบ้าง เขาจะมาลงทุนอะไรบ้าง เท่าที่พูดคุย ไทยเราจะไปลงทุนเรื่องเกษตรกรรมแปรรูปที่เรามีความพร้อมอยู่แล้วและวัตถุดิบบางตัวก็อยู่ที่สหรัฐ ส่วนเรื่องพลังงาน ไทยเราจะซื้อด้วย ลงทุนเพิ่มในสหรัฐด้วยที่ผ่านมาเรานำเข้าพลังงานจากสหรัฐประมาณ 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อปีอยู่แล้ว ส่วนการนำเข้าพลังงานจะนำเข้าไม่มาก สำหรับเรื่องเครื่องบินโดยสารที่จะมีการปรับเปลี่ยนภายใน 10 ปี เราจะซื้อเพิ่มอีก 8-10 ลำ น้ำมันดิบจะนำเข้าเพิ่มอีก 10% โดยจะเริ่มตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป

ขณะที่เรื่องการนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐจะมีการไปตรวจโรงงานที่สหรัฐก่อนนำเข้ามาและจะนำเข้ามาให้น้อยที่สุด หลังจากนี้รัฐบาลจะต้องลงรายละเอียด เราต้องทำงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งนี้ สินค้าอะไรก็ตามที่ไทยส่งออกก่อนวันที่ 7 สิงหาคม ภาษีส่งออกไปสหรัฐจะเป็นอัตราเดิมคือ 10% แต่ถ้าส่งออกหลังวันที่ 7 สิงหาคม จะเป็นภาษีอัตราใหม่ 19% โดยยืนยันว่าดีลแลกภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐฯครั้งนี้ ไม่มีเกี่ยวข้องกับก๊าซธรรมชาติ และความมั่นคง เป็นการหารือด้านเศรษฐกิจทางการค้าเป็นหลักเท่านั้น

ทั้งนี้จากภาษี 19% ทำให้มีหลายบริษัทต่างชาติมีแผนลงทุนระยะยาวในไทยและรู้สึกโล่งอก ขณะที่เรื่องสัมปทานแหล่งก๊าซธรรมชาติในไทยไม่ได้มีการพูดถึงในการเจรจาครั้งนี้

#พิชัยชุณหวชิร #ภาษีนำเข้า #สหรัฐไทย #FTA #เศรษฐกิจไทย #ลงทุนไทย #ส่งออกไทย #พาณิชย์ #ข่าวเศรษฐกิจ #สยามรัฐออนไลน์

ไทยจ่อสรุปข้อเสนอภาษีกับสหรัฐฯ รอบสุดท้ายวันนี้ "พิชัย" ยันความขัดแย้งกัมพูชาไม่กระทบเจรจา

“พิชัย” เผยไทยใกล้ปิดดีลภาษีกับสหรัฐฯ คาดสรุปรอบสุดท้ายวันนี้ ชี้ความขัดแย้งชายแดนกัมพูชาไม่กระทบการเจรจา

วันที่ 30 กรกฎาคม 2568 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าการเจรจาภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา ไทยได้ส่งข้อเสนอเพิ่มเติมไปยังสหรัฐฯ และอยู่ระหว่างการปรับแก้รายละเอียดบางจุด ซึ่งถือเป็นประเด็นที่มีความละเอียดอ่อน

"เราติดต่อกันตลอด เมื่อวานก็ได้ตอบข้อเสนอของเขาไป มีการแก้ไขอยู่บ้าง และจะส่งกลับไปอีกครั้งในเย็นวันนี้ คาดว่าครั้งนี้น่าจะเป็นการสรุปข้อเสนอรอบสุดท้ายจริง ๆ" นายพิชัยกล่าว พร้อมเผยว่าทีมงานต้องเร่งทำงานตลอดคืน เนื่องจากเหลือเวลาอีกเพียง 2 วันก่อนเส้นตาย

สำหรับกรณีความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยังมีเหตุปะทะเป็นระยะ นายพิชัยยืนยันว่า ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ เนื่องจากยังไม่มีคำสั่งให้ชะลอหรือระงับการเจรจาแต่อย่างใด และสถานการณ์ก็เริ่มคลี่คลายลงแล้ว

ทั้งนี้ รัฐมนตรีคลังยังกล่าวถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์ชายแดนว่า แม้อาจกระทบบ้าง แต่หากมีมาตรการเยียวยาที่เหมาะสม ก็สามารถชดเชยความเสียหายได้ ขณะเดียวกันการซ่อมแซมบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างที่เสียหาย ก็ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่โดยตรง

ในส่วนของแนวโน้มเศรษฐกิจภาพรวม กระทรวงการคลังได้ปรับคาดการณ์อัตราการเติบโตของ GDP ปี 2568 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 2.1% เป็น 2.2% โดยนายพิชัยระบุว่า แม้การส่งออกช่วงครึ่งปีแรกยังขยายตัวดี แต่ครึ่งปีหลังยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มชะลอตัวลง จึงทำให้ภาพรวมยังต้องใช้ความระมัดระวังในการประเมิน

#ภาษีไทยสหรัฐ #เศรษฐกิจไทย #พิชัยชุณหวชิร #ความขัดแย้งชายแดน #GDP2568 #ส่งออกไทย #กระทรวงการคลัง #การท่องเที่ยว #ข่าวเศรษฐกิจ #เจรจาระหว่างประเทศ

 

 

 

คลังชี้เศรษฐกิจไทยปี 68 โต 2.2% ส่งออก-บริโภคฟื้นตัว รับมือภาษีทรัมป์ พร้อมอัดมาตรการช่วยเหลือ SMEs ชายแดน

เศรษฐกิจไทยในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.2 ต่อปี ภายใต้สถานการณ์นโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ และผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศของประเทศคู่ค้าของไทย เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับผลการประมาณการเศรษฐกิจครั้งก่อนที่ร้อยละ 2.1 (ณ เม.ย.68) โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการผลิตภาคอุตสาหกรรม และการส่งออกที่ขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้ ประกอบกับการบริโภคภายในประเทศที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

วันที่ 30 ก.ค.68 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงผลการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 ว่า “เศรษฐกิจไทยในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.2 ต่อปี ภายใต้สถานการณ์นโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ และผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศของประเทศคู่ค้าของไทย อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับผลการประมาณการเศรษฐกิจครั้งก่อนที่ร้อยละ 2.1 (ณ เมษายน 2568) โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกที่ขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้ ประกอบกับการบริโภคภายในประเทศที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง” โดยคาดว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมจะสามารถกลับมาขยายตัวได้ที่ร้อยละ 1.2 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ร้อยละ 0.7 ถึง 1.7) จากปีก่อนหน้าที่หดตัวที่ร้อยละ -0.4 ต่อปี จากการฟื้นตัวของการผลิตยานยนต์และการผลิตชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์เป็นสำคัญ ในขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 5.5 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ร้อยละ 5.0 ถึง 6.0) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการประมาณการครั้งก่อนที่ร้อยละ 2.3 เนื่องจากการเร่งนำเข้าของประเทศคู่ค้าที่สูงกว่าคาดในครึ่งแรกของปี 2568 อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าของไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 อาจจะมีทิศทางที่ชะลอตัวลงจากผลกระทบของภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าประเทศไทยจะได้รับข้อตกลงการผ่อนปรนภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ภายในไตรมาสที่ 3 ปี 2568 ด้านมูลค่าการนำเข้าสินค้าคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 5.0 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ร้อยละ 4.5 ถึง 5.5) โดยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าสินค้าทุนเพื่อนำมาผลิตเพื่อส่งออก

สำหรับการบริโภคภาคเอกชนเป็นแรงสนับสนุนสำคัญในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 3.1 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.6 ถึง 3.6) ตามกำลังซื้อในประเทศสะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บในประเทศที่ขยายตัวได้ดี โดยเติบโตติดต่อกัน 9 ไตรมาส สำหรับการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 3.0 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.5 ถึง 3.5) ปรับเพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อนที่ร้อยละ 0.4 โดยการลงทุนมีทิศทางฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังได้รับแรงสนับสนุนจากการขอรับการส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มูลค่าสูงกว่า 1 ล้านล้านบาท จาก 1,880 โครงการในครึ่งแรกของปี 2568 ด้านการบริโภคภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 1.2 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 0.7 ถึง 1.7) และการลงทุนภาครัฐขยายตัวที่ร้อยละ 3.9 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.4 ถึง 4.4) จากการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่อง และมีแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท (แผนการขับเคลื่อนฯ) ที่มีส่วนช่วยในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยให้เอื้อต่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติจัดสรรวงเงินแล้ว 115,375 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ด้านโครงสร้างพื้นฐาน (ด้านน้ำและด้านคมนาคม) ด้านการท่องเที่ยว ด้านการลดผลกระทบภาคการส่งออกและเพิ่มผลิตภาพ และเศรษฐกิจชุมชนและอื่น ๆ เป็นต้น

ด้านเสถียรภาพภายในประเทศอยู่ในระดับมั่นคง โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ร้อยละ 0.4 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ -0.1 ถึง 0.9) ขณะที่เสถียรภาพภายนอกประเทศ ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2568 มีแนวโน้มเกินดุล 14.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 2.9 ของ GDP จากดุลการค้าที่เกินดุล

โฆษกกระทรวงการคลังได้กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะขยายตัวได้ดีในครึ่งปีแรก อย่างไรก็ดี จำเป็นต้องติดตามทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 ที่เศรษฐกิจไทยอาจเผชิญความท้าทายจากแรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยกระทรวงการคลังได้เตรียมตัวรับมือและบรรเทาสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผ่านการดำเนินแผนการขับเคลื่อนฯ ในการลดผลกระทบต่อภาคการส่งออก และมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างทันท่วงทีและตรงจุด ครอบคลุมการจัดเตรียมสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและลดภาระทางการเงินของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs ของห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกไปยังสหรัฐฯ

สำหรับประเด็นผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ประเมินว่าผลกระทบมีจำกัดอยู่ในพื้นที่ชายแดนและความเสียหายด้านทรัพย์สินและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ทางการทหาร ซึ่งกระทรวงการคลังได้ให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีพิพาทชายแดน ประกอบด้วย 1) การขยายวงเงินทดรองราชการให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ จังหวัดละ 100 ล้านบาทและพร้อมพิจารณาขยายเพิ่มหากไม่เพียงพอเพื่อให้จังหวัดสามารถบริหารจัดการได้อย่างคล่องตัว 2) การเลื่อนกำหนดเวลาชำระภาษี และ 3) การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่องและพักชำระหนี้ผ่านสถาบันการเงินของรัฐ โดยกระทรวงการคลังมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และมีการเตรียมความพร้อมที่จะออกมาตรการเพิ่มเติมอย่างเหมาะสมได้ทันท่วงทีต่อไป

โดยในระยะต่อจากนี้ไป ควรติดตามปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด ได้แก่ 1) นโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ และผลกระทบทางอ้อมจากการไหลเข้าของสินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีที่ย้ายตลาดเข้าสู่ไทยมากขึ้น 2) ทิศทางของการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ 3) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทั้งในและนอกประเทศ 4) ระดับหนี้ครัวเรือนของภาคประชาชน และ 5) การย้ายฐานการลงทุนและการผลิตในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ

#เศรษฐกิจไทย #ภาษีนำเข้าสหรัฐ #SMEsไทย #ส่งออกไทย #ข่าวเศรษฐกิจ #BOI #คลังไทย #พรชัยฐีระเวช #ดอกเบี้ยต่ำ #ชายแดนไทยกัมพูชา #GDPไทย2568 #เงินเฟ้อ2568

หอการค้าไทยเร่งทีมเจรจาภาษีสหรัฐฯ สรุปก่อนเส้นตาย 1 ส.ค.นี้

หอการค้าไทยเร่งทีมเจรจาภาษีสหรัฐฯ สรุปก่อนเส้นตาย 1 ส.ค.นี้

วันที่ 29 ก.ค.68 นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอกาค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเตรียมนำมาตรการภาษีใหม่ ภายใต้กรอบ “Trump Tariff 2.0” มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมส่งออกและการลงทุนร่วมระหว่างประเทศ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ขอแสดงความห่วงใย และสนับสนุนการดำเนินการของรัฐบาลไทยอย่างเต็มที่ ในขณะนี้ ข้อเสนอฉบับปรับปรุงสุดท้ายของฝ่ายไทย ซึ่งจัดทำโดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ภายใต้ทีมไทยแลนด์ ได้ถูกยื่นต่อรัฐบาลสหรัฐฯ แล้ว โดยเป็นข้อเสนอที่สะท้อนความพยายามในการรักษาดุลยภาพด้านการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศ และควรจะได้รับการตอบรับอย่างดีจากฝ่ายสหรัฐอเมริกา

อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาจะเพิ่งคลี่คลายและนำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิงเรียบร้อยแล้ว แต่ภาคเอกชนขอเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเร่งรัดเจรจาทางเศรษฐกิจในทุกกรอบ โดยเฉพาะประเด็นภาษีกับสหรัฐฯ ที่มีเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคม อยู่เบื้องหน้า เชื่อมั่นว่าข้อเสนอของฝ่ายไทยในครั้งนี้มีความเหมาะสม สมดุล และอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน จึงขอให้ฝ่ายเจรจาไทยเร่งหาข้อสรุปอัตราภาษีจากสหรัฐอย่างเป็นธรรมโดยด่วน เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจลงทุนของภาคธุรกิจหลังจากเส้นตายดังกล่าว

ทั้งนี้ภาคเอกชนไทยยังมีความเชื่อมั่นว่า สหรัฐอเมริกาในฐานะหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย จะพิจารณานโยบายด้านภาษี การค้า และการลงทุนกับประเทศคู่ค้าในภูมิภาคนี้อย่างเป็นธรรม โปร่งใส และมั่นคง เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถวางแผนและขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างมั่นใจและต่อเนื่อง

#ภาษีนำเข้าสหรัฐ #TrumpTariff #หอการค้าไทย #ส่งออกไทย #เศรษฐกิจโลก #ไทยสหรัฐ #ทีมไทยแลนด์ #ภาษีศุลกากร #เศรษฐกิจ2568 #ข่าวเศรษฐกิจ