"สุชาติ" สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบ อัญเชิญพระพุทธชินราชเข้าห้องทำงาน เสริมสิริมงคลให้ ครม.-ขรก.

“สุชาติ” สักการะศาลพระภูมิเจ้าที่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบฯ อัญเชิญพระพุทธชินราช เข้าห้องทำงาน เสริมสิริมงคล ขอพรให้ครม.-ขรก.สุขภาพแข็งแรง ทำงานเพื่อประชาชน 

เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 30 ก.ย.68 นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินทางมายังทำเนียบรัฐบาล เพื่อสักการะศาลพระภูมิเจ้าที่ ศาลตาศาลยา และถวายเครื่องบูชา เพื่อเป็นสิริมงคล โดยมีนางชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะทำงาน,ข้าราชการของกระทรวงทรัพยากรฯ รวมถึงนายเสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตผู้ช่วย ประจำนายกรัฐมนตรี เข้าร่วม

นายสุชาติ ให้สัมภาษณ์ว่า บ้านเมืองเรามีสิ่งที่พวกเราเคารพนับถือ จึงขอให้ปกป้องและคุ้มครองพวกเราและทีมงานทุกคน ข้าราชการ รวมถึงคนไทย ให้มีสุขภาพแข็งแรง เราจะทำงานให้ประเทศชาติบ้านเมืองด้วยความเข้มแข็งและเสียสละ 

ทั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ตนได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี และทำงานในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ดังนั้นพวกเราจะปฏิบัติตามสิ่งที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนปฏิบัติหน้าที่ และปฏิบัติตามพระราชดำรัสที่พระราชทานกำลังใจ เราต้องถ่ายทอดให้ข้าราชการได้รับทราบว่าพระองค์ท่านพระราชทานกำลังใจ เราต้องทำงานให้ดีที่สุดตามที่ได้รับมอบหมาย แม้จะเป็นระยะเวลาไม่นาน จึงต้องมีกรอบระยะเวลาเร่งด่วน ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว

นายสุชาติ กล่าวว่า ตนดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีดูแลในภาพรวมหลายอย่าง จะทำงานแบ่งเบาภาระและปัญหาให้กับนายกรัฐมนตรี ขณะที่ตำแหน่งรมว.ทรัพยากรฯ ต้องทำภารกิจหลักคือการพิทักษ์ผืนป่า ดูแลประชาชนที่อยู่กับป่าไม่ให้มีปัญหา เราต้องใกล้ชิดกับประชาชน และแก้ปัญหา ทั้งเรื่องน้ำและมลพิษ รวมถึงดูเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทุกอย่างสัมพันธ์กับประชาชนอย่างมากในหลายมิติ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาลแล้ว นายสุชาติได้อัญเชิญพระพุทธชินราชเข้าห้องทำงานชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 เพื่อเป็นสิริมงคล ซึ่งก่อนหน้านี้ได้อัญเชิญพระพุทธชินราชไปไว้ในห้องทำงานที่กระทรวงทรัพยากรฯ เช่นเดียวกัน

#สุชาติชมกลิ่น #ทำเนียบรัฐบาล #พระพุทธชินราช #สิ่งศักดิ์สิทธิ์ #ข่าวการเมือง #สักการะ #ครม #ข้าราชการ #สิริมงคล #ข่าววันนี้ #Siamrathการเมือง #ข่าวทำเนียบ #รัฐมนตรี

“สุชาติ” นำกลุ่ม 16 ซบ “ภท.” แน่ รอเจรจาขอสิทธิ์ให้สส.เดิมได้ลงเขต ไม่มีปัญหาร่วมงาน “เอกนัฏ” พร้อมสู้ “ธรรมนัส” ศึก ลต.ครั้งหน้า

 

เมื่อเวลา 13.05 น. วันที่ 25 ก.ย. 68 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แกนนำกลุ่ม 16 ให้สัมภาษณ์ถึงความชัดเจนของกลุ่ม 16 จะไปสังกัดพรรคใด ว่า จริงๆชัดเจนนานแล้ว แต่ด้วยมารยาทและเพื่อนบางท่านยังสังกัดพรรคการเมืองเดิมอยู่ แต่ที่จริงเราได้หารือกันหมดแล้ว ตนยืนยันว่า ตนและทีมงานผู้ใหญ่ของพรรคภูมิใจไทย

โดยเฉพาะนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และนายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย โดยส่วนตัวรู้จักกันมาเป็น 10 ปีแล้ว และจริงๆบ้านเราก็อยู่ติดกันมานาน ความผูกพันและสิ่งที่เราได้เห็นการทำงานร่วมกัน ตั้งแต่ตนได้รับโอกาส ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ ซึ่งขณะนั้นนายอนุทินเป็นรองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข ซึ่งเราทำงานด้านโควิด-19 มาด้วยกัน เรารู้ว่าท่านเป็นคนทำงานเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง และเป็นคนมีฝีมือ 

นายสุชาติ กล่าวว่า สิ่งที่เราตระหนัก คือ เรื่องประเทศชาติบ้านเมือง และไม่มีผลประโยชน์ของตัวเอง ตนขอพูดอย่างชัดเจนว่า เร็วๆนี้ตนและทีมงานแต่ละจังหวัด จะไปสมัครพรรคภูมิใจไทย เช่น จ.เพชรบุรี ครอบครัวอังกินันทน์ ซึ่งตนได้คุยกับทางนายก อบจ.เพชรบุรีแล้วเมื่อช่วงเช้า ซึ่งภรรยาของท่านก็เป็น สส.อยู่ด้วย และยังมีทีม สส.อีกหลายจังหวัด ซึ่งแต่ละจังหวัดมีแกนอยู่แล้วจะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ขณะนี้กำลังประสานหารือกับนายอนุทิน และแกนนำของพรรคภูมิใจไทยอยู่ รอแค่วันเวลาเท่านั้น ทั้งนี้เราต้องยอมรับว่า มีระยะเวลาทำงานแค่ 4 เดือน ตนก็ต้องเร่งงานในส่วนของภารกิจ และหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายในหน้าที่ของรัฐมนตรีด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า การย้ายพรรคครั้งนี้มีความชัดเจนแล้วใช่หรือไม่ว่าในเรื่องของพื้นที่จะไม่ทับซ้อนกัน นายสุชาติ กล่าวว่า ไม่ทับซ้อนอยู่แล้ว ยกตัวอย่างที่จ.นครศรีธรรมราช น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล สส.นครศรีธรรมราช ซึ่งอยู่กับเราก็ไม่ได้ทับซ้อน เพราะท่านเป็นสส.ในจังหวัดนั้นอยู่แล้ว และคนที่เป็นสส.อยู่ต้องได้รับสิทธิ์ก่อนในทางการเมือง ส่วนสส.บัญชีรายชื่ออย่างตนก็ต้องลงพื้นที่เอง ซึ่งตนเคยเป็น สส.เขตมาแล้วถึง 3 รอบ ยังไงเรามีพื้นที่ลงอยู่แล้ว เราจะไม่ทำอะไรให้พรรคภูมิใจไทยหนักใจ และจะไม่ทำอะไรให้เพื่อนที่มาด้วยกันเสียสิทธิ์ เพื่อนที่มาทุกคนด้วยกันต้องได้สิทธิ์ ส่วนที่ยากคือการไปพูดคุยกับผู้บริหารพรรคภูมิใจไทยในเรื่องสิทธิ์ของคนเดิมที่ได้เป็น สส.อยู่ ควรจะต้องได้สิทธิ์ตามนั้น เรามากันเป็นทีมแบบพี่แบบน้อง เหมือนที่ท่านนายกฯได้พูดทำงานในคณะรัฐมนตรีเหมือนพี่น้อง นายกฯก็พูดเหมือนกัน แต่กับตนถ้าทำงานการเมืองในภาค สส. ก็เหมือนพี่เหมือนน้อง เราทิ้งกันไม่ได้ต้องเจรจากันในเรื่องนี้

เมื่อถามว่า ในส่วนของสส.เดิมที่เรามองว่าควรจะได้สิทธิ์แต่ในส่วนของผู้สมัครคนเดิมของพรรคภูมิใจไทยที่เคยแพ้ให้สส.กลุ่ม 16 จะพูดคุยเรื่องนี้อย่างไร นายสุชาติ กล่าวว่า ตนต้องไปคุยกับผู้ใหญ่ในพรรคภูมิใจไทยในเรื่องนี้ แต่เชื่อว่า เรายืนบนพื้นฐานของนักการเมืองด้วยกัน เข้าใจว่าคนที่เป็นต้องได้รับสิทธิ์ก่อน คนที่สอบไม่ผ่านก็ต้องไปยืนในตำแหน่งอื่นทางการเมืองแทน

เมื่อถามย้ำว่า หรือว่าจะต้องมีการทำโพลหรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า พวกเราเป็นสส.กันแล้ว มันไม่ใช่การขายสินค้า บางทีก็ต้องให้ให้เกียรติสส. ซึ่งเขาเป็นสส.อยู่แล้ว เขาผ่านด่านมาเป็นสส. เขาเหนือกว่าผู้สมัครหลายๆคน ต้องยอมรับในศักยภาพของเขา การที่มาทำโพลเขา เขาจะรู้สึกอย่างไร ทั้งหมดนี้จะต้องเป็นเรื่องที่มีการคุยกัน เพราะเป็นเรื่องของจิตใจที่มีความละเอียดอ่อนด้วย

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าการที่เรามาร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทย มีความตั้งใจตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาหากตนคนเดียวมาได้อยู่แล้ว แต่มาทั้งทีต้องมาทั้งหมด จึงต้องมีการหารือในเรื่องพื้นที่

เมื่อถามว่า หากนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ อดีตเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ จะไปร่วมกับพรรคภูมิใจไทยด้วย นายสุชาติ กล่าวว่า ไม่มีประเด็น พรรคการเมืองเหมือนชายคาบ้านที่อบอุ่น วันนี้พรรคภูมิใจไทยเป็นที่อบอุ่นสำหรับตน และทุกคนในกลุ่มเห็นตรงกันว่าการทำการเมืองครั้งหน้าต้องไปอยู่พรรคภูมิใจไทย ด้วยความเคารพนับถือหัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรค โดยเฉพาะนายอนุทิน ในฐานะหัวหน้าพรรคที่มีความกรุณาต่อตนเองหลายเรื่อง 

นายสุชาติ กล่าวอีกว่า ตนกลับไปนอนคิด หลายคำพูดว่าจะทำให้สื่อมวลชน หรือผู้ใหญ่ในพรรคภูมิใจไทย รวมถึงนายอนุทิน มีความวิตกกังวลอะไรหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาตนได้โทรหาแกนนำของแต่ละจังหวัดแล้วทุกคนก็อนุมัติ 

เมื่อถามว่า จะไปในนามของกลุ่ม 16 ใช่หรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า ไปอยู่ในฐานะสมาชิกพรรค แต่อาศัยว่าขอดูแลพื้นที่ของเพื่อนเราที่สนิทสนม อาทิ ฉะเชิงเทรา เพชรบุรี ยืนยันได้ว่าไม่มีใครประสานได้ดีเท่ากับตนเอง แม้ว่าตนเองจะไม่ได้มีทั้งภาค แต่ก็มีจังหวัดละ 2-3 คน 

เมื่อถามว่า จะเข้ามาดูแลในภาคตะวันออกใช่หรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า แน่นอน ดูอย่างเต็มที่ เพราะพรรคภูมิใจไทยมีแกนหลักที่ดูแลภาคตะวันตก ก็มาผสมกันทำให้ดีขึ้น 

เมื่อถามว่า ในส่วนของภาคใต้ อาจจะต้องชนกับร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม นายสุชาติ กล่าวว่า ทุกอย่างรู้อยู่แล้วว่าศักยภาพของใครเป็นอย่างไร เช่น ตนเองเป็นแชมป์อยู่แล้วจะมาแข่งกับตนก็ต้องคิดเยอะ หรือถ้าตนจะไปแข่งกับแชมป์ก็ต้องคิดเยอะ ย้ำว่าหลีกให้กันไม่ได้ ต้องสู้กัน 

นายสุชาติ กล่าวว่า จะไปเปิดตัวกับพรรคภูมิใจไทย เร็วๆนี้ แต่ขอคุยกับผู้ใหญ่ในเรื่องการจัดสรรลงสมัคร สส. เขตให้ลงตัวก่อน 

"สุชาติ" รับยังไม่ชัด "กลุ่ม 16 สส." ซบ "ภูมิใจไทย" หรือไม่ หวั่นพื้นที่ทับซ้อน บอกไม่รีบ ยังมีเวลาก่อนเลือกตั้ง

 

เมื่อเวลา 11.20 น. วันที่ 24 ก.ย. 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ในฐานะหัวหน้ากลุ่ม 16 สส. ให้สัมภาษณ์ถึงอนาคตทางการเมือง จะไปสังกัดพรรคใด หรือไปตั้งพรรคใหม่ว่า สำหรับตนคนเดียวไม่ได้ไปสังกัดพรรคไหน แต่เพื่อนที่ยังสังกัดพรรคเดิมเราก็มีต้องมารยาท ถ้าพูดอะไรออกไปทุกคนอาจจะไม่สบายใจ เพราะทุกคนยังต้องลงพื้นที่อยู่ แต่ระยะเวลาอีก 4 เดือนข้างหน้าที่เราตกลงกันไว้ก็มีระยะเวลาในการที่จะไปสังกัดพรรคการเมืองภายใน 30 วันอยู่แล้ว อย่างไรก็ทัน วันนี้เรามาร่วมรัฐบาล มาดูและมาเป็นกำลังให้กับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และรมว.มหาดไทย เราตั้งใจและเลือกเฟ้นคนที่จะนำพาประเทศไปสู่เป้าหมาย มีความเจริญรุ่งเรือง มีความเท่าเทียมกันของประชาชนไทยทั้งหมด 

ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่ม 16 สส.มีความชัดเจนหรือไม่ว่า จะไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย (ภท.) หรือยังไม่ได้คิด นายสุชาติ กล่าวว่า เราคุยกันทุกวัน หากเราจะเดินหน้าหรือไปสังกัดพรรคใดต้องดูว่าเราไปทับซ้อนกับเขตใครหรือไม่ มันยากตรงที่ว่าเราจะไปทับพื้นที่กัน ซึ่งเราต้องมีการเจรจาหากเราจะไปตรงจุดที่ตั้งเป้ากันไว้

เมื่อถามย้ำว่า มีแนวโน้มจะทับซ้อนกับ สส.พรรค ภท.ใช่หรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า สส.ไม่ทับซ้อนอยู่แล้ว เพราะ สส. 1 คน ก็ 1 เขตอยู่แล้ว แต่แค่บางจังหวัดอาจจะมีแกนนำซึ่งจะต้องไปทำความเข้าใจว่าถ้าเพื่อนเราไปอยู่ด้วยแล้วจะตัดขัดอะไรหรือไม่ ถ้าติดขัดตรงนี้ก็ต้องไปหาที่อยู่ให้เหมาะสม 

เมื่อถามอีกว่า แสดงว่าแนวโน้มจะสังกัดพรรคใหม่ไปเลย เพื่อไม่ให้เป็นการทับซ้อนกับพรรค ภท. หรือพรรคอื่นหรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นการพูดคุยกันในอนาคต ต้องยอมรับว่า สส.ในกลุ่มตน บางพื้นที่หากอยู่พรรค ภท.ก็มีความง่ายในการหาเสียง แต่บางพื้นที่ก็มีบ้าง ซึ่งมีความยากในการจัดสรร หาคน

เมื่อถามว่า ในระยะเวลา 4 เดือน จะมีการประกาศให้ประชาชนรู้หรือไม่ว่า สส.จะอยู่ที่ไหน นายสุชาติ กล่าวว่า ไม่จำเป็น เพราะวันนี้เรามาร่วมรัฐบาล เราเชื่อว่าผลงานที่ออกมาในระยะเวลา 4 เดือน สามารถจับต้องได้แน่นอน โดยนายอนุทินเป็นนักการเมือง รู้ความต้องการประชาชน รู้ระบบการบริหารประเทศ รู้ระบบการบริหารพรรคการเมือง รู้ระบบกฎหมาย ครบเครื่องอยู่แล้ว เชื่อว่า 4 เดือนนายกฯทำงานได้ และเราที่ทำงานร่วมกับนายกฯก็จะมีผลงานเอง ถึงเวลานั้นประชาชนจะเลือกตัว สส.เป็นหลักก่อน เพราะมองแล้วเป็นที่พึ่งพิงของประชาชนได้ 

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในกลุ่ม 16 สส. เวลาไปๆ ทั้งกลุ่ม หรือแยกกันตามสถานการณ์ นายสุชาติ กล่าวว่า น่าจะทั้งหมด เพราะเราอยู่ในฐานะพี่น้องร่วมกันมา เมื่อถามว่า มีคนจะเข้ามาเพิ่มในกลุ่ม 16 สส.หรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า มีบ้าง แต่เป้าหมายการเมืองของเราไม่ได้มองที่มีจำนวนคนมากหรือน้อย แต่เรามองคนที่มีคุณภาพและอยู่กันแบบพี่น้อง ซึ่งเราเดินมาขนาดนี้แล้วอาจจะมีคนเข้ามาบ้าง แต่ตนกลัวเรื่องคำพูด หากพูดไปแล้วว่าอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่เป็นไปตามคำพูดเราจะเสียคน

เมื่อถามอีกว่า ฝ่ายค้านระบุว่าจะกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากหรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า สิ่งที่นายกฯตกลงก็ต้องเป็นไปตามคำพูด นักการเมืองทุกคนถ้าไม่ทำตามคำพูด ครั้งต่อไปก็ไม่รู้จะไปเดินเจอชาวบ้านได้อย่างไร นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด 

เมื่อถามว่า มีการจัดสรรโควตารองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีให้กลุ่ม 16 สส. หรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า ไม่ได้อยู่ในเรื่องการพูดคุยกันตอนนี้ เราไม่ได้คุยกันตรงนั้น 

 

"สุชาติ" เล็งคุย "ปลัด ทส.-อธิบดี" โยกคนมีคุณภาพมาทำงานให้เร็วที่สุด ใครมีปัญหาย้ายออกเหตุมีเวลาน้อย เข้ากระทรวงศุกร์นี้

 

เมื่อเวลา 11.20 น. วันที่ 24 ก.ย. 68 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ให้สัมภาษณ์ถึงการทำงานในกระทรวง ทส. ว่า ได้มีการคุยกับปลัด ทส.แล้ว เมื่อเข้าทำงานได้ก็ดำเนินการได้ทันที อันดับแรกตนจะคุยกับปลัดและอธิบดีทุกคนว่าข้าราชการที่พวกท่านมีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายให้เอาคนที่มีคุณภาพมาทำงาน ถ้าใครมีปัญหาก็ต้องย้าย ปรับหลังบ้านตัวเองให้เร็วที่สุด เอาคนที่มีคุณภาพมาทำงานให้เร็วที่สุด

ต่อมาคือ เรื่อง PM 2.5 แผนแม่บทกฎหมายที่ต้องเร่ง ขั้นตอนถึงไหน เรื่องทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้ และสัตว์ป่าที่จะต้องคงไว้และเพิ่มจำนวนให้มากขึ้น โดยได้คุยกับอธิบดีคร่าวๆ แล้ว ซึ่งตนขอให้ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด เพราะตนมาเพียงแค่กำกับนโยบายที่ติดขัดต่างๆ

ทั้งนี้ จะเดินทางเข้ากระทรวง ทส.ในวันศุกร์ที่ 26 ก.ย. พร้อมกับมอบนโยบายและแนวทางการทำงานให้ข้าราชการ ซึ่งยังทำอะไรมากไม่ได้ ต้องรอแถลงนโยบายต่อรัฐสภาก่อน 

“สุชาติ” เผย นบข.เคาะช่วยชาวนาไร่ละ 1,000 บาท/ไร่ทั้งนาปรัง-นาปี เพิ่มโควตาส่งออกข้าวอินทรีย์ไปยุโรป

“สุชาติ” เผย นบข.เคาะช่วยชาวนาไร่ละ 1,000 บาททั้งนาปรัง นาปี เพิ่มโควตาส่งออกข้าวอินทรีย์ไปยุโรป พร้อมตั้งทีมแก้ปัญหาพันธุ์ข้าวระยะยาว 
 
นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รมว,พาณิชย์ ได้มอบหมายให้ตนเข้าประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เป็นประธานการประชุม โดยที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์ข้าวโลกและข้าวไทย ปี 2568/69 โดยคาดว่าราคาข้าวโลก ปีการผลิต 68/69 จะถูกกดดันจากสต็อกข้าวอินเดียที่เพิ่มขึ้น มากกว่าที่คาดการณ์ การระงับการนำเข้าข้าว 2 เดือนของฟิลิปปินส์ การชะลอนำเข้าข้าวไปจนถึงปี 2569 ของอินโดนีเซีย แต่ยังมีปัจจัยบวกช่วยหนุนราคาข้าว เช่น ผลผลิตข้าวในเวียดนาม และฟิลิปปินส์ที่ได้ผลกระทบจากพายุวิภา เวียดนามประกาศเริ่มเก็บ VAT 5% กับสินค้าข้าวเพื่อการส่งออกตั้งแต่ 1 ก.ค. 68 เป็นต้นไป  ซึ่งนโยบายเหล่านี้จะมีผลต่อราคาข้าวตลาดโลกในระยะข้างหน้า เราจึงต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงภายนอกอย่างใกล้ชิด

โดยที่ประชุม นบข. พิจารณาและมีมติเห็นชอบกรอบมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปีการผลิต 2568 เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบจากราคาข้าวตกต่ำจากภาวะตลาดโลก ช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท สำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง วงเงินสูงสุดไม่เกิน 10 ไร่ต่อครัวเรือน จ่ายตรงเข้าบัญชีเกษตรกร โดยจะช่วยเหลือเป็นการเฉพาะนาปรังปี 2568 เท่านั้น สำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2568/69 นบข.เคาะช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท วงเงินสูงสุดไม่เกิน 10 ไร่ต่อครัวเรือน จ่ายตรงเข้าบัญชีเกษตรกร ซึ่งนบข.ได้มอบให้กรมการข้าวและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เร่งดำเนินการเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไปโดยเร็วที่สุด 

ด้านนายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ในฐานะตัวแทนเกษตรกรชาวนา กล่าวว่า “ขอขอบคุณคณะกรรมการ นบข. ท่านประธานและกรรมการทุกท่านในวันนี้ ที่ได้ลงมติช่วยเหลือพี่น้องชาวนาทั้งนาปรัง และนาปี ไร่ละ 1000 บาท  ที่ผ่านมาชาวนาเดือดร้อนจากราคาข้าว  5,500 -6,000 บาท/ตัน แต่ต้นทุนการผลิต  6,500-7,000 บาท/ตัน การอนุมัติของ นบข.จะช่วยพี่น้องชาวนาที่รอโครงการ กว่า 850,000  ราย ผมขอบคุณแทนพี่น้องชาวนาทั่วประเทศ”

ขณะที่ด้านการส่งออกข้าว นายสุชาติ กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบการจัดสรรโควตาการส่งออกข้าวอินทรีย์ไปยังสหภาพยุโรปของโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร สำหรับปี 2569 – 2571 ของกรมการข้าว เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจและสนับสนุนผู้ประกอบการส่งออกข้าวอินทรีย์ไปยังสหภาพยุโรป ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ จะจัดสรรโควตาการส่งข้าวไปสหภาพยุโรป สำหรับปี 2569 – 2571 ปริมาณ 1,700 ตันต่อปี

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ข้าว ให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้นเหมาะสมกับพื้นที่เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิต และตรงกับความต้องการของตลาดต่างประเทศ และพันธุ์ข้าวต้องมีจำนวนเพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร จึงได้ให้ตั้งคณะทำงานประกอบด้วยหน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งด้านการผลิต และการตลาด พิจารณาพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมและเพียงพอ เพื่อแก้ไขปัญหาด้านคุณภาพข้าวไม่ได้มาตรฐานซึ่งส่งผลต่อราคาขาย และให้รายงาน นบข.ให้ทราบในครั้งต่อไป 

”รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการรับฟังข้อเสนอและเสียงสะท้อนจากเกษตรกร รวมถึงผู้เกี่ยวข้องในสินค้าข้าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาปรับปรุงมาตรการให้ตรงกับความต้องการจริงในพื้นที่ ทั้งเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในระยะสั้น และวางรากฐานการแก้ไขปัญหาการผลิตและการตลาดข้าวอย่างยั่งยืนในระยะยาว“ นายสุชาติ กล่าวทิ้งท้าย

#เงินช่วยเหลือชาวนา #ช่วยชาวนา #ข่าววันนี้ #สุชาติชมกลิ่น #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ไร่ละพัน

 

รมช.พาณิชย์ นำคณะเจรจาความร่วมมือ “Gübelin” แบรนด์หรูสวิสเซอร์แลนด์ ดันพลอยไทยสู่ตลาดโลก-ขยายตลาดสินค้าไทย

รมช.พาณิชย์ นำคณะเจรจาความร่วมมือ “Gübelin” แบรนด์หรูสวิสเซอร์แลนด์ ดันพลอยไทยสู่ตลาดโลก-ขยายตลาดสินค้าไทย

วันที่ 11 สิงหาคม 2568 ตามเวลาท้องถิ่น สมาพันธรัฐสวิส นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นำคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ได้แก่ นายพรวิช ศิลาอ่อน รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) และนางสาวจีรนันท์ หิรัญญสัมฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต เข้าพบผู้บริหารบริษัท Gübelin หนึ่งในแบรนด์หรูด้านอัญมณีและนาฬิกาชื่อดังระดับโลก เพื่อหารือความร่วมมือด้านการค้าพลอยและเครื่องประดับกับประเทศไทย ดึงพลอยไทยสู่แบรนด์หรูระดับโลก ได้นำคณะหารือกับ Ms.Bettina Börner, Senior Director Jewellery Product Development & Production และ Mr. Clément Mercier,Boutique Manager ของ Gübelin ซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัวสวิสก่อตั้งตั้งแต่ปี 1854 มีชื่อเสียงในฐานะ “House of Gübelin” ครอบคลุมธุรกิจร้านเครื่องประดับ นาฬิกา และสถาบันอัญมณีศาสตร์ Gübelin Gem Lab ซึ่งมีศูนย์ตรวจสอบอัญมณีในหลายประเทศ รวมถึงกรุงเทพฯ

นายสุชาติได้ชี้โอกาสให้บริษัทนำเข้าพลอยสีและวัตถุดิบอัญมณีคุณภาพสูงจากไทย พร้อมเชิญร่วมงาน Bangkok Gems & Jewelry Fair (9–13 กันยายน 2568) และ เทศกาลนานาชาติพลอยและเครื่องประดับจันทบุรี (5–10 ธันวาคม 2568) เพื่อพบผู้ผลิต–ผู้ส่งออกไทยโดยตรง บริษัทแสดงความสนใจมองหา supplier รายใหม่จากไทย พร้อมโชว์สร้อยที่ใช้พลอยจากประเทศไทย และยืนยันคุณภาพเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก

วันเดียวกัน นายสุชาติยังได้เข้าพบผู้บริหาร Migros Geneva สาขา Migros Balexert ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อผลักดันการนำเข้าสินค้าไทยเพิ่ม โดยใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย–EFTA ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันของสินค้าไทย

นายสุชาติ เปิดเผยว่า สินค้าไทยหลายชนิดได้รับความนิยมสูงในสวิตเซอร์แลนด์ โดยเฉพาะ ข้าวหอมมะลิออร์แกนิคจากศรีสะเกษ ที่มีการเล่าเรื่องราว (storytelling) จนขายได้ราคาสูง เหมาะกับผู้รักสุขภาพ นอกจากนี้ยังมีสินค้าเครื่องแกง ซอสปรุงรส กะทิ เส้นหมี่ สับปะรดกระป๋อง และน้ำจิ้มไก่ ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในตลาดท้องถิ่น

ทั้งนี้ ได้เชิญชวนให้ Migros เข้าร่วมงานแสดงสินค้าอาหาร THAIFEX – Anuga Asia 2026 เพื่อคัดเลือกสินค้าและพบปะผู้ผลิตไทย รวมถึงจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในสวิตเซอร์แลนด์ให้มากขึ้น โดยให้ทูตพาณิชย์ประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิด ทั้งการเจรจาจับคู่ธุรกิจและการเยี่ยมชมแหล่งผลิตในประเทศไทย

#กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ #กระทรวงพาณิชย์ #Gübelin #พลอยไทย #เครื่องประดับ #FTAไทยEFTA #ตลาดยุโรป #THAIFEXAnugaAsia #สินค้าไทย #ส่งออก

“สุชาติ” มอบตรา Thai SELECT โฉมใหม่ให้ 8 ร้านอาหารไทยในสวิส ดันสู่เวทีโลก

“สุชาติ” มอบตรา Thai SELECT โฉมใหม่ให้ 8 ร้านอาหารไทยในสวิส ดันสู่เวทีโลก – เดินหน้าหาทางแก้ปัญหาขาดเชฟ รับหารือร่วม 3 กระทรวง

วันที่ 9 สิงหาคม 2568 เวลา 18.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น สมาพันธรัฐสวิส) ณ โรงแรม Zurich Marriott ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนายพรวิช ศิลาอ่อน รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) และนางสาวจีรนันท์ หิรัญญสัมฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต จัดกิจกรรมส่งเสริมโอกาสทางการค้าและภาพลักษณ์ธุรกิจร้านอาหารไทยในสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมมอบตรา Thai SELECT โฉมใหม่ ติดดาวให้แก่ร้านอาหารไทยรายใหม่ 8 แห่งในสวิตเซอร์แลนด์ ตามนโยบายของนายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

สำหรับร้านที่ได้รับตรา Thai SELECT 1 ดาวในครั้งนี้ ได้แก่

ร้าน Roi-Et Thai Restaurant ที่เมืองซูริค

ร้าน Little Thai ที่เมืองอินเตอร์ลาเคน

ร้าน Siam Thai Catering & Take Away ที่เมืองบูคส์

ร้าน Phanat Thai Restaurant ที่เมืองลูเซิร์น

ร้าน Thai Lemon Grass ที่เมืองซูริค

ร้าน Thai Food Corner ที่เมืองซูริค

ร้าน Phuket Thai Food ที่เมืองซูริค

ร้าน Zentral Thai Restaurant ที่เมืองซูริค

นายสุชาติ ระบุว่า ร้านอาหารไทยถือเป็น Soft Power ด้านอาหาร ที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ประเทศไทย และเป็น “หน้าต่าง” ให้ชาวต่างชาติเข้าถึงวัฒนธรรมไทย การมอบตรา Thai SELECT โฉมใหม่ ซึ่งมี 4 ประเภท (Casual, 1 ดาว, 2 ดาว และ 3 ดาว) จะช่วยยกระดับมาตรฐานร้านอาหารไทยและสามารถสื่อสารไปยังกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ปัจจุบัน สวิตเซอร์แลนด์มีร้านไทยที่ได้รับตรา Thai SELECT รวม 22 ร้าน 

ทั้งนี้ ระหว่างการหารือ ผู้ประกอบการร้านอาหารไทยสะท้อนว่า จุดแข็งของอาหารไทยคือรสชาติไทยแท้ ใช้วัตถุดิบจากประเทศไทย เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ ที่เป็นเอกลักษณ์และไม่มีใครเลียนแบบได้ อาหารไทยยังเป็นที่รู้จักจากรุ่นสู่รุ่นในสวิตเซอร์แลนด์ แต่ปัญหาหลักคือ การขาดแคลนพ่อครัวแม่ครัวไทยที่มีฝีมือปรุงอาหารรสชาติไทยแท้ จึงอยากให้รัฐบาลไทยช่วยผลักดันให้พ่อครัวแม่ครัวไทยเข้ามาทำงานในสวิตเซอร์แลนด์ได้ เพื่อคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของรสชาติอาหารไทยแท้ในตลาดสวิส

นายสุชาติ กล่าวอีกว่า กระทรวงพาณิชย์ที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมอาหารไทยสู่ตลาดโลก จะนำประเด็นนี้หารือร่วมกับกระทรวงแรงงาน และกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อหาทางออก เช่น การจัดโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาฝึกงานด้านอาหารไทย การผลักดันให้สาขาเชฟอาหารไทยเป็นอาชีพขาดแคลนในสวิตเซอร์แลนด์ การใช้ตรา Thai SELECT ให้เป็นแต้มต่อในการดำเนินและขยายธุรกิจร้านอาหารไทย รวมถึงการต่อยอดแอปพลิเคชันที่รวมข้อมูลร้าน Thai SELECT ทั่วโลก เชื่อมต่อ Search Engine และระบบจองร้าน พร้อมบอกเล่าคุณสมบัติของสมุนไพรไทยและวัตถุดิบสำคัญ เพื่อทำการตลาดเชิงรุก ให้ตรานี้เป็นที่รู้จักและเข้าถึงง่ายในระดับโลก 

“เรามารับฟังปัญหาของร้านอาหารไทยในสวิตเซอร์แลนด์ที่ได้รับตรา Thai SELECT เพื่อหาแนวทางช่วยเหลืออย่างตรงจุด เพราะการมีร้านอาหารไทยที่มีมาตรฐาน จะช่วยส่งเสริมการจำหน่ายวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์อาหารไทยในต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงพาณิชย์มีแอปและเว็บไซต์สำหรับช่วยทำตลาดในระดับประเทศและระดับโลก จะให้ตรา Thai SELECT เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยรักษาคุณภาพอาหารไทยและส่งเสริมการใช้วัตถุดิบไทยในร้านอาหารทั่วโลก อีกทั้งจะช่วยแก้ปัญหาของผู้ประกอบการร้านอาหารไทย ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ในฐานะครอบครัว Thai SELECT”นายสุชาติกล่าว

 

“สุชาติ”ชูคุณภาพสูง-หลากหลาย ดันซูเปอร์มาร์เก็ต New Asia Market ที่ซูริค สั่งสินค้าไทยเพิ่ม

“สุชาติ” ดันซูเปอร์มาร์เก็ต New Asia Market ที่ซูริค สั่งสินค้าไทยเพิ่ม ชูคุณภาพสูง-หลากหลาย พร้อมชวนร่วมงาน THAIFEX–Anuga Asia 2026 และ ANUGA 2025 ที่เมืองโคโลญ เพิ่มยอดนำเข้าสินค้าไทย

เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2568 เวลา 18.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น สมาพันธรัฐสวิส)นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังนำคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ประกอบด้วย นายพรวิช ศิลาอ่อน รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) และนางสาวจีรนันท์ หิรัญญสัมฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต (สคต. แฟรงก์เฟิร์ต) สำรวจตลาดสินค้าไทย ตามนโยบายของนายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยได้หารือกับผู้บริหารซูเปอร์มาร์เก็ต New Asia Market ได้แก่ Ms. F. Lien กรรมการผู้จัดการ New Asia Market AG และผู้นำเข้าอาหารและเครื่องดื่มรายสำคัญ ได้แก่ Mr. Paolo Mazzola กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท The Asia Company S.A. ที่นครซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

นายสุชาติ เผยว่า สินค้าไทยครองสัดส่วนราว 50% ของสินค้าที่จำหน่ายในร้าน และเป็นสินค้าขายดีจำนวนมาก อาทิ ข้าวหอมมะลิ เครื่องปรุงรส ซอส บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนม เครื่องแกง กะทิ วุ้นเส้น น้ำตาล น้ำปลาร้า แคปหมู ไข่เค็ม ครกตำอาหาร รวมถึงผลไม้สด เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้ มังคุด กล้วยน้ำว้า เงาะ ลำไย พริกสด ผักชีไทย แก้วมังกร ใบโหระพา คะน้า มะละกอ และทุเรียน ซึ่งได้รับความนิยมทั้งจากคนไทยในสวิตเซอร์แลนด์และผู้บริโภคชาวสวิส

ทั้งนี้ได้ขอให้ผู้บริหารพิจารณาเพิ่มการนำเข้าสินค้าอาหารจากไทย เนื่องจากมีความหลากหลายและคุณภาพสูง อีกทั้งในอนาคตสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย–EFTA ที่เพิ่งลงนาม ซึ่งจะช่วยลดอัตราภาษีนำเข้า ทำให้ต้นทุนสินค้าจากไทยถูกลง และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน พร้อมกันนี้ ยังได้รับฟังปัญหาอุปสรรคในการนำเข้า เพื่อหาทางสนับสนุนและแก้ไขร่วมกัน

นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้ทูตพาณิชย์ประสานความร่วมมือกับ New Asia Market ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าไทยและอาหารไทย เพื่อขยายฐานลูกค้าและสร้างการรับรู้ พร้อมเชิญชวนให้ผู้บริหารซูเปอร์มาร์เก็ตเข้าร่วมงานเจรจาจับคู่ธุรกิจและเลือกชมสินค้าใน งาน THAIFEX–Anuga Asia 2026 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอาหารระดับโลก จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ และยังได้ชวนไปร่วมงาน ANUGA 2025 ระหว่างวันที่ 4–8 ตุลาคม 2568 ที่เมืองโคโลญจน์ ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอาหารที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีผู้ส่งออกอาหารไทยเข้าร่วมกว่า 120 บริษัท

โดยระหว่างการลงพื้นที่ นายสุชาติยังได้พบและพูดคุยกับชาวไทยในสวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงคุณป้าชาวราชบุรีที่อาศัยอยู่มากว่า 30 ปี และนำอาหารไทยมาจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ต เช่น ขนมครก ลอดช่อง โดยรัฐมนตรีได้อุดหนุนขนมครกมาชิม พร้อมรับฟังเสียงสะท้อนและกำลังใจจากคนไทยในต่างแดน

สำหรับ New Asia Market เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ในการนำเข้าสินค้าอาหารเอเชีย มีสาขาในนครซูริคและเมืองบาเซิล จำหน่ายสินค้าหลากหลายตั้งแต่วัตถุดิบ อาหารสด อาหารแช่แข็ง ผัก ผลไม้ไปจนถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชนเอเชียและผู้บริโภคท้องถิ่นที่ชื่นชอบวัฒนธรรมอาหารเอเชีย

#สุชาติชมกลิ่น #กระทรวงพาณิชย์ #NewAsiaMarket #ซูริค #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

 

 

“สุชาติ” ลงพื้นที่ภาคเหนือ วาง 8 มาตรการดูดซับผลผลิตลำไย แก้ราคาตกต่ำ ยันไม่ปล่อยเกษตรกรแบกรับต้นทุนลำพัง

“สุชาติ” ลงพื้นที่เชียงใหม่-ลำพูน วาง 8 มาตรการดูดซับผลผลิตลำไย แก้ราคาตกต่ำ ยันไม่ปล่อยเกษตรกรแบกรับต้นทุนลำพัง

วันที่ 21 กรกฎาคม 2568 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อติดตามสถานการณ์ผลผลิตลำไยภาคเหนือที่กำลังทยอยออกสู่ตลาดในช่วงฤดูกาลปี 2568 โดยได้ตรวจเยี่ยม สหกรณ์การเกษตรสันป่าตอง จำกัด อ.สันป่าตอง แปลงสวนลำไย และบริษัท แปรรูปลำไย ณ บริษัท อาร์ เค ฟู๊ด จำกัด อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน โดยได้หารือกับกลุ่มเกษตรกรของสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางบรรเทาปัญหาราคาตกต่ำและการกระจุกตัวของผลผลิต

รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า “รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการพาณิชย์ ให้ความสำคัญกับสินค้าเกษตรทุกชนิด แต่ปีนี้ลำไยมีผลผลิตมากขึ้นจาก 9 แสนตัน เป็นกว่า 1 ล้านตัน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าและวางแผนในการแก้ปัญหาไว้แล้ว โดยจะใช้มาตรการเดิมยังไม่พอ ต้องมีการบริหารจัดการครอบคลุม  วันนี้ตนจึงได้ลงพื้นที่เพื่อดำเนินมาตรการเชิงนโยบายเพื่อดูแลสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเร่งขับเคลื่อนมาตรการตั้งแต่ต้นฤดู โดยเน้นเชื่อมโยงตลาด และกระจายผลผลิตออกนอกแหล่งผลิต และรักษามาตรฐานการส่งออกโดยขยายตลาดใหม่ๆ ตั้งเป้าในการบริหารจัดการลำไยภาคเหนือ 151,000 ตัน โดยใช้ 8 มาตรการหลัก ได้แก่ 
1.รวบรวมลำไย (สดช่อ) เพื่อส่งออก ปริมาณ 15,000 ตัน 

2.จัดกิจกรรมรณรงค์บริโภคผลไม้ “Thai Fruits Festival 2025” ทั่วประเทศ 

3.เชื่อมโยงลำไยผ่านเครือข่ายพันธมิตรปริมาณรวม 65,555 ตัน โดยใช้กลไกผู้ประกอบการ และห้างค้าปลีก-ค้าส่งในการร่วมมือระบายผลผลิต โดยให้ผู้ประกอบการรับซื้อลำไย (รูดร่วง) เกรด B ปริมาณ 60,000 ตัน ในราคานำตลาดไม่ต่ำกว่า กิโลกรัมละ 4-5 บาท และเชื่อมโยงนำมาจำหน่ายในห้าง แมคโคร โลตัส บิ๊กซี ท็อปส์ โก-โฮลเซลล์ และเดอะมอลล์ รับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรโดยตรง เพิ่มอีกปริมาณ 5,555 ตัน 

4.สนับสนุนการรับซื้อผ่าน หน่วยงานรัฐ เอกชนผ่านบริษัทตลาดหลักทรัพย์ หน่วยงานราชการ บริษัทมหาชน เพื่อทำ CSR ตลอดทั้งฤดูกาล ปริมาณ 1,380 ตัน 

5.สนับสนุนกล่องใส่ลำไย ฟรีค่าขนส่งโดยบริษัทไปรษณีย์ไทย 

6.เชื่อมโยงผู้ประกอบการและสถาบันเกษตรกร รับซื้อผลผลิตโดยตรง ปริมาณ 18,000 ตัน 

7.เชื่อมโยงสินค้าเข้าสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง 1,000 ตัน 

8.ขยายช่องทางใหม่ๆให้กับลำไย อาทิ ทำเป็นอาหาร เครื่องดื่มผ่าน ตู้เต่าบิน แอร์เอเชีย

นอกจากนี้ รมช.พาณิชย์ ยังเพิ่มปริมาณเป้าหมายการรวบรวมรับซื้อลำไย (รูดร่วง) เกรด A เพื่ออบแห้งส่งออกต่างประเทศ จากเดิม 50,000 ตัน (สด) เพิ่มเป็น 101,000 ตัน  โดยผ่านโรงอบลำไยที่เป็นเครือข่ายของกรม กว่า 50 แห่ง ทั้งนี้ ยังได้กำชับให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดในกลุ่ม 8 จังหวัดภาคเหนือ กำกับดูแลโรงอบลำไยในพื้นที่ให้เปิดรับผลผลิตจากเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง  พร้อมจัดทำแผนเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดให้มีโรงอบรองรับเพียงพอกับปริมาณลำไยสดทั้งฤดูกาล

ในด้านการส่งออกลำไยไปต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เดินหน้าแผนตลาดการส่งออกอย่างจริงจัง ผ่านกลไกทูตพาณิชย์ ทั้ง 58 แห่งทั่วโลก ในการเร่งหาตลาดส่งออกลำไย และยังได้มีกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกผลไม้ ทั้งในรูปแบบการจับคู่เจรจาธุรกิจ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติ และการส่งเสริมการขายผลไม้ผ่านห้างสรรพสินค้าและแพลตฟอร์มออนไลน์ในต่างประเทศ ซึ่งก่อให้เกิดมูลค่าเจรจาการค้ากว่า 5,500 ล้านบาท อีกทั้ง การประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ผลไม้ไทยผ่านคาแรคเตอร์ "น้องฉ่ำฉ่ำ" ที่ได้เปิดตัวในช่วงงานแสดงสินค้าอาหาร Thaifex-Anuga 2025 อีกด้วย

นายสุชาติ ยังกล่าวต่ออีกว่า ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ ทำงานร่วมกับกระทรวงเกษตร วางแผนจัดการเรื่องโซนนิ่ง และเพิ่มผลผลิตต่อไร่ กระทรวงพาณิชย์จะต้องดูแลต้นทุนการผลิตให้พี่น้องเกษตรกร เพราะแม้ผลผลิตดี ราคาดี ถ้าต้นทุนสูง ก็ไม่ได้กำไร เราจึงต้องแก้ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ตนจะมีนโยบายธงเขียว ในการช่วยเหลือเกษตรกรให้ปุ๋ย ยาฆ่าแมลงราคาถูก ต้นทุนเกษตรกรต้องควบคุมให้ได้ นี่คือสิ่งที่กระทรวงพาณิชย​์จะทำตั้งแต่ต้นน้ำ 

“ขอให้พี่น้องเกษตรกรมั่นใจว่า กระทรวงพาณิชย์จะเดินหน้าสู้ดันเรื่องลำไยอย่างเต็มที่จนจบฤดูกาลแน่นอน และสำหรับสินค้าเกษตรชนิดอื่น เราจะเร่งเข้าไปดูแลตลาดอย่างต่อเนื่องไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำเดิม” รมช.พาณิชย์ กล่าวทิ้งท้าย

#สุชาติชมกลิ่น #ข่าววันนี้ #ราคาลำไย #เกษตรกร #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้ #ภาคเหนือ

 

พาณิชย์เร่งแก้ปัญหาลำไยตกต่ำ เร่งกระจายสินค้าทั่วประเทศ-ส่งออก

"สุชาติ" ประสานทุกภาคส่วน เร่งแก้ปัญหาราคาลำไยตกต่ำ ยืนยันกระแสข่าวลำไยกิโลกรัมละ 1 บาท เป็นเพียงลำไยตกเกรด พร้อมกระจายผลผลิตไปทั่วทุกภาค และส่งออก 15,000 ตัน และเชื่อมโยงการแปรรูปลำไยอบแห้งอีก 50,000 ตัน ส่งไปยังกลุ่มตลาดเป้าหมาย

จากกรณีมีกระแสข่าวในโลกออนไลน์ว่า ลำไยในจังหวัดเชียงใหม่ มีราคาตกต่ำมาก เหลือเพียงกิโลกรัมละ 1 บาทนั้น ล่าสุด นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ข้อเท็จจริงราคาดังกล่าวเป็นเพียงราคาลำไยเกรด C หรือรูดร่วง ผลขนาดเล็กประมาณ 20 มิลลิเมตร ไม่ใช่ราคาลำไยทั้งหมด ซึ่งสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ ยืนยันว่าลำไยเกรดดีที่นิยมบริโภค เช่น เกรด AA ปัจจุบันมีราคารับซื้อกิโลกรัมละ 19 ถึง 20 บาท ส่วนราคากิโลกรัมละ 1 บาท เป็นราคาลำไยเกรดต่ำ ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับช่วงปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ได้สั่งการให้เดินหน้ามาตรการคู่ขนานเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาลำไยและช่วยเหลือเกษตรกรให้ได้ประโยชน์สูงสุด โดยมอบหมายให้กรมการค้าภายในและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการ รวบรวมลำไยเพื่อส่งออก 15,000 ตัน และเชื่อมโยงการแปรรูปลำไยอบแห้งอีก 50,000 ตัน โดยเฉพาะในช่วงที่ผลผลิตออกกระจุกตัวสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนกรกฎาคม เชื่อมโยงการจำหน่ายในประเทศผ่านระบบพรีออเดอร์ ห้างโมเดิร์นเทรด ตลาดกลาง ตลาดสด หน่วยงานภาครัฐ และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เชื่อมโยงผลผลิตจากภาคเหนือสู่ผู้บริโภคทั่วประเทศ ผ่านกลไกสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัด และส่งเสริมการขายออนไลน์ พร้อมสนับสนุนกล่องไปรษณีย์ส่งฟรี เพื่อกระจายผลผลิตสู่ทุกภูมิภาค

ขณะที่ด้านตลาดต่างประเทศ ได้มอบให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เร่งประสานผู้นำเข้าจากตลาดเป้าหมาย ทั้งจีนและประเทศอื่น ๆ เข้ามาสั่งซื้อลำไยสดและแปรรูป และช่วงวันที่ 7 ถึง 16 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ได้จัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ผลักดันการค้าลำไยสด ลำไยอบแห้ง แช่เย็น แช่แข็ง และผลิตภัณฑ์จากลำไยในตลาดจีน ฮ่องกง มาเลเซีย อินเดีย และ UAE ซึ่งสร้างมูลค่าการค้าได้กว่า 200 ล้านบาท

ทั้งนี้ปัจจุบันราคาลำไยจังหวัดเชียงใหม่  เกรด AA อยู่ที่กิโลกรัมละ 19 ถึง 20 บาท เกรด A ราคา 10 ถึง 11 บาท เกรด B ราคา 5 ถึง 6 บาท และเกรด C ขนาดไม่เกิน 20 มิลลิเมตร ราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 1 บาท ส่วนลำไยสดช่อ  เกรดทองราคา 25 บาทต่อกิโลกรัม เกรดแดง 22 บาทต่อกิโลกรัม เกรดน้ำเงิน 17 บาทต่อกิโลกรัม และเกรดเขียว 8 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนลำไยสดที่มัดเป็นพวง เกรด AA บวก A ราคา 18 ถึง 20 บาทต่อกิโลกรัม และเกรด A บวก B ราคา 12 ถึง 15 บาทต่อกิโลกรัม

#ลำไยเชียงใหม่ #ราคาลำไย #เกษตรกรไทย #ราคาลำไยตกต่ำ #ราคาลำไยเกรดC #ลำไยเกรดดี #กระทรวงพาณิชย์ #มาตรการช่วยเกษตรกร #การส่งออกลำไย #BusinessMatching #การค้าโลก